ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรอาน กล่าว เกี่ยวกับ อัลหะดิษ ว่าอย่างไรบ้าง  (อ่าน 12152 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ TruthSeeker

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 46
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอาน กล่าว เกี่ยวกับ อัลหะดิษ ว่าอ&#
« ตอบกลับ #45 เมื่อ: ต.ค. 10, 2007, 05:18 AM »
0
ดังนั้น อายะห์ [77.50] นี้ อัลลอฮ กำลังถามใคร?

ตอนนี้ชัดเจนแล้วสำหรับผม ว่าอายะห์นี้ รวมทั้งอายะห์ก่อนๆ อัลลอฮกำลังกล่าวให้ผู้ศรัทธาฟังว่า ผู้ปฏิเสธจะประสบสภาพอย่างไร พอมาถึงอายะห์นี้ อัลลอฮ์ถามเรา ซึ่งเป็นผู้อ่าน ว่าหะดิษใหนอีกนอกจากกุรอานที่ พวกผู้ปฏิเสธ(พวกเขา เป็นสรรพนามบุรุสที่สาม) ควรจะศรัทธา

ถ้าคำถามในอายะห์นี้ไม่ได้ถามเรา นั่นคือ ถ้าคำถามในอายะห์นี้ถามผู้ปฏิเสธแล้วจะต้องไม่ใช้สรรพนามบุรุสที่สาม (ต้องใช้บุรุรสที่สอง)


พอเจอคำถามเช่นนี้ แน่นอน ผมจะตอบว่า ไม่มีหะดิษใหน นอกจากกุรอานนี้ ที่พวกเขาควรจะศรัทธา

นอกจากนี้ การที่อัลลอฮใช้คำ้ว่า พวกเขา ในคำถามที่ถามเราเกี่ยวกับผู้ปฏิเสธ ซึ่งอ้างถึงผู้ปฏิเสธนั้น ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า ผู้ศรัทธาที่แท้จริงจะเชื่อหะดิษอื่นนอกจากกุรอานนี้ได้อย่างไร ในเมื่ออัลลอฮได้ถามคำถามนี้แล้ว และถามเราเกี่ยวกับผู้ปฏิเสธในการถามนี้ด้วย ด้วยคำถามในอายะห์นี้ผมจึงได้บทเรียนว่า ไม่มีหะดิษใหนนอกจากกุรอานนี้ที่ผมจะศรัทธา

เช่นนี้ถึงสอดคล้องกับที่ว่าทำไมคำว่าหะดิษถูกแปลว่าเรื่องไร้สาระในอายะห์ [31.6]

คุณเข้าใจอัลกุรอานผิดและเข้าใจ "คำถาม" ในอายะฮ์อัลกุรอานผิดแล้วครับ  กล่าวคือ คุณคิดว่าการถามดังกล่าวนั้น   หมายถึงพระองค์ทรงถามผู้ปฏิเสธหรือถามเราก็หาไม่ครับ   เพราะคำถามนี้ไม่ต้องการคำตอบ  เนื่องจากเป็นการถามสิ่งหนึ่งอันเป็นที่รู้กันและถามเพียงเพื่อทำการตำหนิพวกปฏิเสธเท่านั้น 

ดังนั้น  ตามหลักวิชาภาษาอาหรับ  แขนงของวิชาอรรถศิลป์ (อัลมาอานีย์)  ระบุว่า  การถามเช่นนี้  ไม่ใช่มีเป้าหมายเพื่อต้องการคำตอบ  แต่ถามเพื่อตำหนิพวกปฏิเสธเท่านั้น   ฉะนั้น หากคำถามในเชิงตำหนิอยู่ในรูปประโยคที่ปฏิเสธ  จุดมุ่งหมายของประโยคจะมีความหมายในเชิงยืนยันบอกเล่า   แต่ถ้าหากประโยคคำถามในเชิงตำหนิอยู่ในรูปประโยคของการบอกเล่า(ไม่ปฏิเสธ)  จุดมุ่งหมายของประโยคจะมีความหมายในเชิงปฏิเสธ

ตัวอย่างเช่นอายะฮ์  77.50 ที่มีความว่า "ดังนั้น (คำบอกเล่า/หะดิษ) อันใดเล่าหลังจากอัลกุรอานที่พวกเขาจะศรัทธากัน"  ซึ่งเป็นประโยคคำถามเชิงยืนยันไม่ได้ปฏิเสธ  ดังนั้นคำถามในเชิงตำหนิที่อยู่ในประโยคยืนยันนั้น  จะมีความหมายสะท้อนถึงการปฏิเสธตามหลักภาษาอาหรับเชิงวิชาอรรถศิลป์  เพราะฉะนั้นอายะฮ์ดังกล่าวนี้จึงมีความหมายว่า "พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอานที่มีอรรถรสและบ่งชี้ถึงความสัจจริงของร่อซูลุลลอฮ์ (ซ.ล.) ดังนั้นสิ่งใดอีกเล่าที่พวกเขาจะเชื่อ"   ซึ่งหมายถึงว่า  พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอาน แน่นอนว่า  ถ้อยคำพูดอื่น ๆ  พวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว

ดังนั้น  คุณจะเอาอายะฮ์นี้มาตำหนิพวกเราตามความเข้าใจของคุณที่มีต่ออายะฮ์นี้ไม่ได้อย่างแน่นอนและเด็ดขาด   วัลลอฮุอะลัม

ในเรื่องของคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เช่นในกรณีนี้ (หรือในกรณีของของมึนเมา คล้ายๆกัน คือ คำถามว่า เจ้าจะจังไม่หยุดมันหรือ) เช่นในกรณีสุรา ผมก็ตอบว่า ใช่ควรจะหยุดการมึนเมา แล้วก็ได้บทเรียนในเชิงตักเตือนว่าควรจะหยุดของมึนเมา (ถ้าเคยใช้ และไม่ควรไปใช้)

คุณจะเห็นประโยชน์ของคำถามเช่นนี้ได้เมื่อคุณตอบก่อน (ซึ่งคุณได้ตอบให้ผมเห็นแล้วเช่นกัน ว่า "พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอานที่มีอรรถรสและบ่งชี้ถึงความสัจจริงของร่อซูลุลลอฮ์ (ซ.ล.) ดังนั้นสิ่งใดอีกเล่าที่พวกเขาจะเชื่อ")

ในกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน การที่อัลลอฮใช้สรรพนามบุรุสที่สามอ้างถึงพวกผู้ปฏิเสธ ก็แสดงชัดเจนอยู่แล้วว่าคำถามนี้เ็ป็นการเตือนการคนอ่าน ไม่ใช่ตำหนิผู้ปฏิเสธโดยตรง เพราะเป็นคำถามในลักษณะแบบนี้ และก็ได้บทเรียนดังในโพสก่อนของผมซึ่งชัดแจนอยู่แล้ว

นอกจากนี้ คำตอบของคุณนี้ที่ว่า  "พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอาน แน่นอนว่า  ถ้อยคำพูดอื่น ๆ  พวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว" นั้นไม่เป็นจริง ชัดเจน เพราะเขาไม่ได้เชื่อในกุรอานแต่เขาเชื่อในคำบอกเล่าอื่นๆ เช่นคำภีร์หรือตำราของเขา (จำนวนมาก) นั่นคือ เขาเชื่อในถ้อยคำอื่นๆ นอกจากกุรอานนี้ 

[77.50]  ดังนั้น (คำบอกเล่า/หะดิษ) อันใดเล่าหลังจากอัลกุรอานที่พวกเขาจะศรัทธากัน (คำบอกเล่า คือ หะดิษในภาษาอาหรับต้นฉบับ)

 หมายความชัดเจนในเชิงตักเตือนว่า หลังจากกุรอานนี้แล้วไม่ควรศรัทธาในคำบอกเล่าใดๆทั้งสิ้น

ดังนั้นผมไม่เห็นด้วยใจการตอบของคุณนี้ (แต่แน่นอนเป็นสิทธิของคุณ)
พระเจ้าเท่านั้นที่ฉันสักการะ

ออฟไลน์ TruthSeeker

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 46
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอาน กล่าว เกี่ยวกับ อัลหะดิษ ว่าอ&#
« ตอบกลับ #46 เมื่อ: ต.ค. 10, 2007, 05:24 AM »
0
เช่นนี้ถึงสอดคล้องกับที่ว่าทำไมคำว่าหะดิษถูกแปลว่าเรื่องไร้สาระในอายะห์ [31.6]

คุณ TruthSeeker  ไม่เข้าใจอัลกุรอานนะครับ  กล่าวคือ  คุณเข้าใจคำว่า หะดิษ หมายถึง เรื่องไร้สาระ  นั้น  ถือว่าผิดและมีความเข้าใจอย่างอคติ  เพราะในภาษาอาหรับนั้น  คำว่า หะดิษ  ไม่ได้มีความหมายว่า ไร้สาระ เลยแม้แต่น้อย    เพราะอายะฮ์ 31.6 ที่คุณยกอ้างมานั้น  อัลกุรอานใช้คำว่า   لهو الحديث  (ละฮ์วัลหะดีษ)   ฉะนั้น  ความหมายที่ว่าไร้สาระนั้น  คือคำว่า   لهو (ละฮ์วฺ)  ไม่ใช่คำว่า  لحديث  แค่เพียงคำเดียว    ดังนั้นการที่คุณบอกว่า คำว่า หะดิษแปลว่าเรื่องไร้สาระนั้น ถือว่าคุณไม่เข้าใจอัลกุรอานนะครับ   fouet:
 

ด้วยการใช้ لهو الحديث  (ละฮ์วัลหะดีษ) ในที่นี้คุณคิดว่าอ้างถึงอะไรครับ ผมเห็นว่าคำนี้หมายถึง หะดิษอื่นนอกจากกุรอาน ซึ่งสอดคล้องกับ 77:50 และ 7:185 ครับ

ที่คุณบอกว่า "ดังนั้นการที่คุณบอกว่า คำว่า หะดิษแปลว่าเรื่องไร้สาระนั้น ถือว่าคุณไม่เข้าใจอัลกุรอานนะครับ" คุณกำลังไม่เข้าใจว่าผมกำลังเห็นคำว่า ละฮ์วัลหะดีษ หมายถึง หะัดิษอื่นนอกจากกุรอาน

เพราะผมเคยบอกแล้วว่า ผมจะเน้นว่า หะดิษอื่นนอกจากกุรอาน

เพราะ หะดิษ มีความหมายว่าคำบอกเล่า/คำกล่าว/เรื่องเล่า และกุรอาน เป็น หะดิษ/คำกล่าว ที่ดีที่สุด ดังใน

[39.23]  อัลลอฮ์ได้ทรงประทานคำกล่าวที่ดียิ่งลงมาเป็นคัมภีร์คล้องจองกันกล่าวซ้ำกัน ผิวหนังของบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าของพวกเขาจะลุกชันขึ้น แล้วผิวหนังของพวกเขาและหัวใจของพวกเขาจะสงบลงเพื่อรำลึกถึงอัลลอฮ์ นั่นคือการชี้นำทางของอัลลอฮ์ พระองค์จะทรงชี้นำทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงให้เขาหลงทาง ดังนั้นสำหรับเขาจะไม่มีผู้ชี้นำทาง

หัวข้อนี้ที่ว่า อัลกุรอาน กล่าว เกี่ยวกับ อัลหะดิษ ว่าอย่างไรบ้าง คำว่า อัลหะดิษที่ผมใช้ในหัวข้อ หมายถึง หะดิษอื่นนอกจากกุรอาน

และนั่นชัดเจนมากสำหรับผมว่า หะดิษอื่นนอกจากกุรอาน ก็คือ  لهو الحديث  (ละฮ์วัลหะดีษ) เพราะมนุษย์แต่งขึ้นและพระเจ้าไม่ได้รักษามัน ด้งที่เคยอธิบายมาแล้วหลายครั้ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 10, 2007, 05:41 AM โดย TruthSeeker »
พระเจ้าเท่านั้นที่ฉันสักการะ

ออฟไลน์ TruthSeeker

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 46
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอาน กล่าว เกี่ยวกับ อัลหะดิษ ว่าอ&#
« ตอบกลับ #47 เมื่อ: ต.ค. 10, 2007, 05:36 AM »
0
ผมก็ไม่เข้าใจเขาเหมือนกัน
เรื่อง ตัวแปล ภาษาไทย แล้วมีวงเล็บ ข้างในมั่วๆ
แล้วมาอ้างว่า เอามาจาก ผู้แปล คนไทยท่านอื่น
เช่น ( ถ้อยคำไร้สาระ / ฮะดีส )
ผมไม่เคยเห็น คนไทยคนไหน แปล ถ้อยคำไร้สาระ เป็น ฮะดีส เลยซักครั้งเดียว
แล้ว คุณ ทรูซีค จะมาอ้างว่า เอามาจากที่ไหนอีก
คุณเข้าใจเองคนเดียวแท้ๆ
ถ้ามีหลักฐาน ที่เขาแปล ฮะดีส คือ ถ้อยคำไร้สาระ ก็ช่วย copy หน้ากระดาษ คำแปล มาให้ดูหน่อยเถอะ



ปล. กระทู้อีกกระทู้ ผมก็ถามคุณแบบนี้แหละ เพราะมาอ้างว่าเอามาจากคนอื่นน่ะ มันคนไหน ?
ด้วยความเคารพ...

ใช่ครับ  "กระทู้อีกกระทู้ ผมก็ถามคุณแบบนี้แหละ เพราะมาอ้างว่าเอามาจากคนอื่นน่ะ มันคนไหน ?"

ผมเคยตอบคุณแล้ว และตอนนี้ผมก็จะพยายามตอบให้ชัดเจนกว่าเดิมนะครับ

คุณไม่เห็นเพราะคุณไม่เทียบคำแปลกับภาษาอาหรับไงครับ ผมไม่ได้เปลี่ยนคำแปลเลย คุณไปดูได้เลยที่ http://www.muslimthaihealth.com/th/quran.php หรือคำแปลกุรอานประจำบ้าน ไม่ว่าจะเป็นของนิสิตเก่าอาหรับ หรือของ อิบรอฮีม กุรัยชี  ให้ลองไปดูในอายะห์ 31:6 แล้วอ่านดูว่าในภาษาอาหรับใช้คำว่าอะไร

ผมตอบแล้วว่า อะไรที่อยูในวงเล็บผมได้อธิบายแล้วว่ามันคือ การแสดงว่าคำแปลนั้นอ้างเทียบถึงคำว่าอะไรในภาษาอาหรับ นั่นคือการเทียบกับตัวบทภาษาอาหรับครับ ผมทำไว้เืพื่อให้ท่านลองอ่านภาษาอาหรับเทียบดูด้วยตัวเองครับ ไม่ใช่อย่างที่ท่านเข้าใจครับ

ถ้าคุณดูตรงๆ จะเห็นว่า ฮะดีส แปลว่า ถ้อยคำ หรือ เรื่องเล่า คราวนี้ในอายะห์นี้ 31:6 นี้กล่าวถึง لهو الحديث  (ละฮ์วัลหะดีษ) เมื่อคุณดูคู่กับ 77:50 และ 7:185 ก็ชัดเจนว่า ละฮ์วัลหะดีษ ก็คือหะดิษอื่นนอกจากกุรอาน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 10, 2007, 05:43 AM โดย TruthSeeker »
พระเจ้าเท่านั้นที่ฉันสักการะ

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
แนะนำให้กลับไปเรียนภาษาอาหรับใหม่
และเรียนรู้วิชาแขนงต่างๆ ในศาสนา

เพราะ..การจะแปลวัจนะอัลลอฮฺ ไม่ได้มีความรู้แค่ภาษาอาหรับ เท่านั้น

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: อัลกุรอาน กล่าว เกี่ยวกับ อัลหะดิษ ว่าอ&#
« ตอบกลับ #49 เมื่อ: ต.ค. 11, 2007, 05:34 AM »
0
ในเรื่องของคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เช่นในกรณีนี้ (หรือในกรณีของของมึนเมา คล้ายๆกัน คือ คำถามว่า เจ้าจะจังไม่หยุดมันหรือ) เช่นในกรณีสุรา ผมก็ตอบว่า ใช่ควรจะหยุดการมึนเมา แล้วก็ได้บทเรียนในเชิงตักเตือนว่าควรจะหยุดของมึนเมา (ถ้าเคยใช้ และไม่ควรไปใช้)

คุณจะเห็นประโยชน์ของคำถามเช่นนี้ได้เมื่อคุณตอบก่อน (ซึ่งคุณได้ตอบให้ผมเห็นแล้วเช่นกัน ว่า "พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอานที่มีอรรถรสและบ่งชี้ถึงความสัจจริงของร่อซูลุลลอฮ์ (ซ.ล.) ดังนั้นสิ่งใดอีกเล่าที่พวกเขาจะเชื่อ")

ในกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน การที่อัลลอฮใช้สรรพนามบุรุสที่สามอ้างถึงพวกผู้ปฏิเสธ ก็แสดงชัดเจนอยู่แล้วว่าคำถามนี้เ็ป็นการเตือนการคนอ่าน ไม่ใช่ตำหนิผู้ปฏิเสธโดยตรง เพราะเป็นคำถามในลักษณะแบบนี้ และก็ได้บทเรียนดังในโพสก่อนของผมซึ่งชัดแจนอยู่แล้ว

นอกจากนี้ คำตอบของคุณนี้ที่ว่า  "พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอาน แน่นอนว่า  ถ้อยคำพูดอื่น ๆ  พวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว" นั้นไม่เป็นจริง ชัดเจน เพราะเขาไม่ได้เชื่อในกุรอานแต่เขาเชื่อในคำบอกเล่าอื่นๆ เช่นคำภีร์หรือตำราของเขา (จำนวนมาก) นั่นคือ เขาเชื่อในถ้อยคำอื่นๆ นอกจากกุรอานนี้ 

[77.50]  ดังนั้น (คำบอกเล่า/หะดิษ) อันใดเล่าหลังจากอัลกุรอานที่พวกเขาจะศรัทธากัน (คำบอกเล่า คือ หะดิษในภาษาอาหรับต้นฉบับ)

 หมายความชัดเจนในเชิงตักเตือนว่า หลังจากกุรอานนี้แล้วไม่ควรศรัทธาในคำบอกเล่าใดๆทั้งสิ้น

ดังนั้นผมไม่เห็นด้วยใจการตอบของคุณนี้ (แต่แน่นอนเป็นสิทธิของคุณ)

คุณเข้าใจอัลกุรอานผิดครับ  อัลเลาะฮ์ทรงตรัสโดยไม่ต้องการคำตอบ  แต่คุณเองกลับต้องการคำตอบซึ่งดังกล่าวความคิดของคุณที่ผิดตามเจตนารมณ์ของอัลกุรอาน   ดังนั้นความเข้าใจของคนจังไร้ความหมายและไม่ถูกต้องตามหลักภาษาอาหรับที่อัลกุรอานได้ประทานลงมา

คุณเข้าใจอัลกุรอานผิดและเข้าใจ "คำถาม" ในอายะฮ์อัลกุรอานผิดแล้วครับ  กล่าวคือ คุณคิดว่าการถามดังกล่าวนั้น   หมายถึงพระองค์ทรงถามผู้ปฏิเสธหรือถามเราก็หาไม่ครับ   เพราะคำถามนี้ไม่ต้องการคำตอบ  เนื่องจากเป็นการถามสิ่งหนึ่งอันเป็นที่รู้กันและถามเพียงเพื่อทำการตำหนิพวกปฏิเสธเท่านั้น 

ดังนั้น  ตามหลักวิชาภาษาอาหรับ  แขนงของวิชาอรรถศิลป์ (อัลมาอานีย์)  ระบุว่า  การถามเช่นนี้  ไม่ใช่มีเป้าหมายเพื่อต้องการคำตอบ  แต่ถามเพื่อตำหนิพวกปฏิเสธเท่านั้น   ฉะนั้น หากคำถามในเชิงตำหนิอยู่ในรูปประโยคที่ปฏิเสธ  จุดมุ่งหมายของประโยคจะมีความหมายในเชิงยืนยันบอกเล่า   แต่ถ้าหากประโยคคำถามในเชิงตำหนิอยู่ในรูปประโยคของการบอกเล่า(ไม่ปฏิเสธ)  จุดมุ่งหมายของประโยคจะมีความหมายในเชิงปฏิเสธ

ตัวอย่างเช่นอายะฮ์  77.50 ที่มีความว่า "ดังนั้น (คำบอกเล่า/หะดิษ) อันใดเล่าหลังจากอัลกุรอานที่พวกเขาจะศรัทธากัน"  ซึ่งเป็นประโยคคำถามเชิงยืนยันไม่ได้ปฏิเสธ  ดังนั้นคำถามในเชิงตำหนิที่อยู่ในประโยคยืนยันนั้น  จะมีความหมายสะท้อนถึงการปฏิเสธตามหลักภาษาอาหรับเชิงวิชาอรรถศิลป์  เพราะฉะนั้นอายะฮ์ดังกล่าวนี้จึงมีความหมายว่า "พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอานที่มีอรรถรสและบ่งชี้ถึงความสัจจริงของร่อซูลุลลอฮ์ (ซ.ล.) ดังนั้นสิ่งใดอีกเล่าที่พวกเขาจะเชื่อ"   ซึ่งหมายถึงว่า  พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอาน แน่นอนว่า  ถ้อยคำพูดอื่น ๆ  พวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว

ดังนั้น  คุณจะเอาอายะฮ์นี้มาตำหนิพวกเราตามความเข้าใจของคุณที่มีต่ออายะฮ์นี้ไม่ได้อย่างแน่นอนและเด็ดขาด   วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ TruthSeeker

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 46
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ในเรื่องของคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เช่นในกรณีนี้ (หรือในกรณีของของมึนเมา คล้ายๆกัน คือ คำถามว่า เจ้าจะจังไม่หยุดมันหรือ) เช่นในกรณีสุรา ผมก็ตอบว่า ใช่ควรจะหยุดการมึนเมา แล้วก็ได้บทเรียนในเชิงตักเตือนว่าควรจะหยุดของมึนเมา (ถ้าเคยใช้ และไม่ควรไปใช้)

คุณจะเห็นประโยชน์ของคำถามเช่นนี้ได้เมื่อคุณตอบก่อน (ซึ่งคุณได้ตอบให้ผมเห็นแล้วเช่นกัน ว่า "พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอานที่มีอรรถรสและบ่งชี้ถึงความสัจจริงของร่อซูลุลลอฮ์ (ซ.ล.) ดังนั้นสิ่งใดอีกเล่าที่พวกเขาจะเชื่อ")

ในกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน การที่อัลลอฮใช้สรรพนามบุรุสที่สามอ้างถึงพวกผู้ปฏิเสธ ก็แสดงชัดเจนอยู่แล้วว่าคำถามนี้เ็ป็นการเตือนการคนอ่าน ไม่ใช่ตำหนิผู้ปฏิเสธโดยตรง เพราะเป็นคำถามในลักษณะแบบนี้ และก็ได้บทเรียนดังในโพสก่อนของผมซึ่งชัดแจนอยู่แล้ว

นอกจากนี้ คำตอบของคุณนี้ที่ว่า  "พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอาน แน่นอนว่า  ถ้อยคำพูดอื่น ๆ  พวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว" นั้นไม่เป็นจริง ชัดเจน เพราะเขาไม่ได้เชื่อในกุรอานแต่เขาเชื่อในคำบอกเล่าอื่นๆ เช่นคำภีร์หรือตำราของเขา (จำนวนมาก) นั่นคือ เขาเชื่อในถ้อยคำอื่นๆ นอกจากกุรอานนี้ 

[77.50]  ดังนั้น (คำบอกเล่า/หะดิษ) อันใดเล่าหลังจากอัลกุรอานที่พวกเขาจะศรัทธากัน (คำบอกเล่า คือ หะดิษในภาษาอาหรับต้นฉบับ)

 หมายความชัดเจนในเชิงตักเตือนว่า หลังจากกุรอานนี้แล้วไม่ควรศรัทธาในคำบอกเล่าใดๆทั้งสิ้น

ดังนั้นผมไม่เห็นด้วยใจการตอบของคุณนี้ (แต่แน่นอนเป็นสิทธิของคุณ)

คุณเข้าใจอัลกุรอานผิดครับ  อัลเลาะฮ์ทรงตรัสโดยไม่ต้องการคำตอบ  แต่คุณเองกลับต้องการคำตอบซึ่งดังกล่าวความคิดของคุณที่ผิดตามเจตนารมณ์ของอัลกุรอาน   ดังนั้นความเข้าใจของคนจังไร้ความหมายและไม่ถูกต้องตามหลักภาษาอาหรับที่อัลกุรอานได้ประทานลงมา

คุณเข้าใจอัลกุรอานผิดและเข้าใจ "คำถาม" ในอายะฮ์อัลกุรอานผิดแล้วครับ  กล่าวคือ คุณคิดว่าการถามดังกล่าวนั้น   หมายถึงพระองค์ทรงถามผู้ปฏิเสธหรือถามเราก็หาไม่ครับ   เพราะคำถามนี้ไม่ต้องการคำตอบ  เนื่องจากเป็นการถามสิ่งหนึ่งอันเป็นที่รู้กันและถามเพียงเพื่อทำการตำหนิพวกปฏิเสธเท่านั้น 

ดังนั้น  ตามหลักวิชาภาษาอาหรับ  แขนงของวิชาอรรถศิลป์ (อัลมาอานีย์)  ระบุว่า  การถามเช่นนี้  ไม่ใช่มีเป้าหมายเพื่อต้องการคำตอบ  แต่ถามเพื่อตำหนิพวกปฏิเสธเท่านั้น   ฉะนั้น หากคำถามในเชิงตำหนิอยู่ในรูปประโยคที่ปฏิเสธ  จุดมุ่งหมายของประโยคจะมีความหมายในเชิงยืนยันบอกเล่า   แต่ถ้าหากประโยคคำถามในเชิงตำหนิอยู่ในรูปประโยคของการบอกเล่า(ไม่ปฏิเสธ)  จุดมุ่งหมายของประโยคจะมีความหมายในเชิงปฏิเสธ

ตัวอย่างเช่นอายะฮ์  77.50 ที่มีความว่า "ดังนั้น (คำบอกเล่า/หะดิษ) อันใดเล่าหลังจากอัลกุรอานที่พวกเขาจะศรัทธากัน"  ซึ่งเป็นประโยคคำถามเชิงยืนยันไม่ได้ปฏิเสธ  ดังนั้นคำถามในเชิงตำหนิที่อยู่ในประโยคยืนยันนั้น  จะมีความหมายสะท้อนถึงการปฏิเสธตามหลักภาษาอาหรับเชิงวิชาอรรถศิลป์  เพราะฉะนั้นอายะฮ์ดังกล่าวนี้จึงมีความหมายว่า "พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอานที่มีอรรถรสและบ่งชี้ถึงความสัจจริงของร่อซูลุลลอฮ์ (ซ.ล.) ดังนั้นสิ่งใดอีกเล่าที่พวกเขาจะเชื่อ"   ซึ่งหมายถึงว่า  พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอาน แน่นอนว่า  ถ้อยคำพูดอื่น ๆ  พวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว

ดังนั้น  คุณจะเอาอายะฮ์นี้มาตำหนิพวกเราตามความเข้าใจของคุณที่มีต่ออายะฮ์นี้ไม่ได้อย่างแน่นอนและเด็ดขาด   วัลลอฮุอะลัม

ที่คุณกล่าวว่า ["พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอานที่มีอรรถรสและบ่งชี้ถึงความสัจจริงของร่อซูลุลลอฮ์ (ซ.ล.) ดังนั้นสิ่งใดอีกเล่าที่พวกเขาจะเชื่อ"   ซึ่งหมายถึงว่า  พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอาน แน่นอนว่า  ถ้อยคำพูดอื่น ๆ  พวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว]

ผมเห็นว่าไม่จริงครับ เพราะพวกเขาเชื่อคำพูดอื่นๆ นอกจากกุรอาน  ครับ (แน่นอนพวกปฏิเสธเขาไม่เชื่อกุรอานอยู่แล้วครับ ตามนิยามอยู่แล้ว แต่เขาเชื่อหะดิษ/เรื่องเล่าอื่นนอกจากกุรอาน) ละผมได้บอกแล้วว่า ถ้าคุณไม่ตอบคำถามพวกนี้ก่อน คุณก็ไม่เข้าใจ ซึ่งคุณก็กำลังตอบ เพื่อให้เข้าใจ ทั้งๆที่คุณบอกว่าไม่ต้องการคำตอบ

ดังนั้น มันเกี่ยวข้องแน่นอนว่าคำถามในเชิงตักเตือนนี้นี้กำลังถามใคร (นั่นคือผู้อ่าน สำหรับผม) และกล่าวถึงใีครในสรรพนามบุรุสที่สาม และให้บทเรียนแ่ก่เราผู้อ่านอย่างชัดเจนว่า ถ้าคุณเป็นผู้ศรัทธา คุณก็ไม่ควรเชื่อหะดิษอื่นนอกจากกุรอาน แบบพวกผู้ปฏิเสธเขาครับ เพราะคุณต้องการจะสักการะพระเจ้า ไม่ใช่คนอื่น ด้งนั้นคุณต้องมั่นใจว่าแต่ละคำสั่งมาจากพระเจ้าจริงหรือไม่ ซึ่งการรักษากุรอานของพระเจ้าจนถึงทุกวันนี้เป็นสัญญาณที่ชัดแจ้งอย่างหนึ่ง หะดิษอื่นนอกจากกุรอานไม่ได้ถูกรักษาอย่างเทียบเท่ากุรอานเลยแม้แต่น้อย

ผมเริ่มเห็นว่าการเสวนานี้วนไปเวียนมากับเรื่องเดิมๆแล้วครับ และผมไม่ต้องการโพสซ้ำๆ อีกครับ ขออภัยด้วย

ผมคิดว่าผมได้มาแสดงความเข้าใจคร่าวๆ ของคนที่คิดว่ากุรอานครบถ้วนพอเพียงแล้ว เกี่ยวกับเรื่องในหัวข้อการเชื่อในหะัดิษอื่นนอกจากกุรอาน ดังนั้นผมขอจบการเสวนาของผมครับ ผมไม่อยากอ้างถึงเรื่องกุรอานพอเพียงครบถ้วนให้นอกประเด็นอีกครับ


ผมขอทิ้งท้ายไว้เล็กน้อยว่า .....................................................


ผมต้องขออภัยถ้าได้ล่วงเกินด้วยวาจาแก่ท่าน ขอท่านอภัยให้ผมด้วยครับ ผมเพียงต้องการเข้าใจและสักการะพระเจ้าอย่างจริงใจครับ

ขอขอบคุณ คุณ al-azhary รวมทั้งท่านอื่นๆ อย่างสุง ที่ได้ให้เวลาในการเสวนาและโอกาสในการแสดงความคิดกับผมบนฟอรัมของท่าน โดยเฉพาะ คุณ al-azhary ที่ได้เสวนาอย่างสุภาพและควบคุมให้ตรงประเด็นครับ

ขอพระเจ้าทรงนำทางครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 11, 2007, 10:01 AM โดย al-azhary »
พระเจ้าเท่านั้นที่ฉันสักการะ

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: อัลกุรอาน กล่าว เกี่ยวกับ อัลหะดิษ ว่าอ&#
« ตอบกลับ #51 เมื่อ: ต.ค. 11, 2007, 09:31 AM »
0
ที่คุณกล่าวว่า ["พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอานที่มีอรรถรสและบ่งชี้ถึงความสัจจริงของร่อซูลุลลอฮ์ (ซ.ล.) ดังนั้นสิ่งใดอีกเล่าที่พวกเขาจะเชื่อ"   ซึ่งหมายถึงว่า  พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอาน แน่นอนว่า  ถ้อยคำพูดอื่น ๆ  พวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว]

ผมเห็นว่าไม่จริงครับ เพราะพวกเขาเชื่อคำพูดอื่นๆ นอกจากกุรอาน  ครับ (แน่นอนพวกปฏิเสธเขาไม่เชื่อกุรอานอยู่แล้วครับ ตามนิยามอยู่แล้ว แต่เขาเชื่อหะดิษ/เรื่องเล่าอื่นนอกจากกุรอาน) ละผมได้บอกแล้วว่า ถ้าคุณไม่ตอบคำถามพวกนี้ก่อน คุณก็ไม่เข้าใจ ซึ่งคุณก็กำลังตอบ เพื่อให้เข้าใจ ทั้งๆที่คุณบอกว่าไม่ต้องการคำตอบ

ดังนั้น มันเกี่ยวข้องแน่นอนว่าคำถามในเชิงตักเตือนนี้นี้กำลังถามใคร (นั่นคือผู้อ่าน สำหรับผม) และกล่าวถึงใีครในสรรพนามบุรุสที่สาม และให้บทเรียนแ่ก่เราผู้อ่านอย่างชัดเจนว่า ถ้าคุณเป็นผู้ศรัทธา คุณก็ไม่ควรเชื่อหะดิษอื่นนอกจากกุรอาน แบบพวกผู้ปฏิเสธเขาครับ เพราะคุณต้องการจะสักการะพระเจ้า ไม่ใช่คนอื่น ด้งนั้นคุณต้องมั่นใจว่าแต่ละคำสั่งมาจากพระเจ้าจริงหรือไม่ ซึ่งการรักษากุรอานของพระเจ้าจนถึงทุกวันนี้เป็นสัญญาณที่ชัดแจ้งอย่างหนึ่ง หะดิษอื่นนอกจากกุรอานไม่ได้ถูกรักษาอย่างเทียบเท่ากุรอานเลยแม้แต่น้อย


ผมเคยชี้แจงไปว่า ["พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอานที่มีอรรถรสและบ่งชี้ถึงความสัจจริงของร่อซูลุลลอฮ์ (ซ.ล.) ดังนั้นสิ่งใดอีกเล่าที่พวกเขาจะเชื่อ"   ซึ่งหมายถึงว่า  พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอาน แน่นอนว่า  ถ้อยคำพูดอื่น ๆ  พวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว]

แต่คุณบอกว่ามันไม่จริง  เนื่องจากคุณคิดว่าความเข้าใจและความคิดของคุณนั้นถูกต้องกว่า  แต่ความเข้าใจของผมนั้นเอามาจากปราชญ์นักอถาธิบายอัลกุรอานที่รอบรู้วิทยาการเกี่ยวกับอัลกุรอาน  และสิ่งที่ผมได้เคยชี้แจงไปนั้นก็มาจากตัฟซีรอัลกุรตุบีย์  ดังนั้นความคิดเห็นของคุณและเข้าใจของคุณที่ตอบกับผมว่า "ผมเห็นว่าไม่จริงครับ" นั้น  ถือว่าไร้น้ำหนักอย่างสิ้นเชิง   นั่นก็เพราะว่าคุณไม่เข้าใจถ้อยคำของอัลกุรอานครับ   และอายะฮ์อัลกุรอานที่คุณเข้าใจว่าต้องการคำถามนั้น  ถือว่าผิดนะครับ 

คุณกล่าวว่ "ดังนั้น มันเกี่ยวข้องแน่นอนว่าคำถามในเชิงตักเตือนนี้นี้กำลังถามใคร (นั่นคือผู้อ่าน สำหรับผม) และกล่าวถึงใีครในสรรพนามบุรุสที่สาม และให้บทเรียนแ่ก่เราผู้อ่านอย่างชัดเจนว่า ถ้าคุณเป็นผู้ศรัทธา คุณก็ไม่ควรเชื่อหะดิษอื่นนอกจากกุรอาน แบบพวกผู้ปฏิเสธเขาครับ เพราะคุณต้องการจะสักการะพระเจ้า ไม่ใช่คนอื่น ด้งนั้นคุณต้องมั่นใจว่าแต่ละคำสั่งมาจากพระเจ้าจริงหรือไม่ ซึ่งการรักษากุรอานของพระเจ้าจนถึงทุกวันนี้เป็นสัญญาณที่ชัดแจ้งอย่างหนึ่ง หะดิษอื่นนอกจากกุรอานไม่ได้ถูกรักษาอย่างเทียบเท่ากุรอานเลยแม้แต่น้อย"

คำถามนี้อัลกุรอานไม่ใช่ต้องการจะถามผู้อ่าน แต่พระองค์ต้องการบอกเล่าและตอบไปในตัวแล้วว่า  พวกปฏิเสธจะไม่เชื่อสิ่งใดทั้งสิ้น หลังจากอัลกุรอาน  ซึ่งหมายความว่า แม้อัลกุรอานที่สัจจริงพวกเขาไม่เชื่อ  เรื่องอื่น ๆ ก็ไม่ต้องไปพูดกับพวกเขาแล้ว  เพราะขนาดของจริงที่สุดพวกเขายังไม่เชื่อกันเลย 
และอีกอย่างหนึ่ง  หากคุณเข้าใจว่า  เรื่องอื่น ๆ จากอัลกุรอานที่พวกปฏิเสธเชื่อนั้น  คือสิ่งที่ไม่ใช่ไร้สาระทั้งหมด  ถือว่าคุณเข้าใจผิดแล้วครับ  เพราะว่าพวกปฏิเสธนั้นเขาเชื่อในเรื่องที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน  ซึ่งคุณคงไม่ปฏิเสธแน่นอน  ดังนั้นเรื่องราวที่ขัดกับอัลกุรอาน  ถือว่าเป็นสิ่งที่ไร้สาระ  ฉะนั้นสิ่งที่สอดคล้องกับอัลกุรอานย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ไร้สาระอย่างแน่นอน  แต่น้ำหนักอาจจะนำมาอยู่ก่อนหรืออยู่หลังลดหลั่นกันไป
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

ด้วยการใช้ لهو الحديث  (ละฮ์วัลหะดีษ) ในที่นี้คุณคิดว่าอ้างถึงอะไรครับ ผมเห็นว่าคำนี้หมายถึง หะดิษอื่นนอกจากกุรอาน ซึ่งสอดคล้องกับ 77:50 และ 7:185 ครับ

ที่คุณบอกว่า "ดังนั้นการที่คุณบอกว่า คำว่า หะดิษแปลว่าเรื่องไร้สาระนั้น ถือว่าคุณไม่เข้าใจอัลกุรอานนะครับ" คุณกำลังไม่เข้าใจว่าผมกำลังเห็นคำว่า ละฮ์วัลหะดีษ หมายถึง หะัดิษอื่นนอกจากกุรอาน

เพราะผมเคยบอกแล้วว่า ผมจะเน้นว่า หะดิษอื่นนอกจากกุรอาน

เพราะ หะดิษ มีความหมายว่าคำบอกเล่า/คำกล่าว/เรื่องเล่า และกุรอาน เป็น หะดิษ/คำกล่าว ที่ดีที่สุด ดังใน

คุณเข้าใจอัลกุรอานผิดครับ เพราะคำว่า لهو الحديث  (ละฮ์วัลหะดีษ) ไม่ใช่หมายถึง ฮะดิษที่อื่นจากอัลกุรอานตามที่คุณเข้าใจแบบผิด ๆ นะครับ  เนื่องจากคำว่า หะดิษตรงนี้หมายถึง "เรื่องราว"  คำว่า ละฮ์วฺ  หมายถึง "การละเล่นสิ่งเพลิดเพลินที่ไร้สาระ"   ดังนั้นอายะฮ์นี้จึงหมายถึง "เรื่องราวที่ไร้สาระจากความเพลิดเพลินของดุนยาที่ทำให้หลงลืมอัลเลาะฮ์ตาอาลา  เพราะสอดคล้องกับอายะฮ์อัลกุรอานที่ว่า

وَإِذَا رَأَوْا تِجَارَةً أَوْ لَهْواً انفَضُّوا إِلَيْهَا وَتَرَكُوكَ قَائِماً قُلْ مَا عِندَ اللَّهِ خَيْرٌ مِّنَ اللَّهْوِ وَمِنَ التِّجَارَةِ وَاللَّهُ خَيْرُ الرَّازِقِينَ

"เมื่อพวกเขาได้แลเห็น (กองคาราวาน) ค้าขาย หรือ สิ่งเพลิดเพลิน (ละฮ์วฺ)  พวกเขาก็แยกตัวออกไปยังมัน  โดยปล่อยให้เจ้ายืนอยู่ตามลำพัง(บนมิมบัร)   จงประกาศเถิด  สิ่งที่มีอยู่ ณ ที่อัลเลาะฮ์นั้น  ย่อมดียิ่งกว่าสิ่งเพลิดเพลิน (ละฮ์วฺ) และดีกว่าการค้าขายนั้น  และอัลเลาะฮ์ทรงประเสริฐที่สุดแห่งบรรดาผู้ให้โชคผล" ญุมุอะฮ์ 11

พระองค์ทรงตรัสเช่นกันว่า

اعْلَمُوا أَنَّمَا الْحَيَاةُ الدُّنْيَا لَعِبٌ وَلَهْوٌ وَزِينَةٌ وَتَفَاخُرٌ بَيْنَكُمْ

"พวกเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่า  ที่จริงแล้วชีวิตทางโลกนี้เป็นเพียงความสนุกสนาน  ความเพลิดเพลิน (ละฮ์วฺ)    การประดับประดา  การถือยศกันเองระหว่างพวกเจ้า" อัลฮะดีด 20

ดังนั้นสิ่งที่คุณเข้าใจจึงผิดไม่ถูกต้องและไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของอัลกุรอาน  แต่มันอยู่บนความคิดของคุณที่ไม่ใช่อัลกุรอาน
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: อัลกุรอาน กล่าว เกี่ยวกับ อัลหะดิษ ว่าอ&#
« ตอบกลับ #53 เมื่อ: ต.ค. 11, 2007, 09:38 AM »
0
ผมขอทิ้งท้ายไว้เล็กน้อยว่า .........

มะอัฟด้วยครับ  แม้ทิ้งท้ายผมก็ไม่อนุญาตหากนอกประเด็นของกระทู้ครับ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^

 salam

 :jazakallah ความรู้เยอะแยะเลย  hihi:
يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
บังอัซฮะรี่เก่งมากครับ
เรื่องนี้ผมยอมรับบังเลย myGreat: myGreat: myGreat:
นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
การเสวนาที่มีกฏระเบียบผลออกมาเป็นอย่างนี้แหละครับ  แต่สังเกตุว่าการเสวนากับ TruthSeeker  และวะฮาบีนั้น ปรากฏว่าคุณ TruthSeeker  เคารพกฏระเบียบมากกว่าวะฮาบีขอรับเพราะวะฮาบีชอบเลี่ยงประเด็นเป็นที่สุด  fouet:

ออฟไลน์ GodAlone

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 3
  • www.free-minds.org
  • Respect: -1
    • ดูรายละเอียด
ซาลามครับทุกท่าน

ไม่ได้มานาน ขอสมัครสมาชิกใหม่นะครับ ผมลืมรหัสของทั้งที่นี่กับเมลที่ใช้ตอนนั้นด้วย ผมก็คือคนเดียวกับ TruthSeeker ครับ

แน่นอน คุณ al-azhary และหนังสือที่ท่านอ้างถึงในการตีความหมายกุรอาน รวมถึงหลายคนที่เคยไปเสวนากับพวกเราที่ http://www.free-minds.org/forum/ จะบอกว่าเราแปลกุรอานผิด เพราะท่านตลอดจนหนังสือหรือแหล่างอ้างอิงของท่านตีความหมายกุรอานแบบเชื่อว่ากุรอานอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่เราตีความหมายแบบกุรอานอย่างเดียวพอเพียงครับดังที่ได้เคยเสนออายะห์ที่บอกว่าพอเพียงมาแล้ว

การตีความหมายกุรอานก็เลยไม่ตรงกันเป็นธรรมดา ตอนนี้ผมก็เลยอยากให้มาพิจารณาสิ่งที่ท่านเสนอดูทีละจุดครับ

 77.50 "ดังนั้น (คำบอกเล่า/หะดิษ) อันใดเล่าหลังจากอัลกุรอานที่พวกเขาจะศรัทธากัน"

ซึ่งหมายถึงว่า  พวกเขาไม่เชื่ออัลกุรอาน แน่นอนว่า  ถ้อยคำพูดอื่น ๆ  พวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว]

ถ้อยคำอื่นๆผู้ปฏิเสธเชื่อครับ แต่ไม่เชื่อกุรอาน การตีความหมายนี้เป็นจริงได้อย่างไร

แต่คุณบอกว่ามันไม่จริง  เนื่องจากคุณคิดว่าความเข้าใจและความคิดของคุณนั้นถูกต้องกว่า  แต่ความเข้าใจของผมนั้นเอามาจากปราชญ์นักอถาธิบายอัลกุรอานที่รอบรู้วิทยาการเกี่ยวกับอัลกุรอาน 
และสิ่งที่ผมได้เคยชี้แจงไปนั้นก็มาจากตัฟซีรอัลกุรตุบีย์  ดังนั้นความคิดเห็นของคุณและเข้าใจของคุณที่ตอบกับผมว่า "ผมเห็นว่าไม่จริงครับ" นั้น  ถือว่าไร้น้ำหนักอย่างสิ้นเชิง   นั่นก็เพราะว่าคุณไม่เข้าใจถ้อยคำของอัลกุรอานครับ   และอายะฮ์อัลกุรอานที่คุณเข้าใจว่าต้องการคำถามนั้น  ถือว่าผิดนะครับ 

คุณกล่าวว่ "ดังนั้น มันเกี่ยวข้องแน่นอนว่าคำถามในเชิงตักเตือนนี้นี้กำลังถามใคร (นั่นคือผู้อ่าน สำหรับผม) และกล่าวถึงใีครในสรรพนามบุรุสที่สาม และให้บทเรียนแ่ก่เราผู้อ่านอย่างชัดเจนว่า ถ้าคุณเป็นผู้ศรัทธา คุณก็ไม่ควรเชื่อหะดิษอื่นนอกจากกุรอาน แบบพวกผู้ปฏิเสธเขาครับ เพราะคุณต้องการจะสักการะพระเจ้า ไม่ใช่คนอื่น ด้งนั้นคุณต้องมั่นใจว่าแต่ละคำสั่งมาจากพระเจ้าจริงหรือไม่ ซึ่งการรักษากุรอานของพระเจ้าจนถึงทุกวันนี้เป็นสัญญาณที่ชัดแจ้งอย่างหนึ่ง หะดิษอื่นนอกจากกุรอานไม่ได้ถูกรักษาอย่างเทียบเท่ากุรอานเลยแม้แต่น้อย"

คำถามนี้อัลกุรอานไม่ใช่ต้องการจะถามผู้อ่าน แต่พระองค์ต้องการบอกเล่าและตอบไปในตัวแล้วว่า  พวกปฏิเสธจะไม่เชื่อสิ่งใดทั้งสิ้น หลังจากอัลกุรอาน  ซึ่งหมายความว่า

แน่นอนเราตีความหมายไม่เหมือนท่าน เพราะเราเชื่อว่ากุรอานพอเพียงแล้วดังอายะห์ที่เคยเสนอไปแล้ว แต่ท่านและนักปราชญ์ของท่านเชื่อว่ากุรอานอย่างเดียวไม่พอเพียง ก็ต้องตีความหมายไม่ตรงกันเป็นธรรมดา


แม้อัลกุรอานที่สัจจริงพวกเขาไม่เชื่อ  เรื่องอื่น ๆ ก็ไม่ต้องไปพูดกับพวกเขาแล้ว  เพราะขนาดของจริงที่สุดพวกเขายังไม่เชื่อกันเลย 
และอีกอย่างหนึ่ง  หากคุณเข้าใจว่า  เรื่องอื่น ๆ จากอัลกุรอานที่พวกปฏิเสธเชื่อนั้น  คือสิ่งที่ไม่ใช่ไร้สาระทั้งหมด  ถือว่าคุณเข้าใจผิดแล้วครับ  เพราะว่าพวกปฏิเสธนั้นเขาเชื่อในเรื่องที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน  ซึ่งคุณคงไม่ปฏิเสธแน่นอน  ดังนั้นเรื่องราวที่ขัดกับอัลกุรอาน  ถือว่าเป็นสิ่งที่ไร้สาระ  ฉะนั้นสิ่งที่สอดคล้องกับอัลกุรอานย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ไร้สาระอย่างแน่นอน  แต่น้ำหนักอาจจะนำมาอยู่ก่อนหรืออยู่หลังลดหลั่นกันไป

39:23. อัลลอฮฺได้ทรงประทานคำกล่าวที่ดียิ่งลงมาเป็นคัมภีร์คล้องจองกันกล่าวซ้ำกัน ผิวหนังของบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าของพวกเขาจะลุกชันขึ้น แล้วผิวหนังของพวกเขาและหัวใจของพวกเขาจะสงบลงเพื่อรำลึกถึงอัลลอฮฺ นั่นคือการชี้นำทางของอัลลอฮฺ พระองค์จะทรงชี้นำทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงให้เขาหลงทาง ดังนั้นสำหรับเขาจะไม่มีผู้ชี้นำทาง

ในเมื่อพระเจ้าได้ยืนยันว่ากุรอานนี้เป็น ฮะดิษ ที่ดีที่สุด และ "ดังนั้น (คำบอกเล่า/หะดิษ) อันใดเล่าหลังจากอัลกุรอานที่พวกเขาจะศรัทธากัน" ตลอดจนพระเจ้าได้รักษาคัมภีร์นี้อย่างดียิ่งกว่าทุก ฮะัดิษ(เรื่องเล่า) อื่นนอกจากกุรอานนี้

อีกทั้งการที่พระเจ้าได้เตือนว่า

6:112 และในทำนองนั้นแหละเราได้ให้มีศัตรูขึ้นแก่นะบีทุกคน คือ บรรดาชัยฏอนมนุษย์ และญินโดยที่บางส่วนของพวกเขาจะกระซิบกระซาบแก่อีกบางส่วน ซึ่งคำพูดที่ตกแต่งเป็นการหลอกลวง และหากว่าพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์ แล้วพวกเขาก็มิกระทำมันขึ้นได เจ้าจงปล่อยพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นเถิด

ยิ่งแสดงว่าเราต้องยิ่งไม่ควรไปอ้างใช้ศรัทธาใน ฮะดิษ อื่นหลังจากกุรอานนี้

เราก็เลยตีความหมาย เข้าใจว่าการอ้างศรัทธาใน ฮะดิษ อื่น หลังจากกุรอานนี้ (ว่าเชื่อเพราะต้องการสักการะพระเจ้า) นั้นเป้นเรื่องไร้สาระครับ

ศันติจงมีแด่ท่าน
พระเจ้าเท่านั้นเพียงพอแล้วสำหรับฉัน www.free-minds.org

ออฟไลน์ อัล-อุม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 92
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด



มาเสริมกระทู้นี้เพราะเห็นว่าบังอัลยังไม่ตอบ เลยกคำพูดของบังอัลมาเสริมอีกครั้งหนึ่ง

ข้อความโดย: GodAlone
อ้างถึง
39:23. อัลลอฮฺได้ทรงประทานคำกล่าวที่ดียิ่งลงมาเป็นคัมภีร์คล้องจองกันกล่าวซ้ำกัน ผิวหนังของบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าของพวกเขาจะลุกชันขึ้น แล้วผิวหนังของพวกเขาและหัวใจของพวกเขาจะสงบลงเพื่อรำลึกถึงอัลลอฮฺ นั่นคือการชี้นำทางของอัลลอฮฺ พระองค์จะทรงชี้นำทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์และผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงให้เขาหลงทาง ดังนั้นสำหรับเขาจะไม่มีผู้ชี้นำทาง

ในเมื่อพระเจ้าได้ยืนยันว่ากุรอานนี้เป็น ฮะดิษ ที่ดีที่สุด และ "ดังนั้น (คำบอกเล่า/หะดิษ) อันใดเล่าหลังจากอัลกุรอานที่พวกเขาจะศรัทธากัน" ตลอดจนพระเจ้าได้รักษาคัมภีร์นี้อย่างดียิ่งกว่าทุก ฮะัดิษ(เรื่องเล่า) อื่นนอกจากกุรอานนี้

อีกทั้งการที่พระเจ้าได้เตือนว่า

6:112 และในทำนองนั้นแหละเราได้ให้มีศัตรูขึ้นแก่นะบีทุกคน คือ บรรดาชัยฏอนมนุษย์ และญินโดยที่บางส่วนของพวกเขาจะกระซิบกระซาบแก่อีกบางส่วน ซึ่งคำพูดที่ตกแต่งเป็นการหลอกลวง และหากว่าพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์ แล้วพวกเขาก็มิกระทำมันขึ้นได เจ้าจงปล่อยพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นเถิด

ยิ่งแสดงว่าเราต้องยิ่งไม่ควรไปอ้างใช้ศรัทธาใน ฮะดิษ อื่นหลังจากกุรอานนี้

เราก็เลยตีความหมาย เข้าใจว่าการอ้างศรัทธาใน ฮะดิษ อื่น หลังจากกุรอานนี้ (ว่าเชื่อเพราะต้องการสักการะพระเจ้า) นั้นเป้นเรื่องไร้สาระครับ

อ้างจาก: al-azhary

แม้อัลกุรอานที่สัจจริงพวกเขาไม่เชื่อ  เรื่องอื่น ๆ ก็ไม่ต้องไปพูดกับพวกเขาแล้ว  เพราะขนาดของจริงที่สุดพวกเขายังไม่เชื่อกันเลย 
และอีกอย่างหนึ่ง  หากคุณเข้าใจว่า  เรื่องอื่น ๆ จากอัลกุรอานที่พวกปฏิเสธเชื่อนั้น  คือสิ่งที่ไม่ใช่ไร้สาระทั้งหมด  ถือว่าคุณเข้าใจผิดแล้วครับ  เพราะว่าพวกปฏิเสธนั้นเขาเชื่อในเรื่องที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน  ซึ่งคุณคงไม่ปฏิเสธแน่นอน  ดังนั้นเรื่องราวที่ขัดกับอัลกุรอาน  ถือว่าเป็นสิ่งที่ไร้สาระ  ฉะนั้นสิ่งที่สอดคล้องกับอัลกุรอานย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ไร้สาระอย่างแน่นอน  แต่น้ำหนักอาจจะนำมาอยู่ก่อนหรืออยู่หลังลดหลั่นกันไป

อ้างคำพูด ของอจ.อัลอัชฮารี
คุณกล่าวว่ "ดังนั้น มันเกี่ยวข้องแน่นอนว่าคำถามในเชิงตักเตือนนี้นี้กำลังถามใคร (นั่นคือผู้อ่าน สำหรับผม) และกล่าวถึงใีครในสรรพนามบุรุสที่สาม และให้บทเรียนแ่ก่เราผู้อ่านอย่างชัดเจนว่า ถ้าคุณเป็นผู้ศรัทธา คุณก็ไม่ควรเชื่อหะดิษอื่นนอกจากกุรอาน แบบพวกผู้ปฏิเสธเขาครับ เพราะคุณต้องการจะสักการะพระเจ้า ไม่ใช่คนอื่น ด้งนั้นคุณต้องมั่นใจว่าแต่ละคำสั่งมาจากพระเจ้าจริงหรือไม่ ซึ่งการรักษากุรอานของพระเจ้าจนถึงทุกวันนี้เป็นสัญญาณที่ชัดแจ้งอย่างหนึ่ง หะดิษอื่นนอกจากกุรอานไม่ได้ถูกรักษาอย่างเทียบเท่ากุรอานเลยแม้แต่น้อย"

คำถามนี้อัลกุรอานไม่ใช่ต้องการจะถามผู้อ่าน แต่พระองค์ต้องการบอกเล่าและตอบไปในตัวแล้วว่า  พวกปฏิเสธจะไม่เชื่อสิ่งใดทั้งสิ้น หลังจากอัลกุรอาน  ซึ่งหมายความว่า แม้อัลกุรอานที่สัจจริงพวกเขาไม่เชื่อ  เรื่องอื่น ๆ ก็ไม่ต้องไปพูดกับพวกเขาแล้ว  เพราะขนาดของจริงที่สุดพวกเขายังไม่เชื่อกันเลย 
และอีกอย่างหนึ่ง  หากคุณเข้าใจว่า  เรื่องอื่น ๆ จากอัลกุรอานที่พวกปฏิเสธเชื่อนั้น  คือสิ่งที่ไม่ใช่ไร้สาระทั้งหมด  ถือว่าคุณเข้าใจผิดแล้วครับ  เพราะว่าพวกปฏิเสธนั้นเขาเชื่อในเรื่องที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน  ซึ่งคุณคงไม่ปฏิเสธแน่นอน  ดังนั้นเรื่องราวที่ขัดกับอัลกุรอาน  ถือว่าเป็นสิ่งที่ไร้สาระ  ฉะนั้นสิ่งที่สอดคล้องกับอัลกุรอานย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ไร้สาระอย่างแน่นอน  แต่น้ำหนักอาจจะนำมาอยู่ก่อนหรืออยู่หลังลดหลั่นกันไป

 

GoogleTagged