ผู้เขียน หัวข้อ: อีกหนึ่งในแวดวงมุสลิม อีกบทบาทหนึ่งจากนักศึกษาในอิยิปต์  (อ่าน 2323 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-toorab

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 172
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด

 salam

ดลหมาน ผ่องมะหึง ตัวอย่างเยาวชน


http://hiptv.mcot.net/listProgramCat.php?catId=89

จากลูกแม่ค้าขายปลาเค็มพ่อ ขี่สามล้อถีบ ครอบครัวหาเช้ากินค่ำ แทบทุกวันในวัยเด็กต้องออกเดินไปตามถนนเพื่อเสาะแสวงหากองขยะคุ้ยเขี่ยสิ่ง ของที่คนนำมาทิ้ง แล้วนำมาประดิษฐ์เป็นของเล่นของตัวเอง ปัจจุบันเด็กชายคนนี้ในวัย 35 ปี

ทำงานอยู่ในสถาน ทูตไทยกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เป็นคอลัมนิสต์ "เปิดโลกการศึกษามุสลิม" ในหนังสือพิมพ์ "คม ชัด ลึก" และมีผลงานเขียนเป็นของตนเอง ชื่อ "นับหนึ่ง...จนถึงวันนี้ ชีวิตของผู้ชายดีๆ ดลหมาน ผ่องมะหึง"

ดลหมานเล่าอดีตว่าเขาเติบโตที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา อาศัยอยู่กับยายและพี่สาวที่หมู่บ้านม่วงทวน  ต.หารเทา อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง เพื่อเรียนหนังสือและทุกวันต้องอ่านหนังสือกุรอานหรือเรียนภาษาอาหรับและ ภาษามลายูก่อนจะไปโรงเรียนทุกเช้า ระหว่างนั้นทุกปิดเทอมเขามีโอกาสกลับไปเยี่ยมพ่อแม่และพี่ๆ

สิ่ง ที่เขาเห็นทุกครั้งเมื่อกลับไปบ้านคือความเหน็ดเหนื่อยของพ่อแม่และพี่สาว ที่ต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทอง ทุกคนเลือดตาแทบกระเด็น ความคิดเกิดขึ้นในใจเขา หากยังอยู่แบบนี้ สักวันเขาก็คงต้องขี่รถสามล้อเหมือนพ่อและคงต้องลำบากอยู่อย่างนี้ตลอดไป

ดล หมาน จึงสาบานกับตัวเองว่าชาตินี้ขอเรียนหนังสือเพื่อสักวันครอบครัวต้องดีกว่า วันนี้  ในวัยประถมจึงเรียนอย่างมีจุดมุ่งหมายว่าจะเรียนให้จบปริญญาตรีที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหงเพื่อจะได้มีงานดีๆ ถึงแม้ว่าในช่วงวัยเรียนต้องอยู่คนเดียว ต้องกินข้าวบูดประทังชีวิตในบางวันและอาศัยฝรั่งในสวนยางเมื่อไม่มีอะไรตก ถึงท้อง

จนจบชั้นป.6 แม่ต้องการให้เขาเรียนศาสนาในหมู่บ้านเดียวกัน ด้วยเหตุผลเพียงสั้นๆ ว่า ไม่มีเงินจะส่งเสียให้เรียนต่ออยากให้ลูกอยู่ในกรอบของศาสนา ก่อนตายขอแค่ได้ฟังยาซีน (หัวใจของอัลกุรอาน) เท่านี้ก็พอไม่ต้องการให้ลูกมีตำแหน่งหรืออะไรทั้งสิ้น ขณะนั้นเขาคิดเพียงว่าความฝันและความหวังทุกอย่างของเขาต้องพังหมดสิ้นแล้ว เมื่อเข้าสู่ปอเนาะถึง4 ปี 

"ตอนนั้น ผมอายุ 13 ปี นั่งร้องไห้ เมื่อแอบดูทางช่องหน้าต่างทุกเช้า เห็นรถคันสีแดงบรรทุกเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันผ่านหน้าบ้านมุ่งสู่โรงเรียนมัธยม ทุกคนดูยิ้มแย้มสดใสด้วยชุดนักเรียนซึ่งเป็นความฝันของผม แต่ผมไม่ได้ใส่อีกแล้ว เพราะชุดที่ผมใส่คือผ้าโสร่งและหมวกสีขาวที่เป็นชุดเด็กปอเนาะ เพราะผมกลัวจะไม่มีงานทำดังที่ฝันไว้" ดลหมานย้อนวันวาน

แม้ จะต้องเรียนปอเนาะเพราะแม่แต่ไม่เคยเลยที่จะลืมสิ่งที่ฝังอยู่ในเส้นเลือด ของเขานั่นคือ เรียนจบต้องมีหน้าที่การงานทำ ผ่านไป 4 ปี ดลหมานไปเรียนต่อโรงเรียนธรรมศาสนิสลาม หรือปอเนาะยาลอ  จ.ยะลา ทั้งภาษาอาหรับ ภาษารูมี ภาษายาวี และภาษาอังกฤษ ในปีสุดท้ายของการเรียนระดับซานาวียะห์  (ระดับมัธยมปลายศาสนาชั้น 10) เขาสูญเสียแม่ด้วยโรคร้ายซึ่ง วันกลับจากเฝ้าหลุมศพแม่เจ็ดวันที่สุสานเขากลับเข้าบ้านเห็นขวดยาบรรเทาโรค สามขวดร้อยอยู่เต็มตู้ น้ำตาไหลอย่างบอกไม่ถูก เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแม่กินยาแค่เพียงบรรเทาโรคเพื่อเก็บเงินไว้ให้ผม เรียนหนังสือ

เรียนที่ จ.ยะลา7 ปี จนจบชั้นสูงสุดของศาสนา ในปี 2539 อาจารย์ใหญ่เสนอให้เรียนต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร ประเทศอียิปต์ ซึ่งไม่ต้องจ่ายค่าเทอมในการเล่าเรียนและไม่มีการจ่ายค่าหน่วยกิต พี่เขยจัดงานเลี้ยงหารายได้เพื่อเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน พี่น้องในหมู่บ้านต่างมาช่วยสมทบทุนกันทั่วหมู่บ้าน จนเขาได้ไปเรียนที่อียิปต์จนถึงปัจจุบัน ระหว่างเรียนที่ผ่านมาเขาได้รับเลือกเป็นทัศนศึกษาและวัฒนธรรม ตามด้วยตำแหน่งนายกสมาคมนักเรียนไทยไคโร 3 สมัยซ้อน

วันนี้ ดลหมาน ลูกกรรมกรรับจ้างขี่สามล้อกับแม่ค้าปลาเค็มที่ใครๆ ต่างดูถูกมาตลอด เพียงเพราะความจนที่ติดตัวมา เขาภูมิใจที่คนจนอย่างเขาได้ช่วยเหลือสังคมช่วยเหลือประเทศชาติ และได้ทำในสิ่งที่เขาหวัง และใช้ประโยชน์ในสิ่งที่เคยหวัง นั่นคือภาษาและความรู้ในด้านศาสนาที่ไม่เคยทำให้เขาลืมตัวลืมอัลลอฮ์ และการทำงานราชการ เสมียนฝ่ายนิติกร ที่สถานทูตไทยไคโรทั้งหมดนี้ เขาบอกว่าสอนให้เขาได้เรียนรู้ชีวิตนี้ไม่มีใครเลือกเกิดได้ แต่ทุกคนมีสิทธิเลือกทางเดินให้ชีวิตได้เหมือนกันทุกคน


komchadluek.net

http://www.muslimthai.com/main/1428/content.php?id=1370&category=8&subcategory=&page=sub&kword=
يقول -صلى الله عليه وسلم-: هلك المتنطعون، هلك المتنطعون، هلك المتنطعون

"บรรดาผู้มุตะนัตติอูน(ผู้ที่คิดลึกเกินเลยขอบเขต)ได้มีความวิบัติแล้ว"

قَالَ رَسُولُ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏لَيْسَ الْمُؤْمِنُ ‏ ‏بِالطَّعَّانِ ‏ ‏وَلَا اللَّعَّانِ وَلَا ‏ ‏الْفَاحِشِ ‏ ‏وَلَا الْبَذِيءِ

"ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า  ไม่ใช่เป็นผู้ศรัทธา  ผู้ที่ชอบตำหนิ(ผู้คนทั้งหลาย) ผู้ที่ชอบสาปแช่ง ผู้ที่ด่าทออย่างน่ารังเกียจ  และผู้ที่พูดหยาบคาย" รายงานโดยท่านติรมีซีย์ 1900 ท่านอัตติรมีซีย์กล่าวว่า  ฮะดิษฮะซัน

ออฟไลน์ Pure_hope

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 30
  • เพศ: หญิง
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อ่านแล้วน้ำตาไหล...

อัลลอฮไม่เคยทอดทิ้งผู้ที่ยำเกรง...

ขอโทษหากยังไม่ดีพอ

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
ในปีสุดท้ายของการเรียนระดับซานาวียะห์  (ระดับมัธยมปลายศาสนาชั้น 10) เขาสูญเสียแม่ด้วยโรคร้ายซึ่ง วันกลับจากเฝ้าหลุมศพแม่เจ็ดวันที่สุสานเขากลับเข้าบ้านเห็นขวดยาบรรเทาโรค สามขวดร้อยอยู่เต็มตู้ น้ำตาไหลอย่างบอกไม่ถูก เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแม่กินยาแค่เพียงบรรเทาโรคเพื่อเก็บเงินไว้ให้ผม เรียนหนังสือ


สวรรค์อยู่ใต้ฝ่าเท้าของมารดา...
แม่คือผู้เสียสละในหนทางของอัลลอฮฺ....เพื่อศาสนา  เพื่อลูก....


ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
อ่านแล้วคิดถึงมะ

นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

 

GoogleTagged