
ต่อจากครั้งก่อน
ถึงตอนนี้เราอยู่ในดินแดนเวียดนามแล้ว แต่เป็นชายแดนส่วนที่ต่อกับ สปป.ลาว ยังห่างจากเมืองที่เปาหมายคือเมือง
เว้ (Hue) อีก 110 กม. ถ้าเป็นในประเทศไทย คงจะใช้เวลาเดินทางอีกประมาณไม่เกิน1ชั่วโมงครึ่ง แต่กำหนดการบอกว่าเราจะถึงเมืองเว้ตอน 17.30 น. บรรดานักท่องเที่ยวที่นั่งรถมากว่า 18 ชั่วโมงพากันสงสัย แต่ในที่สุดก็ได้ทราบสาเหตุ
ประการแรก ถนนสายนี้แม้จะเป็นสายเศรษฐกิจ แต่มีข้างละเลนเดียว นอกจากช่วงที่ผ่านชุมชนเมือง
ประการที่สอง บางช่วงของถนนต้องตัดผ่านเชิงเขาชัน
ประการที่สาม ทางการเวียดนามกำหนดความเร็วของรถและต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น Zone 30, Zone 40, Zone 50 & Zone 60 หมายถึงวิ่งได้ไม่เกิน 30 – 60 กม. โดยจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจจับความเร็วซุ่มอยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง ถ้าจับได้ว่าวิ่งเกินกำหนดความเร็ว พนักงานขับรถจะมีความผิดถูกลงโทษปรับและใบขับขี่ถูกเจาะรู 1 รู ถ้า
เจาะรูครบ 3 รู จะโดนยึดใบขับขี่ และจะมาสอบใบขับขี่ใหม่ได้เมื่อผ่านพ้น 3 ปีไปแล้ว ดังนั้นระยะทาง 110 กม.จากชายแดนถึงเมืองเว้ จึงใช้เวลาเดินทางถึง 3 ชั่วโมงครึ่ง ระหว่างการเดินทางผ่านสะพานจำชื่อไม่ได้ เป็นสะพานเชื่อมระหว่างเวียดนามเหนือกับใต้ เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญ
เราถึงเมืองเว้และเข้าโรงแรมชื่อเซนจูรี่ เอาของเก็บแล้วไปกินอาหารที่ภัตตาคาร เป็นอาหารทะเลเหมือนเดิม
โรงแรมเซนจูรี่ เป็นโรงแรมระดับสี่ดาว ทันสมัยพอสมควร วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ถ้าเป็นเมืองไทยคงประดับประดาไฟกันทั่วเมือง แต่ที่นี่ มีเฉพาะที่โรงแรมเท่านั้น ในตัวเมืองแทบไม่มีการประดับประดาสักเท่าไร
ส่วนภัตตาคารก็เป็นภัตตาคารมีระดับสำหรับบริการนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากกว่ามากกว่าคนท้องถิ่น
กินอาหารเสร็จโปรแกรมยังไม่หมด ต้องไปล่องเรือในแม่น้ำหอม แม่น้ำที่ผ่ากลางเมืองเว้ เรือที่ใช้เป็นเรือขนาดใหญ่ จุคนได้น่าจะถึงร้อยคน กิจกรรมบนเรือก็คือการฟังดนตรีซึ่งไกด์บอกว่าเป็นดนตรีที่จะหาฟังได้ในวัง(ในสมัยอดีต)เท่านั้น มีนักดนตรีชาย 3 คน นักร้องหญิง 5 คน แต่งชุดประจำชาติ รัดรูป เรือเล่นมากลางแม่น้ำแล้วก็จอดดับเครื่องเพื่อไม่ให้เสียงเครื่องยนต์เรือรบกวนการฟังเพลง
ผมนั่งดูอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องเดินออกมานอกเก๋งเรือ เพราะ สิ่งนี้น่าจะเป็น “อโคจรสถาน” สำหรับมุสลิม และนักร้องก็ขาวเหลือเกิน ผมเป็นโรคแพ้ความขาวเสียด้วย
สักพักเพลงเปลี่ยนเป็นเพลงไทย 1 เพลงแล้วตามด้วยเพลงรำวง (ลอยกระทง) นักท่องเที่ยวมุสลิมก็นั่งกันเฉย (นอกจากบางคน) เพลงจบแจกกระทงให้ลอยคนละ 1 กระทง แต่ส่วนใหญ่เป็นไกด์ไทยและเวียดนามที่รับกระทงไปลอย มีมุสลิมะฮฺคนหนึ่งเอากระทงไปลอย พูดทำนองว่า ลอย ๆ มันไป มันจะได้เลิก ไม่ได้อธิษฐานอะไรนี่
ผมยืนอยู่นอกเก๋งเรือ ได้ยินเสียงเรียก “เฮ้ย ๆ” หันไปดูเป็นเด็กพายเรือเล็ก ๆ มาเกาะข้างเรือใหญ่เพื่อขอทาน หลบจากด้านขวามายืนด้านซ้ายก็เจออีกคนหนึ่ง สิ่งนี้ยังคงเป็น “ฝุ่นใต้พรม” ของเมืองต่าง ๆ ของประเทศกำลังพัฒนาที่พบได้เสมอ ๆ
เสร็จจากล่องเรือ เดินทางกลับโรงแรมก็อาบน้ำอาบท่า ละหมาด แล้วนอนหลับเป็นตาย ทราบว่าในโรงแรมเขาก็มี Count Down ปีใหม่กันเหมือนกัน แต่ผมไม่รู้เรื่องเลย จน 5 น. พนักงานโทรศัพท์ Morning call จึงลุกขึ้นอาบน้ำ แต่งตัว ละหมาด เตรียมตัวเดินทางท่องเที่ยววันใหม่
ไว้มาต่อครับ
วัสสลาม