ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์ โดยท่าน อ.กอเซ็ม มูฮำหมัดอาลี  (อ่าน 4538 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ As-Zaleek

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 804
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +33
    • ดูรายละเอียด

بِسْمِ اللهِ الّرحْمنِ الّرحِيْمِ

الحَمْدُلِّلهِ رَبِّ العَالَمِيْنِ  وَالصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ عَلَى مَنْ لاَ نَبِىَّ بَعْدَهُ  سَيِّدِنَا وَرَسُوْلِنَا مُحَمَّدٍ وَعَلَى آلِهِ وَأَصْحَابِهِ أَجْمَعِيْنَ  وَبَعْدُ
                                             

อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์

( โดยท่าน อ.กอเซ็ม มูฮำหมัดอาลี )

คนส่วนมากมักจะเข้าใจว่า ความมหัศจรรย์ของคำภีร์อัลกุรอาน จำกัดอยู่เพียงแค่ด้านเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้วความมหัศจรรย์ของอัลกุรอานครอบคลุมทุก ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นในด้านนิติศาสตร์ จริยศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สถิติศาสตร์ กายวิภาคศาสตร์ ภูมิศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ ดาราศาสตร์ สมุทรศาสตร์ ธรณีวิทยา

ต่อไปนี้ขอยกตัวอย่างความมหัศจรรย์ของคำภีร์อัลกุรอานที่เกี่ยวกับเหตการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต ที่นานมาแล้วราวๆ กว่า 18 พันล้านปี โดยที่นักดาราศาสตร์สาขาฟิสิกค์ได้คำนวนไว้ว่า นี่คืออายุแห่งการกำเนิดจักรวาล และแม้แต่วิทยาการณ์สมัยใหม่ก็เพิ่งจะค้นพบไม่นานมานี้เอง โดยให้การยอมรับว่า สารัตถะของจักรวาลและสรรพสิ่งทั้งหลายเคยผนึกติดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่มีความอัดแน่นสุดพรรนาก่อนที่มันจะเกิดการระเบิดครั้งมโหฬารที่เรียกว่า BIG BANG

ความจริงแล้วปัญหาในเรื่องการกำเนิดจักรวาลได้กลายเป็นปัญหาที่นักวิชาการทั้งหลายได้ให้ความสนใจมาช้านานแล้ว นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจุบันแต่เป็นไปในลักษณะที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน จนเกิดเป็นข้อสมมุติฐานและทฤษฎีต่างๆ มากมาย แต่ข้อสมมุติฐานและทฤษฎีต่างๆเหล่านี้ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากวงการวิทยาศาสตร์ จนกระทั่งถึงปี คศ. 1924 ได้มีนักดาราศาสตร์ชาวเบลเยี่ยมชื่อ จอร์จ โลไมเตอร์ ( GEOR LE MAITRE )  ได้ออกมาเสนอทฤษฎีบทหนึ่งที่เรียกว่า ไข่ของจักรวาล ซึ่งเขามีความเชื่อว่า มันคือต้นกำเนิดที่มาของจักรวาลนั่นเอง

ซึ่งไข่ที่ว่านี้หมายถึงกลุ่มมวลสารของก๊าซที่มีความหนาแน่นมาก เพียงแค่หนึ่งลูกบาศก์เซ็นติเมตรจะมีความหนาแน่นถึง 100 ล้านตัน และมีอุณหภูมิความร้อนสูงมากถึง 100 พันล้านองศาและสิ่งที่เราเรียกว่าไข่ของจักรวาลนี้จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราวๆ 200 ล้านไมล์ ต่อมาไข่ฟองนี้ก็เกิดการระเบิดครั้งมโหฬารขึ้นด้วยอิทธิพลของแรงกดดันอันมหาศาลก็ทำให้มวลสารที่มีความหนาแน่นนี้แตกกระจายออกไปทุกสาระทิศ จากนั้นก็แปรสภาพเป็นดาวดวงน้อยใหญ่และกลุ่มกาแลคซี่ในเวลาต่อมา

ท่านโลไมเตอร์ผู้นี้ได้คำนวณไว้ว่า การระเบิดนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 20 พันล้านถึง 60 พันล้านปี และที่เขาเรียกมวลสารที่เป็นปฐมของจักรวาลว่าไข่ ก็เพราะว่ามันมีสันฐานกลมเหมือนไข่และเป็นที่ทราบกันดีว่าไข่นั้นคือบ่อเกิดของสิ่งมีชีวิต

นักวิทยาศาสตร์บางท่านได้เรียกทฤษฎีนี้ว่า BIG BANG ส่วนนักดาราศาสตร์ฟิสิกค์ในปัจจุบันต่างมีความเชื่อว่า จักรวาลนี้หลังจากผ่านไปได้เพียงหนึ่งในล้านล้านล้านส่วนของวินาที มันก็มีสภาพเป็นมวลสารที่มีความร้อนอย่างมหาศาล และมีสันฐานกลม มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ไม่เกินหนึ่งในพันเซนติเมตร ซึ่งในทางศาสนาอิสลามเรียกว่า  ความไม่มี (عدم) และเกิดการระเบิดเมื่อประมาณ15พันล้านปีที่ผ่านมา ต่อมาในปี คศ. 1940 นักฟิสิกค์ชาวอเมริกันเชื้อสายรัสเซียชื่อ จอร์จ กาโมฟ (GEORGE GAMOV) ก็ได้เสนอความคิดที่มาพัฒนาทฤษฎีของ จอร์จ โลไมเตอร์ โดยได้ให้ชื่อว่า การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ของจักรวาล (BIG BANG) และเขายังมีความเชื่อว่า เดิมทีจักรวาลนี้มีสารัตถะที่เคยผนึกติดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก่อนที่มันจะเกิดการระเบิดครั้งใหญ่สุด และก็เกิดการแยกตัวออกอย่างรวดเร็วที่สุดโดยมีอุณหภูมิความร้อนมหาศาล กลายเป็นกลุ่มหมอกเพลิงมหึมา แล้วค่อยๆแปลสภาพเป็นกลุ่มกาแลคซี่ที่มีรูปร่างต่างๆกันและเป็นดวงดาวน้อยใหญ่ในเวลาต่อมา

ต่อมาในปี คศ. 1964 ทฤษฎี BIG BANG นี้ก็ได้กลายเป็นทฤษฎีที่ปูทางให้กับนักวิทยาศาสตร์ 2 ท่านคือ เพ็นซิซ (PENZIAZ) และวินสัน (WINSON) ได้ค้นพบคลื่นวิทยุที่มีคุณสมบัติทางฟิสิกค์ที่เหมือนกันทุกประการ ซึ่งได้ออกมาจากทุกด้านทุกมุมของจักรวาลและยังสามารถบันทึกคลื่นนี้ได้ไม่ว่าจะอยู่ในจุดใดๆก็ตาม โดยเป็นคลื่นที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปกับกาลเวลา จากการค้นคว้าวิจัย จึงทราบว่า คลื่นเหล่านี้เกิดจากซากของแรงระเบิดที่ยังคงตกค้างจากการระเบิดครั้งมโหฬารของจักรวาลนั่นเอง

ต่อมาในปี คศ. 1989 องค์การนาซ่าของอเมริกาก็ได้ส่งดาวเทียมชื่อ COBE EXPLORER ขึ้นไปสำรวจเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจาก 3 ปีผ่านไปดาวเทียมดวงนี้ก็ได้เก็บข้อมูลเเละรายละเอียดต่างๆส่งกลับมาสู่สถานีภาคพื้นดิน ซึ่งก็ได้ยืนยันและสนับสนุนทฤษฎี BIG BANG และเรียกการค้นพบนี้ว่า การค้นพบแห่งศตวรรษที่ 20

และทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันก็เป็นได้แค่เพียงทฤษฎี แต่จะไม่สามารถยกระดับขั้นถึงขั้นความรู้ที่เป็นข้อพิสูจย์ทางด้านวิทยาศาสตร์ได้ ทำไมหรือครับ? ก็เพราะว่าบรรดานักวิทยาสาสตร์เหล่านี้ไม่เคยได้เห็นสภาพของจักรวาลในตอนที่มันกำลังถูกสร้างนั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้นั้นอัลกุรอานได้ยืนยันไว้ในซูเราะห์อัล กะห์ฟี่ โองการที่ 51 ว่า

مَا أَشْهَدتُّهُمْ خَلْقَ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ وَلاخَلْقَ أَنْفُسِهِمْ وَمَا كُنْتُ مُتَّخِذَ الْمُضِلِّيْنَ عَضُداً

ความว่า “ข้า (อัลลอฮ์) ไม่ได้ให้พวกเขาได้ชมการกำเนิดของบรรดาชั้นฟ้าและโลก และไม่ได้ (ให้พวกเขา) ชมการกำเนิดของเขาเอง และข้าไม่เคยยึดเอาบรรดาผู้ที่เคยทำให้ผู้อื่นหลงผิดมาเป็นผู้ช่วยเหลือ”

โองการนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า เรื่องของการสร้างและการกำเนิดของจักรวาลและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้น ไม่อาจที่จะเห็นได้โดยตรง เพราะเหตุนี้เองจึงไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดที่จะสามารถผ่านพ้นขั้นตอนของการเป็นเพียงแค่ทฤษฎีที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ นั้นก็หมายความว่า เขาจะไม่สามารถเข้าไปรู้ได้อย่างมั่นใจนั่นเอง แต่สำหรับมุสลิมที่มีความรู้นั้น ในเรื่องของการสร้างการกำเนิดของจักรวาล และการเริ่มสร้างสิ่งมีชีวิต และมนุษย์นั้น เขายังจะมีทางที่จะเข้าไปร่วงรู้ได้อย่างมั่นใจซึ่งจะช่วยให้เขาเข้าใจถึงซึ่งเรื่องการกำเนิดของสรรพสิ่งได้ โดยวิธีการคัดเลือกข้อสมมุติฐานหนึ่งหรือทฤษฎีหนึ่งจากทฤษฎีอื่นๆที่มีอย่างมากมาย ที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ อีกทั้งตรงกับอัลกุรอานและซุนนะห์ของท่านศาสนฑูต(ซ.ล) เพื่อจะได้ยกระดับของมันจากการเป็นเพียงแค่ทฤษฎีไปเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์

ความจริงแล้ว พจนานุกรมต่างๆทั่วโลกต่างก็ไม่สามารถที่จะกำหนดศัพท์ทางวิชาการที่มีความรัดกุมสมบูรณ์รวมทั้งตรงกับสภาพความเป็นจริงในตอนกำเนิดของจักรวาลได้ อย่างมากก็เพียงแค่กำหนดศัพท์ขึ่นมาบอกลักษณะไปในด้านหนึ่งด้านใดเท่านั้น แต่จะไม่สามารถบอกลักษณะสภาพความเป็นจริงที่กำเนิดขึ่นอย่างรัดกุมและสมบูรณ์ได้ ด้วยเหตุนี้เองวงการวิทยาศาสตร์จึงได้กำหนดศัพท์ทางวิชาการมาว่า การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่สุด BIG BANG ซึ่งจะสามารถบอกได้เพียงแค่ลักษณะของการระเบิดที่มีความรุนแรงมากเท่านั้น แต่จะไม่สามารถบอกสภาพการณ์อื่นๆของจักรวาล นี่ถ้าเกิดว่าได้เกิดการระเบิดหลายลูกในเวลาเดียวกันในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งหรือในย่านชุมชน ก็จะเรียกว่า การระเบิดครั้งใหญ่ BIG BANG เหมือนกัน และถ้าหากว่านิวเคลียร์เกิดระเบิดขึ้นมาหนึ่งลูกหรือหลายลูกจะเรียกว่าการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่เหมือนกัน นี่ก็แสดงให้เห็นว่าภาษาของมนุษย์ที่กำหนดขึ้นมานั้นจะบ่งบอกถึงความอ่อนแอและไร้ความสามารถของมนุษย์ เพราะฉะนั้นเราจะว่ากันอย่างไรกับการระเบิดที่สั่นสะเทือนจักรวาลก่อนที่มันจะกลายเป็นจักรวาลที่มีบรรดาชั้นฟ้าและโลกทั้งหลาย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เม.ย. 20, 2009, 07:15 PM โดย al-azhary »
الأيام تمضى       والعمر يزيد         ولكن الحب بالقلب أكيد

ออฟไลน์ As-Zaleek

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 804
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +33
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เม.ย. 20, 2009, 06:49 PM »
0
ข้อมูลเนื้อหายังมีต่อน้ะครับ จะนำเสนอต่อไป ان شاء الله تعالى ครับ         cool2:
الأيام تمضى       والعمر يزيد         ولكن الحب بالقلب أكيد

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
ปัจจุบันล่าสุดนั้น นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มเริ่มออกมาโจมตีและแย้งว่า ความเข้าใจที่ว่าอัลกุรฺอานในหลายๆ อายะฮ์ที่มีข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์นั้น เป็นเรื่องที่ขัดกับวิทยาศาสตร์เสียแล้ว เนื่องจากมีการค้นพบใหม่ที่สามารถหักล้างได้ ทำให้ความเข้าใจที่ว่า ข้อเท็จจริงประการนี้ที่ปรากฏในอัลกุรฺอานตรงกับวิทยาศาสตร์นั้น มีอันต้องตกไปโดยปริยาย

              แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การหักล้างดังกล่าวก็ได้รับการหักล้างอีกทีจากนักวิทยาศาสตร์มุสลิมเราเอง บทเวทีการเสวนาทางวิชาการในหัวข้อที่ว่า "จริงหรือที่อัลกุรฺอานบรรจุข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์?"

                  ผลจากการเสวนาครั้งนี้ อัลหัมดุลิลลาฮฺ ฝ่ายมุสลิมเราสามารถรักษาความบริสุทธิ์ของอัลกุรฺอานให้พ้นจากข้อครหาของนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องการหักล้างความเป็นวิทยาศาสตร์ในบางประการของอัลกุรฺอานลงได้ - วัลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลาม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
คัมภีร์อัลกุรฺอาน มีข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ แต่คัมภีร์อัลกุรฺอานไม่ใช่ตำราทางวิทยาศาสตร์
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

 

GoogleTagged