« เมื่อ: ก.ค. 15, 2011, 08:09 AM »
0
السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
ดวงอาทิตย์กลับมาแล้ว เมื่อดวงอาทิตย์คลื่อนที่ขึ้นไปทางทิศเหนือสุด ก็ถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์จะกลับมา สู่ทิศทางใต้สุด สิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ แหละเป็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นทุกๆปี ถ้าจะพูดตามหลักทางดาราศาสตร์อิสลามเรียกว่า เป็นค่าความเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์เป็นค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์
ในฐานะที่เราท่านทั้งหลายเป็นผู้ศรัทธา หลายคนคงคิดและบอกกับตัวเองว่าถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทำใครจะทำได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้แหละทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นอยู่ในห้วงอวกาศ อันกว้างใหญ่ไพศาลถือเป็นความโปรดปราน เป็นเดชานุภาพเป็นความสามารถแหละเป็นความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น วัตถุฟ้าที่โคจรอยู่ในห้วงอวกาศมีอย่างมากมาย โคจรอย่างมีระเบียบตามจักราศีตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ ยกตัวอย่างเช่นดวงอาทิตย์ผู้ใหญ่สมัยก่อนได้พูดกันเป็นประจำว่า ดวงอาทิตย์ไม่อยู่กับที่บางเดือนขึ้นเหนือบางเดือนลงใต้ ดวงอาทิตย์อ้อมข้าวแล้วเกี่ยวข้าวกันได้แล้วถึงหน้าเกี่ยวข้าวแล้ว นี่คือความจริงที่ปรากฏเป็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นทุกๆปี หลายๆคนหาคำอธิบายเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ไม่ได้เลยอ้างว่านี่คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ดังนั้นเราท่านทั้งหลายได้อะไรจากดวงอาทิตย์ที่เห็นชัดๆก็คือ ได้แสงสว่างได้ความอบอุ่นผลหมากรากไม้พืชพันธ์ต่าง ต่างก็เจริญเติบโตขึ้นมาได้ด้วยแสงด้วยน้ำด้วยดินของพระผู้ป็นเจ้าทั้งสิ้น อีกประการนึงถ้าเราท่านทั้งหลายอยู่ในความมืดของยามค่ำคืนอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกที่เราท่านทั้งหลายจะสำผัสได้ก็คือคงจะอึดอัดหน้าดูทีเดียวเลย สำหรับปีนี้ในวันที่ 22มิถุนายน พ.ศ.2554ที่ผ่านมาดวงอาทิตย์ขึ้นอยู่ทางเหนือมากที่สุด ตามหลักวิชาการเรียกว่าดวงอาทิตย์อยู่ที่ตำแหน่งซัมเมอร์โซลสตีช มีค่าดิคลิเนชั่นทางทิศเหนือมากที่สุดคือ23.5องศาเหนือ หลังจากวันที่ 22มิถุนายน พ.ศ.2554ที่ผ่านมาดวงอาทิตย์จะย้อนกลับมาสู่ทางทิศใต้สุดในลำดับต่อไป สำหรับผู้ศรัทธาอย่างเราๆท่านๆสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้มีอยู่สองสิ่ง 1.คือพอค่ำของวันเสาร์ที่ 16กรกฎาคม พ.ศ.2254มัฆริบแล้วก็จะเป็นค่ำคืนนิชฟูซะบาน 2.วันเสาร์ที่ 16กรกฎาคม พ.ศ.2554ก่อนที่จะเริ่มมืดลง ยังมีสิ่งที่สำคัญในทางการปฏิบัติศาสนกิจก็คือ ในเวลา16.27น.ตามเวลาของประเทศไทยดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือวิหารกะบะห์พอดี(ตามเวลาของประเทศซาอุดิอราเบีย 12.27น. ตามเวลามาตรฐานโลก 9.27 น.) เวลาช่วงนี้เองจึงหาทิศกิบลัตอย่างถูกต้องได้
ความใหญ่ของดวงอาทิตย์ถ้าจะเทียบกับโลกของเราใหญ่กว่าโลกขอเราถึง100เท่า ถ้าจะเทียบกับดวงจันทร์ใหญ่กว่าดวงจันทร์ถึง400เท่าเลยทีเดียว อุณหภูมิของดวงอาทิตย์สูงสุดอยู่ที่11000F อุณหภูมิของดวงอาทิตย์ต่ำสุดอยู่ที่7000F สำหรับดวงจันทร์อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่+280F อุณหภูมิต่ำสุดของดวงจันทร์อยู่ที่-275F ในวันเสาร์ที่ 16กรกฎาคมพ.ศ.2554ค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์ ในขณะเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นคือ21องศา25ลิปดา58ฟิลิปดา ดังนั้นสำหรับในเขตนครมักกะห์ในวันเสาร์ที่ 16กรกฎาคมพ.ศ.2554เวลา12.27น. ค่าดิคลิเนชั่นของดวงอาทิตย์ในขณะนั้นคือ21องศา23ลิปดา15ฟิลิปดา ดวงอาทิตย์ขณะนั้นจะอยู่เหนือบัยตุ้ลลอฮ์กะบะห์พอดี(ตามหลักวิชาดาราศาสตร์อิสลามเรียกว่า90องศา) ดังนั้น ถ้าหากว่าบัยตุ้ลลอฮ์กะบะห์ได้ก่อสร้างตั้งฉากกับพื้นบริเวณรอบๆ ตั้งฉากกับพื้นดินเงาของบัยตุ้ลลอฮ์กะบะห์จะเท่าตัวพอดี(จะไม่มีเงาบัยตุ้ลลอฮ์กะบะห์ให้เห็นใดๆทั้งสิ้นเลยในเวลา12.27น.) ซึ่งในขณะนั้นดวงอาทิตย์จะอยู่ห่างจากโลก152052959.3กิโลเมตร พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า“และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่างและทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า” ซูเราะห์อัลนูฮ์อายะห์ที่16 ในอายะห์นี้พระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่านูรกับดวงจันทร์ ก็แสดงให้เห็นว่าดวงจันทร์ไม่มีแสงออกมาจากตัวเอง แต่ที่เราเห็นดวงจันทร์มีแสงสว่างนวลตาเพราะเป็นแสงที่รับมาจากดวงอาทิตย์ เราจึงสามารถมองดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าได้ และพระผู้เป็นเจ้าใช้คำว่าซีรอจกับดวงอาทิตย์(ซีรอจแปลว่าตะเกียง) ก็แสดงให้เห็นว่าดวงอาทิตย์มีแสงสว่างในตัวเองสามารถส่องแสงให้สิ่งรอบข้างได้อีกด้วย เหมือนกับตะเกียงที่ส่องแสงให้กับสิ่งหรือผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ (สมัยนี้ตะเกียงอาจจะหาดูยากสักหน่อยแต่ที่เห็นกันอยู่บ่อยๆก็คือหลอดไฟตามบ้านเรือนนั่นเอง)
แสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์เกิดจากอะตอมของไฮโดเจนกำลังรวมตัวกัน เป็นอะตอมของฮีเลี่ยมแสงที่ออกมาจากดวงอาทิตย์จึงมีแสงจ้ามาก จนไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าได้ ดังนั้นในเมื่อวันเสาร์ที่16กรกฎาคมพ.ศ.2554 ดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือบัยตุ้ลลอฮ์กะบะห์พอดี(90องศา) ตรงกับเวลาในประเทศไทย16.27น. (ตรงกับเวลากรีนิชเวลามาตรฐานโลก9.27น.) ทุกๆมัสยิดที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย(ที่ยึดปฏิบัติตามมัสฮับอิหม่ามซาฟิอี ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์) ก็สามารถหาทิศกิบลัตให้ตรงและถูกต้องได้โดยง่ายดาย (ถ้าท้องฟ้าเปิดฝนไม่มาฟ้าไม่มืดไม่มีเมฆหนาบังดวงอาทิตย์) วิธีการก็คือถ้ามัสยิดใดหรือบ้านของใครมีหน้าต่างทางทิศตะวันตก ให้เปิดหน้าต่างออกและหน้าต่างด้านแนวตั้งของวงกบด้านใดก็ได้ ต้องสร้างได้ฉาก(ขอย้ำต้องได้ฉากที่สำคัญกว่านั้นคือห้ามมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าอย่างเด็ดขาด ถ้าจะมองแสงแดดนานๆควรใส่แว่นกันแดดด้วย) ดังนั้นเงาที่ทอดลงมาให้เห็นนั่นแหละครับคือแนวกิบลัตที่ถูกต้องให้ขีดเส้นเอาไว้ สังเกตให้ดีเส้นนี้จะชี้ไปทางทิศตะวันตกกรณีถ้าอยู่ในบ้าน เวลาละหมาดก็ให้นำผ้าซายะดะห์ด้านข้างมาวางให้ตรงกับเส้นนี้ แต่ถ้าเป็นกรณีของมัสยิดเมื่อขีดเส้นที่ชี้ไปทางทิศตะวันตกอย่างที่ว่ามาได้แล้ว ให้นำไม้บรรทัดแบบฉากหรือไม้ทีก็ได้ มาวางทาบเส้นให้พอดีแล้วขีดเส้นด้านล่างเพิ่มเข้าไป สังเกตตอนนี้จะมีอยู่2เส้น เส้นที่1คือเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์ เส้นที่ 2 คือ เส้นแนวนอนที่ตั้งฉากกับเส้นที่ชี้ไปหาบัยตุลลอฮ์ ดังนั้นเส้นที่2 นี้แหละคือเส้นแนวซอฟ(แถวละหมาด)ในมัสยิด สำหรับมัสยิดที่ไม่มีหน้าต่างทางด้านทิศตะวันตกเลย การวัดเงาก็ต้องหาไม้หรือเสาก็ได้หรืออะไรก็ได้ตั้งขึ้นให้ได้ฉาก ตรงบริเวณด้านข้างมัสยิดแล้วรอเวลา16.27น.เพื่อขีดเส้นวัดเงาทำตามขั้นตอน แล้วลากเส้นแนวนอนอย่างที่บอกมาเข้ามาในมัสยิดก็จะได้เส้นแนวซอฟ(แถวละหมาด)เช่นกัน วิธีการวัดทิศกิบลัตดังกล่าวมานั้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด และทำได้อย่างสดวกสบายมากสำหรับผู้ที่ต้องการความถูกต้องในการผินสู่ทิศกิบลัต แต่สำหรับนักดาราศาสตร์อิสลามผู้เชี่ยวชาญมีอีกหลายวิธีที่สามารถ หาทิศกิบลัตได้และหาได้ทุกๆวันเลย ส่วนในเรื่องของการคำนวนนั้นมีขั้นมีตอนที่สลับซับซ้อนมาก ขั้นแรกต้องสร้างรูปสามเหลี่ยมดาราศาสตร์ก่อน จากนั้นต้องรู้ค่าแลตติจูดลองจิจูดของบัยตุ้ลอฮ์ และต้องรู้ค่าแลตติจูดลองจิจูดของสถานที่ที่จะหาทิศกิบลัต จากนั้นก็จะมีค่า SIN COS TAN เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดำเนินตามขั้นตอนของสูตรต่างๆนาๆอีกมากมาย ฯลฯ
ต่อจากนี้เป็นพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับเรื่องการผินสู่ทิศกิบลัต พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า“บรรดาผู้โฉดเขลาในหมู่มวลมนุษย์นั้นจะกล่าวว่า อะไรเล่าที่ทำให้พวกเขาหันออกไปจากกิบลัตของพวกเขาที่พวกเขาเคยผินไป จงกล่าวเถิด(โอ้มุฮัมมัด) ว่าทิศตะวันออกและทิศตะวันตกนั้นเป็นสิทธิของพระองค์อัลลอฮ์เท่านั้น พระองค์จะทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ให้ไปสู่ทางอันเที่ยงตรง และในทำนองเดียวกันเรา(พระองค์อัลลอฮ์)ได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และร่อซูลก็จะเป็นสักขีพยานแด่พวกเจ้า และเรามิได้ให้มีขึ้นซึ่งกิบลัตที่เจ้าเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่าใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซูลจากผู้ที่กำลังหันสันเท้าทั้งสองของเขากลับ และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้นเป็นเรื่องใหญ่ นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น และใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญไป ก็หาไม่แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงกรุณาปราณีผู้ทรงเมตตาแก่มนุษย์เสมอ แท้จริงเราเห็นใบหน้าของเจ้า(โอ้มุฮัมมัด)แหงนไปในฟากฟ้าบ่อยครั้ง แน่นอนเราให้เจ้าผินไปยังทิศที่เจ้าพึงใจ ดังนั้นเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้าไปทางมัสยิดิลฮะรอมเถิด(ตรงคำว่าเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้า คำว่าใบหน้า นักอธิบายอัลกุรอ่านให้ความหมายว่าหน้าอก ตรงนี้ตามหลักบะลาเฆาะร์เรียกว่ามะยารมุรซั้ล มิมบาบิอิตลากิ้ลยุรวะอิรอดะติ้ลกุ้ล คือพระผู้เป็นเจ้าพูดแค่ใบหน้าแต่ความหมายหรือจุดมุ่งหมายที่จะสั่งใช้ก็คือ ทั้งหมดร่างกายเลย ดังนั้นเมื่อจะละหมาดจำเป็นต้องผินหน้าอกไปทางกิบลัต แค่ผินหน้าอกร่างกายทุกส่วนก็จะหันไปทางกิบลัตทั้งหมดเลยโดยอัตโนมัต ดังนั้นถ้าจะหันเพียงใบหน้าอย่างเดียวไปทางกิบลัตการละหมาดถือว่าใช้ไม่ได้ แหละตรงคำว่าไปทางมัสยิดดิลฮารอมตรงนี้ผู้เชี่ยวชาญในการอธิบายอัลกุรอ่าน ให้ความหมายว่าอัยนุลกะบะห์ คือต้องผินไปทางวิหารกะบะห์เท่านั้น การละหมาดจึงจะใช้ได้ ซึ่งตรงกับแนวคิดของท่านอิหม่ามซาฟิอีร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ มิใช่ว่าผินไปตรงใหนก็ได้ในทางทิศตะวันตก(มิใช่ญิฮะตุ้ลกะบะห์) สำหรับประเทศไทยการผินไปทางวิหารกะบะห์ตรงนี้มีอยู่4ระดับด้วยกัน ระดับสูงสุดคือ1รู้ได้ด้วยตัวเอง ระดับที่2ผินตามคำบอกเล่าของผู้ที่เชื่อถือได้ ระดับที่3ผินโดยการวิเคราะห์ ระดับที่4ผินตามการวิเคราะห์ของผู้อื่น มีฮาดิสที่ยืนยันว่าให้ผินไปหาจุดตั้งวิหารกะบะห์เท่านั้น ต้องผินให้ตรงวิหารกะบะห์ตามความสามารถที่สูงสุดขณะนั้น(อัยนุ้ลกะบะห์) ไม่ใช่ว่าผินไปในทางที่ทิศที่กะบะห์ตั้งอยู่(มิใช่ญิฮะตุ้ลกะบะห์) เล่าจากท่านบ่ารออ์(ร.ด.)กล่าวว่า เราได้ละหมาดกับท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)โดยผินหน้าไปสู่บัยตุ้ลมักดิส(ณกรุงเยรูซาเล็ม)เป็นเวลา16หรือ17เดือน หลังจากนั้นเขาท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)ให้เราผินไปสู่กะบะห์ รายงานโดยบุคอรี มุสลิม ติรมีรี นาซาอี เล่าจากอิบนุอุมัร(ร.ด.)กล่าวว่า ในขณะที่ประชาชนกำลังละหมาดซุบฮ์ที่มัสยิดกุบา ได้มีคนหนึ่งมาแล้วพูดว่าแท้จริงท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.) ได้รับโองการเมื่อคืนนี้และถูกใช้ให้ผินหน้าไปสู่กะบะห์ ดังนั้นท่านทั้งหลายจงผินหน้าไปสู่กะบะห์เถิด ปรากฏว่าหน้าของพวกเขาเคยผินไปสู่ทิศ“ซาม” พวกเขาจึงหมุนมาสู่กะบะห์ รายงานโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด นะซาอี (และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ก็จงผินใบหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศนั้น และแท้จริงบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้นย่อมรู้ดีว่ามัน คือความจริงที่มาจากพระเจ้าของพวกเขา และพระองค์อัลลอฮ์นั้นไม่ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน และแน่นอนถ้าหากเจ้าได้นำหลักฐานทุกอย่าง มาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์พวกเขาก็ไม่ตามกิบลัตของเจ้า และเจ้าก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเองก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม (ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องตามกิบลัตของกันและกัน) ดังนั้นถ้าผู้รู้ในวิชาดาราศาสตร์อิสลาม รู้ว่ามัสยิดนี้ๆยังหันไม่ตรงกิบลัตและได้มีการบอกผู้มีอำนาจหน้าที่ในมัสยิดแห่งนั้น แต่ผู้มีอำนาจหน้าที่ในมัสยิดแห่งนั้น ยังไม่จัดการเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในผลบาปตรงนี้ก็คือผู้ที่มีอำนาจในมัสยิดแห่งนั้น เรียกว่ารับแบบเต็มๆเพราะรู้แล้วไม่ทำตามที่รู้ ที่สำคัญยังพาคนอื่นทำแบบผิดๆไปด้วย ผู้มีอำนาจในมัสยิดบางคนด้วยลึกๆของจิตใจไม่อยากจะเปลี่ยนกิบลัตให้ถูกต้อง จึงหาวิธีพูดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ โดยพูดให้เห็นว่าการละหมาดที่สมบูรณ์นั้นประกอบด้วยซุหยูดนาน รุกั๊วนานอ่านอย่างถูกต้องฯลฯ พูดแต่ในเรื่องของรุก่นละหมาด แต่พยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องซะรัตก่อนการละหมาดเลย ไม่พูดเลยว่าถ้าละหมาดโดยที่หันสู่กิบลัตที่ยังไม่ตรง ละหมาดก็ใช้ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังพูดในทำนองเหน็บแนมให้คนที่ยังไม่รู้ให้เกิดความเข้าใจผิดอีกว่า ให้สังเกตุดูว่ามีคนใดเฉไฉออกจากทางที่ถูกต้อง เรื่องจริงก็คือถ้ามัสยิดนั้นยังหันสู่ทิศกะบะห์ยังไม่ตรงยังไม่ถูกต้อง แนวซอฟเดิมการยืนละหมาดตามแนวซอฟเดิมๆนั่นแหละ คือการเฉไฉออกจากความถูกต้องอย่างแท้จริง ถ้าเราเข้าใจหลักในการหลอกลวงของซัยตอนมารร้าย เราท่านทั้งหลายจะรู้เท่าทันมันได้ทันที ซัยตอนมารร้ายมันจะไม่บอกตรงๆหรอกว่า พระองค์อัลลอฮฺใช้ให้เปลี่ยนให้ตรงกับกะบะห์ อย่าไปทำๆ มันก็มีเล่ห์เหลี่ยมของมัน มันจะบอกว่าอย่าเปลี่ยนเลยจะทำให้เกิดการแตกแยกได้ ผู้ใหญ่ทำมาตั้งนานแล้วเปลี่ยนไม่ได้แล้ว ต้องตรงถึงขนาดนั้นด้วยหรือเกินไปหรือเปล่า ผู้รู้รุ่นก่อนไม่เห็นเขาจะติเลยฯลฯ สมมุติว่าระหว่างพี่น้องด้วยกันเอง ถ้ามีการแบ่งที่แบ่งทางแค่ลากเส้นวัดผิดแค่1องศาเท่านั้นแหละ ที่ดิน1ไร่ ท่านรู้หรือไม่ว่าวัดเกิน โกงที่ดินคนอื่นไปกี่ตะรางวา ดังนั้นระยะทางจาก กทม.ถึงกะบะห์อยู่ห่างกันประมาณหกพันกว่ากิโลเมตร แค่ผินผิดนิดเดียว รู้หรือไม่ว่าที่ผินไปนั้นไม่ตรงแม้กระทั่งเมืองมักกะห์ด้วยซ้ำไป เฉกเช่นเดียวกันซัยตอนมารร้ายกันพอได้เวลาละหมาดมันก็จะบอกว่า เดี๋ยวค่อยละหมาดก็ได้เหลือเวลาอีกเยอะ เดี๋ยวๆๆๆ เดี๋ยวจนไม่ได้ละหมาดจนได้ หรือถ้ามันหลอกคนไม่ให้ละหมาดไม่สำเร็จ มันก็จะหาวิธีหลอกลวงต่างๆนานาๆเพื่อให้ภาคผลบุลของคนๆนั้น ลดน้อยลงมันไม่บอกตรงๆหรอกว่า พระองค์อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ใช้ให้ละหมาดอย่าไปทำ ซึ่งวิธีการหลอกลวงของซัยตอนมารร้ายนี้ มันได้เคยมาบอกแก่รอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) ตามคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อให้ประชาชาติของรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.) รู้เท่าทันกลลวงของมัน นี่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของพระเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า) ต่อจากนี้เป็นอายะห์กุรอ่านต่อ และถ้าหากเจ้าไปปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขาหลังจากที่มีความรู้มายังเจ้าแล้ว แน่นอนทันใดนั้นเจ้าก็อยู่ในหมู่ผู้อธรรม(ดังนั้นนักดาราศาสตร์อิสลามจึงต้องเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้อง ถึงจะผินไม่เหมือนคนอื่นก็ต้องทำเพราะนี่คือคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า นี่คือคำสั่งของเจ้าของเจ้าบทลงโทษที่รุนแรงยิ่ง รุนแรงเกินกว่าใครๆจะทนทานได้) บรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์แก่พวกเขานั้น พวกเขาย่อมรู้จักเขาดีเหมือนกับที่พวกเขารู้จักลูกๆของเขาเอง และแท้จริงกลุ่มหนึ่งจากพวกเขานั้นปิดบังความจริงไว้ทั้งๆที่พวกเขารู้กันอยู่ ความจริงนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้าของเจ้า(โอ้มุฮัมมัด) ดังนั้นเจ้าอย่าได้อยู่ในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด และสำหรับแต่ละประชาชาตินั้นต่างก็มีทิศทางหนึ่งซึ่งประชาชาตินั้นผินไปสู่ ดังนั้นพวกเจ้าจงแข่งขันในความดีทั้งหลายเถิด ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ พระองค์อัลลอฮ์ก็จะทรงนำพวกเจ้ามาทั้งหมด แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง และจากที่ใดก็ตามที่เจ้าได้ออกไปก็จงผินหน้าของเจ้าไปทางอัล-มัสยิดิลฮะรอม และแท้จริงนั้นมันคือความจริงที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าของเจ้า(โอ้มุฮัมมัด) และพระองค์อัลลอฮ์นั้นไม่เป็นผู้ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกันอยู่ และจากที่ใดก็ตามที่เจ้าออกไป ก็จงผินหน้าของเจ้าไปทางอัล-มัสยิดิลฮะรอม และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ก็จงผินหน้าของพวกเจ้าไปทางนั้นเพื่อว่าจะได้ไม่เป็นข้ออ้างใดๆแก่หมู่ชนที่แย้งพวกเจ้าได้ นอกจากบรรดาผู้อธรรมในหมู่ของพวกเขาเท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขาแต่จงกลัวข้าเถิด และเพื่อที่ข้าจะได้ให้ความกรุณาของข้าครบถ้วนแก่พวกเจ้า และเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง ดังที่เราได้ส่งร่อซูลผู้หนึ่งจากพวกเจ้าเองมาในหมู่พวกเจ้า ซึ่งเขาจะอ่านบรรดาโองการของเราให้พวกเจ้าฟังและจะทำให้พวกเจ้าสอาดบริสุทธิ์ และจะสอนคัมภีร์และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติให้แก่พวกเจ้า และจะสอนพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน ดังนั้นพวกเจ้าจงรำลึกถึงข้าเถิด ข้าก็จะรำลึกถึงพวกเจ้าและจงขอบคุณข้าเถิดและจงอย่าเนรคุณต่อข้าเลย” ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่142-152 วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่15กรกฎาคมพ.ศ.2554 เวลาละหมาดประจำวันนี้(ซ่อลา ซำบะฆ์ยัง) สำหรับกทม. ซุบฮิ เวลา 04.30.49 วินาที ตะวันขึ้นเวลา 05.58.33 วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.24.46 วินาที อัสริ เวลา15.47.14 วินาที มักริบเวลา 18.50.35 วินาที อีซาเวลา 20.08.48 วินาที เวลาปฏิบัติศาสนกิจ สำหรับ มัสยิดฮารอม ซุบฮิ เวลา 04.12.55 วินาที ตะวันขึ้นเวลา 05.44.01 วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.26.33 วินาที อัสริ เวลา15.41.11 วินาที มักริบเวลา 19.08.56 วินาที อีซาเวลา 20.29.35 วินาที เวลาปฏิบัติศาสนกิจ สำหรับ มัสยี่ดินนะบะวี ซุบฮิ เวลา 04.04.26 วินาที ตะวันขึ้นเวลา 05.37.47 วินาที ดุฮ์ริเวลา 12.27.30 วินาที อัสริ เวลา15.50.01 วินาที มักริบเวลา 19.17.01 วินาที อีซาเวลา 20.39.23 วินาที พี่น้องครับซากาตคือสิ่งจำเป็น สำหรับบุคคลที่ครบในเงื่อนไข และในส่วนของการทำบุญให้กับเด็กกำพร้านั้น ถือว่าเป็นภาคผลบุลและเป็นความดีงาม ที่ยิ่งใหญ่มาก ณฝ่ายของพระผู้เป็นเจ้า แม้กระทั่งการลูบศรีษะเด็กกำพร้าเพื่อแสดงถึงความรักความเอ็นดู เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป ทุกๆเส้นผมที่มือลูบผ่านไปนั้นนั่นก็เป็นภาคผลบุลทั้งสิ้น ท่านรอซูลุ้ลลอห์(ซ.ล.)บุรุษที่ประเสริฐที่สุดในบรรดามั๊คโลคสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา คนรักของพระผู้เป็นเจ้า ท่านก็เป็นเด็กกำพร้ามาก่อนเช่นเดียวกัน พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า”ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน”อัลซิลซาลอายะห์ที่7-8 รู้แล้วบอกต่อ ความดีงามจะหลั่งไหลสู่ตัวท่านและสังคมสืบต่อไป ทำตามใช้ละเว้นสิ่งที่ห้าม คือหน้าที่ของผู้ศรัทธา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ส.ค. 11, 2011, 11:20 PM โดย บ่าวของผู้ทรงยุติธรรม »
ไม่ว่าจะอะไรๆก็ตาม ก็หนีไม่พ้นการอ่าน ขอบะร่อกัตริสกี ความเมตตาปราณีจากพระผู้เป็นเจ้าประสบแด่ท่านผู้อ่านถ้วนหน้ากัน