salam
เท่าที่ฟังอาจารย์อาลี ผมเข้าใจว่า
การรวบรวมอัลกุรอ่านเป็นเล่มไม่ใช่บิดอะห์ฮะนะนะ แต่เป็น อิจมะห์ของซ่อฮาบะ ซี่งไม่เรียกว่าเป็นบิดอะห์ เพราะอัลกุรอ่านถูกรวบรวมไว้แล้วโดยการท่องจำและบันทึกไว้แบบกระจัดกระจายในสมัยท่านร่อซูลุ้ลลอ
ซ้อลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
การละหมาดตะรอเวียะห์เป็นญ่ามาอะห์นั้น ก็เช่นเดียวกัน การที่ท่านร่อซูลุ้ลลอ ซ้อลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ออกมาละหมาด สามคืนแรกนั้น ใครจะตั้งญ่ามะอะห์แข่งกับท่านร่อซูลุ้ลลอ ซ้อลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
การระทำของท่านอุมัร (ร.ฎ.) เป็นบิดอะทางภาษาไม่ใช้บิดอะห์ด่อลาละห์ เพราะในสมัยของร่อซูลุ้ลลอ ซ้อลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นอกจากสามคืนที่ร่อซูลุ้ลลอ ซ้อลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วไม่มีอีกเลย
สมัยท่านอบูบักร์ (ร.ฎ) ก็ไม่มี สมัยแรกๆ ของท่าน อุมัร (ร.ฎ) ก็ไม่มี
ส่วนจำนวนร่อกะอัต นั้น มีรายงานทั้ง แปด และยี่สิบ หลักฐานแข็งแรงทั้งคู่ แล้วจะรวมยังไง ก็ไปดูในท้องเรื่องของฮ่าดีษ อุบัยิบนุกะบิน นำละหมาดแปดจริง แต่อ่านร่อกะอัตหนึ่งเป็นร้อยๆ อายะห์ จนกระทั่งบางคนต้อง
ยื่นใช้ไม้ตุกะ ละหมาด เลิกละหมาดเกือบจะกินซุโฮรไม่ทัน ต่อมาซ่อฮาบะเข้าใจว่าจำนวนตรงนี้จะน้อยหรือเกินจากนี้ไม่ได้ เลยมาซอยเป็นยี่สิบ
สิ่งที่ควรเน้นก็คือการละหมาดให้เนียบ, อ่านกรุอานช้าๆ ชัดๆ
เรื่องเมาลิดท่านบอกความเห็นของท่านชัดเจนว่า งานเมาลิดเป็นงานประเพณีไม่ใช้งานศาสนา เพราะไม่มีหลักฐาน ส่วนใครจะว่าเป็นงานศาสนาก็ว่ากันไปผมไม่ว่าอะไรด้วย
งานเมาลิดให้ดูที่เนื้อหาของงาน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นวินิจฉัย ผู้รู้แต่ละท่านไม่จำเป็นต้องเห็นตรงกันทุกอย่างหรอก และเราก็ไม่ควรจะไปเข้าใจว่า หากมีความเห็นเป็นอย่างอื่นกับอาจารย์อีกท่านแล้วจะเป็นพวกนั้นพวกนี้ อย่าไปแบ่งอย่างนี้เลย
ที่สำคัญคือการยืดเอาทัศนะของตนแล้วเขี่ยอีกทัศนะลงนรกไป อย่างนี้ย่อมสร้างความแตกแยก
ท่าน Deeneeyah หยิบยกเรื่องราวที่เกี่ยวกับประเด็นข้อขัดแย้งในศาสนา
มาให้อ่านแบบที่ทำให้เราผู้อ่านได้เห็นมุมมองที่ลึกลงไป...
ถ้ามุสลิมเราสามารถที่จะเข้าใจกันได้แบบนี้...
ย่อมไม่มีการแตกแยกกันเกิดขึ้น...
สำคัญตรงที่หากว่าเรื่องนั้นเป็นการวินิจฉัย...
ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องมุมมองทางความคิดที่ต้องแตกต่างกันไปบ้าง...
ส่วนตัวนั้น...เรื่องละหมาดตะรอวิห์ จะละหมาดตามอิหม่ามค่ะ
หากอิหม่ามละหมาดแค่แปด เราก็เอาแค่แปด
เพราะตอนละหมาด ก็เริ่มด้วยการเหนียตว่า "ตามอิหม่าม"ไปแล้ว...
แต่เมื่อกลับบ้านมา หากไม่ขี้เกียจเกินไป
ก็จะละหมาดตะรอวิหฺแบบคนเดียวอีก...
หากอิหม่ามละหมาดยี่สิบ เราก็ยี่สิบด้วย...
หรือถ้ามีโอกาสไปมะดีนะห์และได้ละหมาดในเดือนรอมาฎอนที่นั่น
ก็จะละหมาด 32 รอกาอัตตามอิหม่ามที่นั่นอีก...
เพราะปีหนึ่งๆมีเดือนรอมาฎอนแค่เดือนเดียว
รอมาฎอนปีหน้าไม่รู้ว่าเราจะอยู่ถึงรึเปล่า
เมื่อรอมาฎอนมาเยือนแล้วและเรายังหายใจอยู่ ณ ตอนนั้น
อะไรที่กอบโกยได้ก็กอบโกยไว้ก่อน
เพราะรอมาฎอนเป็นเดือนที่ประเสริฐ...
เพราะหากมีคนนึงมาบอกว่าละหมาดตะรอวิห์ 8 นั้นตกนรก
ส่วนอีกคนบอกว่าละหมาดตะรอวิห์ 20 ตกนรก
แล้วเรามาสรุปว่า คนละหมาด 8 ตกนรก คนละหมาด 20 ก็ตกนรก
งั้นคนที่ไม่ละหมาดเลยคงจะได้ขึ้นสวรรค์ เพราะ 8 กับ 20
ก็ลงนรกไปแล้ว...หรือเผลอๆ อาจจะรู้สึกว่า สับสนๆ
ไม่ละหมาดเลยได้มั้ย...จะได้ไม่ตกอยู่ในความคลุมเครือ...
คนคิดแบบนี้มีอยู่จริงนะคะ..
ส่วนเมาลิด...อินชาอัลลอฮฺ...หากไปร่วมงานได้ก็จะไป...
หากไม่สามารถไปได้ก็ไม่ได้ไปค่ะ...
แต่ปกติแล้วจะรู้สึกให้เกียรติกับวันเกิดของท่านรอซุลุ้ลลอฮฺค่ะ...
ในทุกๆวันจันทร์...หากเป็นไปได้ก็จะละหมาดสุนัต
แล้วพยามซอลาหวาตนบีมากๆ อ่านประวัติของท่าน
พยายามระลึกถึงท่าน...เพราะเวลาอ่านประวัติท่านแล้วรู้สึกรักท่าน
ยิ่งได้ทำในวันจันทร์ซึ่งตรงกับวันเกิดของตัวเองด้วยก็ยิ่งทำให้รู้สึก
ผูกพันธ์กับท่านไปด้วย...จะบิดอะหรือเปล่าไม่รู้หรอกค่ะ...
เพราะรู้ว่า จริงๆแล้วเราสามารถอ่านซอลาหวาตให้รอซุลุ้ลลอฮฺได้ตลอด
แค่เราอยากจะทำมันเป็นพิเศษในวันที่คล้ายวันที่ท่านเกิด...
ซึ่งก็คือวันจันทร์...และนี่คือการปฏิบัติแบบปัจเจกบุคคล
ไม่ได้ทำร่วมกับใคร แต่ทุกครั้งที่ได้ไปนั่งร่วมวงซอลาวาตกับพี่น้องมุสลิมด้วยกัน
ในคราวใด...บรรยากาศแห่งการรวมกันมันช่างสร้างความสุขในหัวใจ
ยิ่งกว่าการทำคนเดียวหลายเท่าตัว...เหมือนมีแสงลงมาสู่หัวใจ
ความรู้สึกแบบนี้แหล่ะที่ทำให้หากมีโอกาสก็อยากไปร่วมกล่าวซอลาหวาตนบี
ร่วมกับพี่น้องมุสลิมด้วยกัน ไม่ว่างานนั้นจะถูกจัดด้วยชื่องานว่าอะไรก็ตาม...
เพราะเหมือนเรากำลังเดินไปหาความสุข สุขร่วมกับพี่น้องมุสลิมด้วยกัน...
ผู้ไม่เคยร่วมในวงล้อมเช่นนี้ย่อมอาจไม่สามารถเข้าใจและรับรู้ความรู้นี้ได้...
แต่ขอให้เรารู้แค่ว่า...ที่ใดมีการสรรเสริญอัลลอฮฺและมีการให้เกียรติ
แก่รอซุลุ้ลลอฮฺของพระองค์ ณ ที่แห่งนั้นจะมีบรรดามาลาอีกะฮฺมาล้อมวง...
แต่เท่าที่มองเห็นในปัจจุบัน...คนไปร่วมงาม(บางคน)ไม่ได้เหนียตแบบนั้นก็มี
บางคนแค่อยากไปส่องงาน อยากไปหาเสื้อผ้าสักชุดก็มี...
ก็ไม่แปลก เพราะงานถูกจัดขึ้น ก็ย่อมต้องเป็นไปตามวิถีของมัน
มีของขาย มีอาหารจัดจำหน่าย...เพียงแต่งานนั้นมิใช่งานวัด
หรืองานที่ต่างศาสนิกจัดขึ้น แต่เป็นงานที่มุสลิมเราจัดขึ้น
การไปร่วมงานที่มุสลิมเราจัดขึ้น มันก็ทำให้เราได้พบปะพี่น้องเรา
ซึ่งย่อมดีกว่าการไปร่วมงานที่ถูกจัดด้วยต่างศาสนิกอยู่หลายเท่าตัว...
ซึ่งการที่พี่น้องมุสลิมเราจัดงานใดๆขึ้นเพื่อให้มีการรวมตัวกัน
ในการร่วมกันทำอิบาดะห์ เช่นละหมาดรวมกัน
กล่าวซอลาหวาตร่วมกัน อ่านอัลกุรอ่านร่วมกัน
ขอดุอาอฺร่วมกัน...รับประทานอาหารร่วมกัน
นั่งพูดคุยปรึกษาหารือกันเรื่องศาสนา
และถามไถ่ทุกข์สุขกันและกัน...งานแบบนี้แหล่ะ
ที่ข้าน้อยคนนึงอยากเข้าร่วมด้วย...
ไม่รู้ว่าอัลลอฮฺจะตอบแทนผลบุญให้หรือไม่อย่างไร
แต่ที่แน่ๆ เราได้พบปะพี่น้องมุสลิมเรา
ที่ยังไม่เคยรู้จักกันก็ได้รู้จักกัน
บางคนปู่ย่าตายายเป็นพี่น้องกันแท้ๆแต่รุ่นเรา
ไม่ได้รู้จักกัน พอได้มารู้จักกันมันก็ทำให้อบอุ่นใจ
รับรู้ได้ถึงสายใยบางๆที่กำลังร้อยรัดเราเอาไว้ด้วยกัน...
กลายเป็นการเชื่อมโยงความเป็นพี่น้องเอาไว้ด้วยกัน...
ต่อมาก็จะได้ทำการติดต่อกันต่อไป...
สิ่งนี่แหล่ะ...ที่ให้ข้าน้อยมองอย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธได้...
เพราะตอนไปตะรอวิห์ที่มัสยิดทองหล่อเมื่อรอมาฎอนที่ผ่านมา
ได้พบเจอพี่น้องเราที่นั่น ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
แต่สุดท้ายก็ได้ทำความรู้จักกัน...ได้เล่าสู่เรื่องราวต่างๆให้ฟังกัน
เป็นบรรยากาศที่หาได้ยากยิ่งสำหรับชีวิตคนเมือง...
จะว่าไป...ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับเหนียตนะคะ...
ปล.ผิดพลั้งหรือที่เขียนไปพลาดผิดอย่างไร...
ก็ชี้แนะกันด้วยนะคะ...
วัสลามค่ะ