salam
ประเด็นที่ทำให้เป็นปัญหาที่ฉันมักจะพบว่ามันเกิดกับพี่น้องของฉันกับการออกดะวะห์ตับลีฆ
หากมันพอจะเป็นประโยชน์บ้างก็อยากจะนำเสนอ
ประเด็นที่ 1 คือคำถามที่เกิดขึ้นกับคน ๆ หนึ่งที่มักจะกล่าวว่า
ออกดะวะห์สอนคนนู้นคนนี้ เห็นตัวเองก็ไม่ทำอะไร นู่นยังไม่ดี นี่ยังไม่ใช่แล้วจะมาสอนเรา
ลองถามตัวเองกลับดูนะคะว่าสิ่งที่เราศรัทธาคือสิ่งที่เขาสอน หรือตัวเขา
ตราบใดที่ยังยึดติดกับตัวบุคคลอยู่ ศรัทธาที่จะเกิดขึ้นกับตัวเราจะบังเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ชอบประโยคข้างต้นทั้งหมดเลยค่ะ ^^
วันก่อนคุยกับพ่อเรื่องนี้พอดี วันนั้นอ่านเจอการดะวะห์ของท่านนบี
แล้วเล่าให้พ่อฟังว่าท่านนบีเริ่มต้นด้วยการปฏิรูปตัวเองเป็นอันดับแรก
จากนั้นจึงปฏิรูปบุคคลในครอบครัวของท่าน ต่อจากนั้นจึงเข้าสู่การปฏิรูปสังคม
เราจะเห็นได้ว่า ท่านนบีได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรอซู้ลเมื่ออายุ 40 ปี
ก่อนหน้านั้นท่านทำอะไรอยู่...ก่อนหน้าที่ท่านจะออกทำหน้าที่ของการเป็นรอซู้ลของอัลลอฮ์นั้น
ท่านทำสิ่งใด...
"คนที่ิเก็บตัวเงียบมาเป็นเวลา 40 ปีเต้มผู้นี้ไม่เคยมีสิ่งบ่งบอกถึง
ความสนใจหรือมีกิจกรรมทางการเมืองใดๆ แต่แล้วจู่ๆเขาก็ปรากฎตัว
ออกมาบนเวทีของโลกในฐานะนักปฏิรูปทางการเมืองและรัฐบุรุษ
ผู้ยิ่งใหญ่ที่นำชาวทะเลทรายที่อาศัยกระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่
120,000 ตารางไมล์มาอยู่ร่วมกันภายใต้ร่มธงเดียวกัน กฎหมายเดียวกัน
ศาสนาเดียวกัน อารยธรรมเดียวกันและรัฐบาลเดียวกันโดยไม่มีสื่อใดๆ
เป็นเครื่องมือและทั้งๆที่คนเหล่านั้นเป็นคนชอบสงคราม โง่เขลา
ไม่เคยเชื่อฟังใคร ไร้วัฒนธรรมและรบพุ่งฆ่าฟันกันระหว่างเผ่าตลอดเวลา
ท่านเปลี่ยนวิธีการคิด ประเพณีและศีลธรรมของผู้คนเหล่านั้น
เปลี่ยนความป่าเถื่อนให้เป็นวัฒนธรรม เปลี่ยนคนทำชั่วและลักษณะ
ที่เลวทรามให้เป็นคนที่มีความเกรงกลัวอัลลอฮ์และมีคุณธรรม
ความดื้อรั้นดันทุรังของพวกคนเหล่านั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็น
รูปแบบของการเชื่อฟังและยอมจำนนต่อกฎหมายและกฎระเบียบ
หลังจากนั้น ชาติที่ไม่เคยสร้างบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงแม้แต่คนเดียว
ก็ได้ให้กำเนิดชีวิตผู้สูงส่งนับพันคนที่พากันออกไปยังทุกมุมโลก
ที่ห่างไกลเพื่อเผยแผ่และสอนหลักการของศาสนา ศีลธรรม
และอารยธรรมภายใต้อิทธิพลและการชี้นำจากท่านนบี...."
(คัดลอกมาจากหนังสือ มาเข้าใจอิสลามกันเถิด ของเมาลานา ซัยยิด
อบุล อะลา เมาดูดี)
ซึ่งในเวลาต่อมา...มีผู้คนมากมายรักท่าน
ความรักของอัลลอฮ์ถูกเชื่อมไว้กับท่าน...
เมื่อเรารักท่าน เราจะรู้สึกสัมผัสได้ถึงความรักของอัลลอฮ์...
จึงยากเหลือเกินที่จะบอกกับคนทั้งโลกว่าเรารักอัลลอฮ์
แต่ไม่ได้รักท่านรอซูลุ้ลลอฮ์...
และยากยิ่งกว่าที่เราจะบอกว่า...เราเชื่ออัลลอฮ์ แต่ไม่เชื่อมุฮัมหมัด
นั่นเพราะ...มุฮัมหมัดคือผู้นำสาส์นของอัลลอฮ์มายังเรา...
เป็นดั่งอัลกุรอานที่เดินได้ จับต้องได้...
เราจะทำตามที่อัลกุรอ่านได้บอกเอาไว้ได้อย่างไร
ถ้าไร้แบบอย่างจากท่าน...
เราไม่เก่งขนาดนั้น...เราไม่ได้เป็นผู้หยั่งรู้ถึงขั้นนั้น...
เราจึงไม่อาจปฏิเสธท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ได้
เพราะการปฏิเสธท่านก็คือการปฏิเสธสาส์นของอัลลอฮ์ที่ท่านนำมาด้วย...
เราถึงได้มีสองกะลีเมาะฮ์
แต่เพราะ...เราไม่ใช่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ เรามีความบกพร่อง
เรามีความผิดพลาด เราไม่ได้ดีพร้อมเช่นท่าน
เราไม่ได้ถูกรักษาเอาไว้อย่างดีเช่นท่าน...
แต่เรา....เราตั้งใจจะทำตามแบบอย่างของท่าน เอาอย่างท่าน
อยากเป็นดั่งท่าน...
และ
ทำหน้าที่ตักเตือนกันและกัน...
เมื่อทำหน้าที่ตักเตือน เราจะตักเตือนตามหลักแห่งสัจธรรม
ตามหลักความถูกต้องดังที่ท่านนบีของเราได้สอนเราเอาไว้ก่อนหน้านี้...
และ...เมื่อเราถูกตักเตือนจากผู้อื่น เราก็พร้อมน้อมรับสิ่งที่ถูกต้องนั้น...
และพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าว...
ทุกท่านเชื่อไหมว่า การทำตามแบบอย่างของท่านรอซูลุ้ลลอฮ์นั้น
ไม่ง่ายเลย เพราะเรื่องที่ยากที่สุด ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดที่เราต้องต่อสู้
อย่างยากลำบากที่สุดไม่ใช่ใครเลย แต่เป็นตัวเราเอง...
แท้จริงแล้ว การปฏิรูปตนเองนั้น ยากที่สุด
ต่อมา ก็คือ การปฏิรูปบุคคลในครอบครัว คนใกล้ชิด
ภรรยา และลูกๆ เป็นสิ่งที่ยากรองลงมา...
แต่ถ้าเราสามารถเอาชนะตัวเรา สามารถปฏิรูปตัวเองซึ่งเป็นสิ่งที่
ยากที่สุดได้แล้ว สิ่งอ่ืนก็ไม่ยากเกินไปที่เราจะก้าวถึง...
จึงไม่แปลกใจเลย เมื่อได้ค้นพบว่า ท่านนบีของเราเลือกที่จะปฏิรูป
ตนเองเป็นอันดับแรก เพราะนั่นคือสิ่งที่ยากที่สุดและใกล้ตัวที่สุด
ก่อนจะค่อยๆขยับออกไปเรื่อยๆ อิสลามจึงได้แผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ
จนเป็นวงกว้างและยิ่งกว้างออกไป...ในที่สุด...
การปฏิรูปตัวเรา ครอบครัวเราเป็นอันดับต้นๆ
จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญในการปฏิรูปสังคมทั้งหมดที่อยู่รอบๆตัวเรา...
และนี่คือ...แนวทางอันชัดแจ้งที่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ของเราได้กระทำเอาไว้
เป็นแบบอย่างเมื่อพันกว่าปีก่อน...
และท่านก็รู้...ว่าเรา...ไม่อาจเป็นดั่งท่านได้ทั้งหมด...
อิสลามจึงไม่ได้เรียกร้องความสมบูรณ์แบบจากเรา...
ท่านไม่ได้มาเพื่อสร้างความสมบูรณ์แบบให้กับอุมมะของท่าน
แต่ท่านมา...เพื่อตักเตือน...เพื่อให้เราพยายามเป็นคนที่ดีกว่าเดิม...
ให้เราเป็นบ่าวของอัลลอฮ์...เลิกเป็นทาสของสิ่งอื่นที่ไม่คู่ควร
แก่การเคารพสักการะ...มาเพื่อปลดปล่อยเราออกจากปลอกคอ
ที่จะดึงเราไปสู่ไฟนรก...
มีถ้อยคำหนึ่งของท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ที่อ่านแล้วรู้สึกสะเทือนใจ
และซาบซึ้งใจในความรักความเมตตาของท่าน รวมทั้งเป็นแบบอย่าง
ของนักต่อสู้ที่ดีให้เราได้นำมายึดถือปฏิบัติตาม
นั่นคือ
ครั้งหนึ่งที่ท่านนบีได้กล่าวกับลุงของท่านซึ่งถูกกดดันจากพวกผู้นำ
แห่งอารเบียที่พยายามจะให้ท่านเลิกปฏิบัติภารกิจว่า
"คุณลุงครับ ถ้าหากพวกเขาเอาดวงอาทิตย์มาใส่ในมือขวา
และเอาดวงจันทร์มาใส่ในมือซ้ายเพื่อให้ฉันเลิกปฏิบัติภารกิจของฉัน
ฉันก็ไม่มีวันเลิกจนกว่าพระองค์จะทรงโปรดปรานให้ฉันชนะ
หรือไม่ก็ตายในความพยายามนั้น" นี่คือลักษณะของนบีของเรา
คือแบบอย่างแห่งการต่อสู้...ข้าน้อยชอบตรงท้ายประโยคยิ่งนัก
ที่ท่านบอกว่า "หรือไม่ก็ตายในความพยายามนั้น"
นั้นหมายจะบอกกับเราว่า ท่านจะไม่มีวันเลิกล้ม ไม่หยุดที่จะพยายาม
ไม่มีสิ่งใดจะหยุดท่านได้...พร้อมที่จะยืนหยัดอยู่อย่างเด็ดเดี่ยวมั่นคง
และไม่ยืดหยุ่นในสิ่งที่มุ่งมาดปรารถนา เลือกที่จะลำบากเพื่อแนวทาง
ของท่าน
จะมีใครที่จะสามารถจินตนาการถึงตัวอย่างแห่งการอุทิศตนที่สูงส่ง
การเป็นมิตรและการมีมนุษยธรรมที่สูงส่งไปกว่าการที่ใครคนหนึ่ง
จะยอมทำลายความสุขของตัวเองเพื่อประโยชน์ของคนอื่น
ทั้งๆที่คนเหล่านั้นกำลังเอาหินขว้างปาเขา ประณามสาปแช่ง
และทำร้ายเขา แม้เขาจะถูกขับไล่ไปจากแผ่นดินที่อยู่อาศัย
แต่เขาก็ยังต่อสู้เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของคนเหล่านั้นอยู่!
ท่านคือ...ผู้ช่วยเหลือ...
แม้เราจะเป็นแบบท่านทั้งหมดไม่ได้ก็ตาม...แต่เราจะพยายาม
ทำตามแบบอย่างของท่านจนสุดความสามารถของเรา...
"ศาสนาอิสลามไม่ได้เรียกร้องความสมบูรณ์แบบจากเรา
หากแต่อิสลามเพียงต้องการให้เรา ใช้ความพยายามท่ีเรามี
สู่การเป็นคนที่ดีกว่าเดิม" (คำคมจาก นุอฺมาน อาลี คาน)
วัสลามค่ะ