ผู้เขียน หัวข้อ: รบกวนขอข้อมูลเกี่ยวกับสงครามกับเผ่านาฎีรหน่อยครับผม  (อ่าน 1369 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ iplus

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 1
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด

 salam

ก็ต้องการนำเอาข้อมูลเกี่ยวกับสงครามกับเผ่านาฎีร ในสมัยท่านรอซุล (ซล.) ครับผม
เอาภาษาไทยก็ได้ครับ มลายูก็อ่านออก แต่อังกฤษ ไม่ค่อยเท่าไรครับ

รบกวนพี่ๆ เพื่อนๆทุกคน ใครพอจะมีข้อมูลอะไรบ้าง ก็รบกวนหน่อยน่ะครับผม หาในเน็ตยังไม่เจอเลย
ยังไงก็ ญาซากัลลอฮฺ ล่วงหน้าน่ะครับ

วัสสลาม

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
ไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่...อ่านเจอค่ะ :ameen:


"เมื่อความได้ทราบถึงท่านนบี  ท่านจึงได้ส่งกำลังทหารมุสลิมไปล้อมเผ่านะฎีร การปิดล้อมดำเนินไปเป็นเวลา 6 วัน ในที่สุดพวกยิวก็ยอมจำนน และยอมถอนตัวออกจากนครมะดีนะฮ์ โดยไปใช้ชีวิตอยู่ ณ. นครคอยบัร

ต่อมาได้เกิดสงครามพันธมิตรขึ้น โดยสงครามนี้พวกกุเรชและอาหรับเผ่าต่างๆ และชาวยิวเผ่านะฎีรและยิวที่อาศัยในคอยบัร(ซึ่งที่นบีได้ปล่อยออกจากเมืองโดยมิได้ริบทรัพย์หรือคิดใดๆในค่าปฏิกรรมสงคราม ทำให้พวกเขาฟื้นตัวเร็ว) ได้ร่วมกันทำสงครามเพื่อกำจัดท่านนบีมุฮัมมัด  พวกพันธมิตรมีรี้พลทั้งหมด 10,000 คน โดยได้ยาตราทัพมายัง นครมะดีนะฮ์ ในเดือนเชาวาล ฮ.ศ. ที่5  เมื่อท่านร่อซูล(นบี)ทราบเช่นนั้น จึงได้ปรึกษาหารือกับสาวก ได้ลงความเห็นว่า ควรตั้งรับข้าศึกภายในเมือง แต่ทว่ามะดีนะฮ์เป็นที่โล่งทางทิศเหนือ ท่านซัลมาน อัล ฟารีซีย์ จึงเสนอให้ขุดคูล้อมเมือง

บรรดามุสลิมทุกคนได้ร่วมมือกันขุดคู  ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เด็กหรือผู้ใหญ่ รวมทั้งท่านร่อซูลเอง ท่านได้แบกดินไปทิ้งด้วยตนเอง การขุดนี้ดำเนินไปเป็นเวลา 20 วัน...............

พวกมุชริกได้ล้อมเมือง มะดีนะฮ์ เป็นเวลา 1 เดือน แต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าตี เพียงแต่ยิงธนูตอบโต้กัน ขณะนั้นยิวเผ่ากุรอยเซาะฮ์ ซึ่งได้รับหน้าที่ป้องกัน นคร มะดีนะฮ์อีกด้านหนึ่งได้ละเมิดสัญญาโดยไปเข้ากับพวกมุชริก  ระหว่างนั้น ท่าน นะอีม อิบนี่มัสอู๊ด ชาวยิวเผ่ากุร็อยเซาะฮ์ ซึ่งได้รับนับถืออิสลามอย่างลับๆ  ได้วางแผนสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นระหว่างพวกยิวกับมุชริก(กองทัพพันธมิตรผู้ปฏิเสธ)  จนกระทั่งมุชริกกลุ่มหนึ่งได้ถอนทัพกลับไป  พร้อมกันนี้ อัลเลาะฮ์ ซ.บ. ได้ทรงให้มีลมหนาวและพัดมาทำลายค่ายพักของฝ่ายมุชริกพินาศสิ้น จึงเป็นเป็ตเหตุให้มุชริกต้องถอนทัพไป" (ชีวประวัติ ท่านศาสดามุฮัมมัด ซ.ล. นิตยสารสายสัมพันธ์(ฉบับพิเศษ) น. 142-144)

จากการทรยศในยามสงครามขณะประจัญหน้ากับข้าศึก ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยได้  เพราะแม้ในปัจจุบันแค่หันหลังหนีทัพ ในการประจัญบาน ก็ถือว่ายิงทิ้งได้   ทหารทุกชาติต่างก็เข้าใจในกฏนี้ ไม่ต้องถึงกับการหักหลังกองทัพฝ่ายเดียวกันในยามหน้าสิ่งหน้าขวานทั้งที่ทำสัญญาร่วมรบกันมา เพราะหากการรบผิดพลาดไม่ว่าด้วยกรณีใด กองทัพและมะดีนะฮ์ทั้งเมืองย่อมพินาศในวันเดียว นี่ไม่รวมกับการสูญเสียประชาชนในเมืองที่อาจถูกฆ่าตายด้วยเจตนาบ้างไม่เจตนาบ้าง ดังนั้นเมื่อสงครามนี้เสร็จสิ้นท่านนบีจึงได้ใช้โอกาสอันรวดเร็วนี้

"กำลังมุสลิม 3,000 คน ได้ปิดล้อมยิวเผ่ากุรอยเซาะฮ์ เป็นเวลา 25 วัน พวกเขาจึงยอมจำนน จึงได้ถูกลงโทษอย่างแสนสาหัสตามความผิดที่พวกเขาปฏิบัติ คือ สมคบกับศัตรูเพื่อทำลายมุสลิม"
(ชีวประวัติ นบีมุฮัมมัด ซ.ล. โดย อ. มุนีร(สมศักดิ์) มูหะหมัด น. 118)

มาถึงตอนนี้มะดีนะฮ์มิใช่เมืองโอเอซิส กลางทะเลทรายสำหรับกองคาราวาน ผ่านค้างแรมระหว่างทางอีกแล้ว แต่เป็นนครรัฐที่มีฐานะในการเจรจาต่อรองกับมักกะฮ์ หรือนครอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในดินแดนที่อดีตเคยเรียกว่า ยัซริบนี้