ความล้มเลวในการสอนอะกีดะฮ์ของวะฮาบีในเมืองไทย

[As-Zaleek]

Tweet

อ้างอิงจากคุณ benar วะฮาบี

ตอบ....คุณบอกว่าอัลเลาะห์ไม่มีมือ แสดงว่า อัลเลาะห์มือด้วน  คุณบอกว่าอัลเลาะห์ไม่มีตา  แสดงว่า อัลเลาะห์ตาบอดซิอย่างนี้อัลเลาะห์เป็นพระเจ้าที่ไม่สมบูรณ์ ซิ

วิจารณ์

โอ้...วะฮาบีใช้สติปัญญา  ของพวกมุญัสสิมะฮ์(ผู้ที่เชื่ออัลเลาะฮ์มีรูปร่างมีอวัยวะ)  พูดจากในความเชื่อของตนว่า  หากไม่มือ  ก็แสดงว่ามือด้วน  แสดงว่าวะฮาบี(บางคนหรือเปล่าก็ไม่รู้)เชื่อว่าอัลเลาะฮ์มีอวัยวะกันจริง ๆ  แล้ววะฮาบี (เช่นคุณ อ้างอิงจากคุณ benar) เชื่อว่า อัลเลาะฮ์มีตาแบบอวัยวะ  หากไม่มี พระองค์ก็บอด  แต่เราชาวอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์เชื่อว่า  อัลเลาะฮ์มีซีฟัต "ทรงเห็น"  พระองค์จึงไม่บอด  พี่น้องคงเห็นภาพระหว่างอะกีดะฮ์วะฮาบีกับอะกีดะฮ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์กันแล้วน่ะครับ

ต่อไป  อะกีดะฮ์วะฮาบีกลายเป็นอะกีดะฮ์บิดอะฮ์เต็มรูปแบบโดยเอาอัลกุรอานและซุนนะฮ์มาบังหน้า  เหมือนกับที่เกิดขึ้นมาในอดีต  อัลเลาะฮ์จะเป็นรูปเป็นร่างเป็นอวัยวะ เนื่องจากเรียนหลักพื้นฐานการสอนอะกีดะฮ์ของวะฮาบีในปัจจุบัน

[As-Zaleek]

เพราะพื้นฐานความเข้าใจในเรื่องอะกีดะฮ์ของวะฮาบีมันคาดเคลื่อนมาตั้งแต่เดิม  จึงทำให้มีผลอะกีดะฮ์ตามมาในรูปแบบนี้แหละครับ  อันตราย ๆ อะกีดะฮ์บิดอะฮ์ในอดีต  กำลังฟื้นขึ้นมาเรื่อย ๆ เราจะต้องปกป้องอะกีดะฮ์อิสลามที่บริสุทธิ์ครับ   

[ILHAM]

เขาไม่ได้เรียนบาลาฆอฮ

[Al Fatoni]

ส่วนตัวผมนั้น หากจะว่าพวกวะฮาบีย์ไม่ได้เรียนอุศูลุลฟิกฮฺ ไม่ได้เรียนบะลาเฆาะฮ์ ไม่ได้เรียนนั่นนี่ ก็ดูเหมือนจะเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนอยู่พอควร หากที่ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังเรียนตำราเดียวกับที่เราเรียนนั่นแหละ ไม่ว่าจะในเรื่องฟิกฮฺ หรืออกีดะฮ์ก็ตาม

            แต่ปัญหาก็คือว่า แล้วทำไมเรียนตำราเดียวกัน อุละมาอ์คนเดียวกัน แต่ทัศนะระหว่างเรากับเขา ถึงต่างกันราวฟ้าดิน เรื่องนี้มันลึกซึ้งมาก และคนที่ไม่รู้จุดที่ซ่อนเร้นตรงนี้ ยากที่จะแยกแยะตรงนี้ได้จริงๆ เพราะหากจะเทียบระหว่างอะฮฺลุสสุนนะฮ์วัลญมาอะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์กับพวกบิดอะฮ์มุ๊อฺตะซิละฮ์, ค็วาริจ, หรือชีอะฮ์ มันคือดำกับขาว ที่มองเห็นความต่างได้อย่างชัดเจน และความต่างระหว่างอัลอะชาอิเราะฮ์กับวะฮาบีย์ มันคือขาวกับเทาที่อ่อนมากๆ จนดูห่างๆ ก็เหมือนสีขาวเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างกล่าวว่าอีกฝ่ายคือสีเทาที่ว่านั้น แล้วว่าตนคือสีขาว

         และเท่าที่ทราบมานั้น การเสวนาระหว่างผู้รู้ของทั้งสองฝ่ายอย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างความแน่ชัดว่าไหนคือขาว ไหนคือดำ แล้วไหนคือเทานั้น แทบจะไม่มีด้วยซ้ำ ถึงมี ก็ยังถือว่าพูดกันในวงแคบๆ ที่ไม่ค่อยเป็นที่รับรู้กับในวงกว้าง ส่วนใหญ่จะเป็นการจัดเสวนาโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น แล้วพูดถึงอีกฝ่าย หรือพูดเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับตน

            ปัญหาที่ผมมองเกี่ยวกับวะฮาบีย์นั้น ถือเป็นการคุกคามที่อยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ แต่มันก็อาจจะขึ้นระดับที่อันตรายได้ เมื่อผู้ที่รับแนวคิดนี้ ไม่ได้รู้ถึงแก่นคำสอนที่แท้จริง ที่กลุ่มนี้พยายามจะสื่อออกมา

         ส่วนตัวผม ผมมองว่า แนวคิดวะฮาบีย์มีความคลุมเครือมาก ไม่ชัดเจน สิ่งเหล่านี้ มันไม่ใช่แค่ผมรู้สึก แต่เพื่อนผมบางคนที่เคยชื่นชมแนวทางวะฮาบีย์ รวมทั้งชาวออสสี่ที่ผมเคยคุยด้วย ที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับ3จ. ก็จะบอกในทำนองเดียวกันว่า แนวคิดนี้ไม่มีความชัดเจน และไม่ค่อยคำนึงต่อความเข้าใจของคนเอาวาม แนวคิดนี้ หากดูผิวเผินจะเป็นที่น่าชื่นชมมาก แต่เมื่อศึกษาถึงแก่นข้างใน บางคนถึงกับสำลัก เพราะเล่นว่ากันตรงๆ เป็นที่เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงกันเฉพาะผู้รู้ ส่วนคนเอาวามนั้น แม้พวกเขาจะรู้สึกว่าระบบการเรียนอกีดะฮ์แบบวะฮาบีย์จะง่าย เหมาะกับยุคสมัยปัจจุบันอย่างยิ่ง แต่เขาหารู้ไม่ว่า ในความง่ายหรือความชัดเจนที่เขามองแต่ผิวเผินนั้น มันซ่อนความคลุมเครืออยู่ข้างใน ซึ่งหากเขาเป็นคนที่รู้อะไรเป็นอะไรมาบ้างแล้ว เขาก็จะประจักษ์ในสิ่งนี้เป็นอย่างดี - วัลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลามุอลัยกุม

[ILHAM]

แบมาทุกที พูดกระจ่างทุกที หมดลูกจะพูดเลยนิ

[al-azhary]

 salam

พื้นฐานหลักอะกีดะฮ์วะฮาบีมีเป้าหมายที่ความคลุมเครือขาดความกระจ่าง  ไม่สามารถปกป้องให้สามัญชนให้มีอะกีดะฮ์ที่จิตใจสงบและบริสุทธิ์ได้  เนื่องจากเป็นอะกีดะฮ์ที่เปิดช่วงทางให้มีการจินตนาการอัลเลาะฮ์ไปสู่การ(ตัชบีห์)สร้างความคล้ายคลึงระหว่างพระองค์กับมัคโลค  ยิ่งกว่านั้นยังชักนำไปสู่(ตัจญฺซีม)เชื่ออัลเลาะฮ์ทรงมีรูปร่าง  ดังที่เราได้ยินได้เห็นกันบ่อยครั้งจากผู้ที่ร่ำเรียนอะกีดะฮ์ตามหลักฐานของอะกีดะฮ์วะฮาบี

พวกอัลกัรรอมียะฮ์  เป็นกลุ่มที่ประกาศตนตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์  แต่พวกเขาเข้าใจอัลกุรอานและซุนนะฮ์ในแง่ของซีฟัตแบบเกินเลย  จนกระทั่งถูกนับเป็นบิดอะฮ์ตามหน้าประวัติศาสตร์อิสลามได้บันทึกไว้  ปัจจุบันกลุ่มที่ชอบประกาศตนว่าตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์มากที่สุด  ก็มีหลักอะกีดะฮ์แบบพวกกัรรอมียะฮ์หลายหลักการด้วยกัน  อันเนื่องจากมีความเข้าใจอัลกุรอานและซุนนะฮ์ในแง่ซีฟาตของอัลเลาะฮ์แบบเกินเลยและเกินงาม

หลักพื้นฐานอะกีดะฮ์วะฮาบี  ไม่ใช่หลักอะกีดะฮ์แห่งการต่อสู้  แต่เป็นหลักอะกีดะฮแห่งการกล่าวหาแนวทางอื่น  เช่นกล่าวหาแนวทางอัลอะชาอิเราะฮ์มีหลักอะกีดะฮ์เดียวกับพวกมั๊วะตะซิละฮ์เพราะใช้สติปัญญา  แต่ผมก็ยังแปลกใจว่า  หากใช้หลักสติปัญญาเหมือนกับพวกมั๊วะตะซิละฮ์  ทำไมอัลอะชาอิเราะฮ์จึงต่อต้านมั๊วะตะซิละฮ์  เหตุใดมั๊วะตะซิละฮ์จึงล่มสลายไปด้วยน้ำมือของอัลอะชาอิเราะฮ์  นั่นก็เพราะว่าหลักสติปัญญาของอัลอะชาอิเราะฮ์กับมั๊วะตะซิละฮ์มันต่างกัน  เพราะอัลอะชาอิเราะฮ์ใช้หลักสติปัญญาที่สอดคล้องและอยู่บนพื้นฐานของอัลกุรอานและซุนนะฮ์ที่ชัดเจนและเด็ดขาด ส่วนมั๊วะตะซิละฮ์ใช้สติปัญญานำหน้าหลักฐาน  ดังนั้นการกล่าวหาของวะฮาบีที่ว่า อัลอะชาอิเราะฮ์ใช้หลักสติปัญญาเหมือนกับมั๊วะตะซิละฮ์นั้น  ถือว่าเป็นการกล่าวหาอันเนื่องจากมีความอ่อนแอที่จะโต้ตอบอะกีดะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ที่คอยปกป้องอะกีดะฮ์อิสลามมาทุกยุคสมัย

ดังนั้นเมื่ออะกีดะฮ์ตามหลักพื้นฐานของวะฮาบี  ไม่ใช่เป็นอะกีดะฮ์แห่งการต่อสู้กับพวกนอกลู่  ผมขอยืนยัน  หากชีอะฮ์กับวะฮาบีโต้เวทีกันเรื่องซีฟาตของอัลเลาะฮ์  วะฮาบีต้องพ่ายแพ้ชีอะฮ์อย่างแน่นอน!  นอกจากวะฮาบีต้องใช้หลักอะกีดะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ที่มีทั้งหลักตัวบทอัลกุรอานซุนนะฮ์พร้อมกับหลักสติปัญญามาเกลื้อหนุนอธิบายเท่านั้น 

ปัจจุบันมุสลิมถดถอยในเรื่องอีหม่านและอะกีดะฮ์ เพราะไม่รู้ทำให้ถูกเก็บเกี่ยวให้หลงทาง  พวกเขานิยมและเรียกร้องการเรียนรู้อะกีดะฮ์แบบอีหม่านเหมือนซอฮาบะฮ์และสะลัฟ  ทั้งที่มันเป็นไปได้ยาก เพราะจิตใจของซอฮาบะฮ์และสะลัฟนั้นมีความสูงส่ง  อัลเลาะฮ์ทรงเลือกและดึงพวกเขาไปสู่ห่วงความเมตตาและมีความจิตใจที่มีความรักต่อพระองค์โดยไม่ต้องเพิ่งพาหลักฐานหรือนำมัคโลคทั้งหลายมาเป็นหลักฐาน  แต่คนในยุคปัจจุบันมีสถาวะจิตใจตกต่ำและมีความหวานชื่นของอีหม่านเหมือนซอฮาบะฮ์ไหมล่ะ  ถึงชอบที่จะบอกว่ามีอีหม่านเหมือนซอฮาบะฮ์และสะลัฟ  ทั้งที่ความจริงห่างกันราวฟ้ากับเหว

จนกระทั่งมีวะฮาบีที่ได้ร่ำเรียนหลักอะกีดะฮ์ของตน  พูดเรื่องของอัลเลาะฮ์ที่ว่า  "อัลเลาะฮ์ต้องมีมือซิ  หากไม่มีพระองค์ก็ด้วน , พระองค์ต้องมีตาซิ หากไม่มีพระองค์ก็บอด!!" ซึ่งเป็นนัยยะแอบแฝงที่บ่งชี้ว่าอะกีดะฮ์วะฮาบีนำพาไปสู่อะกีดะฮ์ที่ว่าอัลเลาะฮ์เป็นรูปร่างมีอวัยวะ  ซึ่งเป็นการทำให้อะกีดะฮ์บิดอะฮ์ในอดีตฟื้นขึ้นมาอีกครั้งด้วยคำนำหน้าที่ว่า "อัลกุรอานและซุนนะฮ์" ซุบฮานัลลอฮิอัมมายะซิฟูน       

หมายเหตุ : หากสิ่งที่ผมพูดไปไม่ตรงกับหลักความเชื่อของวะฮาบีบางท่าน ผมก็ขอมะอัฟด้วย เพราะผมเชื่อว่ายังมีพี่น้องวะฮาบีบางท่านเห็นสัจธรรมในเรื่องอะกีดะฮ์อันบริสุทธิ์นี้ โดยไม่มีการตีชบีห์และตัจญฺซีมทั้งในแง่คำพูดและหลักการ

วัลลอฮุอะลัม

[Al Fatoni]

อัลหัมดุลิลลาฮฺ ที่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งจากอะฮฺลุสสุนนะฮ์วัลญมาอะฮ์อัลอชาอิเราะฮ์ และขออัลลอฮฺทรงทำให้ผมและปวงมุสลิมีนทั้งหลายคงมั่นในสัจธรรมแห่งพระองค์ตลอดไปด้วยเทอญ - อามีน ยาร็อบบัลอาละมีน - วัสสลามุอลัยกุม

[al-firdaus~*]

คำกล่าวอ้างที่มักได้ยินเสมอ      " เพื่อเรียกร้องไปสู่ศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ ตามแบบฉบับกีตาบุลลอฮ์และซุนนะห์ "
แต่เมื่อมาพิจารณาหลักอากีดะฮ์แล้ว  ความบริสุทธิ์นั้นถูกทำให้บกพร่องเสียมากกว่า...
การเปิดใจรับรู้ และ ย้อนดูความผิดพลาดของตนเอง  คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากพันธนาการของความตะอัศศุบในหลักอากีดะห์ที่บิดอะฮ์ของตนเอง

[as-satuly]

 salam

ส่วนตัวกระผมเอง มีความคิด(ส่วนหนึ่งนั้น)ว่า   อินชาอัลลอฮฺ.....สักวัน  ความจริง(ศาสนาอิสลาม)และความถูกต้อง(แนวทางที่เที่ยงตรง)จะต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ จะพยายามทำอะไรสักอย่างหรือพยายามชี้แจงอธิบายและแลกเปลี่ยนความรู้(เท่าที่มีความรู้และความสามารถ)กับบรรดาพี่น้อง.....
และอนึ่ง  กระผมเองก็มีความคิดอยู่ว่า  ถ้าพวกเรา(ที่เป็นคนในประเทศไทยก่อนนี้แหละ และไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน กลุ่ม หรือก๊กไหน ที่มีหลักศรัทธาบนศาสนาที่เที่ยงธรรมและแท้) มารวมตัวในการทำความเข้าใจต่อกัน(มุวาฟะกอต) จะมีผลทำให้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นบรรเทาลงบ้างได้ไหม  แต่จะหมดปัญหาทั้งหมดไหม  ขอตอบเลยว่าไม่หมดหรอกครับ(ส่วนตัวคิดเช่นนั้น)
และหากในประเทศไทยเราเองมีความสามัคคีต่อกันแล้ว(ทั้งในเรื่องศาสนาและทั่วไปและอื่นๆ) มีความคิดว่า ปัญหาและความขัดแย้งต่างๆก็จะมีความบรรเทาลงได้บ้าง(ไม่มากก็น้อย)  เพื่อมีความหวัง(ในใจ)ว่า วันหนึ่งข้างหน้าพวกเรา(ในทุกหมู่เหล่านี้แหละ)จะมีพลังแห่งการศรัทธาที่มีความแข็งแกร่ง และมีความถูกต้องตามหลักการศาสนาอิสลามที่มีพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานเป็นรัฐธรรมนูญแห่งชีวิต และสุนนะฮฺของท่านนบีมุหัมหมัด(ศ็อลฯ)เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต และแบบอย่างที่ดีของเหล่าบรรดาศ่อหาบะฮ์ ตลอดจนชนรุ่นหลังจากนั้นสืบไป.....วัลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลามุอะลัยกุม

[Al Fatoni]

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมมีหิกมะฮ์ในตัวมัน หากแต่ผู้ใคร่ครวญเท่านั้นที่จะรู้มันได้ - วัสสลามุอลัยกุม - วัสสลามุอลัยกุม

[As-Zaleek]

 salam

เราต้องไปศึกษาประวัติศาสตร์อิสลามในทุกยุคสมัยน่ะครับว่า  พวกที่มีอะกีดะฮ์บิดอะฮ์ใดบ้าง  ที่ชอบกบถต่อต้านผู้นำ(ค่อลิฟะฮ์)ปกครองอิสลาม  พวกเหล่านี้จะไม่รับผู้ใดมาเป็นพี่น้อง

[al-firdaus~*]

salam

เราต้องไปศึกษาประวัติศาสตร์อิสลามในทุกยุคสมัยน่ะครับว่า  พวกที่มีอะกีดะฮ์บิดอะฮ์ใดบ้าง  ที่ชอบกบถต่อต้านผู้นำ(ค่อลิฟะฮ์)ปกครองอิสลาม  พวกเหล่านี้จะไม่รับผู้ใดมาเป็นพี่น้อง

มุสลิมที่ถือว่าคนที่กระทำบิดอะฮ์ตามทัศนะของเขานั้นลุ่มหลง...คนที่ทำบิดอะฮ์นั้น ห้ามพูดคุยหรือปรองดองเรื่องใดๆกับเขา...
เหตุผลแบบนี้มัง... พวกเขาส่วนมากจึงไม่เชื่อฟังและทำตามในตัวของผู้นำที่ทำบิดอะฮ์ตามทัศนะของพวกเขา
โดยเขาลืมคิดไปว่า พี่น้องมุสลิมนั้นห้ามตัดญาติและห่างไกลจากพวกเขาคนหนึ่งคนใด  ตราบใดที่เขายังเป็นมุสลิม
อย่างน้อยการนั่งร่วม เพื่อปรึกษาหรือชี้แจงและตักเตือนความจริงแก่พวกเขาและหวังที่จะให้พวกเขาละทิ้งบิดอะฮ์(ที่เลว)นั้น   
จริงๆแล้วมันเป็นหน้าที่ของผู้รู้และมุสลิมทุกๆคน...
แต่วะฮาบีย์นั้น เมื่อสิ่งใดที่เขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่ค้านกับทัศนะของตน  เขาจะถือว่า สิ่งนั้นคือ  บิดอะฮ์..และต้องหลีกหนีให้ไกล..
และไม่รู้ว่า พวกเขานั้นเข้าใจคำว่า บิดอะฮ์ มากแค่ไหน 

ส่วนตัวเราก็ยังคงต้องศึกษาเยอะๆ  เพื่อประคับประคองให้ตัวเองมีอากีดะฮ์ที่บริสุทธิ์และสมบูรณ์
 

[Goddut]

ผมเห็นด้วยกับความเห็นคุณ Al Fatoni  แนวทางของเขา สอนคลุมเครือ ไม่เคลียร์
และแน่นอน มักจะมีคำถาม ต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ กับคำสอนที่เขาใช้ เพราะมันไม่เคลียร์ มันหาจุดสรุปจริงๆ ไม่ได้
หรือบางที ก็ชอบเลี่ยงคำตอบ เล่นคำ เพื่อไม่ให้มีการสอนเหมือนกับสำนักอื่นๆ

ยกตัวอย่างเช่น

สอนว่า ละหมาด ชดใช้ ไม่มี ( เป็นการเล่นคำ )
แต่ในภาษา อาหรับ ที่ตัวเองยกมาว่า หากเวลาละหมาดหมด ละหมาดไม่ทัน ก็ให้ ละหมาดเวลาที่ขาดก่อน โดยเขียนว่า ละหมาดกอดอ หรือ ละหมาดชด
นี่คือ การสอน เพื่อจะไม่ให้ตรงตามแนวทางคนอื่น กับคำแค่ว่า ละหมาดชดใช้ ยังบอกไม่มี ซึ่งหากถามต่อไปเรื่อยๆ
ก็จะเหมือนกับละหมาด ชดใช้ ตามแนวทางทั่วๆ ไปนั่นแหละ

สอนว่า บิดอะ มีบิดอะเดียว ( เป็นการสอนคลุมเครือ )
แต่เอาเข้าจริง ก็อ้างว่า บิดอะมี บิดอะทางภาษา กับ บิดอะทางศาสนา สรุปแล้ว บิดอะก็มีสองแบบอยู่ดี
แล้วจึงอ้างกลับว่า บิดอะศาสนา หรอกที่เป็นบิดอะเดียว ซึ่งไม่กินกับปัญญา เนื่องจาก ขยายความฮะดิส ขยายแล้วขยายอีก เพื่อจะเอาให้เข้าแนวทางของต้นไม่จบสิ้น
เสมือนหากเราถามเขาว่า บิดอะมีกี่ประเภท เขาจะตอบอย่างชัดเจนว่า มี 1 แต่พอกล่าวว่า บิดอะฮะซะนะ ที่ท่านอุมัรพูด เขาก็จะตอบว่า นั่นเป็น บิดอะทางภาษา แล้ว เช่นนี้ จะมีบิดอะเดียวได้อย่างไร
สอนเอง ก็เลยงงเอง ผมก็งง เหมือนกัน แทนที่จะบอกว่า บิดอะมีสองประเภท แต่แบ่งเป็น บิดอะภาษา กับ บิดอะทางศาสนา ก็จบเรื่อง

ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่า พวกเขาคิดกันได้อย่างไร
วัลลอฮฺอะลัม
วัสลาม...

[As-Zaleek]

 salam



วะฮาบีเขามีโลโก้ที่ว่า  ตามอัลกุรอานซุนนะฮ์  บนนแนวทางของซอฮาบะฮ์และแบบฉบับสะลัฟ

เท่าที่ผมสังเกตุน่ะครับ  คือทางเรานั้น  จะมีหลักพื้นฐานของศาสนาโดยนำมาจากอัลกุรอาน  ซุนนะฮ์  ซอฮาบะฮ์  สะละฟุศศอลิห์  ตลอดจนมัซฮับืทั้ง 4  แต่วะฮาบีนั้น  ยึดหลักฐานของอุลามาอฺรุ่นหลัง  ท่านอิบนุตัยมียะฮ์  ท่านอิบนุก็อยยิม  มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ  ดังนั้นอะไรที่ไม่ตรงกับทัศนะของอุลามาอฺที่พวกเขาเชิดชู  ก็จะทำการคัดค้านทันที  หากมีตัวบทฮะดีษที่ขัดแย้ง  วะฮาบีก็จะทำการตัดสินมันฎออีฟทุกวิถีทาง  หรืออธิบายฮะดีษให้เข้ากับแนวทางของตน  หากบรรดาซอฮาบะฮ์ได้กระทำ  พวกเขาจะบอกว่านบีไม่ได้กระทำ   หากท่านอะลีและท่านอุษมานทำ  พวกเขาก็จะบอกว่านบีและท่านอะบูบักรกับท่านอุมัรไม่ได้ทำ  เมื่อมีซอฮาบะฮ์ท่านอื่น ๆ ทำ  พวกเขาก็จะบอกว่ามนุษย์มีผิดมีถูก  (คือหากไม่ตรงกับทัศนะของวะฮาบีก็จะผิด)  พวกเขาอ้างว่าตามสะลัฟ  แต่เมื่อประเด็นใดที่สะลัฟทำแต่ไม่ตรงกับทัศนะวะฮาบี  พวกเขาก็จะบอกว่า  นบีไม่ได้ทำ  มนุษย์มีผิดมีถูก 

แต่หากซอฮาบะฮ์หากมีซอฮาบะฮ์สักคน  หรือสะลัฟสักคน  ที่มีทัศนะตรงกับวะฮาบี  พวกเขาจะเชิดชูและทำเหมือนกับว่าซอฮาบะฮ์คนนี้หรือสะลัฟคนนี้ไม่ผิด  พอเวลาเราอ้างอิงทัศนะของอุลามาอฺที่ตรงกับวะฮาบี  พวกเขาก็จะคัดค้าน  แต่เวลาตรงกับทัศนะตน  ก็จะอ้างอุลามาอฺกันเป็นพรวนเลยล่ะ 

ปากบอกไม่ตะวีลตีความ  กล่าวหาว่ามันเป็นการบิดเบือนความหมายอัลกุรอานและเป็นการปฏิเสธซีฟัต  แต่เวลาเราเอาหลักฐานการตีความของซอฮาบะฮ์และสะลัฟ  วะฮาบีก็ทำไม่รู้ไม่ชี้  เที่ยวกล่าวหาคนอื่นร่ำไปตามหลักอะกีดะฮ์ที่ตนยึดอยู่

ซ้ำร้ายเมื่อเราอ้างอิงอุลามาอฺ  มีวะฮาบีบางคนบอกว่า  ตำราของอุลามาอฺก็เหมือนหนังสือพิมพ์   แต่เวลาตนเองอ้างอุลามาอฺบ้าง  ก็ตีบุ่ยไม่รู้ไม่ชี้ 

เหมือนกับว่าวะฮาบีนั้นมีหลักพื้นฐานศาสนาที่กลับกลอกชอบกล   

[al-firdaus~*]

ตามที่เข้าใจนะคะ

พวกเขาพยายามโพสต์คำพูดของสะลัฟ...โดยที่ตนเองไม่เข้าใจว่าคำพูดของสะลัฟนั้นหมายถึงอะไร?
พวกเขาต้องการโพสต์แค่คำพูดของสะลัฟเพื่อนำมาเป็นฉากหน้าให้แก่แนวทางของตน...แม้ว่าบางครั้งคำพูดนั้นไม่ได้สนับสนุนอะกีดะฮ์ของพวกเขาเลย
เห็นได้ว่าวะฮาบีเองนั้นกำลังสับสนกับหลักเนื้อหาของอะกีดะฮ์ของตน....จึงยึดแค่ชื่อของตนเองที่ถูกสอนมาว่านี่แหละแนวสะลัฟ...ขอหรูแลดูดีไว้ก่อน


ที่มาของ สะลัฟสติวเด้นท์งัย