ผู้เขียน หัวข้อ: เราจะอิบาดะฮโดยเห็นอัลเลาะฮ์ตามที่ท่านนบีกล่าวไว้ได้อย่างไร?  (อ่าน 5410 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته وطيباته

بسم الله الرحمن الرحيم

أحمد الله على نعمه وألائه ، وأصلى وأسلم على نبيه محمد وعلى أله وصحبه والتابعين

ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  วจนะ เกี่ยวกับ มะกอม(ตำแหน่ง) อัลอิหฺซาน ไว้ว่า

إعبد الله كأنك تراه فإن لم تكن تراه فإنه يراك

"ท่านจงอิบาดะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์ เสมือนกับท่านเห็นพระองค์  ดังนั้น  หากท่านไม่เคยเห็นพระองค์  แท้จริงแล้ว พระองค์ก็ทรงเห็นท่าน"  รายงาน โดย อิมามอัลบุคอรีย์

หากจะถามกลุ่มวะฮาบีย์ว่า ให้อธิบายคำว่า "ท่านจงอิบาดะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์ เสมือนกับท่านเห็นพระองค์" นั้น  พวกเขาไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากมาย  อันเนื่องจากพวกเขาไม่ใส่ใจตะเซาวุฟ  หรือสภาวะของจิตใจในการเข้าหาอัลเลาะฮ์  พวกเขามุ่งเน้นเพียงแค่การปฏิบัติภายนอกอย่างสุดโต่ง  จนลืมเยียวยาสภานะภาพทางจิตใจ  ซึ่งทำให้หัวใจแข็งกระด้าง  จนส่อให้เห็นถึงพฤติกรรมอันกร้าวร้าวในการฮุกุ่ม ตัดสิน พี่น้องมุสลิม  ที่มีหลักปฏิบัติต่างกับตน  ว่าทำเป็นบิดอะฮ์ที่ลุ่มหลง  แม้กระทั่งเรื่องข้อปลีกย่อย  ก็ไม่ยกเว้น  และหากพวกเขาถูกชี้แจงไปแล้ว  ก็ยังมีจิตใจที่แข็งกระด้างไม่เปิดใจยอมรับหลักการและทัศนะของคนอื่น  

เป็นที่ทราบกันดีว่า  ศาสนาประกอบด้วยหลัก 3 ประการ  คือ  อัลอิสลาม  อัลอีหม่าน  และอัลอิหฺซาน  ซึ่งทั้งสามประการนี้  คือสายเชือกแห่งอัลเลาะฮ์  ที่พระองค์ทรงให้บรรดามุสลิมมีนยึดมันเอาไว้   หากเราพิจารณาถึงคำว่าเชือกนั้น  เราจะพบว่า  มันต้องประกอบขึ้นหลายขดเพื่อให้มีความมั่นคงและคงทน  ฉันท์ใดฉันท์นั้น  ศาสนาอิสลามก็เช่นเดียวกัน  ที่จำต้องมีทั้ง  หลักอิสลาม  หลักอีหม่าน และหลักอิหฺซาน  รวมกันเพื่อผูกยึดความเป็นมุสลิมของเราไว้  

และเป็นที่ทราบดีอีกเช่นกันว่า  หลักการอิหม่าน  ต้องได้รับมาจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์  โดยผ่านการวิเคราะห์วินิจฉัยมาจากปวงปราชญ์แห่งโลกอิสลาม  ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน   จนได้รับขนานนามว่า  อากิดะฮ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  จากอัลอะชาอิเราะฮ์  อัลมะตูริดียะฮ์  และอัลอะษะรียะฮ์

หลักการอิสลาม  เช่น  การกล่าวกะลิเมาะฮ์ชะฮาดะฮ์  การละหมาด  การออกท่านซะกาต และอื่น ๆ จากหลักการนิติศาสตร์อิสลาม นั้น  ต้องได้รับมาจากหลักการของอัลกุรอานและซุนนะฮ์เป็นต้นแบบ  และหลักฐานทางด้านนิติศาสตร์อื่น ๆ ที่สะละฟุศศอลิหฺ ได้วางกฏเกนฑ์ไว้  เป็นรอง  โดยผ่านการวิเคราะห์  วิจัย  และวินิจฉัยหลักการต่าง ๆ ผ่านปวงปราชญ์แห่งโลกอิสลามผู้แบกรับหลักการอิสลามจวบจนถึงปัจจุบัน  นั่นคือ มัซฮับทั้ง 4

หลักการอัลอิหฺซาน  ก็ต้องได้รับมาจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์  โดยผ่านการวินิจฉัย  ลิ้มรส  จากหลักการเหล่านั้น  โดยผ่านนักปราชญ์ซูฟีย์ผู้มีคุณธรรมตามทัศนะของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  เช่นบรรดาซอฮาบะฮ์  สะละฟุศศอลิหฺ  และนักปราชญ์ผู้มีคุณธรรม  เช่น  ท่านอิมาม อัชชาซิลีย์  , ท่านอิมาม อัลญุนัยด์ อัลบุฆดีย์ , ท่านอิมาม อับดุลกอดิร อัลญัยลานีย์  , อิมามอัลฆอซาลีย์ , และอิมามอิบนุอะฏออิลและห์  เป็นต้น  

แล้วอะไรคือ  มะกอม(ตำแหน่ง) อัลอิหฺซาน  ที่กล่าวว่า  "ท่านจงอิบาดะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์ เสมือนกับท่านเห็นพระองค์"  ซึ่งถ้อยคำหะดิษนี้  ยกมาอ้างกันง่าย  แต่การอธิบายรายละเอียดจากการลิ้มรสหรือวินิจฉัยด้วยจิตใจของปวงปราชญ์นั้น  ไม่ยาก  เนื่องจากหากไม่เคยลิ้มรส ก็คงจะสาธยายและชี้ทางนำให้ไม่ได้   หนังสือ  จิตวิทยาอิสลาม  ทางนำไปสู่อัลเลาะฮ์  บรรยายโดย ท่านอาจารย์อาลี บินยูนุส บินไชยา มักกะฮ์ (ครูลี ไชยา) (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) นี้  ผมได้เคยอ่านมาหลายปีแล้ว  และคิดว่า  มันสามารถเป็นคำตอบได้อย่างดี เกี่ยวกับคำถามที่ว่า  เมื่อหะดิษนบี(ซ.ล.) กล่าวว่า" "ท่านจงอิบาดะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์ เสมือนกับท่านเห็นพระองค์"   แล้วเราจะเห็นอัลเลาะฮ์อย่างไร??  ซึ่งคำอธิบายหะดิษนี้  ถูกมอบให้ปวงปราชญ์นักมุจญฺฮิดทำการอธิบาย
 :arrow:
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
วิธีการละหมาดโดยได้เห็นอัลเลาะฮ์

ท่านพี่น้องที่เคารพทั้งหลาย ท่านคงจะเคยได้ฟังคำถามจากพี่น้องของท่านอยู่เสมอว่า ทำอย่างไรหนอเวลาทำละหมาดจิตใจจึงจะไม่คิดถึงเรื่องโน้น เรื่องนี้ต่างๆ นานา เเละทำอย่างไรจึงจะได้นึกถึงอัลเลาะฮ์ หรือไม่เช่นนั้นท่านเองก็คงจะเคยฉงนสนเท่ห์ในเรื่องดังกล่าวในจิตของท่านเอง  ดังนั้น  จิตของท่านก็จะถามตัวท่านเองอยู่เสมอว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่นึกถึงเรื่องต่างๆ เวลาละหมาด

 และขณะนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ผมจะพาท่านไปพบกับวิธีการละหมาดที่จะทำให้จิตของท่านไม่คิดถึงเรื่องต่างๆ โดยได้เห็นอัลเลาะฮ์ ได้คิดถึงอัลเลาะฮ์อยู่เสมอ ก่อนที่ท่านจะได้รู้วิธีละหมาดที่จะให้เห็นอัลเลาะฮ์นั้น ผมจะพาท่านไปพบกับวิธีการไล่ภาพโลกหรือมโนภาพทีมันแวบเข้ามาในจิตให้ท่านได้รู้ก่อน ซึ่งจากคำของท่านอิหม่ามชาฟิอีได้กล่าวไว้ว่า มโนภาพที่ได้มาปรากฏอยู่ในจิตด้วยการนึกคิดของท่านนั้นมันเปรียบเสมือนกับสุนัขนั่นเอง เพราะฉะนั้นท่านจงไล่มันออกไปเสียโดยให้เจ้าของ ๆ มันคืออัลเลาะฮเป็นผู้มาไล่ ความหมายก็คือว่า บรรดามโนภาพนั้นมันมาจากอัลเลาะฮ์ให้ท่านคิดว่านั้นเเหละคือสิ่งที่อัลเลาะฮ์ให้มาปรากฏเด่นชัดในจิตของท่าน

เพราะฉนั้นเมี่อในจิตของท่านมีอะไรเกิดขึ้น นึกคิดสิ่งใดก็ให้นึกคิดกึงอัลเลาะฮ์ทันที เมื่อจิตของท่านนึกถึงอัลเลาะฮ์ ภาพโลกก็จะหายไปจากจิต (เพราะว่าในจิตของท่านนั้นจะมีสองสิ่งรวมกันไม่ได้)ถ้าหากมีภาพโลก อัลเลาะฮ์ก็จะหายไป ถ้าหากมีอัลเลาะฮ์ภาพโลกก็จะหายไป เเละเมื่อมันมาใหม่อีก ก็ให้นึกถึงอัลเลาะฮ์อีก ภาพโลกมันก็จะหายไปจากจิตของท่านอีก เมื่อท่านปฎิบัติอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เป็นเวลานานเข้า จิตของท่านก็จะนึกถึงอัลเลาะฮ์ก่อนที่ภาพโลกจะเข้ามาแซง ดังมีคำกล่าวของหลักวิชานี้กล่าวว่า เห็นอัลเลาะฮ์ก่อนเห็นโลก และพอนานๆไปอีกภาพโลกจะเข้ามาแซงในจิตของท่านมิได้เลย เพราะเมื่อมันเริ่มจะมา ท่านก็ข้ามมันไปก่อนคือไปหาอัลเลาะฮ์เสียก่อน เพราะว่าในจิตของท่านนั้นจะมีสองสิ่งรวมกันไม่ได้ถ้าหากมีภาพโลก อัลเลาะฮ์ก็จะหายไป ถ้าหากมีอัลเลาะฮ์ภาพโลกก็จะหายไป แต่วิธีการทีจะปฏิบัติ ให้ภาพโลกหายไปจากจิตโดยให้จิตว่างเปล่านั้น ไม่ใช่หลักการของอิสลาม
หลักการของอิสลามก็คือไล่ภาพโลกออกจากจิต โดยเอาอัลเลาะฮ์เข้ามา แทน

สรุปความแล้ว การฝึกจิตตามหลักการดังกล่าวมีอยู่สามชั้นหรือสามระยะคือ

1 มองเห็นโลกกอ่นที่จะมองเห็นอัลเลาะฮ์ หมายความว่า เอาโลกเป็นสื่อมองอัลเลาะฮ์

2. มองเห็นโลกพร้อมกับมองเห็นอัลเลาะฮ์อยู่ด้วย หมายความว่า เมื่อเห็นโลกก็เห็นอัลเลาะฮ์พร้อมกันไปด้วย

3 มองเห็นอัลเลาะฮ์ก่อนเห็นภาพโลก หมายความว่า ภาพโลกไม่อาจมาแซงในจุดได้เลย เพราะก่อนจะเห็นโลกเขาเห็นอัลเลาะฮ์ก่อนเสียแล้ว ถึงเเม้ว่าภาพโลกจะปรากฏในจิต แต่เขาก็จะไม่ลืมอัลเลาะฮ์เลย และเขานึกถึงอัลเลาะฮ์อยู่เสมอ ตลอดเวลา

ระยะที่หนึ่งเป็นระยะของผู้ฝึกจิต เพระเขาจะต้องเอาโลกเป็นสื่อไปหาอัลเลาะฮ์ก่อน พอนานๆ เข้ากจะเลื่อนเป็นขั้นที่สองในจิตของเขา เมื่อนานไปอีกยิ่งซาบซึ้งขึ้นก็จะเสื่อนไปอยูในระยะที่สาม ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นผู้รู้จักอัลเลาะฮการไล่มโนภาพออกจากจิตดังกล่าวนั้นเป็นการไล่มโนภาพแบบผู้ดีแบบผู้ฉลาด เพราะว่าผู้ฉลาดนั้นเขาจะใช้วิธีการที่แยบยลเพื่อทำให้ศัตรูพ่ายแพ้ได้อย่างงายดาย ไม่ใช่ด้วยการใช้กำลังเข้าประจันบานต่อหน้าซึ่งกันและกัน เพราะท่านก็รู้เเก่ใจอยู่แล้วว่า ภาพโลกในมิติของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาละหมาดนั้นมันเป็นกลลวงจากชัยตอนมารร้ายที่ต้องการจะทำลายสมาธิ ทำลายความนึกคิดถึงอัลเลาะฮ์ของท่านเพราะฉะนั้นท่านจงถือว่าชัยตอนเป็นศัตรูของท่าน ท่านจงใช้กลลวงกับภาพโลกตัวมารร้าย ด้วยวิธีเอาอัลเลาะฮ์มาไล่ให้กระเจิงถอยไปจากจิต

จิตของท่านก็จะจับอยู่แต่อัลเลาะฮ์ตลอดไปนี้เเหละคือวิธีการที่จะทำให้ท่านได้เห็นอัลเลาะฮ้โดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นในเวลาละหมาดหรือในเวลาอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาละหมาด ยิ่งภาพโลกเข้ามามาก ก็ยิ่งคีดถึงอัลเลาะฮ์มากเท่านั้นสมมุติว่าจิตของท่านมองเห็นภาพวัวคือคิดถึงมัน จิตของท่านก็ถามมันได้เลยทันทีว่า ? วัวจ๋าวัว เจ้ามาจากไหน ? จิตของท่านก็จะตอบได้เลยว่า ? อัลเลาะฮ์ ?เพราะฉะนั้นจิตของท่านก็ได้จับอัลเลาะฮ์โดยผ่านทางภาพวัวนั้นและถ้าหากว่า ท่านสู้กับชัยตอนโดยซึ่งๆ หน้า คือจิตของท่านมัวเมาหลงไหล และเพ้ออยู่ต่อภาพโลกโดยไม่คิดถึงอัลเลาะฮ์แล้ว ผลร้ายมันก็เกิดขึ้นกับท่านเอง ท่านจะไม่ซาบซึ้งต่ออัลเลาะฮ์เลย ตัวอย่างคือ สมมุติว่าท่านไปหาผู้หลักผู้ใหญ่หรือเจ้านาย ซึ่งหน้าบ้านของเขาเลี้ยงสุนัขดุไว้เข้าบ้าน เมื่อท่านเดินเข้าไปสุนัขร้ายก็จะเข้ามาทำร้ายท่าน ถ้าท่านมัวทะเลาะอยู่กับสุนัขแล้ว แน่นอนผลร้ายก็จะเกิดเเก่ท่าน และวิธีการทีจะเข้าถึงเจ้าของบ้านโดยไม่ทะเลาะกับสุนัขก็คือ ให้ท่านเรียกเจ้าของมาขับไล่สุนัขซึ่งจะมาทำร้ายท่านออกไปเสีย นี้แหละเป็นวิธีเดียวกันกับการไล่ภาพโลก ซึ่งเปรียบเหมือนสุนัข โดยเรียกเจ้าของมาไล่คืออัลเลาะฮ์นั่นอง เป็นวิธีไล่ภาพโลกเเบบผู้ดี
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
คุณสมบัติทางด้านจิตใจของการละหมาด

ความนอบน้อมถ่อมตน (คุชูอ)

คณสมบัติอีกประการนึงในการละหมาดก็คือการมีคุชูอซึ่งได้ถูกกล่าวไว้ใน
คัมภีร์กรอ่านว่า

?ความสำเร็จเป็นของผู้ศรัทธาที่นอบน้อมถ่อมตนในการนมาซของเขา? (กรุอาน 23: 1-2)

ในพจนานุกรม ความหมายของคำว่าคุชูอ ก็คือ การที่ใครคนหนึ่งอยู่ ในสภาพทีลำตัวงอ เสียงเบาแล้วหลบสายตาลงพื้นซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความนอบน้อมถ่อมตน ความอ่อนแอและต่ำต้อย ดังนั้น การละหมาดจะต้องแสดงออกถึงความนอบน้อมถ่อมตน ความอ่อนแอและความต่ำต้อยต่ออัลลอฮ์ ถ้าหากสภาพเช่นนี้ไม่เกิดขึ้น วัตถุประสงค์ทีแท้จริงของการละหมาดก็จะสูญหายไป

คิดและทำความเข้าใจ

จงคิดถึงอายะฮและสิ่งที่ถูกอ่านในการนมาซและรู้สึกตามนั้นแน่นอนเลยการคิดถึงความหมาย การทบทวนและการตอบสนองต่อ ถ้อยคำเหล่านี้เป็นวิธีการทีดีที่สุดอย่างหนึ่งในการเพิ่มความคุชูอ (การยอมสยบนบนอบ) ด้วย ถ้าเราไม่ให้ความสนใจในความหมายของลงที่อ่าน มันก็จะไม่มีผลต่อหัวใจของเราดังที่อัลลอฮทรงกล่าวว่า ?และพวกเขาซบหน้าหน้าลงบนพื้นพลางร้องไห้และมันจะเพิ่มความสยบนบนอบแก่พวกเขา? (กุรอาน 1 7 : 09)

ท่านนบีได้กล่าวว่า หลังจากการชำระล้างร่างกายอย่างครบถ้วนแล้ว ถ้าใครละหมาดด้วยความเข้าใจในสิ่งที่เขากล่าวไปเมื่อเสร็จสิ้นละหมาด เขาจะเป็น(เด็กบริสุทธิ์)เหมือนกับเด็กในวันที่แม่ของเขาคลอดเขาออกมา?

การวิงวอนด้วยความนอบน้อมถ่อมตน (ตะฎ็อรรุอ)

ความหมายของคำว่า ตะฎ็อรรุอ ก็คือการวิงวอนด้วยความถ่อมตนและความร้สึกเสียใจอย่างที่สุด ในระหว่างการละหมาด ผู้ละหมาด

ควรจะอยู่ในสภาพของผู้ขออย่างนอบน้อมถ่อมตนและยอมจำนน ?จงวิงวอนต่อพระผู้อภิบาลของเจ้าด้วยความนอบน้อมถ่อมตน
และโดยลับๆ? (กุรอาน 7 :55)

การตัดทุกสิ่งทุกอย่าง (ตะบัตตุล)

การตัดตนเองออกจากทุกสิ่งยกเว้นอัลลอฮเพื่อที่ จะมุ่งตรงต่อพระองค์ นี่คือวัตถุประสงค์ทีแท้จริงของชีวิตมุสลิม ในระหว่างการละหมาดจะต้องขจัดความคิดทุกอย่างออกไปจากจิตใจให้หมดยกเว้นความคิดถึงความเป็นใหญ่ของอัลลอฮและความต่ำต้อยของตัวเราเอง

ขณะที่ท่านนบีกำลังสอนวิธีการทำความสะอาดร่างกายและการละหมาดอยู่นั้น ท่านได้บอกเขาว่าหลังจากการอาบน้ำละหมาดแล้ว ถ้าหากเขาละหมาดและสรรเสริญอัลลอฮ สดุดีและประกาศความยิ่งใหญ่ของพระองค์และแสดงความแน่วแน่ต่อพระองค์ บาปของเขาจะหลุดไปจากเขาเหมือนกับวันที่แม่ของเขาให้กำเนิดเขา

การมุ่งตรงต่ออัลลอฮ (กุนูต)

คุณสมบัดิทางด้านจิตใจประการหนึ่งของการละหมาดก็คือการมุ่งตรงต่ออัลลอฮ (กุนูต) อัลลอฮได้ทรงกล่าวไว้ในกุรอานว่าและจงยืนต่อหน้าอัลลอฮด้วยจิตใจที่มุ่งตรง? (กุรอาน 2: 238)

ในระหว่างการละหมาด กิจกรรมและการ พูดจาของมนุษย์ทุกอย่างจะต้องหยุดหมด สิ่งทีจะหลงเหลืออยู่ในเวลานั้นก็คือการรำลึกถึงอัลลอฮ การอ่านกุรอาน การสดุดีและสรรเสริญอัลลอฮ์ การออภัยโทษ การยืนยันความเป็นหนึ่งของอัลลอฮ์และการกล่าวแสดงความเคารพ ถ้าหากสิ่งหนึ่งสิ่งใดดังที่กล่าวมาไม่มีอยู่ในการละหมาดแล้ว คุณสมบัติของการละหมาดก็จะลดลงไปตามสัดส่วน

ความบริสุทธิ ใจ (อิคลาศ)

ความบริสุทธิ์ใจเป็นแก่นสาระสำคัญของกาการละหมาด มันหมายความว่าวัตถุประสงค์อย่างเดียวของการละหมาดคือการเคารพสักการะอัลลอฮ มิเช่นนั้นแล้วการละหมาดก็จะกลายเป็นแค่เพียงการโอ้อวดและการเสแสร้ง

?และจงตั้งหน้าของสูเจ้าให้มันยังพระองค์เสมอในทุกสถานที่ของการละหมาด และจงวิงวอนต่อพระองค์ด้วยความเป็นผู้บริสุทธิ์ใจในการศรัทธาต่อพระองค์? (กุรอาน 7:29)

นี่เป็นแสดงวาความจริงใจในการนมาซเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความสมบูรณ์ของการละหมาด

การรำลึกถึงอัลลอฮ (ซิกร์)การละหมาดก็คือการำลึกถึงอัลลอฮ ถ้าหากหัวใจยังคงหมกมุ่นอยู่วับสิ่งอื่นใดนอกไปจากสิ่งทีลิ้นกำลังกล่าวแล้ว

แน่นอน มันก็มิใช่การลึกถึงอัลลอฮทีแท้จริง อัลลอฮทรงกล่าวไว้ในกุรอานว่า

?จงดำรงนมาซเพือรำลึกถึงฉัน? (กุรอาน 20: 14)

จะเห็นได้ว่า ?การรำลึกถึง?นั้นมิใช่แค่เพียงการกล่าวถ้อยคำด้วยลิ้น แต่มันจะต้องกล่าวพร้อมกันไปกับความตั้งใจและจริงใจอย่างเต็มที่ นีคือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการละหมาด

เกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นนั้น มีคำสั่งสอนและแบบอย่างในการปฎิบัติของท่านนบีที่ได้กล่าวเกี่ยวกับความจริงของการละหมาดไว้

ครั้งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งได้เข้ามายังมัสญิดของนบีแล้วทำการละหมาดอย่างรีบเร่ง หลังจากนั้นเขาก็มาก็มาทักทายนบี หลังจากตอบรับคำทักทายแล้ว ท่านนี้ก็ได้บอกชายผู้นั้นให้เขากลับไปละหมาดอีกเพราะเขายังไม่ได้ ละหมาดชายคนนั้นจึงได้กลับไปละหมาดใหม่ เมื่อเมื่อเขาละหมาดเสร็จแล้วเขาก็มาหาท่านนบีอีกครั้งหนึ่ง ท่านนบีก็บอกให้เขากลับไปละหมาดใหม่อีก เขาก็ทำตาม และเมื่อเสร็จแล้วเขาที่มาหาท่านนบีอีก เมื่อท่านนบีบอกเขาเป็นครั้งที่สามว่าให้กลับไปละหมาดใหม่อีกครั้งหนึ่ง ชายคนนั้นก็ได้กลาวแก่ท่านนบีว่า? ฉันรู้ว่าจะละหมาดอย่างไรให้ดีกว่านี้ ขอความกรุณาท่านได้ช่วยสอนละหมาดให้แก่ฉันหน่อยเถิด ดังนั้น ท่านนี้จึงได้บอกเขาถึงวิธีการยืนวิธีการอ่านกุรอาน วิธีโค้งและ วิธีการกราบด้วยความสงบ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
เคลื่อนไหวตามขั้นตอนการนมาซอย่างนอบน้อม

อบูเกาะตาด๊ะฮไดัเล่าว่า ?ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า รูปแบบของการโขมยที่เลวที่สุดก็คือคนที่ขโมยจากการละหมาด เขาจึงถามว่า ท่านรอซูลุลลอฮเป็นได้อย่างไรที่ใครจะขโมยจากการละหมาดของเขา ท่านนบืจึงได้ตอบว่าโดยการไม่โค้งและกราบอย่างเหมาะสม? (บันทึกโดยอะหมัดและอัลฮากิม)

นึกถึงความตายในขณะละหมาด

ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า ?จงนึกถึงความตายในการละหมาดของท่านเพราะคนที่นึกถึงความตายในขณะกำลังละหมาดจะละหมาดอย่างดีและจงละหมาดอย่างคนทำไมคิดว่าเขาจะไม่นมาซเป็นอย่างอื่น? (ฮะดีษฮะซัน)

สาวกคนหนึ่งขอให้ท่านนบีได้มาขอคำแนะนำบางอยางจากท่าน ท่านนบีจึงได้กล่าวว่า เมื่อท่านยืนละหมาดการละหมาดของทานควรจะเป็นเหมือนกับว่าท่านกำลังตายและกำลังจากโลกนี้ไปในตอนนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำเช่นนั้นได้ในการละหมาด แต่ก็เราก็จะต้องพยายามให้ถึงที่สุด

มีความรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังยืนอยู่ต่อหน้าอัลลอฮ

ครั้งหนึ่งได้มีคนถามท่านนบีว่าเอี๊ยะฮซาน(คุณธรรมความดี)คืออะไร ท่านนบีได้ตอบว่า การเคารพสักการะอัลลอฮเหมือนกับว่าท่านเห็นพระองค์ และถ้าหากท่านไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ท่านก็จะต้องถือว่าพระองค์กำลังมองท่านอยู่ หลายครั้งด้วยกันที่ท่านนบีดื่มด่ำอยูกับการละหมาดและมีน้ำตาไหลออกมา สาวกคนหนึ่งซึ่งเห็นสภาพเช่นนั้นของท่านนบีได้เล่าว่า เมื่อนบีละหมาดจะมีเสียงเหมือนกับเสียงของกาต้มน้ำกำลังเดือดออกมาจากภายในตัวท่านเพราะการหลั่งน้ำตาของท่าน

ถ้าหากการละหมาดถูกทำไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ มันจะเป็นวิธีการที่มีผลอย่างมากต่อการปฎิรูปชีวิตทางศิลธรรมและจิตใจของแต่ละคน ... วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
จากสิ่งที่ผมได้นำเสนอไปนั้น  หากท่านผู้อ่านไม่เข้าใจตรงใหน  ก็ถามได้  ซึ่งทางเราจะพยายามอธิบายให้ครับ  อินชาอัลเลาะฮ์
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
คุณลายเคง หนึ่งในมิตรสหายของเรา  เคยออกความเห็นที่ดีเลยทีเดียว  ความว่า

เวลาอ่านอัลฟาติฮะฮ์ในละหมาด  ตอนอายะฮ์ที่ว่า

إياك نستعين

"พระองค์เท่านั้น ที่เราขอความช่วยเหลือ"  

ดังนั้น พระองค์เท่านั้น  ที่จะช่วยเหลือให้เราทำอิบาดะฮ์บริสุทธิ์ใจ  ความช่วยเหลือพระองค์เท่านั้นที่ชี้นำให้เรากระทำความดีงาม  เมื่อเราสำนึกอยู่เสมอว่า  พระองค์เท่านั้นที่ช่วยเหลือให้เราปฏิบัติความดีงาม  แล้วท่วงท่าการละหมาดของเรา  จิตใจของเรา  จะไปนึกถึงใครได้อีกเล่านอกจาก พระองค์ผู้ทรงช่วยเหลือให้เราปฏิบัติความดีงาม  และเราก็จะไม่มองไปยังตนเองว่า  เรานี่แหละที่ขยันทำความดีต่อพระองค์  เนื่องจากเรามองไปยังพระองค์ว่า พระองค์ตากหากที่ช่วยเหลือโดยชี้นำให้เราขยันกระทำความดี  ซึ่งทั้งหมดนั้นเพราะว่า

إياك نستعين

"พระองค์เท่านั้น ที่เราขอความช่วยเหลือ"  
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ almadany

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 346
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อัสลามุอะไลก้ม....เป็นบทความที่ดีมากครับ...สุดยอดไปเลย...แต่ต้องฝึกฝนพอสมควร..กว่าจะละหมาดเห็นอัลเลาะฮ์ได้ตามที่หะดิษได้ระบุเอาไว้....วัสลาม

ออฟไลน์ zaiyideen

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 37
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
ผมขอเสริมนิดในแนวทางที่ผมกำลังฝึกอยู่
คือผมเจอบทความหนึ่งและนักบรรยายท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า
การกระทำอะไรก้อตามแต่ถ้าเราเริ่มต้น ด้วย บิสมิลลาห์ แน่นอนเราปราถนาให้อัลเลาะห์อยู่กับเราเสมอ
ผมก้อเลยหัดทำดังนี้ เปิดประตูบ้าน ปิดประตูบ้าน ก้อกล่าว บิสมิลลาห์ ต่อมาก้อภาชนะต่างๆก่อนจะเปิดหรือปิด
ผมก้อ กล่าว บิสมิลลาห์ หัดทำไปอีก เวลาผมจะหยิบจับอะไร ผมก้อเอยคำว่า บิสมิลลาห์ จนบางครั้งนะครับ ผมนั่งเฉยๆนั่งมองอะไรเพลิดๆก้อนึกถึงคำว่า
บิสมิลลาห์ แต่แค่นึกในใจนะครับ  นี้ผมก้อกำลังฝึกไปเรื่อย
ซึ่งตอนนี้ผมก้อมองย้อนมาเรื่อง อดีตที่ผมเคยทำคือ เมื่อก่อนสมัยหนุ่มๆผมเล่นกีตาร์ ด้วยความที่ว่าผมต้องจำในการสโลจังหวะทำนองเพลงนั้นๆ
มือผมนี้ ยิกยักๆ อยู่ตลอดเลย จนเกิดการเคยชินไปเลยในสมัยนั้น
แต่พอตอนนี้ผมก้อลองเอาแนว ในการทำสม่ำเสมอ คือทำอะไรก้อ บิสมิลลาห์ (แต่ทำในสิ่งที่เหมาะสม) ล้างมือผมก้อ บิสมิลลาห์
มีบางครั้งผมเดินเล่นๆนะพี่น้อง ผมก้อ บิสมิลลาห์ ในทุกย่างก้าว (แต่มิได้ทำตลอดนะพี่น้อง แต่ทำในขณะนึกขึ้นได้) ตอนนี้ผมก้อสอนลูกๆว่าลูกเอย
เวลาลูกนั่งในห้องเรียนนะลูก ลูกต้องการใกล้ชิดอัลเลาะห์มั้ย ถ้าลูกต้องต้องการก้อกล่าว บิสมิลลาห์ และผมก้อบอกลุกต่อไปอีกว่า
ถ้าเราคิดถึงอัลเลาะห์ อัลเลาะห์ก้อจะไม่ทอดทิ้งเรา (ทำนองว่าลูกศึกษาความรู้ ถ้าเราเริ่มด้วยพระนามอัลลอฮ์ อัลลอฮ์ก้อจะทรงเพิ่มพูนความรู้ให้เรามากยิ่งขึ้น)
ตอนนี้เชื่อมั้ยครับพี่น้อง จิตใจผมเวลาคิดจะทำเรื่องไร้สาระ  บิสมิลลาห์ ก้อผุดขึ้นมา
ผมบางครั้งนั่งยิ้มเล็กๆแล้วคิดภายในใจว่า นี้อัลเลาะห์ทรงตักเตือนเรา เนื่องจากเรานึกถึงอัลเลาะห์เสมอ ก้ออาจเป็นไปได้
บทความนี้อาจยาวไปแต่ผมแค่เล่าในสิ่งที่ผมได้ฝึกฝนกระทำอยู่นะครับ ถ้าเป็นบทความไม่ถูกกับกระทุ้นี้ ก้อขออภัยด้วยนะครับ

ออฟไลน์ azri

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 36
  • จะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไรในเมื่อตัวเองยังไม่รู้จัก
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
วิธีการละหมาดโดยได้เห็นอัลเลาะฮ์

ท่านพี่น้องที่เคารพทั้งหลาย ท่านคงจะเคยได้ฟังคำถามจากพี่น้องของท่านอยู่เสมอว่า ทำอย่างไรหนอเวลาทำละหมาดจิตใจจึงจะไม่คิดถึงเรื่องโน้น เรื่องนี้ต่างๆ นานา เเละทำอย่างไรจึงจะได้นึกถึงอัลเลาะฮ์ หรือไม่เช่นนั้นท่านเองก็คงจะเคยฉงนสนเท่ห์ในเรื่องดังกล่าวในจิตของท่านเอง  ดังนั้น  จิตของท่านก็จะถามตัวท่านเองอยู่เสมอว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่นึกถึงเรื่องต่างๆ เวลาละหมาด

 และขณะนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ผมจะพาท่านไปพบกับวิธีการละหมาดที่จะทำให้จิตของท่านไม่คิดถึงเรื่องต่างๆ โดยได้เห็นอัลเลาะฮ์ ได้คิดถึงอัลเลาะฮ์อยู่เสมอ ก่อนที่ท่านจะได้รู้วิธีละหมาดที่จะให้เห็นอัลเลาะฮ์นั้น ผมจะพาท่านไปพบกับวิธีการไล่ภาพโลกหรือมโนภาพทีมันแวบเข้ามาในจิตให้ท่านได้รู้ก่อน ซึ่งจากคำของท่านอิหม่ามชาฟิอีได้กล่าวไว้ว่า มโนภาพที่ได้มาปรากฏอยู่ในจิตด้วยการนึกคิดของท่านนั้นมันเปรียบเสมือนกับสุนัขนั่นเอง เพราะฉะนั้นท่านจงไล่มันออกไปเสียโดยให้เจ้าของ ๆ มันคืออัลเลาะฮเป็นผู้มาไล่ ความหมายก็คือว่า บรรดามโนภาพนั้นมันมาจากอัลเลาะฮ์ให้ท่านคิดว่านั้นเเหละคือสิ่งที่อัลเลาะฮ์ให้มาปรากฏเด่นชัดในจิตของท่าน

เพราะฉนั้นเมี่อในจิตของท่านมีอะไรเกิดขึ้น นึกคิดสิ่งใดก็ให้นึกคิดกึงอัลเลาะฮ์ทันที เมื่อจิตของท่านนึกถึงอัลเลาะฮ์ ภาพโลกก็จะหายไปจากจิต (เพราะว่าในจิตของท่านนั้นจะมีสองสิ่งรวมกันไม่ได้)ถ้าหากมีภาพโลก อัลเลาะฮ์ก็จะหายไป ถ้าหากมีอัลเลาะฮ์ภาพโลกก็จะหายไป เเละเมื่อมันมาใหม่อีก ก็ให้นึกถึงอัลเลาะฮ์อีก ภาพโลกมันก็จะหายไปจากจิตของท่านอีก เมื่อท่านปฎิบัติอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เป็นเวลานานเข้า จิตของท่านก็จะนึกถึงอัลเลาะฮ์ก่อนที่ภาพโลกจะเข้ามาแซง ดังมีคำกล่าวของหลักวิชานี้กล่าวว่า เห็นอัลเลาะฮ์ก่อนเห็นโลก และพอนานๆไปอีกภาพโลกจะเข้ามาแซงในจิตของท่านมิได้เลย เพราะเมื่อมันเริ่มจะมา ท่านก็ข้ามมันไปก่อนคือไปหาอัลเลาะฮ์เสียก่อน เพราะว่าในจิตของท่านนั้นจะมีสองสิ่งรวมกันไม่ได้ถ้าหากมีภาพโลก อัลเลาะฮ์ก็จะหายไป ถ้าหากมีอัลเลาะฮ์ภาพโลกก็จะหายไป แต่วิธีการทีจะปฏิบัติ ให้ภาพโลกหายไปจากจิตโดยให้จิตว่างเปล่านั้น ไม่ใช่หลักการของอิสลาม
หลักการของอิสลามก็คือไล่ภาพโลกออกจากจิต โดยเอาอัลเลาะฮ์เข้ามา แทน

สรุปความแล้ว การฝึกจิตตามหลักการดังกล่าวมีอยู่สามชั้นหรือสามระยะคือ

1 มองเห็นโลกกอ่นที่จะมองเห็นอัลเลาะฮ์ หมายความว่า เอาโลกเป็นสื่อมองอัลเลาะฮ์

2. มองเห็นโลกพร้อมกับมองเห็นอัลเลาะฮ์อยู่ด้วย หมายความว่า เมื่อเห็นโลกก็เห็นอัลเลาะฮ์พร้อมกันไปด้วย

3 มองเห็นอัลเลาะฮ์ก่อนเห็นภาพโลก หมายความว่า ภาพโลกไม่อาจมาแซงในจุดได้เลย เพราะก่อนจะเห็นโลกเขาเห็นอัลเลาะฮ์ก่อนเสียแล้ว ถึงเเม้ว่าภาพโลกจะปรากฏในจิต แต่เขาก็จะไม่ลืมอัลเลาะฮ์เลย และเขานึกถึงอัลเลาะฮ์อยู่เสมอ ตลอดเวลา

ระยะที่หนึ่งเป็นระยะของผู้ฝึกจิต เพระเขาจะต้องเอาโลกเป็นสื่อไปหาอัลเลาะฮ์ก่อน พอนานๆ เข้ากจะเลื่อนเป็นขั้นที่สองในจิตของเขา เมื่อนานไปอีกยิ่งซาบซึ้งขึ้นก็จะเสื่อนไปอยูในระยะที่สาม ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นผู้รู้จักอัลเลาะฮการไล่มโนภาพออกจากจิตดังกล่าวนั้นเป็นการไล่มโนภาพแบบผู้ดีแบบผู้ฉลาด เพราะว่าผู้ฉลาดนั้นเขาจะใช้วิธีการที่แยบยลเพื่อทำให้ศัตรูพ่ายแพ้ได้อย่างงายดาย ไม่ใช่ด้วยการใช้กำลังเข้าประจันบานต่อหน้าซึ่งกันและกัน เพราะท่านก็รู้เเก่ใจอยู่แล้วว่า ภาพโลกในมิติของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาละหมาดนั้นมันเป็นกลลวงจากชัยตอนมารร้ายที่ต้องการจะทำลายสมาธิ ทำลายความนึกคิดถึงอัลเลาะฮ์ของท่านเพราะฉะนั้นท่านจงถือว่าชัยตอนเป็นศัตรูของท่าน ท่านจงใช้กลลวงกับภาพโลกตัวมารร้าย ด้วยวิธีเอาอัลเลาะฮ์มาไล่ให้กระเจิงถอยไปจากจิต

จิตของท่านก็จะจับอยู่แต่อัลเลาะฮ์ตลอดไปนี้เเหละคือวิธีการที่จะทำให้ท่านได้เห็นอัลเลาะฮ้โดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นในเวลาละหมาดหรือในเวลาอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาละหมาด ยิ่งภาพโลกเข้ามามาก ก็ยิ่งคีดถึงอัลเลาะฮ์มากเท่านั้นสมมุติว่าจิตของท่านมองเห็นภาพวัวคือคิดถึงมัน จิตของท่านก็ถามมันได้เลยทันทีว่า ? วัวจ๋าวัว เจ้ามาจากไหน ? จิตของท่านก็จะตอบได้เลยว่า ? อัลเลาะฮ์ ?เพราะฉะนั้นจิตของท่านก็ได้จับอัลเลาะฮ์โดยผ่านทางภาพวัวนั้นและถ้าหากว่า ท่านสู้กับชัยตอนโดยซึ่งๆ หน้า คือจิตของท่านมัวเมาหลงไหล และเพ้ออยู่ต่อภาพโลกโดยไม่คิดถึงอัลเลาะฮ์แล้ว ผลร้ายมันก็เกิดขึ้นกับท่านเอง ท่านจะไม่ซาบซึ้งต่ออัลเลาะฮ์เลย ตัวอย่างคือ สมมุติว่าท่านไปหาผู้หลักผู้ใหญ่หรือเจ้านาย ซึ่งหน้าบ้านของเขาเลี้ยงสุนัขดุไว้เข้าบ้าน เมื่อท่านเดินเข้าไปสุนัขร้ายก็จะเข้ามาทำร้ายท่าน ถ้าท่านมัวทะเลาะอยู่กับสุนัขแล้ว แน่นอนผลร้ายก็จะเกิดเเก่ท่าน และวิธีการทีจะเข้าถึงเจ้าของบ้านโดยไม่ทะเลาะกับสุนัขก็คือ ให้ท่านเรียกเจ้าของมาขับไล่สุนัขซึ่งจะมาทำร้ายท่านออกไปเสีย นี้แหละเป็นวิธีเดียวกันกับการไล่ภาพโลก ซึ่งเปรียบเหมือนสุนัข โดยเรียกเจ้าของมาไล่คืออัลเลาะฮ์นั่นอง เป็นวิธีไล่ภาพโลกเเบบผู้ดี




                          เหมียนของครูลี ไชยาเลย ;D(เเซวเล่นน่ะ)

                       มีเทคนิคมากมายตามแต่ถนัด ทุกๆเทคนิคทำแล้วระหว่างทางเป็นยังไงก็ขึ้นอยู่กับแต่ละเทคนิค
                       แต่เส้นชัยคือที่เดียวกันมีอัลลอฮไม่มีเรา จะให้ลึกกว่านี้ก็ซูฟีเลยคือ
                                       จมหายไปในทะเลแห่งเตาฮีตจนกระทั่งสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
                                                          พยายยามนะบัง        ถ้าฝึกถึงไม่มีบังในละหมาดก็ถือว่าพอใช้ได้แล้ว
                                                                                                                                เอาใจช่วย
                             (เตาบัตตัวเยอะๆทั้งในและนอกละหมาด จะเข้าสู่สภาวะความบริสุทธิ์ได้ดีกว่านี้......อินชาอัลลอฮ)

                                                         ไปที่ไม่มี  ต่อไปคือมีที่ไม่มีเรา ต่อไปอีกคือไม่มีเราทั้งรูปและนาม         
                                                                     คงเหลือไว้แต่ อัลลอฮ ผู้ทรงเอกะ

                                               ลาอิลาฮะอิลลัลลอวะดะฮูลาชารีกะละ ลาฮุลมุลกูวาลาฮุลฮัมดูวาฮูวาอาลากุลลิชัยอิงกอดีร


                                            รักพระเจ้าให้มากๆ      ซอลาวาตให้เยอะๆ    อย่างอื่นเฉยๆไว้



                                                                                                                            จากมุอัลลัฟผู้ยะเฮล ผู้ต่ำต้อยและโง่เขลา......                 
ใจฉันเปรียบได้ยังทุกรูปแบบ
ดังทุ่งหญ้าสำหรับเนื้อทราย    ดังโบสถ์สำหรับพระคริสต์
ดังวิหารสำหรับรูปเคารพ        ดังกะบะห์สำหรับผู้แสวงบุญ
ดังแผ่นจารึกของเตารอต       และ ดังคู่มือของกุรอาน
 
ฉันดำเนินบนศาสนาแห่งความรัก
ไม่ว่าวิถีของอูฐแห่งรักเป็นเช่นใด
นั่นแหละ ศาสนาและศรัทธาของฉัน

ออฟไลน์ บุคคลธรรมดา

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 433
  • live&learn in Islam
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
ผมขอเสริมนิดในแนวทางที่ผมกำลังฝึกอยู่
คือผมเจอบทความหนึ่งและนักบรรยายท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า
การกระทำอะไรก้อตามแต่ถ้าเราเริ่มต้น ด้วย บิสมิลลาห์ แน่นอนเราปราถนาให้อัลเลาะห์อยู่กับเราเสมอ
ผมก้อเลยหัดทำดังนี้ เปิดประตูบ้าน ปิดประตูบ้าน ก้อกล่าว บิสมิลลาห์ ต่อมาก้อภาชนะต่างๆก่อนจะเปิดหรือปิด
ผมก้อ กล่าว บิสมิลลาห์ หัดทำไปอีก เวลาผมจะหยิบจับอะไร ผมก้อเอยคำว่า บิสมิลลาห์ จนบางครั้งนะครับ ผมนั่งเฉยๆนั่งมองอะไรเพลิดๆก้อนึกถึงคำว่า
บิสมิลลาห์ แต่แค่นึกในใจนะครับ  นี้ผมก้อกำลังฝึกไปเรื่อย
ซึ่งตอนนี้ผมก้อมองย้อนมาเรื่อง อดีตที่ผมเคยทำคือ เมื่อก่อนสมัยหนุ่มๆผมเล่นกีตาร์ ด้วยความที่ว่าผมต้องจำในการสโลจังหวะทำนองเพลงนั้นๆ
มือผมนี้ ยิกยักๆ อยู่ตลอดเลย จนเกิดการเคยชินไปเลยในสมัยนั้น
แต่พอตอนนี้ผมก้อลองเอาแนว ในการทำสม่ำเสมอ คือทำอะไรก้อ บิสมิลลาห์ (แต่ทำในสิ่งที่เหมาะสม) ล้างมือผมก้อ บิสมิลลาห์
มีบางครั้งผมเดินเล่นๆนะพี่น้อง ผมก้อ บิสมิลลาห์ ในทุกย่างก้าว (แต่มิได้ทำตลอดนะพี่น้อง แต่ทำในขณะนึกขึ้นได้) ตอนนี้ผมก้อสอนลูกๆว่าลูกเอย
เวลาลูกนั่งในห้องเรียนนะลูก ลูกต้องการใกล้ชิดอัลเลาะห์มั้ย ถ้าลูกต้องต้องการก้อกล่าว บิสมิลลาห์ และผมก้อบอกลุกต่อไปอีกว่า
ถ้าเราคิดถึงอัลเลาะห์ อัลเลาะห์ก้อจะไม่ทอดทิ้งเรา (ทำนองว่าลูกศึกษาความรู้ ถ้าเราเริ่มด้วยพระนามอัลลอฮ์ อัลลอฮ์ก้อจะทรงเพิ่มพูนความรู้ให้เรามากยิ่งขึ้น)
ตอนนี้เชื่อมั้ยครับพี่น้อง จิตใจผมเวลาคิดจะทำเรื่องไร้สาระ  บิสมิลลาห์ ก้อผุดขึ้นมา
ผมบางครั้งนั่งยิ้มเล็กๆแล้วคิดภายในใจว่า นี้อัลเลาะห์ทรงตักเตือนเรา เนื่องจากเรานึกถึงอัลเลาะห์เสมอ ก้ออาจเป็นไปได้
บทความนี้อาจยาวไปแต่ผมแค่เล่าในสิ่งที่ผมได้ฝึกฝนกระทำอยู่นะครับ ถ้าเป็นบทความไม่ถูกกับกระทุ้นี้ ก้อขออภัยด้วยนะครับ


อืม  อันนี้เราก็ฝึกตนเองอยู่บ่อย ๆ

ให้เริ่มทุกการกระทำ ด้วยบิสมิลลาฮฺ

แล้วมันก็ได้ผลทางใจกับเราจริงๆ

ทำให้เราไม่ประมาท มั่นใจ และถ่อมตน

เพราะ ระลึกถึงอัลลอฮฺ อยู่ตลอด

ถึงขนาด ก่อนก้าวขึ้นรถ แล้ว เราลืม บิสมิลลาฮฺ

เราก็ถอยหลัง เพื่อก้าวขึ้นใหม่ พร้อมกล่าวบิสมิลลาฮฺ อีกครั้ง

เพราะ ขอความคุ้มครองจะพระองค์ตลอดการเดินทาง  ปลอดภัยที่สุด   ;D
ถ้าหากว่าเราจะข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยแอ่งปลักโคลน
แน่นอนที่สุด เราจะถึงฝั่งนั้นในสภาพที่เปรอะเปื้อนด้วยโคลน...
โคลนที่อยู่ในแอ่งนั้น มันจะทิ้งร่องรอยที่เท้าของเรา
และในที่ที่ เราได้เหยียบย่างไป

                        "อัลชะฮีด ซัยยิด กุฏุบ"

ออฟไลน์ กอ-กล้วย

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 353
  • kuru cook
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
อัสสลามุอะลัยกุมวะเราะฮฺมะตุลลอฮฺ

   อันที่จริงต้องการเข้ามาหาข้อมูลเรื่อง “จิตวิทยาอิสลาม”
แต่มาเจอ’ทู้นี้เข้า ขอบคุณผู้นำเสนอคะ ได้เทคนิคในการละหมาดให้กูชั๊วะเพื่อหวังความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ

   จะสังเกตว่า เมื่อคราใดที่ตนเองละหมาดกูชั๊วะ การร้องขอสิ่งใด ๆ จากอัลลอฮฺ ร้อยละร้อยคะ จะได้รับการตอบรับ
พร้อมกับทำให้ตนเองมีสมาธิแน่วแน่ ส่งผลต่อการทำงานให้สำเร็จลุล่วงได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว อัลฮัมดุลลาฮฺ

วัสสลามุอะลัยกุมวะเราะฮฺมะตุลลอฮฺ


ออฟไลน์ Axiom

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 31
  • เพศ: ชาย
  • Gives thanks to ALLAH
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
^
^
^
ใช้ตัวJ แทน Y ดีกว่ามั้ย
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ fizon

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 2
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อัลฮัมดูลินละ
ขอบคุณผู้รู้ทุกท่าน
เป็นเวบไซที่ดีมากๆๆๆ
มัซฮับชาฟีอีย์อะลีสซุนนะฮ์วัลญามะอะฮ์

 

GoogleTagged