ท่านบุคอรี ได้รายงานไว้ในเรื่องละหมาดกิยามุลลัยล์ (ตะฮัจยุด) จากท่านหญิงอาอิชะฮ์ รอฏิยัลลอฮุอันฮา ความว่า
أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ صَلَّى ذَاتَ لَيْلَةٍ فِي الْمَسْجِدِ فَصَلَّى بِصَلَاتِهِ نَاسٌ، ثُمَّ صَلَّى مِنْ الْقَابِلَةِ فَكَثُرَ النَّاسُ، ثُمَّ اجْتَمَعُوا مِنْ اللَّيْلَةِ الثَّالِثَةِ أَوْ الرَّابِعَةِ فَلَمْ يَخْرُجْ إِلَيْهِمْ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَلَمَّا أَصْبَحَ قَالَ قَدْ رَأَيْتُ الَّذِي صَنَعْتُمْ، وَلَمْ يَمْنَعْنِي مِنْ الْخُرُوجِ إِلَيْكُمْ إِلَّا أَنِّي خَشِيتُ أَنْ تُفْرَضَ عَلَيْكُمْ وَذَلِكَ فِي رَمَضَانَ
"แท้จริงท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ละหมาดในค่ำคืนหนึ่งที่มัสยิด บรรดาผู้คนจึงได้การละหมาดตามการละหมาดของท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม หลังจากนั้น ท่านนบีได้ทำการละหมาดในคืนต่อไป ผู้คนจึงมากขึ้น หลังจากนั้นพวกเขาได้ทำการละหมาดรวมกันในคืนที่สามหรือคืนที่สี่ โดยที่ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมไม่ได้ออกมายังพวกเขา ดังนั้น เมื่อถึงเวลาซุบฮิ ท่านนบีได้กล่าวว่า ฉันได้เห็นสิ่งที่พวกท่านได้กระทำแล้ว โดยไม่มีสิ่งใดที่มาห้ามฉันให้ออกไปยังพวกท่าน นอกจากเสียว่า ฉันเกรงว่ามันจะถูกฟัรดูเหนือพวกท่านต่างหาก และเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นอยู่ในช่วงของเดือนรอมาดอน"
عَنْ عَبْدِ الرَّحْمَنِ بْنِ عَبْدٍ الْقَارِيِّ، أَنَّهُ قَالَ خَرَجْتُ مَعَ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ ـ رضى الله عنه ـ لَيْلَةً فِي رَمَضَانَ، إِلَى الْمَسْجِدِ، فَإِذَا النَّاسُ أَوْزَاعٌ مُتَفَرِّقُونَ يُصَلِّي الرَّجُلُ لِنَفْسِهِ، وَيُصَلِّي الرَّجُلُ فَيُصَلِّي بِصَلاَتِهِ الرَّهْطُ فَقَالَ عُمَرُ إِنِّي أَرَى لَوْ جَمَعْتُ هَؤُلاَءِ عَلَى قَارِئٍ وَاحِدٍ لَكَانَ أَمْثَلَ . ثُمَّ عَزَمَ فَجَمَعَهُمْ عَلَى أُبَىِّ بْنِ كَعْبٍ، ثُمَّ خَرَجْتُ مَعَهُ لَيْلَةً أُخْرَى، وَالنَّاسُ يُصَلُّونَ بِصَلاَةِ قَارِئِهِمْ، قَالَ عُمَرُ نِعْمَ الْبِدْعَةُ هَذِهِ، وَالَّتِي يَنَامُونَ عَنْهَا أَفْضَلُ مِنَ الَّتِي يَقُومُونَ . يُرِيدُ آخِرَ اللَّيْلِ، وَكَانَ النَّاسُ يَقُومُونَ أَوَّلَهُ
จากอับดุรเราะห์มาน บุตร อับดุลกอรี เขากล่าวว่า ฉันได้ออกไปพร้อมกับท่านอุมัร บุตร ค๊อฏฏอบ ในเดือนรอมาดอน ไปยังมัสยิด ได้พบว่าประชาชนได้แยกกันเป็นกลุ่ม ๆ คนหนึ่งละหมาดคนเดียวตามลำพัง คนหนึ่งมีคนละหมาดตามหมู่หนึ่ง ท่านอุมัรได้กล่าวขึ้นว่า ถ้าหากพวกเขารวมกันละหมาดตามคนที่อ่านถูกต้องเพียงคนเดียวก็จะเป็นการดียิ่ง ต่อมาท่านอุมัรก็ได้รวมผู้คนให้ละหมาดตามอุบัยย์ บุตร กะอับ จากนั้นฉันได้ออกไปพร้อมกับเขาในอีกคืนหนึ่ง ประชาชนกำลังละหมาดตามผู้นำของเขา ท่านอุมัรกล่าวว่า "นี่เป็นอุตริ (บิดอะฮ์) ที่ดี ช่วงเวลาที่พวกเขานอนกันนั้น ดีกว่าช่วงเวลาที่พวกเขาละหมาดกิยาม เขาหมายถึงช่วงเวลาท้ายคืน แต่ประชาชนจะละหมาดกยามในตอนหัวค่ำ"
จำนวนรอกะอัตของละหมาดตะรอวิห์
นักปราชญ์แห่งประชาชาติอิสลามทั้งสะลัฟและคอลัฟ ลงมติ(อิจญมาอ์) ว่า การละหมาดตะรอวิห์นั้นมี 20 รอกะอัต ซึ่งเป็นทัศนะที่ถูกยึดถือของมัซฮับทังสี่ คือ มัซฮับหะนะฟีย์ , มัซฮับที่เลื่องลือของมาลิกี , มัซฮับชาฟิอีย์ , และมัซฮับฮัมบาลีย์ และประชาชาติอิสลามที่ผ่านมาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าละหมาดตะรอวิห์มี 8 รอกะอัต นอกจากเพิ่งเกิดขึ้นมาในสมัยนี้ ซึ่งสาเหตุดังกล่าวนั้นเพราะว่ามีความเข้าใจผิดต่อซุนนะฮ์ของท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และไม่มีความสามารถที่จะรวมบรรดาหะดิษต่าง ๆ และยังไม่เข้าใจของหลักการของอิจมาอ์(มติ)ของเหล่าซอฮาบะฮ์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุมผู้ที่กล่าวว่าละหมาดมี 8 รอกะอัตนั้น เพราะอ้างหลักฐานจากหะดิษท่านหญิงอาอิชะฮ์ที่ว่า
مَا كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَزِيدُ فِي رَمَضَانَ وَلاَ فِي غَيْرِهِ عَلَى إِحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً : يُصَلِّي أَرْبَعًا فَلاَ تَسْأَلْ عَنْ حُسْنِهِنَّ وَطُولِهِنَّ، ثُمَّ يُصَلِّي أَرْبَعًا فَلاَ تَسْأَلْ عَنْ حُسْنِهِنَّ وَطُولِهِنَّ، ثُمَّ يُصَلِّي ثَلاَثًا، قَالَتْ عَائِشَةُ - رضى الله عنها - فَقُلْتُ : يَا رَسُولَ اللَّهِ أَتَنَامُ قَبْلَ أَنْ تُوتِرَ قَالَ : " يَا عَائِشَةُ إِنَّ عَيْنَىَّ تَنَامَانِ وَلاَ يَنَامُ قَلْبِي
จากท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า ท่านานรอซูลศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่เคยละหมาดในหรือนอกรอมฎอนเกินกว่า 11 ร๊อกอะฮ์ ท่านละหมาด 4 ร๊อกอะฮ์ ซึ่งท่านไม่ต้องถามถึงว่ามันสวยงามและยาวนานแค่ไหน แล้วท่านก็ละหมาดอีก 4 ซึ่งท่านไม่ต้องถามถึงว่ามันสวยงามและยาวนานแค่ไหน แล้วหลังจากนั้นท่านก็ละหมาดอีก 3 ท่านหญิงอาอิชะฮ์เล่าว่า ฉันได้กล่าวว่า โอ้ร่อซูลุลเลาะฮ์ ท่านจะนอนก่อนละหมาดวิติรกระนั้นหรือ? ท่านนบีกล่าวว่า โอ้อาอิชะฮ์ แท้จริงสองดวงตาของฉันนั้นหลับแต่จิตใจของฉันไม่หลับ" รายงานโดยบุคอรีย์
ซึ่ท่านอิบนุ กุดามะฮ์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลมุฆนีย์ ว่า "รายงานถึงท่านอิมามอะลี รอฏิยัลลอฮุอันฮุว่า ท่านได้ใช้ให้คนหนึ่งทำการนำละหมาดบรรดาผู้คนทั้งหลาย ในเดือนรอมะฏอน 20 ร่อกะอัต นี้ถือว่าเสมือนกับเป็นการอิจญ์มาอ์(มติของซอฮาบะฮ์)" ท่านอิบนุกุดามะฮ์กล่าวอีกว่า "สิ่งที่บรรดาซอฮาบะฮ์ของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ได้กระทำนั้น ดีกว่า และเหมาะสมยิ่งกว่า
งหะดิษนี้ได้บอกกล่าวถึงทางนำของท่านบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่เกี่ยวกับการละหมาดกิยามุลัยล์ทั่ว ๆ ไป โดยมิได้บ่งถึงการเจาะจงเรื่องของละหมาดตะรอวิห์ เนื่องจากการละหมาดตะรอวิห์นั้นถูกเจาะจงเฉพาะในเดือนรอมาดอนเท่านั้น ซึ่งมีรากฐานจากซุนนะฮ์ของท่านนบี แต่การละหมาดเป็นวิธีการของท่านซัยยิดินาอุมัร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ หมายความว่า ประชาชาติอิสลามได้ดำเนินตามสิ่งที่ท่านอุมัร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ได้วางหลักการไว้จากการรวมผู้คนทำให้ทำากรละหมาดตะริวิห์ 20 รอกะอัต ในทุกคืนของเดือนรอมะดอน โดยมีอุบัยย์เป็นอิมามนำละหมาด และท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
عليكم بسنتى وسنة الخلفاء الراشدين المهديين عضوا عليها بالنواجذ
" พวกท่านจงดำรงไว้ ด้วยซุนนะฮ์ของฉัน และแนวทางของบรรดาค่อลิฟะฮ์ผู้ทรงธรรมอีกทั้งได้รับทางนำ พวกเขาจงกัด(ยึด)แนวทางนั้นด้วยฟันกราม"
"และพวกท่านจงตามบุคคลทั้งสองต่อไปนี้หลังจากฉัน " คือท่านอบูบักร์และท่านอุมัร..ฮาดิษซอหิฮ์
ท่านอิมาม อัลบัยฮะกีย์ ได้ทำการรายงาน ด้วยสายสืบที่ซอฮิหฺ จากท่าน อัซซาอิบ บิน ยะซีด รอฏิยัลลอฮุอันฮุ ว่า "บรรดาซอฮาบะฮ์ได้ทำการละหมาดในสมัยของท่านอุมัร รอฏิยัลลอฮุอันฮุ ในเดือนรอมะฏอน ถึง 20 ร่อกะอัต" ดู สุนันอัลบัยฮะกีย์ 2/492
ท่านอัลบัยฮะะกีย์รายงานอีกว่า จากอัซซาอิบ บิน ยะซีด ว่า "บรรดาซอฮาบะฮ์ในสมัยของท่านอุมัร ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ได้ได้ทำการละหมาด 20 รอกะอัตในเดือนรอมะดอน อัซซาอิบ บิน ยะซีด กล่าวอีกว่า
พวกเขาเหล่านั้นได้ทำการอ่านถึง 200 อายะฮ์ โดยที่พวกเขาได้ทำการค้ำด้วยไม้เท้าในสมัยของท่านอุษมาน รอฏิยัลลอฮุอันฮุ เนื่องจากมีการยืนนาน" ดู สุนัน อัลบัยฮะกีย์ 2/429 และอัลมุวัฏเฏาะอฺ 1/114
ไฉนเลย เมื่อบุคคลที่ชอบอ้างว่า ตามกีตาบุลลอฮ์และซุนนะท่านนบี จึงละเลยในสิ่งที่มันขัดกับทัศนะของตน โดยละทิ้งคำสั่งที่ท่านนบี(ซล)ใช้ให้เราตามซอฮาบะบุคคลเหล่านั้นและนั้นคือซุนนะตุ้ลนบีที่ดีงาม เช่นกัน
เพราะแบบฉบับเหล่านี้ได้ถูกตามมาแล้วจากบรรดา ซอฮาบะ ตาบีอีนและสลัฟอัสซอและห์และคอลัฟเหล่านั้นมาแล้ว ด้วยเหตุว่า เขาเหล่านั้น เชื่อกันว่าฮาดิสดังกล่าวที่รายงานจากท่านญาบิรนั้นมัน ดออีฟ ไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้
โดยไม่หลงไหลไปยึดถือกับฮาดิสดังกล่าว ที่ทัศนะของนักวิชาฟิกฮ์ทั้งมัสหับทั้ง4 ส่วนมาก ไม่นำมันมาปฏิบัติได้เลย
ซึ่งในความเป็นจริงทัศนะวาอาบีเองก็ไม่เอาฮาดิสดออีฟนำมาปฏิบัติ แต่ไฉนเลย มาครั้งนี้ทัศนะที่เคยรังเกียจฮาดิสจึงกลับนำมันมาปฏิบัติ...โดยละทิ้งการกระทำของซออาบะอัรรอซีดีนและอิตจิมาของอุลามะเหล่านั้น. 
ผิดพลาดอย่างไรขอมาอัฟด้วยและช่วยชี้แจงด้วยครับ ญาซากัลลอฮ์....