السلام عليكم ورحمة الله تعالى وبركاته
بسم الله الرحمن الرحيم
الحمد لله رب العالمين ، والصلاة والسلام على رسول الله صلى الله عليه وسلم
การห้ามรับประทานเนื้อของสากสัตว์ที่ตายโดยไม่ได้เชือด เลือด และสุกรเป็นส่วนหนึ่งจากเรื่องต่างๆที่มีความสำคัญมาก และในหลายศตวรรษที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ต่างก็ถกกันถึงเรื่องเหล่านี้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะรู้ถึงภัยอันตรายในสิ่งต่างห้ามต่าง ๆ เหล่านี้ได้ จนมาถึงในปัจจุบันพวกเขาได้ค้นพบความหมายทางวิทยาศาสตร์ของสิ่งต้องห้ามเหล่านั้น
การห้ามบริโภคสัตว์ที่ตายโดยไม่ได้เชือด เลือด สุกรและสัตว์ที่ถูกเชือดโดยกล่าวนามอื่นจากอัลลอฮฺ(ซุบฮาฯ)ได้ถูกประทานลงมาใน4 ซูเราะฮฺ
จากซูเราะฮฺอัลบากอเราะฮฺโองการที่ 172 และ 173 ก็ถูกประทานลงมา โดยมีโองการว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِيْنَ آمَنُوْا كُلُوا مِنْ طَيِّبَاتِ مَا رَزَقْنَاكُمْ وَاشْكُرُوْا للهِ إنْ كُنْتُمْ إِيَّاهُ تَعْبُدُوْنَ*إنَّمَا حَرَّمَ عَلَيْكُمْ الْمَيِّتَةَ وَالدَّمَ وَلَحْمَ الْخِنْزِيْرِ وَمَا أُهِلَّ بِهِ لِغَيْرِ اللهِ فَمَنِ اضْطُرَّ غَيْرَ بَاغٍ وَلاَعَادٍ فَلاَ إِثْمَ عَلَيْهِ إِنَّ اللهَ غَفُوْرٌ رَحِيْمٌ
ความว่า: บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงบริโภคสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้าจากสิ่งดีๆทั้งหลาย และจงขอบคุณ อัลลอฮฺ เถิด หากเฉพาะพระองค์เท่านั้น ที่พวกเจ้าจักเป็นผู้เคารพสักการะ, แท้จริงพระองค์ทรงห้ามพวกเจ้าจากสัตว์ที่ตายโดยไม่ได้เชือด และเลือด และเนื้อสุกร และสัตว์ที่ถูกกล่าวนามอื่นจากอัลลอฮฺ(ขณะเชือด) แล้วผู้ใดที่อยู่ในภาวะคับขัน (ต้องบริโภคอาการต้องห้ามดังกล่าวเพราะไม่สามารถหาอาหารอื่นๆได้)โดยเขามิใช่ผู้ทรยศและมิใช่ผู้ละเมิด แน่นอนยอมไม่เป็นบาปสำหรับเขา แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยยิ่ง อีกทั้งเป็นผู้ทรงเมตตายิ่ง. จากโองการข้างต้นนี้ จะสังเกตเห็นว่าอัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ) ทรงใช้คำว่า (يا أيها الذين آمنوا โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย)โดยไม่ใช้คำว่า ( يا أيها الناسโอ้มนุษย์เอ๋ย) เพราะว่าอัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ) ทรงโต้ตอบกับบรรดาผู้ศรัทธาซึ่งพวกเขามีความเชื่อและภักดีต่ออัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ) และท่านร่อซู้ล (ศ็อลฯ) พวกเขาได้ยึดเอาสิ่งที่อัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ) และท่านร่อซู้ล (ศ็อลฯ) สั่งใช้และห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม
ท่านร่อซู้ล (ศ็อลฯ) ได้ห้ามจากการกินสัตว์กินเนื้อที่ดุร้ายที่มีเคี้ยว ลาบ้าน ล่อ นกที่มีกงเล็บเพื่อใช้ล่าเหยื่อ ลิง สัตว์ที่ไม่สะอาดทุกชนิด สัตว์ที่เป็นอันตราย สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และสัตว์ที่แปลกไม่เคยพบเห็น การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าเนื้อของสัตว์กินเนื้อทั้งหมดนั้นมันก็คือเลือด อันเนื่องมาจากเนื้อดิบๆและเลือดที่มันได้กินเข้าไป
และท่านร่อซู้ล (ศ็อลฯ) ก็ได้ห้ามจากการกินสัตว์ที่กินของสกปรก เช่น กินอุจจาระเป็นอาหาร เป็นต้น ซึ่งท่านร่อซู้ล (ศ็อลฯ) ก็ได้สั่งเสียให้นำเอาสัตว์เหล่านี้มากักบริเวณ แล้วให้อาหารที่สะอาดแก่มันโดยมีกำหนดเวลาและปริมาณอาหารที่เหมาะสมจนร่างกายของมันปราศจากสิ่งสกปรกที่มันเคยกินเข้าไป และสามารถที่จะนำเอาเนื้อและนมของมันมาบริโภคได้ โดยให้กักบริเวณอูฐที่กินของสกปรกเป็นเวลา 40 วัน วัว 30 วัน แพะแกะ 7 วัน และสัตว์ปีก 3 วันพร้อมกับให้อาหารที่สะอาดแก่พวกมันโดยมีการรายงานมาจากท่านอิบนุอุมัร (รอฏิฯ)
สัตว์ที่อนุญาตให้รับประทานได้โดยไม่ต้องเชือดมีอยู่ ๒ ประเภท คือ ปลากับตั๊กแตน และเลือดที่อนุญาตให้รับประทานได้ก็มีอยู่ ๒ ประเภทคือ ตับและม้าม ดังที่ท่านอิบนูมายะฮฺได้รายงานมาว่า
عن ابن عمر رضي الله عنهما أنّ رسول الله صلى الله عليه وسلم قال: ((أحلت لكم ميتتان: الحوت والجراد. ودمان: الكبد والطحال)) رواه الإمام ابن ماجه.
ความว่า: รายงานจากท่านอิบนูอุมัร (รอฏิฯ) ว่าท่านร่อซูลุ้ลเลอฮฺ(ศ็อลฯ)กล่าวว่า ถูกอนุมัติให้กับพวกท่านซึ่งสัตว์ทั้ง 2 ที่ตายโดยไม่ต้องเชือด นั้นก็คือปลาและตั๊กแตน และ 2 เลือด นั้นก็คือตับและม้าม.
อะไรคือสภาพคับขันจำเป็นที่จะต้องกินเนื้อสัตว์ที่ตายเองหรือไม่ได้เชือด? ท่านอีหม่ามอะฮฺหมัดได้รายงานว่า
عن أبى واقد الليثى قال: قلت يا رسول الله ، إنّا بأرض تصيبنا بها مخمصة ، فما يحل لنا من الميتة؟ فقال النبي صلى الله عليه وسلم: ((إذا لم تصطبحوا ولم تغـتـبـقوا ولم تحـتـفـئوا بقـلا فشـأنـكم بها)) رواه الإمام أحمد .
ความว่า: รายงานจากท่านอบีวากิดอัลเลย์ซี่ย์ เขาได้กล่าวว่า ฉันกล่าวกับท่านร่อซูลู้ลลอฮฺว่า แท้จริงเราได้ประสบกับความหิวโหยบนพื้นแผ่นดิน ดังนั้นอะไรคือซากสัตว์ที่อนุญาตให้กับเรา(กินมันได้)? ท่านนบี(ศ็อลฯ)ได้กล่าวตอบไปว่า เมื่อพวกท่านไม่พบสิ่งที่พวกท่านจะนำเอามาเป็นเครื่องดื่มในยามเช้า และพวกท่านไม่พบสิ่งที่พวกท่านจะนำเอามาเป็นเครื่องดื่มในยามค่ำคืน และพวกท่านไม่พบพืชผักที่เหมาะเป็นอาหารสำหรับพวกท่านบนพื้นแผ่นดินนี้ ดังนั้นเหมาะสมสำหรับพวกท่านด้วยกับมัน (สัตว์ที่ตายโดยไม่ได้เชือด).
หมายความว่าเมื่อพวกท่านได้ประสบกับความหิวโหยและไม่พบอาหารใดๆเลย นอกจากเนื้อของสัตว์ที่ตายโดยไม่ได้เชือด ก็จงกินสิ่งที่จะมาประทังชีวิตให้รอดตายได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์จำพวกสากสัตว์ที่ตายเองก็ตาม
คนบางกลุ่มคิดว่าเชื้อโรคสามารถทำลายได้ด้วยความร้อน จริงอยู่ความร้อนสามารถที่จะทำลายเชื้อโรคได้ แต่ก็มีเชื้อโรคบางชนิดที่ไม่สามารถทำลายได้ด้วยกับความร้อนจากการหุงต้ม แต่พิษในเนื้อของสัตว์ที่ตายเองหรือไม่ได้เชือดส่วนใหญ่จะไม่ลดลงด้วยการหุงต้ม ดังนั้นผู้ที่บริโภคซากสัตว์ตายที่ผ่านการหุงต้มแล้ว แน่นอนเขาย่อมบริโภคเนื้อที่มีพิษเข้าไป
เนื้อของสัตว์ที่ตายเองปะปนด้วยไขมันโดยเฉพาะเนื้อติดมันซึ่งส่วนใหญ่ของมันจะเป็นไขมัน อัลฮาดีษได้สอนมนุษย์ให้รู้ถึงภัยที่แฝงอยู่ในเนื้อของสัตว์ที่ตายโดยไม่ได้เชือดและภัยอันยิ่งใหญ่ที่ฝังอยู่ในไขมัน แต่ไม่เป็นอันตรายใดๆโดยการนำเอาหนังมันมาทำประโยชน์ เพราะหนังเป็นส่วนที่ไม่ถูกนำมาบริโภค และเพราะมีคำรายงานจากท่านอีหม่ามบุคอรี ท่านอีหม่ามมุสลิมและท่านอีหม่ามมาลิกว่า
عن ابن عباس رضي الله عنهما أنّ رسول الله صلى الله عليه وسلم مرّ بشاة ميتة فقال: ((هلا انـتـفـعتم بإهابها)) قالوا: إنها ميتة فقال: ((إنما حرّم أكلها)) رواه الإمام البخارى والإمام مسلم والإمام مالك.
ความว่า: รายงานจากท่านอิบนุอับบาส(รอฏิฯ)ว่าแท้จริงท่านร่อซูลู้ลลอฮฺ(ศ็อลฯ)ได้ผ่านไปพบซากแกะตัวหนึ่ง แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า พวกท่านจะไม่เอาประโยชน์จากหนังของมันกระนั้นหรือ พวกเขา( บรรดาอัครสาวก)กล่าวว่า แท้จริงมันคือซากสัตว์ที่ตายโดยไม่ได้เชือด ท่านร่อซูลู้ลลอฮฺ(ศ็อลฯ)จึงกล่าวว่า แท้จริงการบริโภคสัตว์ที่ตายโดยไม่ได้เชือดมันได้ถูกห้ามไว้แล้ว
จากอัลฮาดีษนี้ได้ตัดสินว่าการนำเอาหนังจากสัตว์ที่ตายโดยไม่ได้เชือดมาใช้ประโยชน์เป็นที่อนุมัติยกเว้นหนังสุกรและหนังสุนัข และได้มีรายงานในหนังสือซอแฮะฮฺว่า
عن ابن عباس رضي الله عنهما عن عمر بن الخطاب رضي الله عنه أنّ رسول الله صلى الله عليه وسلم قال: (( قاتل الله اليهود ، حرمت عليهم الشحوم فحملوها وباعـوها)) ا.
ความว่า: รายงานจากท่านอิบนุอับบาส(รอฏิฯ)จากท่านอุมัรบินคอตต๊อบ(รอฏิฯ)ว่า แท้จริงท่านร่อซูลู้ลลอฮฺ(ศ็อลฯ)กล่าวว่า ขออัลลอฮฺทรงสังหารยิวเถิด ไขมันถูกห้ามแก่พวกเขา ต่อมาพวกเขาก็แบกเอามันไป แล้วก็นำไปขาย.
พวกยิวได้ถูกสั่งห้ามไม่ให้บริโภคไขมันสัตว์ แต่พวกเขาก็ได้นำเอามันไปขาย เนื่องจากความอวดดีของพวกเขา และเป็นการเย่อยั่น ซึ่งการนำเอาไปขายก็เป็นที่ต้องห้ามสำหรับพวกเขาด้วยเช่นกัน
แน่นอนการห้ามดังกล่าวได้มีมาในซูเราะฮฺอัลอันอามโองการที่146ว่า
﴿وََعَلى الذين هادوا حرّمنا كلَّ ذي ظُفُر ومن البقر والغنم حرّمنا عليهم شحومَهما إلاّ ما حَمَلتََْ ظهورُهما أو الحَوَايا أو ما اختلط بعَظمٍ ذلك جَزَيْنَاهُم ببَغْيهم وإنّا لصادقون﴾
ความว่า: และแก่บรรดาผู้เป็นยิวนั้น เราได้ห้ามสัตว์ทุกชนิดที่นิ้วตีนไม่แยกจากกัน (เช่นอูฐ นกกระจากเทศ ห่าน และเป็ด เป็นต้น) และจากวัวและแพะนั้นเราได้ห้ามไขมันของมันแก่พวกเขา นอกจากสิ่งที่หลังของมันทั้ง2ได้แบกเอาไว้ (ไขมันที่สันหลัง) หรือลำไส้ หรือสิ่งที่ปะปนอยู่ในกระดูกนั่นแหละ ดังกล่าวเราได้ตอบแทนพวกเขาเนื่องด้วยความอธรรมของพวกเขา และแท้จริงเราเป็นผู้สัตย์จริง. ท่านอีหม่ามบุคอรี และท่านอีหม่ามมุสลิมได้รายงานว่า
عن جابر رضي الله عنه أنّ رسول الله صلى الله عليه وسلم قال: ((لا يذاب شحم الميتة ولا يباع ودكه )) رواه الشيخان.
ความว่า: รายงานจากท่านญาบิร(รอฏิฯ)ว่าแท้จริงท่านร่อซูลู้ลลอฮฺ(ศ็อลฯ)กล่าวว่า ไขมันของสัตว์ที่ตายโดยไม่ได้เชือดจะไม่ถูกทำเป็นของเหลว และน้ำมันของมันจะไม่ถูกนำมาขาย.
เมื่ออัลลอฮฺ(ซุบฮาฯ)ได้ทรงห้ามยิวจากการบริโภคไขมันที่มีอยู่ในวัว แพะ และแกะ ดังนั้นย่อมชี้ให้แก่มุสลิมว่าในไขมันของสัตว์ดังกล่าวเป็นสาเหตุหนึ่งที่สมควรจะหลีกเลี่ยง และแน่นอนสัตว์ที่ตายโดยไม่ได้เชือดก็เป็นที่ต้องห้ามสำหรับชาวยิวด้วยเช่นกัน
พระมหาคัมภีร์กุรอานและอัลฮาดีษยังคงเป็นสาล์นจากอัลลอฮฺ(ซุบฮาฯ)และร่อซู้ลของพระองค์ที่ใหม่อยู่เสมอสำหรับมนุษย์ทั้งมวลมาตั้งแต่สมัยท่านนบีมูฮัมมัด (ศ็อลฯ) จนถึงวันสิ้นโลก.
والله سبحانه وتعالى أعلم