ผู้เขียน หัวข้อ: นี่แหละน่าจะบิดอะ  (อ่าน 6097 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ anti-bid'ah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 839
  • ไม่รู้ อย่าเสือกชี้
  • Respect: +29
    • ดูรายละเอียด
นี่แหละน่าจะบิดอะ
« เมื่อ: ก.ย. 02, 2009, 07:23 PM »
0

 salam หะดิษเกี่ยวกับการลูบหน้าเป็นหะดิษ ดออีฟญิดดันครับ เพราะฉะนั้น ไม่ควรกระทำ  แต่ถ้าอาจารย์ว่าใช้ได้ ไม่ดออีฟญิดดันได้โปรดวิภาษด้วยครับ



الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد...؛


การลูบหน้าหลังการให้สล่ามครั้งที่สองนั้น  เข้าใจว่าอาศัยหลักฐานจากหะดีษที่รายงานโดยท่านอนัส  อิบนุมาลิก  (ร.ฎ.)  ซึ่งมีใจความว่า  :  ปรากฏว่าท่านนบี  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  เมื่อท่านเสร็จสิ้นการละหมาดของท่าน  ท่านได้ลูบหน้าผากของท่านด้วยมือขวา  แล้วกล่าวว่า  : 

أَشْهَدُ اَنْ لاَ إِلهَ اِلا الله الرَّحْمٰنُ الرحيمُ أللهُمَّ اذْهِبْ عَنِّى الْهَمَّ والحزنَ

ท่านอิบนุ  อัซซุนนีย์  บันทึกหะดีษนี้เอาไว้ในหนังสือ  “อัลเยาวฺม์  วัลลัยละฮฺ”  ของท่าน  (เลขที่  110)  ท่านอิหม่ามอันนะวาวีย์  (ร.ฮ.)  ก็ระบุเอาไว้ในหนังสืออัลอัซฺก๊ารของท่านในหน้า  69  (อันนู๊ร  อัลอิสลามียะฮฺ  เบรุต) 


และอิบนุ  ซัมอูนในอัลอะมาลีย์  (ก๊อฟ 176/2)  อีกสายรายงานหนึ่งจากท่านอนัส  (ร.ฎ.)  เช่นกัน  โดยใช้สำนวนว่า  :  ปรากฏว่าท่านนบี  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  เมื่อท่านละหมาดเสร็จ  ท่านได้ลูบหน้าผากของท่านด้วยฝ่ามือขวาและลูบผ่านบนใบหน้าของท่านจนมาถึงเคราของท่าน  แล้วกล่าวว่า  : 

بِسْمِ اللهِ الَّذِىْ لاَإِلهَ إِلاَّهُوَعَالِمُ الْغَيْبِ  إلخ

ซึ่งสายรายงานนี้อบูนุอัยฺม์  รายงานเอาไว้ในอัคบ๊าร  อัศบะฮาน  (2/104)  ในส่วนของสายรายงานแรกนั้น  ท่านอัลบัซซ๊าร,  อัฏฏอบรอนีย์ในอัลเอาซัฏ  และอิบนุ  อะดีย์ได้รายงานเอาไว้  ทั้งหมดรายงานจากท่านอนัส  (ร.ฎ.) 



นักวิชาการหะดีษได้วิเคราะห์สายรายงานของหะดีษข้างต้นแล้วได้สรุปว่าเป็นหะดีษที่อ่อนถึงอ่อนมาก  (ฎ่ออีฟ-ฎ่ออีฟ  ญิดดัน)  -ดูอัลฟุตูฮาตฺ  อัรร็อบฺบานียะฮฺ  อะลัล อัซก๊าร  อันนะวาวียะฮฺ  ;  ดารุ้ลฟิกริ  เล่มที่  2  หน้า  57)  โดยเฉพาะในสายรายงานของหะดีษที่  2  นั้น  มีดาวุด  อิบนุ  อัลมิฮฺบัรฺ  ปรากฏอยู่ซึ่งบุคคลผู้นี้  ท่านอิบนุ  ฮิบบาน  ระบุว่า  กุหะดีษโดยอ้างสายรายงานถึงผู้ที่ไว้ใจได้  (ซิกอตฺ)  -(ดูตัฟซีฮุชชะรีอะฮฺ  อัลมัรฟูอะฮฺ ; อิบนุ  อิร๊อก  อัลกินานีย์  เล่มที่  1  หน้า  59) 



และในสายรายงานของหะดีษแรก  ปรากฏว่ามีสลาม  อัฏฎ่อวีล  ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นนักกุหะดีษ  (อ้างแล้ว  1/64)  จากซัยดฺ  อัลอัมฺมีย์  ซี่งถูกกล่าวหาว่าเป็นนักกุหะดีษเช่นกัน  (อ้างแล้ว  1/62)  เมื่อเป็นเช่นนี้การลูบหน้าหลังการให้สล่ามครั้งที่สองจึงไม่มีหลักฐานส่งเสริมให้กระทำ  เพราะหลักฐานที่ระบุถึงการกระทำดังกล่าวมิใช่เป็นเพียงแค่หะดีษฎ่ออีฟ  (อ่อน)  เท่านั้นแต่ถึงขั้นฎ่ออีฟมาก ๆ หรือเป็นหะดีษเมาฎูอฺ  (หะดีษเก๊)  เลยทีเดียว 


จึงได้ข้อสรุปว่า  ไม่มีซุนนะฮฺให้ทำการลูบหน้าหลังการให้สล่ามครั้งที่  2  แต่อย่างใด 
رَبَّنَا فَاغْفِرْ لَنَا ذُنُوبَنَا وَكَفِّرْ عَنَّا سَيِّئَاتِنَا وَتَوَفَّنَا مَعَ الْأَبْرَارِ

ออฟไลน์ mustura^@^

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 336
  • เพศ: หญิง
  • ALLAH is the only ONE !!!
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
Re: นี่แหละน่าจะบิดอะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ก.ย. 02, 2009, 08:15 PM »
0
คุณแอนตี้บิดก็เหลือเกินน่ะ แทนที่จะเอาเวลาไปสร้างอาม้าลอีบาดัตในเดือนรอมฎอนอันประเสริฐ  แต่กลับมีเวลามานั่งสงสัยปัญหา
ที่ซ้ำๆซากของวาฮบีย์ที่มีมานานโขแล้ว................กลับไปอ่านตามลิ้งค์ที่น้อง ☆-มูสังผู้ยิ่งใหญ่-☆  บอกไปด้วย แล้วก็พิจารณาให้ดีด้วยว่า
การฮุก่มผู้อื่นเสียๆหายๆโดยเฉพาะมุสลิมด้วยกัน มันสมควรหรือไม่

ออฟไลน์ anti-bid'ah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 839
  • ไม่รู้ อย่าเสือกชี้
  • Respect: +29
    • ดูรายละเอียด
Re: นี่แหละน่าจะบิดอะ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ก.ย. 02, 2009, 08:57 PM »
0
จึงได้ข้อสรุปว่า ไม่มีซุนนะฮฺให้ทำการลูบหน้าหลังการให้สล่ามครั้งที่  2  แต่อย่างใด(ดออีฟญิดดัน)(คำตอบจากที่ผมโพสต์)

อาจารย์อัซอารีบอกว่า เป็นสุนัต(ดออีฟ)
ตกลงไม่ว่าดออีฟระดับไหนอ้างว่าทำได้ใช่ไหม
رَبَّنَا فَاغْفِرْ لَنَا ذُنُوبَنَا وَكَفِّرْ عَنَّا سَيِّئَاتِنَا وَتَوَفَّنَا مَعَ الْأَبْرَارِ

ออฟไลน์ เหรียญ 2 ด้าน

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 753
  • เพศ: ชาย
  • เรียบง่าย แต่ไร้เทียมทาน (จิงๆๆ)
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • กัมปงดูกู
Re: นี่แหละน่าจะบิดอะ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ก.ย. 03, 2009, 12:34 AM »
0
 salam

ใช่ครับไปดูตามลิงค์ของน้องมูสังผู้ยิ่งใหญ่เถอะครับ

والسلام عليكم
ชื่อที่เคยใช้ในบอร์ดคือ ahmdduku, الدوكوي, เหรียญ 2 ด้าน

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
Re: นี่แหละน่าจะบิดอะ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ก.ย. 03, 2009, 01:22 AM »
0
ระดับ ไม่ใช่ ฮะดิส ดออีฟ ยิดดัน ครับ เมื่อพิจารณา หลายๆ อย่างแล้ว
การพิจารณาฮะดิส ไม่ได้ดูแค่ ฮะดิสเดียวนะครับ
เหมือน วะฮะบียะ ที่ชอบยก บิดอะดอลาละ อยู่ในนรก เป็นแนวทางชัยตอน ที่มีอยู่เพียงฮะดิสเดียว ทั้งๆ ที่ ฮะดิสอื่นไม่ได้ว่าไหม
เราต้องดูหลักอย่างอื่นอีกนะครับ

คุณคงเข้าใจอะไรผิดไปบ้างเล็กน้อย

วัลลอฮฺอะลัม
วัสลาม...

ออฟไลน์ เหรียญ 2 ด้าน

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 753
  • เพศ: ชาย
  • เรียบง่าย แต่ไร้เทียมทาน (จิงๆๆ)
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • กัมปงดูกู
Re: นี่แหละน่าจะบิดอะ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ก.ย. 03, 2009, 01:45 AM »
0

السلام عليكم ورحمةالله تعالى وبركاته


มีคนเข้าไปถามเกี่ยวกับเรื่องของบิดอะห์ในเวบของอาจารย์อาลี
ซึ่งน่าสนใจมาก เราสามารถที่จะนำมาประดับความรู้สำหรับตัวเราเองและผู้อื่น
 คำถาม

อยากทราบว่าคำถามต่อไปนี้เป็นบิดอะห์หรือไม่ครับ
1.การเก็บซะกาตทรัพย์สินจากธนบัตรในอัตราเกินกว่าร้อยละ  2.5 ... ไม่ว่าก่อนหรือหลังครบรอบปี
2.อิหม่ามนำนมาซผู้ตาย หันมาถามมะอ์มูมหลังให้สล่ามว่า   “ท่านจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับมัยยิตนี้ ?”  แล้วมะอ์มูมก็จะตอบพร้อมๆกันว่า  “เป็นคนดี”
3.การอาซานในขณะนำมัยยิลงหลุม

คำตอบโดยอาจารยอาลี

الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد...؛

ประเด็นของคำถามต้องแยกออกเป็น  2  ส่วนคือ

1. กรณีของธนบัตรนั้นจำเป็นต้องออกซะกาตหรือไม่?  เนื่องจากธนบัตรไม่เคยเป็นที่รู้จักมาก่อนในสมัยของยุคต้นอิสลาม  แต่ในปัจจุบันธนบัตรกลายเป็นหลักพื้นฐานในการทำธุรกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ของผู้คนไปแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นราคาของสิ่งต่าง ๆ ,  ต้นทุน  และการซื้อขายตลอดจนการจ่ายเงินเดือน  ค่าจ้าง  และสิ่งตอบแทนเป็นธนบัตรทั้งสิ้น 

ในปัจจุบันไม่มีการใช้ทองคำและเงินในการทำธุรกรรมโดยทั่วไป  จึงกล่าวได้ว่า  ธนบัตรเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่และเป็นบิดอะฮฺทางภาษา  (بدعة لغوية)  ซึ่งหมายถึงเรื่องที่เป็นของใหม่  ไม่เคยมีมาก่อนในยุคต้นอิสลาม  เมื่อเป็นบิดอะฮฺทางภาษาซึ่งเป็นเรื่องทางโลก  ไม่เกี่ยวกับบิดอะฮฺทางศาสนา  เรื่องที่ต้องพิจารณาก็คือจำเป็นต้องออกซะกาตในธนบัตรที่เป็นทรัพย์สินในครอบครองเมื่อถึงอัตราพิกัด  (นิซอบ)  หรือไม่  นักวิชาการที่เป็นปวงปราชญ์  เช่น  มัซฮับฮะนะฟีย์,  มาลิกีย์  และฮัมบาลีย์  และชาฟิอีย์บางส่วนเห็นพ้องกันว่า  จำเป็นต้องออกซะกาตในธนบัตรนั้น  โดยให้ใช้อัตราพิกัด  (นิซอบ)  ของทองคำเป็นหลัก  โดยอัตราที่จำเป็นต้องจ่ายซะกาตก็คือ  2.5%  นั่นเอง


2. เมื่อทราบแล้วว่า  จำเป็นต้องออกซะกาตในธนบัตรในอัตรา  2.5%  เมื่อครบเงื่อนไขที่ศาสนากำหนดไว้  (เช่น  มีกรรมสิทธิ์ครอบครองโดยสมบูรณ์,  ถึงอัตราพิกัด,  และครบรอบปี  เป็นต้น)  ก็ถามว่า  การเก็บซะกาตทรัพย์สินจากธนบัตรในอัตราเกินกว่า  2.5%  ไม่ว่าก่อนหรือหลังครบรอบปีทำได้หรือไม่? 

เกี่ยวกับเรื่องนี้  เคยมีนักวิชาการร่วมสมัยบางคนคิดเหมือนกัน  แต่นักวิชาการดังกล่าวก็มิใช่ผู้ชำนาญการทางด้านอิสลามศึกษา  เช่น  ดร.ฟัฎลุรเราะฮฺมาน  ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานสภาวิจัยอิสลามแห่งปากีสถานในสมัยประธานาธิบดีอัยยูบ  ข่าน  ซึ่งบุคคลผู้นี้เรียกร้องว่ามีความจำเป็นต้องเพี่มอัตราของซะกาตในปัจจุบัน  ข้อเรียกร้องนี้ได้กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันขนานใหญ่ในปากีสถาน  มีบรรดานักวิชาการเป็นอันมากได้ตอบโต้และถือว่าเป็นความเห็นที่ผิดพลาด 

เหตุผลส่วนหนึ่งที่นักวิชาการที่อาจหาญกลุ่มนี้กล่าวก็คือ  อัตราของซะกาตที่เป็นที่รู้กันในอิสลามไม่อาจพอเพียงต่อการตอบสนองความต้องการของสังคมในทุกวันนี้  เนื่องจากต้องเผชิญกับสภาพทางเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา  จึงจำเป็นต้องกลับไปทบทวนถึงความเป็นไปได้ในการที่รัฐบาลในปัจจุบันจะเพิ่มอัตราสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ได้ตามสภาพและสถานการณ์ 

ดร.ยูซุฟ  อัลกอรฎอวีย์  ได้ระบุว่าความเห็นเช่นนี้เป็นสิ่งที่ถูกค้านและไม่อาจยอมรับได้  เนื่องจากมีหลักฐานดังนี้

1) ขัดกับตัวบทที่ชัดเจนและแน่นอน  ซึ่งมีรายงานมาจากซุนนะฮฺของท่านร่อซู้ล  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  ตลอดจนแนวทางของบรรดาสะลัฟซอลิฮฺ

2) ค้านกับมติเห็นพ้อง  (อิจญ์มาอฺ)  ของประชาชาติอิสลาม  ซึ่งตลอดระยะเวลา  14  ศตวรรษที่ผ่านมามีความเปลี่ยนแปลงผูกพันทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองมาโดยตลอด  ในบางยุคสมัยมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณอย่างยิ่งยวดถึงขั้นวิกฤติ  แต่กระนั้นก็ไม่มีนักวิชาการท่านใดเลยที่กล่าวว่าอนุญาตให้เพิ่มอัตราเปอร์เซ็นต์ของซะกาต

3) กลุ่มนักวิชาการสังกัดมัซฮับฮะนะฟีย์ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปิดกว้างที่สุดในการใช้หลักกิยาส  ก็ยังมีความเห็นพ้องกันว่า  การกิยาสจะนำมาใช้ในเรื่องการกำหนดอัตราของการจ่ายซะกาตไม่ได้  เพราะการกำหนดในเรื่องนี้เป็นสิทธิของผู้วางบัญญัติเท่านั้น  และการกำหนดนี้ก็สิ้นสุดลงแล้ว

4) ซะกาตเป็นภารกิจทางศาสนาซึ่งมีลักษณะตายตัว  มั่นคงและเป็นหนึ่งเดียว  ถ้าหากการเพิ่มการลดเข้ามามีส่วนก็แสดงว่ามีการยกเลิกได้  ซึ่งหลักการเช่นซะกาตจะไม่เป็นเช่นนั้น  เพราะเป็นหลักโครงสร้างสำคัญของศาสนาที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสถานที่  (ดูฟิกฮุซซะกาต  ;  ดร.ยูซุฟ  อัลกอรฎอวีย์  เล่มที่  1  หน้า  266-268)

ดังนั้นการจัดเก็บซะกาตโดยองค์กรหรือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในอัตราเกินกว่าที่ศาสนากำหนดจึงเป็นสิ่งที่กระทำมิได้และถือว่าเข้าข่ายเป็นบิดอะฮฺ  มุฮัรร่อมะฮฺคืออุตริกรรมที่ต้องห้าม  ส่วนในกรณีของผู้จ่ายซะกาตมีความสมัครใจที่จะออกซะกาตเกินกว่าที่ศาสนากำหนดในอัตราที่วาญิบเอาไว้  กล่าวคือ  ออกซะกาตเกินกว่า  2.5%  หรือเกินกว่า  1  ซออฺหรือออกซะกาตเป็นสัตว์ที่มีคุณสมบัติดีกว่า  กรณีนี้เป็นสิ่งที่ทำได้  และถือเป็นกุศลที่ศาสนาส่งเสริม  (ดูอ้างแล้ว  เล่มที่  2  หน้า  995-996)


ส่วนคำถามที่สองที่ถามว่า  อิหม่ามนำละหมาดญะนาซะฮฺหรือผู้ร่วมละหมาดหันมาถามมะอฺมูมหลังให้สล่ามแล้วว่า  ท่านจะว่าอย่างไร?  เกี่ยวกับมัยยิตนี้  แล้วมะอฺมูมก็ตอบว่า  เป็นคนดี!  มีข้อชี้ขาดว่าอย่างไร?  ตอบว่า  การกระทำที่ยึดเป็นรูปแบบดังกล่าว  ไม่ปรากฏมีในซุนนะฮฺของท่านร่อซู้ล  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  เท่าที่ดูในตำราใหญ่ ๆ ของมัซฮับชาฟิอีย์ก็ไม่มีระบุไว้ถึงสิ่งดังกล่าวเช่นกัน 

นักวิชาการจึงมองการกระทำดังกล่าวด้วยความเห็นและข้อชี้ขาดที่ต่างกัน  ฝ่ายหนึ่งถือเป็นอุตริกรรม  (บิดอะฮฺ)  ดังเช่นในหนังสืออัสสุนัน  วัลมุบตะดะอาต  ของชัยค์มุฮำหมัด  อับดุสสลาม  คิเฎร  อัชชุกอยรีย์  หน้า  108  ระบุว่า  เป็นการพูดเท็จและถือเป็นบาปใหญ่และเป็นบิดอะฮฺที่ถูกปฏิเสธและหลงผิด  ในกรณีที่ผู้ตายนั้นเป็นคนฟาซิก  เช่น  ทิ้งละหมาด  ดื่มสุรา  เป็นต้น 

ในทำนองเดียวกัน  ชัยค์อะลี  มะฮฺฟูซ  ก็ระบุเอาไว้ในหนังสืออัลอิบดาอฺ  ฟี  มะฎ็อรฺริล  อิบติดาอฺ  หน้า  220  ว่าเป็นบิดอะฮฺ  และย้ำว่า  การยืนยันดังกล่าวไม่เคยปรากฏในสมัยของท่านร่อซู้ล  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  และในสมัยของยุคสะลัฟซอลิฮฺ  อีกทั้งยังเป็นการกล่าวอ้างด้วยการบอกให้รับรู้ถึงสิ่งที่เป็นเท็จ  หลังจากนั้นท่านชัยค์ก็ระบุถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในสมัยของท่านนบี  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  เกี่ยวกับกรณีที่มีญะนาซะฮฺผ่านมา  ญะนาซะฮฺหนึ่งซอฮาบะฮฺชมเชยในสิ่งดีงามที่ญะนาซะฮฺนั้นประพฤติไว้  แล้วนบี  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  ก็กล่าวว่า  ว่ะญะบัต  (คือสวรรค์เป็นสิทธิของผู้นั้นแล้ว)  อีกญะนาซะฮฺหนึ่งผ่านมาบรรดาซอฮาบะฮฺก็กล่าวในทำนองไม่ดี  นบีก็กล่าวว่า  นรกเป็นสิทธิของผู้นั้นแล้ว  (เล่าโดยสรุปความจากหะดีษของบุคอรีและมุสลิม) 

ส่วนการร้องขอให้ยืนยันและตอบอย่างที่กระทำกันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมี  นี่คือทัศนะของฝ่ายที่บอกว่าเป็นบิดอะฮฺ  ส่วนนักวิชาการอีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าสามารถกระทำได้  โดยอาศัยนัยกว้าง ๆ จากหะดีษดังกล่าวและหะดีษอื่น ๆ ที่ใช้ให้พูดถึงคนตายในทางที่ดี  ซึ่งจริง ๆ แล้วในหะดีษดังกล่าวก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรูปแบบที่กระทำกัน  อย่างน้อยถ้าจะให้ใกล้เคียงก็ควรที่จะใช้คำว่า  “คอยร็อน”  (خَيْرًا)  อันหมายถึง  ความดีซึ่งตีความได้หลายอย่าง  ไม่ได้เจาะจงว่าเขาเป็นคนดี เช่นคำว่า ซอลิฮฺ  (صالح) ซึ่งเป็นการยืนยันรับรองแล้วก็กลายเป็นรูปแบบเป็นมาตรฐานไปว่าจะต้องถามกันทุกเมื่อเมื่อละหมาดเสร็จ ทั้งๆ ที่คนที่ตอบบางทีก็หาได้รู้จักกับมัยยิตไม่ ที่มาละหมาดก็เพราะถูกเชิญมา 

บางทีมัยยิตที่บอกว่าเป็นคนดีนั้น  เมื่อตอนมีชีวิตอยู่เป็นคนฟาซิกโดยรู้กันทั่วไป  พอตายก็มีการยืนยันกันว่าเป็นคนดี  ทั้ง ๆ ที่เป็นคนฟาซิก  การยืนยันดังกล่าวก็กลายเป็นคำให้การเท็จหรือเป็นพยานเท็จไป  ครูของผมเคยเล่าให้ฟังว่า  ท่านซัยยิดอะมีน  (ร.ฮ.)  ปราชญ์แห่งนครมักกะฮฺที่สอนที่มัสญิดอัลหะรอมเคยพูดไว้เช่นนี้  คือ  เข้าข่ายพยานเท็จ  ถ้ามัยยิตนั้นไม่ได้เป็นไปตามที่ยืนยันรับรอง  เอาเป็นว่าเรื่องที่ถามกันหลังละหมาดเนี้ยะ  ไม่ใช่วาญิบ  ไม่ใช่สุนัต  หลักฐานตรง ๆ ชัด ๆ เฉพาะเรื่องก็ไม่มีปรากฏ  ส่วนหลักฐานที่ว่าให้พูดถึงคนตายในสิ่งที่ดีก็เป็นเรื่องทั่วไป  ไม่ใช่ให้พูดกันเฉพาะตอนหลังละหมาดญะนาซะฮฺ  และการพูดถึงคนตายในสิ่งที่ดีกับการยืนยันรับรองถึงสถานภาพของมัยยิตว่าเป็นคนซอลิฮฺก็เป็นคนละเรื่องกัน 


ฉะนั้นถ้าไม่มีการถามก็ไม่ต้องตอบ  แต่ถ้าถามแล้วเรารู้ว่าเขาเป็นคนดีจริง  ก็ตอบได้  แต่ถ้าไม่รู้หรือรู้ว่ามัยยิตเป็นคนฟาซิก  อย่างนี้ก็อย่าได้ตอบ  เพราะจะเข้าข่ายว่าเป็นการพูดในสิ่งที่ตนไม่รู้  และเป็นการพูดโกหกหรือเป็นพยานเท็จได้  อันนี้คือเรื่องตอบหรือไม่ตอบเมื่อมีผู้ถาม  ส่วนการถามตอบที่เป็นรูปแบบอย่างที่ทำกันนั้นไม่มีตัวบทและหลักฐานมายืนยัน  อีกทั้งยังเข้าข่ายว่าเป็นบิดอะฮฺอีกด้วยตามความเห็นของนักวิชาการที่ว่ามา

والله أعلم بالصواب
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 03, 2009, 01:51 AM โดย الدوكوي »
ชื่อที่เคยใช้ในบอร์ดคือ ahmdduku, الدوكوي, เหรียญ 2 ด้าน

ออฟไลน์ เหรียญ 2 ด้าน

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 753
  • เพศ: ชาย
  • เรียบง่าย แต่ไร้เทียมทาน (จิงๆๆ)
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • กัมปงดูกู
Re: นี่แหละน่าจะบิดอะ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ก.ย. 03, 2009, 01:50 AM »
0
 salam

และนี่เป็นคำตอบของแรกต่อจากอันที่แล้วน่ะครับที่ถามว่า

การอาซานขณะมายัตลงหลุม

الحمدلله وأفضل الصلاة وأتم التسليم على خاتم الأنبياء والمرسلين  أمابعد


ท่านอิหม่ามอันนะวาวีย์ (ร.ฮ.) กล่าวว่า : เราได้รายงานไว้ในสุนัน อบีดาวูด , อัตติรมีซีย์ , อัลบัยฮะกีย์ และอื่นจากนั้นจากท่านอิบนิ อุมัร (ร.ฎ.) ว่า : แท้จริงท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) นั้นปรากฏว่าเมื่อมัยยิตได้ถูกวางลงหลุมศพท่านกล่าวว่า :


بِسْمِ اللهِ ، وَعَلى سُنَّةِرَسُوْلِ الله صلى الله عليه وسلم

ท่านอัตติรมิซีย์กล่าวว่า : เป็นหะดีษหะซัน ท่านอิหม่ามอัชชาฟิอีย์และอัลอัศฮ๊าบ (ร.ฮ.) กล่าวว่า : ส่งเสริมในการขอพรแก่มัยยิตพร้อมกับสิ่งนี้ (อัลอัซการ อัลมุนตะคอบะฮฺ มิน กะลาม ซัยยิดิลอับร๊อร ; อิหม่ามอันนะวาวีย์ หน้า 150 บทสิ่งที่ผู้นำมัยยิตเข้าสู่หลุมศพจะกล่าวสิ่งนั้น) ในอีกริวายะฮฺ (รายงาน) หนึ่งในใช้สำนวนว่า   


بِسْمِ اللهِ وَعَلى مِلَّةِرَسُوْلِ اللهِ

(บันทึกโดยอบูดาวูด (2/70) อัตติรมีซีย์ (2/152,153) อิบนุมาญะฮฺ (1/470) อิบนุ ฮิบบาน ในซ่อฮิฮฺ อิบนิ ฮิบบาน (773) อัลฮากิม (1/366) อัลบัยหะกีย์ (4/55) และอะฮฺหมัด หะดีษเลขที่ 4990 , 5233 , 5370 , 6111) จากสองรายงานจากอิบนิ อุมัร สำนวนแรกเป็นรายงานของอบีดาวูด , อิบนิ มาญะฮฺ และอิบนิ อัซซุนนีย์ และอีกสำนวนหนึ่งเป็นของบุคคลที่เหลือ ในบางสายรายงานเพิ่มประโยคว่า (وَبالله) (بِسْمِ الله ، وبِاللهِ وعلى مِلَّةِرَسُوْلِ اللهِ) 


เหตุที่ให้ผู้นำเอามัยยิตเข้าสู่หลุมศพกล่าวประโยคดังกล่าว เป็นเพราะว่าตำแหน่งตรงนี้เป็นตำแหน่ง (มะกอม) สำหรับการวิงวอนขอ, การร้องขอพระเมตตาและความกรุณา (อ้างแล้ว เชิงอรรถ หน้า 150) ส่วนการอะซานขณะนำ (มัยยิต) ลงหลุมนั้นไม่มีซุนนะฮฺระบุให้กระทำ


นักวิชาการในมัซฮับอัชชาฟิอีย์ระบุว่า : พึงทราบเถิด! ว่าไม่มีซุนนะฮฺให้ทำการอะซานขณะเข้าหลุมศพ (คือขณะนำมัยยิตลงหลุม – ผู้ตอบ) ซึ่งค้านกับผู้ที่กล่าวว่าเป็นซุนนะฮฺในอะซานนี้โดยเทียบ (กิย๊าส) สำหรับการที่เขา (มัยยิต) ออกจากโลกดุนยา (ตาย) กับการที่เขา (มัยยิต) เข้าสู่โลกดุนยา (ตอนเกิด – ผู้เขียน)


ท่านอิบนุ ฮะญัร (ร.ฮ.) กล่าวว่า : ฉันได้ค้านเรื่องนี้เอาไว้ในชัรฮุลอุบ๊าบฺ แต่ทว่าเมื่อการนำเอามัยยิตลงหลุมศพไปตรง (พ้อง) กับการอะซาน การถูกสอบถามก็จักถูกผ่อนหนักเป็นเบาให้แก่เขา” (ดูฮาชิยะฮฺ อิอานะตุตฺตอลีบีน อะลา ฮัลลิ อัลฟาซฺ ฟัตฮิลมุอีน ; อัลลามะฮฺ อบูบักร อัดดุมยาฏีย์ , ดารุ้ลฟิกริ เบรุต (1993) เล่มที่ 1 หน้า 268 เรื่องอะซานและอิกอมะฮฺ)


อนึ่ง เข้าใจว่าการเทียบ (กิยาส) การอะซานขณะนำเอามัยยิตลงหลุมศพกับการอะซานที่หูขวาของเด็กทารกซึ่งเข้าสู่โลกดุนยาเมื่อแรกเกิดโดยให้เหตุผล (อิลละฮฺ) ว่าเมื่อมีซุนนะฮฺให้อะซานแก่ทารกขณะที่เข้าสู่โลกดุนยาในเบื้องแรก ก็น่าจะมีซุนนะฮฺให้ทำการอะซานขณะนำมัยยิตลงหลุมศพซึ่งเป็นการออกจากโลกดุนยาในเบื้องท้ายนั้น ถือเอาคำอธิบายของนักวิชาการที่ระบุว่า การอะซานทั้ง 2 กรณีนี้ มิใช่การอะซานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งจากหน้าที่ (วะซีฟะฮฺ) ของบุรุษเพศ แต่มุ่งหมายถึงการเพียงแต่ซิกรุลลอฮฺเพื่อเป็นตะบัรรุ๊ก (บินญัยริมีย์ อะลัล ค่อฏีบฺ ; ชัยค์ สุลัยมาน อัลบุญัยริมีย์ เล่มที่ 4 หน้า 290)


และถือตามคำอธิบายที่ว่า : และจะปรากฏว่าการอะซานให้เด็กทารกได้รู้ถึงเอกานุภาพของอัลลอฮฺเป็นสิ่งแรกที่เข้าสู่การรับฟังของเขาขณะที่เขามายังโลกดุนยานี้เฉกเช่นที่จะปรากฏว่า เรื่องเอกานุภาพนั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะได้รับฟังด้วยการตัลกีนขณะที่เขาออกจากโลกดุนยา เพราะมีการรายงานมาว่า “พวกท่านจงสอนผู้ที่ใกล้ตาย (หรือคนตาย) ของพวกท่านซึ่งประโยค “لااله الاالله” (ฮาชิยะฮฺ อัชชัยคฺ อิบรอฮีม อัลบัยญูรีย์ เล่มที่ 2 หน้า 572)


อย่างไรก็ตาม ถ้าหากสังเกตคำอธิบายของนักวิชาการข้างต้นก็จะพบว่าเป็นเรื่องของการอะซานให้แก่ทารกแรกเกิดกับการตัลกีนแก่ผู้ใกล้ตายหรือผู้ที่ตายแล้วตามนัยที่นักวิชาการอธิบายเอาไว้ทั้ง 2 นัย หาใช่เป็นการอะซานขณะนำมัยยิตลงสู่หลุมศพไม่ และเป็นเรื่องแปลกที่ว่าในตำราฟิกฮฺของมัซฮับอัชชาฟิอีย์ ที่ถือเป็นมาตรฐานกลับไม่ระบุถึงเรื่องการอะซานขณะนำมัยยิตลงสู่หลุมศพ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องที่เกี่ยวกับการอะซานและอิกอมะฮฺก่อนละหมาดและเรื่องของญะนาอิซฺ


ทั้ง ๆ ที่ ตำราบางเล่ม เช่น อิอานะตุตตอลีบีน ก็กล่าวถึงกรณีต่าง ๆ นอกเหนือการละหมาดที่มีซุนนะฮฺให้ทำการอะซาน เช่น การอะซานใส่หูคนที่เศร้าหมอง , คนที่ถูกญินคุม , คนที่โกรธ , คนหรือสัตว์ที่มีนิสัยไม่ดี, ขณะเกิดอัคคีภัย, ขณะญินแปลงกายเป็นรูปต่าง ๆ และการอะซานที่หูขวาและอิกอมะฮฺที่หูซ้ายของของเด็กทารกและข้างหลังผู้เดินทางไกล (อิอานะตุตตอลิบีน เล่มที่ 1 หน้า 267) ก็หาได้มีการระบุว่ามีซุนนะฮฺให้อะซานขณะนำมัยยิตลงหลุมไม่


ดังนั้นการอะซานและอิกอมะฮฺที่หูของเด็กทารกจึงเป็นซุนนะฮฺฟิอฺลียะฮฺ (คือเป็นแบบและแนวทางที่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ได้กระทำเอาไว้) ส่วนการอะซานขณะที่นำเอามัยยิตลงหลุมนั้นนักวิชาการเรียกว่า ซุนนะฮฺตัรกียะฮฺ (คือการละทิ้ง การกระทำสิ่งนั้นเป็นซุนนะฮฺเพราะท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) มิได้กระทำ เมื่อท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) มิได้กระทำและละทิ้งการกระทำนั้นก็ถือเป็นซุนนะฮฺให้เราละทิ้งสิ่งนั้นด้วยนั่นเอง (ดู มะฮับบะตุรฺร่อซูล บัยนัล อิตติบาอฺ วัลอิบติดาอฺ , มักตะบะฮฺ อัรริยาฎ ; อับดุรร่ออู๊ฟ มุฮำหมัด อุสมาน หน้า 103)



ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร อัลฮัยตะมีย์ (เสียชีวิต ฮ.ศ. 974) ได้ถูกถามว่า การอะซาน และอิกอมะฮฺขณะปิดปากหลุมศพแบบลูกหลุม (ละฮฺด์) มีข้อชี้ขาดอย่างไร? ท่านตอบว่า : เป็นอุตริกรรม (บิดอะฮฺ) เพราะไม่มีสิ่งถูกต้องใด ๆ เลยในเรื่องนี้และสิ่งที่ถูกถ่ายทอดจากบางส่วนของพวกเขาในเรื่องนี้มิใช่สิ่งที่ถูกนำพา ต่อมาฉันได้เห็น อัลอัศบะฮีย์ ตอบฟัตวาด้วยสิ่งที่ฉันกล่าวมา... (แล้วท่านอิบนุ ฮะญัร (ร.ฮ.) ก็อ้างถึงคำฟัตวาของท่านอัลอัศบะฮีย์ (ร.ฮ.) และท่านอิบนุ ฮะญัร (ร.ฮ.) ก็สรุปตอนท้ายว่า)


ตามนั้นจึงรู้ได้ว่า (สิ่งที่อัลอัศบะฮีย์ตอบนั้น) สอดคล้องกับที่ฉันกล่าวถึง ว่าสิ่งดังกล่าวเป็นอุตริกรรม (บิดอะฮฺ) ...” (อัลฟะตาวา อัลกุบรอ อัลฟิกฮียะฮฺ อะลา มัซฮับ อัลอิหม่าม อัชชาฟีอีย์ ; อิบนุ ฮะญัร อัลฮัยตะมีย์ , ดารุ้ลกุตุบอัลอิลมียะฮฺ (1997) เล่มที่ 1 หน้า 413) และท่านมุฮำมัด นาซิรุดดีน อัลอัลบานีย์ ก็ระบุว่า : ส่วนหนึ่งจากอุตริกรรม (บิดอะฮฺ) ในเรื่องญะนาอิซฺ คือ การอะซานขณะนำเอามัยยิตเข้าสู่ในหลุมศพของเขา อ้างจาก ฮาชิยะฮฺ อิบนิ อาบิดีน เล่มที่ 1/837...” (ดู อะฮฺกามุ้ล ญะนาอิซฺ ว่า บิดะอุฮา , อัลอัลบานีย์ หน้า 317)


ดังนั้นการอะซานขณะนำมัยยิตลงหลุมซึ่งผู้อะซานจะอะซานบนปากหลุมหรือลงไปอะซานในหลุมก็ตามเป็นสิ่งที่ไม่มีแบบให้กระทำในซุนนะฮฺ  เพราะไม่มีหลักฐานบ่งชี้ในเรื่องนี้และนักวิชาการคนสำคัญในมัซฮับอัชชาฟิอีย์อย่างน้อยก็ 2 ท่านคือ ท่านอิบนุ ฮะญัร อัลฮัยตะมีย์ และอัลอัศบะฮีย์ ชี้ขาดว่าเป็นอุตริกรรม (บิดอะฮฺ) และการเทียบ (กิยาส) ที่อ้างมานั้นเป็นสิ่งที่อ่อนแอ (ฎ่ออีฟ) จึงเป็นสิ่งที่เราจำต้องหลีกห่างจากการกระทำดังกล่าวและสร้างความเข้าใจแก่พี่น้องของเราที่อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์และปฏิบัติสิ่งดังกล่าวอยู่


แท้จริงซุนนะฮฺต่าง ๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับขณะฝังศพนั้นมีหลายประการและเพียงพอแล้วที่เราจะเน้นหนักและให้ความสำคัญในการนำซุนนะฮฺดังกล่าวมาปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่ล่วงลับและผู้ที่ร่วมในการฝังศพนั้น

والله أعلم بالصواب
ชื่อที่เคยใช้ในบอร์ดคือ ahmdduku, الدوكوي, เหรียญ 2 ด้าน

ออฟไลน์ อัล-อุม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 92
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: นี่แหละน่าจะบิดอะ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ก.ย. 03, 2009, 04:55 PM »
0
แล้วการฟัตวา ว่าน้ำลายบูดกินได้ และไม่เสียศีลอดนี้นะเป็นบิดอะที่ลุ่มหลงหรือป่าวครับ  คุณแอนตี้ บิดอะที่ดี

ออฟไลน์ anti-bid'ah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 839
  • ไม่รู้ อย่าเสือกชี้
  • Respect: +29
    • ดูรายละเอียด
Re: นี่แหละน่าจะบิดอะ
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ก.ย. 03, 2009, 07:27 PM »
0
 salam ผมต้องการใช้อาจารย์อัซอารี หรือผู้เชียวชาญ วิภาษจังเลยครับ
ช่วยว่ภาษก่อน แล้วผมจะบอกว่าใครเป็นคนบอกว่าดออิฟญิดดัน(คำตอบของใคร)
رَبَّنَا فَاغْفِرْ لَنَا ذُنُوبَنَا وَكَفِّرْ عَنَّا سَيِّئَاتِنَا وَتَوَفَّنَا مَعَ الْأَبْرَارِ

ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
Re: นี่แหละน่าจะบิดอะ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ก.ย. 03, 2009, 08:22 PM »
0
salam

เป็นคำตอบจากลิงค์นี้ครับ  http://www.alisuasaming.com/qa/index.php?topic=370.0

คุณเองก็เคยตั้งกระทู้เรื่องนี้แล้วไม่ใช่เหรอ http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=4114.0


ผมไม่เห็นว่าจะต้องตอบให้เหมือนกันเลย ก็นี่มันเรื่องปลีกย่อย ย่อมมีความเห็นต่างกันได้เป็นธรรมดา ไม่ใช่หลักมูลฐานที่จะต้องเห็นพ้องกัน

ดีเสียอีกคนที่ศึกษาเรียนรู้อย่างผมจะได้ความรู้เพิ่มอีก

เรื่องสายรายงานบางท่านก็เห็นว่าคนนี้เชื่อถือได้บางท่านก็บอกว่าไม่น่าเชื่อถือ  เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้สำหรับปัญหาข้อปลีกย่อย


มะอัสลามะฮฺ


كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ anti-bid'ah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 839
  • ไม่รู้ อย่าเสือกชี้
  • Respect: +29
    • ดูรายละเอียด
Re: นี่แหละน่าจะบิดอะ
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ก.ย. 03, 2009, 09:39 PM »
0
 salam นั้นแสดงว่า อาจารย์ 2อ 2ส  มีตอบในเรื่องนี้ต่างกัน ท่านหนึ่งบอกว่าทำได้ ขณะที่อีกท่านบอกว่าทำไม่ได้
แต่ที่ผมเรียน อาจ่ารย์บอกผมว่า ถ้าหะดิษใดดออีฟแล้ว นั้นแสดงว่า นักวิชาการหะดิษทั้งหมดเห็นพ้องกันว่าดออีฟ  ไม่ใช่ว่าคนหนึ่งว่าดออีฟ อีกคนว่า หะซัน หรือซอเหียะ
ลักษณะอย่างนี้เป็นไปไม่ได้(อาจารย์สอนอย่างนี้)
رَبَّنَا فَاغْفِرْ لَنَا ذُنُوبَنَا وَكَفِّرْ عَنَّا سَيِّئَاتِنَا وَتَوَفَّنَا مَعَ الْأَبْرَارِ

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: นี่แหละน่าจะบิดอะ
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: ก.ย. 04, 2009, 04:32 AM »
0
แล้วจะไปกินน้ำลายบูดหาพี่ของอาหรือไง อร่อยมากหรือ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
Re: นี่แหละน่าจะบิดอะ
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: ก.ย. 04, 2009, 04:53 AM »
0
แต่นักวิชาการส่วนมาก ลงความเห็น ให้ปฎิบัติ ฮะดิส ดออีฟ ได้ หากเป็นการเชิญชวนไปสู่การดี
ดังนั้นสิ่งที่เป็น ฟะดออิลุลอะมาล จึงสามารถนำฮะดิสดออีฟ มาเป็นหลักฐานอ้างอิงได้

ยกตัวอย่าง ดุอา ก่อนรับประทานอาหาร ซึ่งกล่าวว่า "اللّهُمَّ بَارِكْ لَنَا فِيْمَا رَزَقْتَنَا وَقِنَاعَذاَبَ النَّارِ "
โอ้อัลลอฮ์ โปรดประทานความจำเริญในปัจจัยยังชีพแก่เรา และโปรดปกป้องเราให้พ้นจาไฟนรก

ซึ่งพวกเขามักจะกล่าวว่า ดุอา ก่อนรับประทานอาหาร ประโยคนี้นั้นไม่มี และนบีไม่เคยกล่าว
หรือกล่าวหาว่า ใครกล่าวเช่นนี้นั้น .......................  ( ถูกเซ็นเซอร์ ) ก็เป็นอันว่า เรียบร้อย

แค่อ่านดุอา ยังห้าม ไม่ต้องสืบเลยว่า การละหมาดฮายัต ที่เป็นอะมาล จะห้ามหรือเปล่า.... ( ชัวร์ )
นอูซุบิลลามินซาลิก
วัสลาม...

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
Re: นี่แหละน่าจะบิดอะ
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: ก.ย. 04, 2009, 04:57 AM »
0
อ่อ ขอนิดนึงนะครับ
ผมเห็นว่า บัง จขกท นั้น พยายาม จะตั้งคำถาม อะไรต่อมิอะไรมากมายในรอมฎอน
ปัญหาไร้สาระบ้าง ปัญหาเชิงลึกบ้าง โดยเน้นจะถามบังอัลเป็นส่วนใหญ่

ผมนึกมาได้อย่าง นึกเฉยๆ แต่ก็จะเล่าให้ฟัง นะครับ คือผมคิดว่า " นี่ ! คุณจะเอาให้บังเขาไม่มีเวลาทำอะมาลในรอมฎอนเลยใช่มั๊ย ? "
เพราะมันต้องค้นหลักฐาน อะไรกันให้มากมาย ต้องแปลอาหรับเป็นอาหรับ เพื่อที่จะมาวิจารณ์มาวิเคราะห์กันยืดยาว

เนี้ยมันคิดได้แบบเนี้ยครับ เพราะก่อนรอมฎอนมีเวลาตั้งนาน ไม่ยักถาม ดันมาถามตอนนี้
อีกอย่าง บางเรื่องไม่ได้เป็นช่วงรอมฎอนด้วย ก็รอหลังรอมฎอนแล้วค่อยมาถามดีกว่า
ตอนนี้ผมว่า บังจขกท ขอดุอา อ่านอัลกรุอาน ไปก่อนเถอะครับ

ผมนี้หวังดีนะครับ แต่ถ้าไม่คิดเช่นนั้นก็ไม่เป็นไรครับ เชิญถามต่อไปได้สบาย
วัสลาม...

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: นี่แหละน่าจะบิดอะ
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: ก.ย. 04, 2009, 05:17 AM »
0
กลัวคนอื่นจะได้บุญเยอะกว่าตัว คิดคำถามไว้นานแล้วเพิ่งมาปล่อยเอาทีเดียวในเดือนนี้ แบบนี้นี่เอง เจ้าเล่ห์จริงๆ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

GoogleTagged