« เมื่อ: ก.ย. 04, 2009, 07:48 PM »
0
ประมวลเหตุรายเดือนในประวัติศาสตร์อิสลาม : เหตุการณ์สำคัญในเดือนร่อมาดอน โดย...อาลี เสือสมิง
ในเดือนร่อมาดอน ได้มีการแต่งตั้งท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) โดยพระบัญชาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า (ซ.บ.) ให้ดำรงตำแหน่งศาสนทูตผู้ประกาศสาส์นครั้งแรกขณะที่ท่านศาสดากำลังบำเพ็ญ เพียรในการประกอบศาสนกิจตามแนวทางของท่านศาสดาอิบรอฮีม (อ.ล.) หรือที่เรียกกันว่าแนวทางแบบอัลฮะนีฟียะห์ของท่านศาสดาอิบรอฮีม (อ.ล.) ซึ่งครั้งหนึ่งท่านและศาสดาอิสมาอีล (อ.ล.) ผู้เป็นบุตรชายของท่านเคยแสดงเอาไว้ในหมู่ชนชาติอาหรับ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลักธรรมคำสอนดังกล่าวก็เริ่มจางหายและแปรเปลี่ยนจวบจนถึงยุคของท่านศาสดามุ ฮัมมัด (ซ.ล.) หลักธรรมคำสอนอันได้ชื่อ ว่าศาสนาอิสลามนั้นก็ได้รับการฟื้นฟูและเผยแผ่อีกคราเหตุการณ์พระราชทานวะฮี ย์ (วิวรณ์) เป็นครั้งแรกแก่ท่านศาสดา (ซ.ล.) ผ่านทางเทวทูตญิบรีลขณะที่ท่านอยู่ในถ้ำอัลฮิรออ์นั้นนับเป็นเหตุการณ์ที่ สำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการประกาศสาส์นแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าแก่มวล มนุษยชาติ ณ ถ้ำอัลฮิรออ์
ท่านเทวทูตญิบรีลได้ปรากฏตัวขึ้นและพลางกล่าวว่า “จงอ่านเถิด” ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าอ่านไม่เป็น” ทันใดนั้นท่านญิบรีลจึงโถมเข้ากอดท่านจนแน่นและแล้วก็ปล่อยท่านจากอ้อมกอด นั้นแล้วพลางกล่าวขึ้นว่า “จงอ่านเถิด” ฝ่ายท่านศาสดา (ซ.ล.) ก็ยืนกรานด้วยประโยคเดิมว่า “ข้าพเจ้าอ่านไม่เป็น” เป็นอย่างนี้ถึงสามครั้งสามคราและแล้ว ท่านเทวทูตญิบรีลก็เริ่มอัญเชิญพระดำรัสอันเป็นปฐมโองการจากองค์พระผู้เป็น เจ้าให้ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้สดับรับฟังว่า
“(มุฮัมมัด) เจ้าจงอ่านเถิด ด้วยพระนามแห่งองค์พระผู้อภิบาลของเจ้า พระผู้ซึ่งทรงสร้าง พระองค์ทรงสร้างมนุษย์มาจากก้อนเลือด จงอ่านเถิด และองค์พระผู้อภิบาลของเจ้านั้นทรงเกียรติยิ่ง พระผู้ทรงสอนให้รู้ด้วยปากกา พระองค์ทรงสอนมนุษย์ให้รู้ในสิ่งที่เขาไม่รู้” บทอัลอะลัก 1/5 พระดำรัสทั้ง 5 โองการซึ่งเป็นปฐมบัญญัติจากพระผู้เป็นเจ้าได้ประทานลงมาในช่วงเดือนร่อมา ดอนขณะที่ท่านศาสดา (ซ.ล.) มีอายุได้ 40 ปี
วันที่ 17 เดือนร่อมาดอน ปีที่ 2 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ขณะที่ท่านศาสดา (ซ.ล.) มีอายุได้ 54 ถึง 55 ปี ได้เกิดสมรภูมิบัดรฺครั้งใหญ ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ทราบข่าวว่ามีกองคาราวานอูฐบรรทุกสินค้ามุ่งหน้ามาจากแคว้นชาม (ซีเรีย) โดยมีอบูซุฟยาน ซอคร์ อิบนุ ฮัรบฺกับชายฉกรรจ์ชาวกุเรซจำนวน 30 ถึง 40 คน ร่วมขบวนมา นับเป็นกองคาราวานอูฐขนาดใหญ่ที่บรรทุกสินค้าอันเป็นทรัพย์สินมหาศาลของ เผ่ากุเรซและผู้คนในนครมักกะห์
ซึ่งถึงแม้ว่าสินค้าที่กองคาราวานนี้บรรทุกมาจะมีค่ามากมายเพียงใดก็ ย่อมมิอาจเพียงพอต่อการชดใช้หรือทดแทนทรัพย์สินที่ชาวมุฮาญี่รีนต้องสูญเสีย ไปจากการอายัดยึดครองของฝ่ายกุเรซในนครมักกะห์ ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ปลุกระดมผู้คนโดยเฉพาะชาวมุฮาญี่รีนให้ออกไปยังกองคาราวานดังกล่าวเพื่อ อายัดทรัพย์สินเอาไว้เพื่อประโยชน์ของฝ่ายมุสลิม
ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้นำกำลังพลกว่า 300 นายออกจากนครม่าดีนะห์ในวันที่ 8 เดือนร่อมาดอน โดยท่านได้แต่งตั้งให้ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อุมมิมักตูมเป็นผู้รั้งนครม่าดีนะห์และนำผู้คนที่ไม่ได้ออกศึกในการนมัสการ ละหมาด ครั้นเมื่อเดินทัพถึง ต.อัรเราฮาอฺ จึงได้มีคำสั่งให้อบู ลุบาบะฮฺ เดินทางกลับสู่นครม่าดีนะห์เพื่อร่วมสมทบกับท่านอับดุลลอฮฺในการรักษานครแทน พระองค์
ไม่ปรากฏว่าในการเดินทัพครั้งนั้นมีกำลังม้าศึกร่วมทัพอยู่เลยนอกจากม้า ศึกเพียงสองตัว ตัวหนึ่งเป็นของท่านอัซซุบัยร์ และอีกตัวหนึ่งเป็นม้าศึกของท่านอัลมิกด้าด อิบนุ อัลอัสวัด อัลกินดีย์เท่านั้น ส่วนทัพอูฐนั้นมีอยู่ราว 70 ตัวโดยให้พลเดินเท้าผลัดเปลี่ยนกันขึ้นขี่ชุดละสองถึงสามคนต่ออูฐหนึ่งตัว ฝ่ายกองคาราวานของกุเรซที่มีอบูซุฟยานเป็นผู้นำเมื่อได้ทราบข่าวการเคลื่อน กำลังของท่านศาสดา (ซ.ล.) ที่หมายเข้าพิชิตกองคาราวานเพื่อตัดทอนกำลังฝ่ายกุเรซ อบูซุฟยานก็ได้เร่งรุดส่งม้าเร็วมุ่งหน้าสู่นครมักกะห์เพื่อแจ้งข่าวแก่พล เมืองมักกะห์พร้อมปลุกระดมให้มีการแต่งทัพออกจากมักกะห์เพื่อปกป้องกอง คาราวานสินค้าดังกล่าวซึ่งถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของพลเมืองมักกะห์ทั้งหมดให้ พ้นจากการยึดครองของฝ่ายมุสลิม
เหล่าผู้นำกุเรซก็เร่งระดมผู้คนได้กำลังพลราว 1,000 คน เพื่อทำศึกปกป้องกองคาราวานของตน ครั้นเมื่อท่านศาสดา (ซ.ล.) ทราบข่าวการเคลื่อนทัพของมักกะห์ท่านได้ประชุมหารือกับเหล่าสาวกเกี่ยวกับ การศึก เหล่าสาวกทั้งหมดก็ขานรับการเรียกร้องของท่านด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ในที่สุดกองทัพของทั้งสองก็ได้ประจัญบานกัน ณ ตำบลบะดัร การสู้รบดำเนินไปอย่างดุเดือด ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้วิงวอนขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า
“โอ้ องค์พระผู้เป็นเจ้า หากพระองค์ทรงให้กลุ่มชนนี้ (อันหมายถึงฝ่ายมุสลิมซึ่งมีความเสียเปรียบด้านกำลังพลและ อาวุธยุทโธปกรณ์) ได้รับความวิบัติแล้วไซร้ พระองค์ก็จะไม่ได้รับการสักการะในหน้าผืนพิภพนี้” จากคำวิงวอนนี้เองท่านศาสดา (ซ.ล.) และกองทัพของท่านก็ได้รับความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้าด้วยการส่งกองทัพ ม่าลาอิกะห์ (เทวทูต) จำนวน 1,000 ท่านเข้าร่วมรบเป็นกองหนุนแก่ฝ่ายมุสลิมซึ่งได้รับชัยชนะเหนือกองทัพของมัก กะฮฺอย่างงดงาม ในสมรภูมิบัดรฺครั้งใหญ่นี้ฝ่ายกุเรซเสียกำลังพลไปจำนวน 70 คนและถูกจับเป็นเชลยศึกอีกจำนวน 70 คนฝ่ายมุสลิมได้พลีชีพจำนวน 14 คน
หลังเสร็จสิ้นจากการศึกบัดรฺ ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้นำทัพกลับสู่นครม่าดีนะห์ในฐานะจอมทัพผู้มีชัยและพระผู้เป็นเจ้าได้ทรง บันดาลให้พระดำรัสและศาสนาของพระองค์สูงส่งและสมเกียรติตลอดจนทรงดลบันดาล ให้เหล่าทหารผู้กล้าของพระองค์พรั่งพร้อมด้วยเกียรติภูมิ
จาก ผลพวงของชัยชนะทางการทหารของฝ่ายมุสลิมได้ทำให้กลุ่มชนบางพวกเข้ารับอิสลาม เพื่ออำพรางว่ายอมสวามิภักดิ์ต่ออำนาจรัฐอิสลามที่มาบัดนี้มีกำลังกล้าแข็ง และมีชัยต่อทัพมักกะห์ ชนพวกนี้เป็นที่รู้จักกันในนามว่า “พวกหน้าไหว้หลังหลอก” (มุนาฟิกูน) มีผู้นำคนสำคัญคือ อับดุลลอฮฺ อิบนุ อุบัยย์ อิบนิ ซ่าลู้ลซึ่งมีบทบาทในการบ่อนทำลายอิสลามในกาลต่อมา
ลุวันที่ 10 เดือนร่อมาดอน ปีที่ 8 แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ท่านศาสดา (ซ.ล.) พร้อมด้วยเหล่านักรบผู้ทแกล้วกล้าจำนวน 10,000 นาย อันประกอบด้วยชาวมุฮาญี่รีน (เหล่าผู้อพยพจากนครมักกะห์) และชาวอันซ็อร (ผู้ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือจากชาวเมืองม่าดีนะห์) ตลอดจนอาหรับเผ่าต่าง ๆ ที่เป็นพันธมิตรกับฝ่ายมุสลิมได้เคลื่อนกำลังพลออกจากนครม่าดีนะห์มุ่งหน้า สู่นครมักกะห์เพื่อทำการพิชิตนครมักกะห์อย่างเด็ดขาด
สาเหตุการเคลื่อนทัพของท่านศาสดา (ซ.ล.) ดังกล่าวเกิดจากการละเมิดสนธิสัญญาพักรบอัลฮุดัยบียะห์ซึ่งได้ลงนามกัน ระหว่างฝ่ายมุสลิมกับฝ่ายกุเรซเมื่อราวปีที่ 6 แห่งฮิจเราะห์ศักราช โดยเผ่าบนีบักรซึ่งเป็นพันธมิตรกับฝ่ายกุเรซได้ละเมิดสนธิสัญญาด้วยการลอบ โจมตีคนของเผ่าคุซาอะห์ซึ่งเป็นพันธมิตรฝ่ายท่านศาสดา (ซ.ล.) เหตุการณ์ดังกล่าวจึงนับได้ว่าเป็นการสิ้นสุดของช่วงระยะเวลาพักรบระหว่าง สองฝ่าย
เมื่อฝ่ายคุซาอะห์ถูกลอบโจมตี ท่านอัมร์ อิบนุ ซาลิม และท่านบะดีล อิบนุ วัรกออฺซึ่งทั้งสองเป็นคนของคุซาอะห์จึงรุดไปแจ้งขอความช่วยเหลือจากท่าน ศาสดา (ซ.ล.) ให้ปราบปรามพวกกุเรซและเหล่าพันธมิตร ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้ตอบรับข้อเรียกร้องอีกทั้งยังได้แจ้งแก่บุคคลทั้งสองด้วยอีกว่าชัยชนะ อย่างเด็ดขาดจะตกเป็นของฝ่ายมุสลิมในการพิชิตนครมักกะห์
นอกจากนี้ท่านศาสดา (ซ.ล.) ยังได้ปฏิเสธที่จะลงนามสนธิสัญญาครั้งใหม่กับอบูซุฟยานซึ่งเป็นตัวแทนและผู้ นำของฝ่ายกุเรซและพันธมิตร เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพท่านศาสดา (ซ.ล.) ผู้เป็นจอมทัพจึงได้เคลื่อนกำลังพลชาวมุสลิมสู่นครมักกะห์ ครั้นเมื่อถึงชานเมืองนครมักกะห์ อบูซุฟยาน อิบนุ ฮัรบ์ ผู้นำของกุเรซก็ได้เข้าพบท่านศาสดา (ซ.ล.) เพื่อต่อรองเกี่ยวกับเรื่องรื้อฟื้นสนธิสัญญา แต่ก็ไร้ผล
ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้เสนออิสลามแก่อบูซุฟยาน ซึ่งในที่สุดอบูซุฟยานก็ได้เข้ารับอิสลาม และเมื่อกำลังพลของฝ่ายมุสลิมยาตราทัพเข้าสู่ตัวเมืองมักกะห์ ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้มีบัญชาให้ป่าวประกาศแก่พลเมืองมักกะห์ให้เป็นที่ทราบกันว่า “ผู้ใดเข้าสู่เคหะสถานของอบีซุฟยาน ผู้นั้นย่อมปลอดภัย และผู้ใดปิดประตูบ้านเรือนของตน ผู้นั้นย่อมปลอดภัยและผู้ใดหลบเข้าสู่มัสยิดอัลหะรอม ผู้นั้นย่อมได้รับความปลอดภัย”อ่านต่อจากไฟล์พีดีเอฟดาวน์โหลด (PDF)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 04, 2009, 07:52 PM โดย Deeneeyah »
كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้ มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา 