ผู้เขียน หัวข้อ: ประมวลเหตุรายเดือนในประวัติศาสตร์อิสลาม : เหตุการณ์สำคัญในเดือนร่อมาดอน  (อ่าน 2467 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/

ประมวลเหตุรายเดือนในประวัติศาสตร์อิสลาม : เหตุการณ์สำคัญในเดือนร่อมาดอน   โดย...อาลี เสือสมิง

                ในเดือนร่อมาดอน  ได้มีการแต่งตั้งท่านศาสดามุฮัมมัด  (ซ.ล.)  โดยพระบัญชาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า  (ซ.บ.)  ให้ดำรงตำแหน่งศาสนทูตผู้ประกาศสาส์นครั้งแรกขณะที่ท่านศาสดากำลังบำเพ็ญ เพียรในการประกอบศาสนกิจตามแนวทางของท่านศาสดาอิบรอฮีม  (อ.ล.) หรือที่เรียกกันว่าแนวทางแบบอัลฮะนีฟียะห์ของท่านศาสดาอิบรอฮีม  (อ.ล.)  ซึ่งครั้งหนึ่งท่านและศาสดาอิสมาอีล  (อ.ล.)  ผู้เป็นบุตรชายของท่านเคยแสดงเอาไว้ในหมู่ชนชาติอาหรับ

                แต่เมื่อเวลาผ่านไป  หลักธรรมคำสอนดังกล่าวก็เริ่มจางหายและแปรเปลี่ยนจวบจนถึงยุคของท่านศาสดามุ ฮัมมัด  (ซ.ล.)  หลักธรรมคำสอนอันได้ชื่อ  ว่าศาสนาอิสลามนั้นก็ได้รับการฟื้นฟูและเผยแผ่อีกคราเหตุการณ์พระราชทานวะฮี ย์  (วิวรณ์)  เป็นครั้งแรกแก่ท่านศาสดา  (ซ.ล.)  ผ่านทางเทวทูตญิบรีลขณะที่ท่านอยู่ในถ้ำอัลฮิรออ์นั้นนับเป็นเหตุการณ์ที่ สำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม  เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการประกาศสาส์นแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าแก่มวล มนุษยชาติ  ณ  ถ้ำอัลฮิรออ์

                ท่านเทวทูตญิบรีลได้ปรากฏตัวขึ้นและพลางกล่าวว่า  “จงอ่านเถิด”  ท่านศาสดา  (ซ.ล.)  ได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าอ่านไม่เป็น”  ทันใดนั้นท่านญิบรีลจึงโถมเข้ากอดท่านจนแน่นและแล้วก็ปล่อยท่านจากอ้อมกอด นั้นแล้วพลางกล่าวขึ้นว่า “จงอ่านเถิด” ฝ่ายท่านศาสดา  (ซ.ล.) ก็ยืนกรานด้วยประโยคเดิมว่า “ข้าพเจ้าอ่านไม่เป็น”  เป็นอย่างนี้ถึงสามครั้งสามคราและแล้ว ท่านเทวทูตญิบรีลก็เริ่มอัญเชิญพระดำรัสอันเป็นปฐมโองการจากองค์พระผู้เป็น เจ้าให้ท่านศาสดา  (ซ.ล.)  ได้สดับรับฟังว่า

                “(มุฮัมมัด)  เจ้าจงอ่านเถิด  ด้วยพระนามแห่งองค์พระผู้อภิบาลของเจ้า  พระผู้ซึ่งทรงสร้าง  พระองค์ทรงสร้างมนุษย์มาจากก้อนเลือด  จงอ่านเถิด  และองค์พระผู้อภิบาลของเจ้านั้นทรงเกียรติยิ่ง  พระผู้ทรงสอนให้รู้ด้วยปากกา  พระองค์ทรงสอนมนุษย์ให้รู้ในสิ่งที่เขาไม่รู้”  บทอัลอะลัก  1/5   พระดำรัสทั้ง  5  โองการซึ่งเป็นปฐมบัญญัติจากพระผู้เป็นเจ้าได้ประทานลงมาในช่วงเดือนร่อมา ดอนขณะที่ท่านศาสดา  (ซ.ล.)  มีอายุได้  40  ปี

 

                วันที่  17  เดือนร่อมาดอน  ปีที่  2  แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ขณะที่ท่านศาสดา  (ซ.ล.)  มีอายุได้  54  ถึง  55  ปี  ได้เกิดสมรภูมิบัดรฺครั้งใหญ ท่านศาสดา  (ซ.ล.)  ได้ทราบข่าวว่ามีกองคาราวานอูฐบรรทุกสินค้ามุ่งหน้ามาจากแคว้นชาม  (ซีเรีย)  โดยมีอบูซุฟยาน  ซอคร์  อิบนุ  ฮัรบฺกับชายฉกรรจ์ชาวกุเรซจำนวน  30  ถึง  40  คน ร่วมขบวนมา  นับเป็นกองคาราวานอูฐขนาดใหญ่ที่บรรทุกสินค้าอันเป็นทรัพย์สินมหาศาลของ เผ่ากุเรซและผู้คนในนครมักกะห์

                ซึ่งถึงแม้ว่าสินค้าที่กองคาราวานนี้บรรทุกมาจะมีค่ามากมายเพียงใดก็ ย่อมมิอาจเพียงพอต่อการชดใช้หรือทดแทนทรัพย์สินที่ชาวมุฮาญี่รีนต้องสูญเสีย ไปจากการอายัดยึดครองของฝ่ายกุเรซในนครมักกะห์  ท่านศาสดา  (ซ.ล.)  ได้ปลุกระดมผู้คนโดยเฉพาะชาวมุฮาญี่รีนให้ออกไปยังกองคาราวานดังกล่าวเพื่อ อายัดทรัพย์สินเอาไว้เพื่อประโยชน์ของฝ่ายมุสลิม

                ท่านศาสดา  (ซ.ล.)  ได้นำกำลังพลกว่า  300  นายออกจากนครม่าดีนะห์ในวันที่   8  เดือนร่อมาดอน  โดยท่านได้แต่งตั้งให้ท่านอับดุลลอฮฺ  อิบนุ  อุมมิมักตูมเป็นผู้รั้งนครม่าดีนะห์และนำผู้คนที่ไม่ได้ออกศึกในการนมัสการ ละหมาด  ครั้นเมื่อเดินทัพถึง  ต.อัรเราฮาอฺ  จึงได้มีคำสั่งให้อบู  ลุบาบะฮฺ  เดินทางกลับสู่นครม่าดีนะห์เพื่อร่วมสมทบกับท่านอับดุลลอฮฺในการรักษานครแทน พระองค์

                ไม่ปรากฏว่าในการเดินทัพครั้งนั้นมีกำลังม้าศึกร่วมทัพอยู่เลยนอกจากม้า ศึกเพียงสองตัว  ตัวหนึ่งเป็นของท่านอัซซุบัยร์  และอีกตัวหนึ่งเป็นม้าศึกของท่านอัลมิกด้าด  อิบนุ  อัลอัสวัด  อัลกินดีย์เท่านั้น  ส่วนทัพอูฐนั้นมีอยู่ราว  70  ตัวโดยให้พลเดินเท้าผลัดเปลี่ยนกันขึ้นขี่ชุดละสองถึงสามคนต่ออูฐหนึ่งตัว  ฝ่ายกองคาราวานของกุเรซที่มีอบูซุฟยานเป็นผู้นำเมื่อได้ทราบข่าวการเคลื่อน กำลังของท่านศาสดา  (ซ.ล.)  ที่หมายเข้าพิชิตกองคาราวานเพื่อตัดทอนกำลังฝ่ายกุเรซ  อบูซุฟยานก็ได้เร่งรุดส่งม้าเร็วมุ่งหน้าสู่นครมักกะห์เพื่อแจ้งข่าวแก่พล เมืองมักกะห์พร้อมปลุกระดมให้มีการแต่งทัพออกจากมักกะห์เพื่อปกป้องกอง คาราวานสินค้าดังกล่าวซึ่งถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของพลเมืองมักกะห์ทั้งหมดให้ พ้นจากการยึดครองของฝ่ายมุสลิม

                เหล่าผู้นำกุเรซก็เร่งระดมผู้คนได้กำลังพลราว  1,000  คน  เพื่อทำศึกปกป้องกองคาราวานของตน  ครั้นเมื่อท่านศาสดา  (ซ.ล.)  ทราบข่าวการเคลื่อนทัพของมักกะห์ท่านได้ประชุมหารือกับเหล่าสาวกเกี่ยวกับ การศึก  เหล่าสาวกทั้งหมดก็ขานรับการเรียกร้องของท่านด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว  ในที่สุดกองทัพของทั้งสองก็ได้ประจัญบานกัน  ณ  ตำบลบะดัร  การสู้รบดำเนินไปอย่างดุเดือด  ท่านศาสดา  (ซ.ล.)  ได้วิงวอนขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า

                “โอ้ องค์พระผู้เป็นเจ้า หากพระองค์ทรงให้กลุ่มชนนี้  (อันหมายถึงฝ่ายมุสลิมซึ่งมีความเสียเปรียบด้านกำลังพลและ     อาวุธยุทโธปกรณ์)  ได้รับความวิบัติแล้วไซร้  พระองค์ก็จะไม่ได้รับการสักการะในหน้าผืนพิภพนี้” จากคำวิงวอนนี้เองท่านศาสดา  (ซ.ล.)  และกองทัพของท่านก็ได้รับความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้าด้วยการส่งกองทัพ ม่าลาอิกะห์  (เทวทูต)  จำนวน  1,000  ท่านเข้าร่วมรบเป็นกองหนุนแก่ฝ่ายมุสลิมซึ่งได้รับชัยชนะเหนือกองทัพของมัก กะฮฺอย่างงดงาม  ในสมรภูมิบัดรฺครั้งใหญ่นี้ฝ่ายกุเรซเสียกำลังพลไปจำนวน  70  คนและถูกจับเป็นเชลยศึกอีกจำนวน  70  คนฝ่ายมุสลิมได้พลีชีพจำนวน  14  คน

                หลังเสร็จสิ้นจากการศึกบัดรฺ  ท่านศาสดา  (ซ.ล.)  ได้นำทัพกลับสู่นครม่าดีนะห์ในฐานะจอมทัพผู้มีชัยและพระผู้เป็นเจ้าได้ทรง บันดาลให้พระดำรัสและศาสนาของพระองค์สูงส่งและสมเกียรติตลอดจนทรงดลบันดาล ให้เหล่าทหารผู้กล้าของพระองค์พรั่งพร้อมด้วยเกียรติภูมิ

              จาก ผลพวงของชัยชนะทางการทหารของฝ่ายมุสลิมได้ทำให้กลุ่มชนบางพวกเข้ารับอิสลาม เพื่ออำพรางว่ายอมสวามิภักดิ์ต่ออำนาจรัฐอิสลามที่มาบัดนี้มีกำลังกล้าแข็ง และมีชัยต่อทัพมักกะห์ ชนพวกนี้เป็นที่รู้จักกันในนามว่า  “พวกหน้าไหว้หลังหลอก” (มุนาฟิกูน) มีผู้นำคนสำคัญคือ อับดุลลอฮฺ อิบนุ อุบัยย์ อิบนิ ซ่าลู้ลซึ่งมีบทบาทในการบ่อนทำลายอิสลามในกาลต่อมา

 

                ลุวันที่  10  เดือนร่อมาดอน  ปีที่  8  แห่งฮิจเราะห์ศักราช
ท่านศาสดา  (ซ.ล.)  พร้อมด้วยเหล่านักรบผู้ทแกล้วกล้าจำนวน  10,000  นาย อันประกอบด้วยชาวมุฮาญี่รีน  (เหล่าผู้อพยพจากนครมักกะห์)  และชาวอันซ็อร  (ผู้ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือจากชาวเมืองม่าดีนะห์)  ตลอดจนอาหรับเผ่าต่าง ๆ  ที่เป็นพันธมิตรกับฝ่ายมุสลิมได้เคลื่อนกำลังพลออกจากนครม่าดีนะห์มุ่งหน้า สู่นครมักกะห์เพื่อทำการพิชิตนครมักกะห์อย่างเด็ดขาด

                สาเหตุการเคลื่อนทัพของท่านศาสดา  (ซ.ล.)  ดังกล่าวเกิดจากการละเมิดสนธิสัญญาพักรบอัลฮุดัยบียะห์ซึ่งได้ลงนามกัน ระหว่างฝ่ายมุสลิมกับฝ่ายกุเรซเมื่อราวปีที่  6  แห่งฮิจเราะห์ศักราช  โดยเผ่าบนีบักรซึ่งเป็นพันธมิตรกับฝ่ายกุเรซได้ละเมิดสนธิสัญญาด้วยการลอบ โจมตีคนของเผ่าคุซาอะห์ซึ่งเป็นพันธมิตรฝ่ายท่านศาสดา  (ซ.ล.)  เหตุการณ์ดังกล่าวจึงนับได้ว่าเป็นการสิ้นสุดของช่วงระยะเวลาพักรบระหว่าง สองฝ่าย

                เมื่อฝ่ายคุซาอะห์ถูกลอบโจมตี  ท่านอัมร์  อิบนุ  ซาลิม  และท่านบะดีล  อิบนุ  วัรกออฺซึ่งทั้งสองเป็นคนของคุซาอะห์จึงรุดไปแจ้งขอความช่วยเหลือจากท่าน ศาสดา  (ซ.ล.)  ให้ปราบปรามพวกกุเรซและเหล่าพันธมิตร  ท่านศาสดา  (ซ.ล.)  ได้ตอบรับข้อเรียกร้องอีกทั้งยังได้แจ้งแก่บุคคลทั้งสองด้วยอีกว่าชัยชนะ อย่างเด็ดขาดจะตกเป็นของฝ่ายมุสลิมในการพิชิตนครมักกะห์

                นอกจากนี้ท่านศาสดา  (ซ.ล.)  ยังได้ปฏิเสธที่จะลงนามสนธิสัญญาครั้งใหม่กับอบูซุฟยานซึ่งเป็นตัวแทนและผู้ นำของฝ่ายกุเรซและพันธมิตร เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพท่านศาสดา  (ซ.ล.)  ผู้เป็นจอมทัพจึงได้เคลื่อนกำลังพลชาวมุสลิมสู่นครมักกะห์  ครั้นเมื่อถึงชานเมืองนครมักกะห์  อบูซุฟยาน  อิบนุ  ฮัรบ์  ผู้นำของกุเรซก็ได้เข้าพบท่านศาสดา  (ซ.ล.)  เพื่อต่อรองเกี่ยวกับเรื่องรื้อฟื้นสนธิสัญญา  แต่ก็ไร้ผล

                ท่านศาสดา  (ซ.ล.)  ได้เสนออิสลามแก่อบูซุฟยาน  ซึ่งในที่สุดอบูซุฟยานก็ได้เข้ารับอิสลาม  และเมื่อกำลังพลของฝ่ายมุสลิมยาตราทัพเข้าสู่ตัวเมืองมักกะห์  ท่านศาสดา  (ซ.ล.)  ได้มีบัญชาให้ป่าวประกาศแก่พลเมืองมักกะห์ให้เป็นที่ทราบกันว่า “ผู้ใดเข้าสู่เคหะสถานของอบีซุฟยาน ผู้นั้นย่อมปลอดภัย และผู้ใดปิดประตูบ้านเรือนของตน ผู้นั้นย่อมปลอดภัยและผู้ใดหลบเข้าสู่มัสยิดอัลหะรอม ผู้นั้นย่อมได้รับความปลอดภัย”


อ่านต่อจากไฟล์พีดีเอฟ
ดาวน์โหลด (PDF)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 04, 2009, 07:52 PM โดย Deeneeyah »

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ เหรียญ 2 ด้าน

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 753
  • เพศ: ชาย
  • เรียบง่าย แต่ไร้เทียมทาน (จิงๆๆ)
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • กัมปงดูกู
ชื่อที่เคยใช้ในบอร์ดคือ ahmdduku, الدوكوي, เหรียญ 2 ด้าน

 

GoogleTagged