ผู้เขียน หัวข้อ: ฮาดิษนี้ ซอเฮียะฮฺหรือไม่  (อ่าน 9157 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ mustura^@^

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 336
  • เพศ: หญิง
  • ALLAH is the only ONE !!!
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
ฮาดิษนี้ ซอเฮียะฮฺหรือไม่
« เมื่อ: ก.ย. 08, 2009, 05:52 PM »
0

 salam

ท่าน หญิงอาอิชะฮฺเล่าว่า " كان رسول الله صلى الله عليه وسلم يتوضأ ثم يقبل ويصلي و لا يتوضأ " ความว่า "ท่านรสูลุลลอฮฺอาบน้ำนมาซ จากนั้นท่านรสูลก็จูบ (ภรรยาบางคนของท่าน) ต่อมาท่านรสูลก็นมาซโดยมิได้อาบน้ำนมาซ (ใหม่)"

รู้สึกฉงนในฮาดิษนี้เหลือเกิน...........ถ้าฮาดิษนี้เป็นฮาดิษที่ซอเฮียะฮฺจริง แสดงว่า สามีภรรยาถูกเนื้อต้องตัวได้โดยไม่เสียน้ำละหมาดงั้นรึ :-[???
วานผู้รู้ช่วยตรวจสอบด่วน อยากรู้จริงๆ

ถ้าเคยมีการเสวนาเรื่องสามีภรรยาถูกเนื้อต้องตัวในระหว่างที่มีน้ำละหมาดแล้ว ก็ช่วยลิ้งมาด้วยน่ะค๊าบบ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเสวนาหัวข้อนี้ หุหุหุหุ
ยาซากัลลอฮุค็อยรอนล่วงหน้าจ้าทุกคน

ออฟไลน์ mustura^@^

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 336
  • เพศ: หญิง
  • ALLAH is the only ONE !!!
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
Re: ฮาดิษนี้ ซอเฮียะฮฺหรือไม่
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ก.ย. 08, 2009, 05:54 PM »
0
แบบว่า ทางสายใหม่(วาฮาบีย์) เค้าเถียงมา บอกว่า สามีภรรยาถูกตัวกันไม่เสียน้ำนมาซ ก็เลยงงเข้าไปใหญ่

ออฟไลน์ wahaba

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 219
  • สร้างรูปร่างให้พระเจ้าคือความเชื่อของวะฮาบีและยิว
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ฮาดิษนี้ ซอเฮียะฮฺหรือไม่
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ก.ย. 08, 2009, 07:09 PM »
0
 salam  ท่านผู้รู้ไปไหนกันหมด

ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
Re: ฮาดิษนี้ ซอเฮียะฮฺหรือไม่
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ก.ย. 08, 2009, 07:50 PM »
0
 salam

คืออย่างนี้ครับอาจารย์มีเรื่องอยากจะถามครับ

1.การอาบน้ำละหมาดที่ ถูกต้องที่สุดหรือมีสายรายงานที่แข็งที่สุดนั้นอาบอย่างไร อย่างเช่นในเรื่องของการเช็ดศรีษะบ้างก็แตะๆเส้นผม บ้างก็ลูบจากหน้าไปหลังแล้วย้อนจากหลังมาพร้อมกับเช็ดใบหู 2อย่างนี้แบบใหนที่ถูกต้องที่สุด
2.มีอยู่วันหนึ่งผมอาบน้ำละหมาด แล้วมีเพื่อนผู้หญิงคนนี้มีนิสัยชอบแกล้งแตะให้เสียน้ำลหมาด ถ้าหากเรายึดถือ ฮาดิษที่ท่านนบีจูบภรรยาแล้วก็ไปละหมาดเช่นนี้ทำได้หรือไม่ครับ
3.ถ้าหากว่าเราถือมัสฮับใดมัสฮับหนึ่งอยู่แต่เรามั่นใจในทัศนะของมัสฮับอื่นจากที่เรายึดถือเช่นนี้ทำได้หรือไม่ครับ

ขอบคุณอาจารย์มากครับ

الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد..؛


1. การเช็ดศีรษะทั้งหมดตามวิธีการที่ระบุมาคือ ลูบจากด้านหน้าของศีรษะด้วยมือทั้งสองข้างไปถึงท้ายทอยหรือส่วนหลังของศีรษะ แล้วย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น  (คือด้านหน้า)  เป็นการเช็ดศีรษะที่ถูกต้องที่สุดโดยไม่มีข้อขัดแย้ง  และมีหลักฐานถูกต้อง  (ซ่อฮีฮฺ)  รายงานโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิมจากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ ซัยดฺ (ร.ฎ.) ในวิธีการดังกล่าว (อัลมัจญ์มูอฺ เล่มที่ 1 หน้า 433)  ส่วนการเช็ดใบหูนั้นให้เช็ดด้วยน้ำใหม่ที่มิใช่น้ำที่ใช้เช็ดศีรษะตามทัศนะ ของปวงปราชญ์  ทั้งนี้ถ้าหากผู้อาบน้ำละหมาดเช็ดศีรษะของตนด้วยน้ำที่นิ้วมือของตนเพียงบาง ส่วนของนิ้วมือ  (มิใช่นิ้วมือทั้งหมด)  แล้วเช็ดใบหูทั้งสองด้วยนิ้วมือที่ยังไม่ได้เช็ดศีรษะก็ถือว่าถูกต้องแล้ว เพราะผู้อาบน้ำละหมาดเช็ดใบหูทั้งสองด้วยน้ำที่มิใช่น้ำที่เช็ดศีรษะ  (อ้างแล้ว เล่มที่ 1 หน้า 443)


2. ตอบว่าได้  โดยอาศัยทัศนะของนักวิชาการฝ่ายที่ระบุว่า  การกระทบระหว่างชายหญิงที่ไม่มีอารมณ์ทางเพศ  (ชะฮฺวะฮฺ)  ถือว่าไม่ทำให้เสียน้ำละหมาด  หรือถือตามนักวิชาการที่ระบุว่าผู้กระทบเป็นฝ่ายเสียน้ำละหมาด  ส่วนฝ่ายที่ถูกกระทบไม่เสียน้ำละหมาด  ส่วนหะดีษที่ระบุว่า  “ท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  เคยจุมพิตภรรยาบางคนของท่าน  หลังจากนั้นท่านก็ออกไปละหมาด  โดยที่ท่านมิได้อาบน้ำละหมาด”  นั้นท่านอัลบุคอรีย์และอัลบัยหะกีย์ระบุว่าเป็นหะดีษฎ่ออีฟ  และอิบนุ ฮัซมินระบุว่าไม่มีหะดีษใดในเรื่องนี้ที่ซ่อฮีฮฺ  (อะฮฺกามุฏฏ่อฮาเราะฮฺ อะลัล มะซาฮิบ อัลอัรบะอะฮฺ ; ดร.อบูส่ารีอฺ มุฮำหมัด อับดุลฮาดีย์ หน้า 143)


3. ตอบว่าทำได้  ถ้าทัศนะในมัซฮับอื่นมีหลักฐานที่ถูกต้องกว่ามายืนยันและรับรองทัศนะในเรื่องนั้น ๆ เรื่องนี้เปิดกว้าง


والله أعلم بالصواب

http://www.alisuasaming.com/qa/index.php?topic=270.0

แต่เรื่องนี้รู้สึกว่า เชคอัลบานีย์ จะถือว่าเป็นหะดีษหะซัน


كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: ฮาดิษนี้ ซอเฮียะฮฺหรือไม่
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ก.ย. 08, 2009, 10:10 PM »
0
แล้วจะไปหาเรื่องแตะเขาทำไม ปลอดภัยไว้ก่อน แค่เอาน้ำละหมาดไม่มีอะไรเสียหาย ถือซะว่าล้างหน้าสดชื่น 555
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ เหรียญ 2 ด้าน

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 753
  • เพศ: ชาย
  • เรียบง่าย แต่ไร้เทียมทาน (จิงๆๆ)
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • กัมปงดูกู
Re: ฮาดิษนี้ ซอเฮียะฮฺหรือไม่
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 02:01 AM »
0
 salam

อ.อาลี  ตอบได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว

วัสสาลาม
ชื่อที่เคยใช้ในบอร์ดคือ ahmdduku, الدوكوي, เหรียญ 2 ด้าน

ออฟไลน์ wahaba

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 219
  • สร้างรูปร่างให้พระเจ้าคือความเชื่อของวะฮาบีและยิว
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ฮาดิษนี้ ซอเฮียะฮฺหรือไม่
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 06:49 AM »
0
 salam เชค อัลบานี วะฮาบี     อ.อาลี อลิสซุนนะ ตามอ.อาลีไม่อะกีดะเสีย  mycool:

ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
Re: ฮาดิษนี้ ซอเฮียะฮฺหรือไม่
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 07:32 AM »
0
salam เชค อัลบานี วะฮาบี     อ.อาลี อลิสซุนนะ ตามอ.อาลีไม่อะกีดะเสีย  mycool:


น่าจะเป็น  "เชค อัลบานีย์   กับ   อัลบุคอรีย์และอัลบัยหะกีย์ และอิบนุ ฮัซมิน" มากกว่า -   wink:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 09, 2009, 07:38 AM โดย Deeneeyah »

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ อัล-อุม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 92
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ฮาดิษนี้ ซอเฮียะฮฺหรือไม่
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 12:24 PM »
0
อ้างถึง
แต่เรื่องนี้รู้สึกว่า เชคอัลบานีย์ จะถือว่าเป็นหะดีษหะซัน""""


ขอชี้แจงเพิ่มเติมเพื่อให้เจ้าของกระทู้ได้รับข้อมูลในรkยละเอียดมากกว่นี้ครับ

เป็นธรรมดาครับ ที่เชค อัลบานี อุลามะฝ่ายวาฮาบี จะฮุกมว่าฮาดิสนี้ฮะซัน เพราะท่านคงยึดจากการบันทึกของนักกฮาดิส  ที่มีสายรายงานในเรื่องนี้มากกว่า2สายและตรงกับทัศนะของท่าน

 ถึงแม้ว่ามันจะเป็นฮาดิสดออีฟ(เกี่ยวกับการที่

ท่านนบีจูบภรรยา ขณะมีน้ำละหมาด ).ซึ่ง..ที่ถูกต้องในมัสหับของเรา(ชาฟีอี)นั้นถือว่าฮาดิสนี้ดออีฟ..ระดับกลาง...นำมาปฏิบัติไม่ได้ นี้คือเงื่อนไขของท่านอีม่ามชาฟีอี(รฮ)

ส่วนฝ่ายมัสหับอื่นนั้นที่ถูกกระทบไม่เสียน้ำละหมาด  เกี่ยวกับหะดีษที่ระบุว่า  “ท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  เคยจุมพิตภรรยาบางคนของท่าน  หลังจากนั้นท่านก็ออกไปละหมาด

โดยที่ท่านมิได้อาบน้ำละหมาด”  นั้นท่านอัลบุคอรีย์และอัลบัยหะกีย์ระบุว่าเป็นหะดีษฎ่ออีฟ  และอิบนุ ฮัซมินระบุว่าไม่มีหะดีษใดในเรื่องนี้ที่ซ่อฮีฮฺ
 

(อะฮฺกามุฏฏ่อฮาเราะฮฺ อะลัล มะซาฮิบ อัลอัรบะอะฮฺ ; ดร.อบูส่ารีอฺ มุฮำหมัด อับดุลฮาดีย์ หน้า 143)

แต่ในส่วนใครจะตามทัศนะไหนจากมัสหับทั้ง4 .นั้นไม่ว่ากัน ถ้าเขาเองคิดว่าเขานั้นในอยู่ขั้นที่สามารถวินิจฉัยอัลกรุอ่านและอัลฮาดิสได้เอง  และผู้ที่ตักลีดตามท่านอีม่ามชาฟีอีนั้นถือ

ว่าเขาได้ตามผู้รู้ท่านนี้ซึ่งท่านได้วินิจฉัยตัวบทดังกล่าวละเอียดและบนความสามารถที่อัลลอฮ์(ซบ)ให้กับท่านแล้ว เพราะในมัสหับชาฟีอีนั้นก็ถือว่าท่านได้ทำการอิจติฮาดและทำการมุตญฮิดออกมาแล้วว่า มันเป็นอาดิสนี้ ดออีฟ

 และในส่วนการตามทัศนะของนักบันทึกฮาดิสนั้นทั้งอีม่ามบุคคอรีและท่านอีม่ามบัยฮกีเองก็ยึดถือตามทัศนะของอีม่ามชาฟี..

โดยท่านยึดหะดีษที่ระบุว่า  “ท่านร่อซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  เคยจุมพิตภรรยาบางคนของท่าน  ในขณะที่ท่านกำลังถือศีลอด”  ไม่ใช่ขณะที่ทานมีน้ำละหมาด........


อยากให้พี่น้องมาดูหลักฐานจากเวปซุนนะสติ้วเด้นเพื่อเป็นการเพิ่มเติมจากที่ อ.อาลี  เสือสมิงได้นำอธิบายในเวปของท่านันสักนิดครับ   loveit:

....เพราะบรรดานักปรายช์อาดิสนั้น เขาจะยึดถือตามเงื่อนไท่ว่า  หะดิษที่ซอเหียะที่จะนำมาเป็นหลักฐานนั้น มันต้องมีความซอเหียะทั้งสายรายงานและตัวบทไปด้วยพร้อม ๆ กัน party:
...
ซึ่งในเรื่องที่เป็นประเด็นดังกล่าวนี้ หะดิษนี้บรรดาอุลามะในมัสหับชาฟีอี(รฮ)ที่มีความรู้นั้นเขาได้วิจารณ์ฮะดิสนี้ไว้ว่า....

ท่านอัลหาฟิซฺ อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ กล่าวว่าوَأَمَّا حَدِيثُ : حَبِيبٍ عَنْ عُرْوَةَ عَنْ { عَائِشَةَ : أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَ يُقَبِّلُ بَعْضَ نِسَائِهِ ثُمَّ يُصَلِّي وَلَا يَتَوَضَّأُ } فَمَعْلُولٌ ، ذَكَرَ عِلَّتَهُ أَبُو دَاوُد ، وَالتِّرْمِذِيُّ ، وَالدَّارَقُطْنِيّ وَالْبَيْهَقِيُّ ، وَابْنُ حَزْمٍ ، وَقَالَ : لَا يَصِحُّ فِي هَذَا الْبَابِ شَيْءٌ ، وَإِنْ صَحَّ فَهُوَ مَحْمُولٌ عَلَى مَا كَانَ عَلَيْهِ الْأَمْرُ قَبْلَ نُزُولِ الْوُضُوءِ مِنْ اللَّمْسِ

"สำหรับหะดิษของ หะบีบ  ที่รายงานจาก  อุรวะฮ์  จากท่านหญิงอาอิชะฮ์  ที่ว่า "แท้จริง  ท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้จูบภรรยาบางคนของท่าน  หลังจากนั้น 

 ท่านจึงไปละหมาด  โดยไม่ได้อาบน้ำละหมาด" นั้น  หะดิษนี้ถือว่า มะอ์ลูล المعلول (มีข้อบกพร่องแฝงอยู่) ซึ่งท่านอบูดาวูด , ท่านอัตติรมีซีย์ , ท่านอัดดารุกุฏนีย์ , ท่านอัลบัยฮะกีย์ , และท่านอิบนุหัซมิน ,

ได้กล่าวข้อบกพร่อง العلة (อิลละฮ์) ของหะดิษนั้นไว้  และท่านอิบนุหัสมิน กล่าวว่า ในบทของเรื่องนี้  ไม่มีสิ่งใดที่ซอฮิหฺเลย  และหากว่าซอฮิหฺจริง  และบรรดานักฮาดิสส่วนมากถือว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะลงโองการ(เสีย)

น้ำละหมาดจากการสัมผัส(สตรี)"   ดู หนังสือ อัตตัลคีศ อัลหะบีร บทว่าด้วยเรื่อง باب الأحداث อัลอะห์ดาษ


อะไรคือความหมายคำว่า ข้อบกพร่อง العلة (อิลละฮ์) ของหะดิษ  ซึ่งมันก็คือ

سبب خفى غامض يطرأ على الحديث فيقدح فى صحته مع أن الظاهر السلامة منه

"สาเหตุหนึ่งที่ซ่อนเร้นคลุมเครือที่เกิดขึ้นต่อตัวของหะดิษ  ดังนั้น  หะดิษจะถูกตำหนิในความซอฮิหฺของมัน  พร้อมทั้งภายนอกผิวเผิน(ของตัวหะดิษ)นั้น  จะปลอดภัยจากมัน"

ดังนั้น  หะดิษที่มี العلة (อิลละฮ์) เขาเรียกว่า หะดิษมะอ์ลูล الحديث المعلول  ซึ่งตามหลักวิชาหะดิษหมายถึง

هو الحديث الذى اطلع فيه على علة تقدح فى صحته مع أن ظاهره السلامة منها

"คือหะดิษที่ถูกทราบว่า  ในหะดิษมีข้อบกพร่องแฝงอยู่  ที่มาตำหนิในความซอฮิหฺของหะดิษ  พร้อมทั้งภายนอกผิวเผิน(ของตัวหะดิษ)นั้น  จะปลอดภัยจากมัน(ข้อบกพร่องก็ตาม)" 

ดู หนังสือ มุก๊อดดิมะฮ์ อิบนุ ซ่อลาห์ หน้า 81 และหนังสือ ตัดรีบ อัรรอวีย์  ของท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ เล่ม 1 หน้า 251

ท่านอัลหาฟิซฺ อิบนุ  หะญัร  กล่าวว่า "หะดิษที่มีข้อตำหนิแฝงอยู่ (หะดิษมะอ์ลูล الحديث المعلول ) นั้น  เป็นการรู้ถึงวิชาหะดิษที่มีความละเอียดอ่อน  และไม่มีผู้ใดที่จะยืนหยัดกระทำมัน

นอกจาก  นักหะดิษที่อัลเลาะอ์ทรงประทานให้เขามีความเข้าใจเฉียบแหลม  มีความจำที่กว้างขวาง และมีพรสวรรค์ที่แน่แฟ้นด้วยบรรดาสายรายงานและบรรดาตัวบทของหะดิษ  ด้วยเหตุนี้ 

จึงมีนักหะดิษน้อยมากที่วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้  เช่นท่าน  อะลี บิน อัลมะดะนีย์ , ท่านอะห์มัด บิน ฮัมบัล , ท่านยะอ์กูบ บิน อบีชัยบะฮ์ , ท่านอบูหาติม , ท่านอบีซุรอะฮ์ , ท่านอัดดารุกุฏนีย์" ดู หนังสือ  นุซฺฮะตุลนะซ๊อร หน้า 46
เรามาเข้าเรื่องกันครับ

หะดิษที่รายงานโดย  ท่านหะบีบ  จาก ท่านอุรวะฮ์  จากท่านหญิงอาอิชะฮ์  นั้น  มี  ข้อบกพร่อง العلة (อิลละฮ์) ดังนี้  ครับ

จากนั้น  ท่านอิมามอันนะวาวีย์ กล่าว ต่อไปว่า

قَالَ أَحْمَدُ بْنُ حَنْبَلٍ وَأَبُو بَكْرٍ النَّيْسَابُورِيُّ وَغَيْرُهُمَا : غَلَطُ حَبِيبٍ مِنْ قُبْلَةِ الصَّائِمِ إلَى الْقُبْلَةِ فِي الْوُضُوءِ

“ท่านอะห์มัด บิน ฮัมบัล , ท่านอบูบักร อันนัยซาบูรีย์  และท่านอื่น ๆ จากทั้งสอง กล่าวว่า  หะบีบนั้นมีความผิดพลาด  จากการ(รายงาน) การจูบของคนถือศีลอด โดยเปลี่ยนไปเป็น การจูบในขณะมีน้ำละหมาด” ดู  หนังสือ มัจญ์มั๊วะ  เล่ม 2 หน้า 32

จากตรงนี้  เราจะพบว่า  ท่านอิมามอะห์มัด  เป็นผู้ที่รู้ถึงข้อบกพร่องของหะดิษนี้  อันเนื่องจาก ท่านหะบีบ  ได้ผิดพลาดในการรายงานถ้อยคำหะดิษ 

 ท่านอิมามอันนะวาวีย์ กล่าว ต่อไปว่า

 وَإِنَّمَا صَحَّ مِنْ حَدِيثِ عَائِشَةَ { : أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَانَ يُقَبِّلُ وَهُوَ صَائِمٌ }

“และแท้จริงได้มีหะดิษซอฮิหฺ จากท่านหญิงอาอิชะฮ์ว่า “ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ทำการจูบในขณะที่ท่านถือศีลอด” ดู  หนังสือ มัจญ์มั๊วะ  เล่ม 2 หน้า 32

ดังนั้น หะดิษที่รายงานโดย ท่านหะบีบ จาก ท่านอุรวะฮ์  เกี่ยวกับเรื่องนี้  จึงไม่ซอฮิหฺ  เนื่องจากมีข้อตำหนิแฝงอยู่  ตามที่ท่านอิมามอะห์มัด , ท่านอบูบักร อันนัยซาบูรีย์ , ท่านอัดดารุกุฏนีย์ , และท่านอัลบัยฮะกีย์  ได้ยืนยันไว้  ..........


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 09, 2009, 01:22 PM โดย อัล-อุม »

ออฟไลน์ mustura^@^

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 336
  • เพศ: หญิง
  • ALLAH is the only ONE !!!
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
Re: ฮาดิษนี้ ซอเฮียะฮฺหรือไม่
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 12:50 PM »
0
^^
^^
 :o กระจ่างมาก  oh:

ญาซากัลลอฮุค็อยร็อน    yippy:  loveit:

ออฟไลน์ al-islah

  • คนพิเศษ
  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • *****
  • กระทู้: 187
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
Re: ฮาดิษนี้ ซอเฮียะฮฺหรือไม่
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 01:55 PM »
0
รู้สึกว่าอาจารย์ผมเคยบอกว่า การจูบนั้นอุลามะตีความหมายว่าเป็นการจูบแบบมีผ้าปิดหน้ากั้นอยู่ เพราะถ้าไม่ตีความหมายอย่างนี้จะไปขัดกับฮาดิษที่เกี่ยวกับชายหญิงที่ไม่ใช่มะรอมกระทบกันเสียน้ำละหมาด

ไม่รู้ผมเข้าใจถูกเปล่านะ

วัลลอฮูอะลัม
ลาอีลาฮาอิลลัลลอฮฺ  มูฮัมมาดุรรอซูลุลลอฮฺ
   อีหม่าน  ยาเก่น  อาม้าลซุนนะห์นาบี

subson

  • บุคคลทั่วไป
Re: ฮาดิษนี้ ซอเฮียะฮฺหรือไม่
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 09:34 PM »
0
ฝากตรวจสอบ อีกบท


รายงานจากท่านหญิงอาอิฉะฮอีกว่า "ฉันนอนอยู่เบื้องหน้าของท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม โดยที่เท้าทั้งสองของฉันขวางอยู่ทางทิศกิบลัต ของท่าน แล้วเมื่อท่านนบีสุญูด ท่านได้จี้ฉัน ฉันก็หดเท้าของฉันเข้ามา" และในอีกสำนวนหนึ่งระบุว่า "เมื่อท่านนบีต้องการสุญูด ท่านก็จี้เท้าของฉัน"- รายงานโดย บุคอรีและมุสลิม



ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
Re: ฮาดิษนี้ ซอเฮียะฮฺหรือไม่
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 10:13 PM »
0
 salam


การเสียน้ำละหมาดโดยการสัมผัสสตรีเพศ

จุดมุ่งหมายในการสัมผัสสตรีเพศในเรื่องเสียน้ำละหมาดก็คือ การเสียดสีกับสตรี หรือกลับกันไม่ว่าดังกล่าวนั้นจะเกิดขึ้นโดยตรง หรือมีสิ่งขวางกัน หรือไม่โดยตรงเช่นสัมผัสโดยมีสิ่งขวางกั้น และไม่ว่าสตรีเพศนั้นจะเป็นผู้ใหญ่หรือเป็นเด็ก เช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นคนอื่น เช่นภรรยา หรือคนที่อนุญาตให้แต่งงานกันได้ แม้จะมีข้อขัดแย้ง หรือไม่เป็นคนอื่น เช่น มารดา หรือทุกคนที่ห้ามแต่งงานกับเราตลอดไป โดยสายวงศ์ตระกูล หรือการดื่มนม หรือความเกี่ยวพันธ์ทางครอบครัวก็ตาม


เช่นเดียวกันยังคลุมไปถึง ข้อชี้ขาดในการสัมผัสสตรีเพศในที่นี้ จะเป็นด้วยมือ หรืออื่นจากมือ จากอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ทั้งที่มีความรู้สึก และไม่มีความรู้สึก  แต่เรื่องนี้จะไม่รวมถึง การเสียดสีระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย หรือผู้หญิงกับผู้หญิง หรือชายจ้องมองหญิง เพราะเรื่องดังกล่วมานี้บรรดานักนิติศาสตร์อิสลามส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกัน ว่าไม่เสียน้ำละหมาด



ในเรื่องนี้ บรรดานักนิติศาสตร์อิสลามได้มีข้อชี้ขาดว่าเสียน้ำละหมาดโดยการสัมผัสสตรี เพศ ตามเนื้อหาที่ได้กล่าวมาคราว ๆ นั้น พวกเขามีความเห็นแตกต่างกันเป็น 3 มัษหับ คือ

มัษหับที่ 1 มีความเห็นว่า การที่ผู้ชายสัมผัสกับผู้หญิงนั้นเป็นฮะดัษไม่ใช่เพียงแต่คาดว่าจะเกิดฮะดัษ ดังนั้น มันจึงทำให้เสียน้ำละหมาดด้วยตัวของมันเองโดยสิ้นเชิง เมื่อแน่ใจว่าสัมผัสจริง ๆ โดยตรง โดยไม่มีอะไรขวางกั้น แล้วถ้าผู้ชายสัมผัสผู้หญิง หรือผู้หญิงสัมผัสผู้ชาย ไม่ว่าโดยอวัยวะส่วนใดที่คนหนึ่งสัมผัสกับอีกคนหนึ่งโดยไม่มีผ้า หรืออื่น ๆ ขวางกั้น และไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นแม่หรือลูกสาว หรือภรรยาที่อายุยังน้อยอยู่หรืออายุมาก โดยมีความรู้สึกทางเพศ หรือไม่มี และไม่ว่าที่ถูกสัมผัสนั้นจะเป็นผิวหนัง หรือผม หรือเล็บ จะทำให้เสียน้ำละหมาด นี้เป็นทัศนะของกลุ่มอัชชาฟีอียะห์ และรายงานหนึ่งจากอิมามอะฮ์หมัด โดยที่อิบนุ ฮัชม์ และบรรดาสหายของกลุ่มอัซซอหิรียะห์ก็เห็นด้วย และเป็นคำพูดของอิบนุ มัสอู๊ด และคนอื่นๆ



มัษหับที่ 2 มีความเห็นว่า การที่ผู้ชายสัมผัสกับผู้หญิงนั้นไม่เป็นฮะดัษ และไม่ใช่เป็นที่คาดว่าจะมีฮะดัษ โดยถือว่าไม่เสียน้ำละหมาดโดยสิ้นเชิง เมื่อผู้ชายสัมผัสกับผู้หญิง และผู้หญิงสัมผัสกับผู้ชายไม่ว่าจะเป็นอวัยวะส่วนใดที่ทั้งสองสัมผัสกัน หรือเป็นการจูบปากหรืออื่น ๆ โดยมีสิ่งขวางกั้น หรือไม่มีสิ่งขวางกั้น และไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะยังเล็กอยู่ หรือเป็นผู้ใหญ่แล้ว เป็นคนที่ห้ามแต่งงานกันหรือเป็นคนอื่นจะมีความรู้สึกทางเพศหรือไม่มี ถือว่าไม่เสียน้ำละหมาดแต่ประการใด นอกจากดังล่าวนั้นมีน้ำมะษี (น้ำใส ๆ เหนียว ๆ) หรืออสุจิออกมา นี่เป็นทัศนะของมุฮัมหมัด บุตรของอัลฮะซัน ลูกศิษย์ของอะบูฮะนีฟะห์ และเป็นหลักอนุมานของมัษหับอัลฮะนะฟียะห์ โดยที่อิบนุ รุชด์ แห่งมัษหับอัลมาลิกียะห์ ได้เลือกเอาทัศนะนี้ด้วย และเป็นอีกรายงานหนึ่งจากอิมามอะฮ์หมัด อัลหาดะวียะห์ ก็เห็นเช่นนี้ และมีรายงานเช่นนั้น จากอะลี อิบนุ อับบาส อะฏ้ออ์ ฏออูส อัลฮะซัน และมัสรู๊ก



มัษหับที่ 3 มีความเห็นว่า การที่ผู้ชายสัมผัสกับผู้หญิงนั้นไม่เป็นฮะดัษในตัวของมัน แต่เป็นเรื่องที่คาดว่าจะมีฮะดัษ ดังนั้นจึงไม่เสียน้ำละหมาดในการสัมผัส แต่กลัวว่ามีน้ำมะษีย์ออกมา และการคาดการณ์สิ่งหนึ่งสิ่งใด ข้อชี้ขาดก็จะเป็นไปตามนั้น ถ้ามีสิ่งนั้นเกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อผู้ชายสัมผัสกับผู้หญิง หรือผู้หญิงสัมผัสกับผู้ชาย พื้นเดิมก็ถือไม่เสียน้ำละหมาดยกเว้น ถ้ามีน้ำมะษีย์ออกมาจริง ๆ นี่เป็นทัศนะของนักนิติศาสตร์อิสลามส่วนใหญ่ แต่พวกเขาก็มีความเห็นต่างกันในการกำหนดขอบเขตของการคาดการณ์ออกเป็น 6 ทัศนะด้วยกันคือ


ทัศนะที่ 1 แท้จริงการคาดการณ์ว่าอาจมีฮะดัษด้วยการสัมผัสสตรีเพศนั้นจะไม่บรรลุผลนอก จากด้วยการสัมผัสโดยตรงโดยไม่มีอะไรขวางกั้นในส่วนที่ไม่ใช่ทวารเบา และมีอวัยวะเพศการแข็งตัว ดังนั้น เมื่อเขาสัมผัสกับภรรยาของเขาโดยปราศจากเสื้อผ้าทั้งสอง และอวัยวะเพศของเขาก็มีความแข็งตัว โดยที่อวัยวะเพศของทั้งสองสัมผัสกัน โดยไม่มีน้ำและของเปียกออกมา เช่น รูปแบบนี้เท่านั้น – คือรูปแบบของการสัมผัสที่ถือว่าน่าเกลียด – จะทำให้เสียน้ำละหมาด ส่วนการสัมผัสนอกจากนั้นไม่เสียน้ำละหมาด แต่บางคนก็ไม่ได้วางเงื่อนไข อวัยวะเพศต้องพบกัน แต่ทัศนะที่ปรากฏชัดนั้นได้มีการวางเงื่อนไข นี่เป็นทัศนะของอะบูฮะนีฟะห์ และอะบูยูซุฟ


ทัศนะที่ 2 แท้จริงการคาดว่าจะมีฮะดัษโดยการสัมผัสสตรีจะบรรลุผลด้วยการเสียดสีระหว่าง ผู้ชายกับผู้หญิงโดยมีความรู้สึกทางเพศและมีจุดมุ่งหมายไม่ว่าจะมีสิ่งขวาง กั้นเช่นผ้า หรือไม่มีสิ่งขวางกั้น และไม่ว่าสิ่งที่ถูกสัมผัสนั้นจะเป็นอวัยวะ หรือผมหรือเป็นคนอื่นหรือเป็นมะฮ์รอมกัน เมื่อมีความรู้สึกทางเพศในการสัมผัสนั้น ให้อาบน้ำละหมาด นี่เป็นทัศนะของอิมามมาลิก และลูกศิษย์ของเขาเป็นส่วนใหญ่ และเป็นคำพูดของอัลลัยษ์ และร่อบีอะห์


ทัศนะที่ 3 แท้จริงการคาดว่าจะมีฮะดัษโดยการสัมผัสสตรีเพศนั้น จะบรรลุผลด้วยการสัมผัสผิวของสตรี โดยมีความรู้สึกทางเพศแล้ว ถ้าเขาสัมผัสผมหรือฟัน หรือเล็บก็ไม่เสียน้ำละหมาด และในทำนองเดียวกันจะไม่เสียน้ำละหมาดหากกระทบโดยมีสิ่งขวางกั้น ถึงแม้จะบางก็ตามโดยมีความรู้สึกทางเพศ หรือไม่มี และจะเสียน้ำละหมาดด้วยการสัมผัสอื่นจากนั้น กับผู้หญิงทุกคน แม้กับผู้ที่ห้ามแต่งงานกัน ซึ่งเป็นทัศนะโกลก้อดีมของอิมามชาฟีอีย์


ทัศนะที่ 4 แท้จริงการคาดว่าอาจจะเกิดฮะดัษ โดยการสัมผัสกับสตรีเพศนั้น จะบรรลุผลได้ด้วยการที่ผิวของทั้งสองเพศพบกันโดยมีความรู้สึกทางเพศและมีจุด มุ่งหมาย ดังนั้น จึงไม่เสียน้ำละหมาดด้วยการสัมผัสกับผมหรืออื่น ๆ และไม่เสียน้ำละหมาดโดยการสัมผัสที่มีสิ่งขวางกั้น และไม่เสียด้วยการสัมผัสที่มีสิ่งขวางกั้น และไม่มีความรู้สึกทางเพศ แต่จะเสียน้ำละหมาดด้วยการสัมผัสที่นอกเหนือจากนั้นกับผู้หญิงทุกคนแม้จะแต่ง งานกันไม่ได้ก็ตาม ถือเป็นทัศนะที่ล่ำลือของอิมามอะฮ์หมัด  อิบนุกุดามะห์ ได้กล่าวว่า ได้มีรายงานมาจากอัลก้อมะห์ และอะบีอุบัยดะห์ อันนะค่ออีย์ อัลฮะกัม อัษเษารีย์ อิสฮาก และอัชชะอ์บีย์


ทัศนะที่ 5 แท้จริงการคาดว่าอาจจะมีฮะดัษโดยการสัมผัสสตรีเพศ จะบรรลุผลได้โดยการที่ผิวของทั้งสองเพศมาพบกันโดยไม่มีความรู้สึกทางเพศก็ ตาม หรือมีความตั้งใจ ถ้าผู้หญิงคนนั้น เป็นคนอื่น ส่วนที่มะฮ์ร็อมกันการสัมผัสกับนางจะไม่ทำให้เสียน้ำละหมาด ถึงแม้จะมีความรู้สึกทางเพศก็ตาม และเช่นเดียวกัน สัมผัสหรือที่คล้าย ๆ กันนี้เป็นทัศนะที่ปรากฏชัดที่สุดของกลุ่มอัชชาฟีอียะห์


ทัศนะที่ 6 แท้จริงการคาดว่าอาจจะมีฮะดัษโดยการสัมผัสสตรีเพศจะบรรลุผลได้โดยการสัมผัส ผิวของสตรีคนหนึ่งคนใด แม้จะเป็นมะฮ์ร็อมกันกับอวัยวะหนึ่งจากบรรดาอวัยวะที่ต้องอาบน้ำละหมาดเท่า นั้น และไม่เสียน้ำละหมาดด้วยการสัมผัสกับอวัยวะส่วนอื่น นี่เป็นคำพูดเล่ามาจากอัลเอาซาอีย์



สาเหตุแห่งการขัดแย้ง


ความเห็นของบรรดานักนิติศาสตร์อิสลามในเรื่องนี้ขึ้นอยู่ตามที่อิบนุ รุชด์ได้กล่าว คือ ชื่อของคำว่าสัมผัสในภาษาอาหรับมีความหมายที่ร่วมกัน เพราะว่าชาวอาหรับบางครั้งก็ใช้กับการสัมผัสด้วยมือ บางครั้งใช้เป็นนัยในการร่วมเพศ


ดังนั้น กลุ่มใดที่ถือการสัมผัสที่จำเป็น (วาญิบ) ต้องทำความสะอาดในอายะห์ที่เกี่ยวกับการอาบน้ำละหมาด คือ การร่วมเพศ ในดำรัสของพระองค์ที่ว่า (أَوْلاَمَسْتُمُ النِّسَاءَ)
ส่วนคนอื่น ๆ มีความเห็นว่า การสัมผัสต้องด้วยมือ ส่วนหนึ่งจากพวกนี้มีความเห็นว่า ข้อความนั้นกล่าวไว้กว้าง ๆ แต่เป้าหมายคือเจาะจง (من باب العام اريدبه الخاص) จึงได้วางเงื่อนไขว่าต้องมีความรู้สึกทางเพศ บางคนในหมู่พวกเขามีความเห็นว่า ข้อความนั้นกล่าวไว้กว้าง ๆ และเป้าหมายก็คือความกว้างของมัน (من باب العام اريدبه العام)  ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้วางเงื่อนไขว่าจะต้องมีความรู้สึกทางเพศ



ผู้ที่วางเงื่อนไขว่าต้องมีความรู้สึกทางเพศต้องมีความอร่อย เขาได้อ้างถึงสิ่งที่ค้านกับอายะห์อัลกุรอานนี้ ที่ว่า ท่านนะบี ศ็อลลัลลอหุอะลัยหิวะซัลลัม นั้น เคยสัมผัสท่านหญิงอาอิชะห์ด้วยมือของท่านขณะที่ท่านสุหญูด และบางทีนางก็สัมผัสกับท่าน


* ผู้ที่ถือว่าจำเป็น (วาญิบ) ต้องอาบน้ำละหมาดจากการสัมผัสได้อ้างหลักฐานว่า คำว่า “อัลลัมส์” (การสัมผัส) นั้น เมื่อพูดออกมาในตามความเป็นจริงแล้วหมายถึง การสัมผัสด้วยมือ แต่ตามนัยหมายถึง การร่วมเพศ เมื่อคำ ๆ นี้ มีความหมายได้ทั้งสองอย่างที่ดีแล้วควรเอาความหมายตามความเป็นจริงจนกว่าจะ มีหลักฐานบ่งบอกถึงความเป็นนัย


หลักฐานและการวิจารณ์

หนึ่ง : หลักฐานของมัษหับที่ 1
บรรดาเจ้าของมัษหับนี้ได้อ้างหลักฐานโดยกล่าวว่า การที่ผู้ชายสัมผัสกับผู้หญิงนั้นเป็นฮะดัษในตัวของมันเอง ด้วยเหตุนี้น้ำละหมาดจึงเสีย
อัลลอห์ ตะอาลา ตรัสว่า


 “หรือคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเจ้ามาจากที่ถ่ายทุกข์ หรือพวกเจ้าสัมผัส (มีเพศสัมพันธ์) กับภรรยา แต่พวกเจ้าไม่พบน้ำ ก็จงทำตะยัมมุมด้วยดินที่ดี”
( ซูเราะห์อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 43 )


* แนวทางอ้างหลักฐานจากอายะห์อัลกุรอานนี้ คือ : แท้จริงการสัมผัสนั้นเป็นการกระทำของผู้กระทำสองคน และด้วยความแน่ใจ เราทราบว่าอายะห์พูดกับผู้ชายและผู้หญิง เพราะทั้งตอนต้นและตอนท้ายของอายะห์ พูดไว้กว้าง ๆ กับทุกคนที่ศรัทธา ดังนั้นจึงถือว่าเป็นการถูกต้องที่ข้อชี้ขาดนี้จำเป็นแก่บรรดาผู้ชายที่ เมื่อสัมผัสกับผู้หญิง และผู้หญิงเมื่อสัมผัสกับผู้ชาย โดยที่อัลลอห์ ตะอาลา มิได้เจาะจงเฉพาะผู้หญิงคนหนึ่งคนใด และไม่ว่าจะมีความอร่อยหรือไม่อร่อย

ดังนั้นการไปเจาะจงอย่างหนึ่งอย่างใดในเรื่องดังกล่าวจึงไม่เป็นที่อนุญาต และข้อเท็จจริงการสัมผัสระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายนั้น ตามทัศนะของกลุ่มอัซซอหิรียะห์แล้วจะบรรลุผลด้วยการพบกับของอวัยวะหนึ่งของ คนหนึ่งกับอีกคนหนึ่งโดยไม่มีผ้า หรืออย่างอื่นมากั้น เพราะความเขาใจนี้มาจากภาษานั่นเอง


ตามทัศนะของกลุ่มอัลฮะนาบิละห์ จะไม่เกิดขึ้นนอกจากผิวหนังของทั้งสองคนพบกัน เพราะว่าการสัมผัสตามหลักศาสนบัญญัติหมายถึงการสัมผัสด้วยมือ
อัลลอห์ ตะอาลา ตรัสว่า

“และหากเราได้ให้ลงมาแก่เจ้า ซึ่งคัมภีร์ฉบับหนึ่ง (ที่ถูกบันทึกไว้) ในกระดาษ แล้วพวกเขาก็ได้สัมผัสคัมภีร์นั้นด้วยมือของพวกเขาเอง”
( ซูเราะห์อัลอัมอาม อายะห์ที่ 7 )

และเมื่อเราได้ทราบข้อเท็จจริงของการสัมผัส และผู้หญิงโดยทั่วไปแล้ว ความจริงอัลลอห์ได้ทรงเชื่อมดังกล่าวนั้น ด้วยฮะดัษอันเนื่องจากมาจากการถ่ายทุกข์ จึงชี้ให้เห็นว่า การสัมผัสนั้นเป็นฮะดัษทำให้เสียน้ำละหมาด เช่นเดียวกับฮะดัษที่ออกมาจากสองหนทาง คือ ทวารเบากับทวารหนักนั่นเอง


การวิจารณ์หลักฐานนี้ เราขอวิจารณ์หลักฐาน 2 เรื่องด้วยกัน

เรื่องที่ 1 เราไม่ยอมรับว่าเป้าหมายในการสัมผัส ในอายะห์อัลกุรอานนี้ คือการที่อวัยวะหนึ่งมาพบกับอีกอวัยวะหนึ่ง หรือผิวหนังสองผิวมาพบกัน แต่เป้ามหายก็คือ ในการสัมผัสนี้คือการร่วมเพศกัน ตามที่อิบนุ อับบาสได้อธิบายเอาไว้  และมีรายงานจากอะลี อุบัย อิบนุกะอับ มุญาหิด ฏอวูส อัลฮะซัน อุบัยด์ อิบนุ อุมัยร์ สะอีด อิบนุญุบัยร์ อัชชะอ์บีย์ ก้อตาดะห์ มุกอติล และอิบนุฮิบบาน ก็
และได้สนับสนุนอายะห์นี้คือ ดำรัสของอัลลอห์ ตะอาลา ที่ว่า

“และถ้าหากพวกเจ้าหย่าพวกนางก่อนที่พวกเจ้าแตะต้องนาง โดยที่พวกเจ้าได้กำหนดสินสอดแก่นางแล้ว ก็จงให้ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่พวกเจ้ากำหนดไว้”
( ซูเราะห์อัลบะเกาะเราะห์ อายะห์ที่ 237 )

และได้สนับสนุนอายะห์นี้คือ ดำรัสของอัลลอห์ ตะอาลา ที่ว่า

“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย เมื่อพวกเจ้าได้สมรสกับหญิงผู้ศรัทธา แล้วพวกเจ้าได้หย่าพวกเธอก่อนที่พวกเจ้าจะแตะต้องตัว (มีเพศสัมพันธ์กัน) พวกเธอ ดังนั้น สำหรับพวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะให้พวกเธออยู่ในอิดดะห์นั้น”
( ซูเราะห์อัลอะฮ์ซาบ อายะห์ที่ 49 )



ความจริงการสัมผัสนั้น เป็นการพูดเป็นนัยถึงการร่วมเพศ

* จึงขอตอบดังนี้ การอธิบายคำว่า “อัลมุลามะซะห์” เป็นการร่วมเพศ เป็นการอธิบายที่ไกลมาก จำเป็นที่จะต้องถือเอาความหมายที่ใกล้ที่สุดเพื่อที่จะสามารถจะปฏิบัติได้
ความจริงได้มีรายงานการอธิบายในอายะห์อัลกุรอานว่าเป็น การสัมผัสด้วยมือ หรืออื่นจากอวัยวะอื่นจากมือ จากอิบนิ มัสอู๊ด อิบนิ อุมัร ในการอ่านของอิบนิ มัสอู๊ด (أَوْ لَمَسْتُمُ النِّسَاءَ) นี่เป็นการอ่านตามความหมายที่ว่าสัมผัส



มีต่อ...

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
Re: ฮาดิษนี้ ซอเฮียะฮฺหรือไม่
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 10:23 PM »
0
เรื่องที่ 2 เราไม่ยอมรับว่าอายะห์นั้นมีความหมายกว้างคลุมถึงสตรีทั้งหมด แต่ได้จำกัดความด้วยกับฮะดีษที่ศ่อฮีฮ์ที่ให้ประโยชน์ว่าไม่เสียน้ำละหมาด โดยการสัมผัส โดยไม่มีความรู้สึกทางเพศ
* ข้อโต้ตอบในเรื่องนี้ จะมีมาในการวิจารณ์บรรดาฮะดีษต่าง ๆ เมื่อถึงที่ของมัน โดยจะอธิบายถึงหลักฐานของมัษหับอื่น ๆ ด้วย

สอง : หลักฐานของมัษหับที่ 2

บรรดาเจ้าของมัษหับที่สองที่ได้กล่าวว่า แท้จริงการสัมผัสสตรีเพศ นั้นไม่เป็นฮะดัษ และไม่เป็นที่คาดการณ์ว่าจะเป็นฮะดัษ ดังนั้น จึงไม่ทำให้เสียน้ำละหมาดแต่ประการใด โดยมีหลักฐานจากซุนนะห์ และทางปัญญา

(1) หลักฐานทางซุนนะห์ มีฮะดีษหลายบทส่วนหนึ่งจากนั้นคือ

ก. บรรดาเจ้าของหนังสือสุนันได้บันทึกรายงานจากอะอิชะฮ์ ว่า แท้จริงท่านนะบี ศ็อลลัลลอหุอะลัยหิวะซัลลัม เคยจูบภรรยาบางคนของท่านต่อจากนั้นท่านได้ออกไปละหมาด โดยไม่ได้อาบน้ำละหมาด
* และในรายงานหนึ่ง จากอาอิชะห์ ว่า แท้จริงท่านนะบี ศ็อลลัลลอหุอะลัยหิวะซัลลัม เคยจูบหญิงบางคนจากภรรยาของท่าน ต่อจากนั้นท่านได้ออกไปละหมาด โดยไม่ได้อาบน้ำละหมาด แล้วฉันได้กล่าวแก่นางว่า เขาเป็นใครนอกจากเธอใช่ไหม ? แล้วนางหัวเราะ

* แนวทางในการอ้างหลักฐานจากฮะดีษบทนี้ คือ แท้จริงท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอหุอะลัยหิวะซัลลัม ก็ดังเช่นที่ปรากฏชัดในฮะดีษท่านเคยจูบภรรยาบางคนของท่าน ต่อจากนั้นท่านก็ได้ละหมาดโดยมิได้อาบน้ำละหมาด แล้วถ้าแม้ว่าการสัมผัสสตรีเพศเสียน้ำละหมาดแล้วละก็ การจูบนั้นก็ยิ่งจะต้องทำให้เสียน้ำละหมาด


ข. ฮะดีษที่บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ และมุสลิมจากอาอิชะห์ ได้กล่าวว่า เมื่อปรากฏว่าท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอหุอะลัยหิวะซัลลัม ละหมาดโดยที่ดิฉันนอนขวางอยู่ข้างหน้าท่านเช่นดังคนตาย จนกระทั่งเมื่อท่านต้องการจะละหมาดวิตร์ เท้าของท่านกับสัมผัสกับดิฉัน

* และในรายงานหนึ่งของมุสลิม โดยนางได้เล่าว่า ดิฉันได้สัมผัสกับท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอหุอะลัยหิวะซัลลัม โดยที่ดิฉันไม่ทราบ แล้วมือของดิฉันก็ไปวางอยู่บนฝ่ายเท้าของท่านในขณะที่ท่านสุหญูด
* การอ้างหลักฐานจากฮะดีษนี้ ถ้าแม้ว่าน้ำละหมาดของท่านได้เสียจากการสัมผัสนั้นท่านก็ต้องเริ่มละหมาด ใหม่ด้วยการทำความสะอาดใหม่ แต่ท่านไม่ได้ทำเช่นนั้น จึงชี้ให้เห็นว่าการสัมผัสสตรีไม่เสียน้ำละหมาด


ค. ฮะดีษที่บันทึกโดยอัลบัยหะกีย์
และบรรดาเจ้าของหนังสืออัลมุศ็อนนะฟ๊าต จากอิบนิ อับบาสว่า “การอาบน้ำละหมาดนั้นอันเนื่องจากสิ่งที่ออกมา ไม่ใช่จากสิ่งที่เข้า เช่นอย่างนี้มันจะไม่เกิดขึ้นจากการหยุดฟังหลักฐาน



(2) หลักฐานทางปัญญา

ก็มีหลายหนทาง เราจะขอกล่าวเพียง 3 ทาง

ทางที่ 1 แท้จริงการอาบน้ำละหมาดนั้นปรากฏอยู่ก่อนการสัมผัสอย่างมั่นใจ ดังนั้นมันจะไม่ถูกยกออกไป ด้วยการคาดคะเน เพราะว่าผู้ที่กล่าวว่าจำเป็น (วาญิบ) ต้องอาบน้ำละหมาดจากการสัมผัสที่จริงแล้ว อันเนื่องการคาดว่าจะมีน้ำมะษีย์ออกมามันก็ไม่ปรากฏอย่างมั่นใจ

ทางที่ 2 แท้จริงการที่จำเป็น (วาญิบ) ต้องอาบน้ำละหมาดนั้น จะไม่เกิดขึ้นนอกจากมาจากบทบัญญัติ แต่ก็ไม่มีหลักฐานในเรื่องนี้แล้ว แม้แต่ความหมายที่จะมีมาตามศาสนบัญญัติ ดังนั้น จึงไม่มีรายงานมาจากท่านนะบี ศ็อลลัลลอหุอะลัยหิวะซัลลัม ที่ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่ได้สัมผัสภรรยาของเขาน้ำละหมาดของเขาก็เสีย

ทางที่ 3 แท้จริงเรื่องนี้ มีข้อชี้ขาดคลุมไปทั่วลำบากที่จะระมัดระวัง ดังนั้นจึงอภัยให้



วิจารณ์หลักฐานนี้

(1) หลักฐานจากซุนนะห์ ไม่ถือเป็นหลักฐานในเรื่องนี้ดังต่อไปนี้

ก. ฮะดีษที่รายงานโดยอาอิชะห์ ว่า “แท้จริงท่านนะบี ศ็อลลัลลอหุอะลัยหิวะซัลลัม ได้จูบภรรยาบางคนของท่าน เสร็จแล้วท่านได้ออกไปละหมาด โดยไม่ได้อาบน้ำละหมาด

* อิบนุ ฮัซม์ ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เป็นฮะดีษที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่าผู้รายงานฮะดีษนี้ คือ อะบูเราก์ ซึ่งเป็นคนที่อ่อนหลักฐาน และมาจากทางชายคนหนึ่ง ชื่อว่า อุรวะห์ อัลมุซานีย์ โดยเป็นคนที่ไม่รู้จัก และจากทางอัลอะอ์มัซ โดยเอามาจากบรรดาสหายของเขาที่เขาไม่ได้ระบุชื่อพวกเขาเอาไว้จากอุรวะห์อัล มุซะนีย์ ซึ่งเป็นคนที่ไม่รู้จัก

* อิบนุ ฮะญัร ได้กล่าวว่า อัลบุคอรีย์ ได้ถือว่าเป็นฮะดีษฏ่ออีฟ ถือว่าฮะดีษนี้อ่อนหลักฐาน

* อัตติรมิษีย์ ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินมุฮัมหมัด อิบนะ อิสมาอีล ถือว่า ฮะดีษนี้อ่อนหลักฐาน

* อัศศ็อนอานีย์ ได้กล่าวว่า อะบูดาวูด ได้นำฮะดีษนี้ออกมาจากทางอิบรอฮีมอัตตัยมีย์ จากอาอิชะห์ โดยที่เขาไม่เคยได้ยินจากนางเลย ถือว่าเป็นฮะดีษมุรซัล

* อันนะชาอีย์ ได้กล่าวว่า ในเรื่องนี้ไม่มีฮะดีษที่จะดีไปกว่าฮะดีษนี้ แต่มันเป็นฮะดีษมุรซัล

* ผู้เขียนหนังสือ (อิบนุ ฮะญัร) ได้กล่วว่า ได้มีรายงานมาจาก 10 ทางจากอาอิชะห์ ที่อัลบัยหะกีย์ ได้นำมาไว้ ในอัลคิลาฟ๊าต และถือว่ามันอ่อนหลักฐาน

* อัดดารุกุฏนีย์ ได้กล่าวว่า คำ ๆ นี้ไม่เป็นที่จดจำ แต่ที่จดจำมานั้นคือท่านเคยจูบ (ภรรยา) ขณะที่ท่านถือศีลอด

* ขอตอบดังนี้ ว่า แท้จริงฮะดีษนี้ ถึงแม้จะมีข้อวิจารณ์ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ทางที่มาของฮะดีษนั้นจะช่วยกันทำให้แข็งแรง


ข. ฮะดีษที่รายงานโดยอาอิชะห์นั้น ความจริงนางเคยนอนขวางทางทิศกิบละห์ของท่าน และมีรายงานจากนางว่า มือของนางเคยวางที่ฝ่าเท้าของท่านขณะที่ท่านกำลังสุหญูดอยู่

* ก็ขอตอบว่า มันไม่มีหลักฐานในเรื่องนี้ด้วยข้อคิดหลายประการโดยจะขอกล่าวเพียง 2 ประการ คือ

หนึ่ง คาดว่าการกระทำดังกล่าวนั้นมีสิ่งขวางกั้น หรือเป็นเรื่องเฉพาะสำหรับท่านนะบี ศ็อลลัลลอหุอะลัยหิวะซัลลัม
อัศศ็อนอานีย์ ว่า ไม่ประหลาดใจเลยกับการตีความเช่นนี้ เพราะมันเกินความจริงไปมาก ๆ และไม่มีหลักฐานในทางศาสนบัญญัติเลย

สอง แท้จริงการอาบน้ำละหมาด ที่จริงแล้วคืออยู่บนจุดมุ่งหมายของคนสัมผัส ไม่ใช่อยู่ที่ผู้ถูกสัมผัสโดยไม่มีจุดประสงค์ไปสู่การกระทำการสัมผัส เพราะท่านไม่ได้สัมผัส


ค. คำพูดของอิบนุ อับบาสที่ว่า “การอาบน้ำละหมาดนั้นอันเนื่องจากสิ่งที่ออกมา” เป็นการอธิบายให้ทราบถึงฮะดัษที่ออกมาจากสองหนทาง ไม่ใช่เป็นการบรรยายให้ทราบถึงประเภทของฮะดัษ ถ้ามิเช่นนั้น ก็จะเกิดการขาดสติปัญญาโดยไม่เสียน้ำละหมาด

(2) หลักฐานทางปัญญา ไม่ถือเป็นหลักฐานในเรื่องนี้อีกเช่นกันใน 3 ทัศนะด้วยกัน

ทัศนะที่ 1 ถ้าพูดที่ว่า การอาบน้ำละหมาดจะไม่ถูกยกด้วยการคาดคะเนที่จริงแล้ว หากเรายอมรับว่าการสัมผัสนั้นไม่เป็นฮะดัษด้วยตัวของมันเอง ถ้าสมมุติว่า ในการสัมผัสนั้นคาดว่าจะทำให้เกิดฮะดัษ และการคาดการณ์สิ่งหนึ่งนั้นจะให้ข้อชี้ขาดในสิ่งนั้นได้ และถึงแม้เราจะสามารถหยุดอยู่กับมันได้ เช่น การที่อวัยวะเพศทั้งสองพบกับมันจะทำให้คาดการณ์ให้เกิดการหลั่งอสุจิได้ ก็ให้ข้อชี้ขาดไปเลยว่า การนอนนั้นคาดว่าจะเกิดฮะดัษได้ ดังนั้น จึงต้องให้ข้อชี้ขาดพร้อมกับสามารถที่จะเป็นอย่างนั้นได้ และตามความเห็นของพวกเขานั้น การสัมผัสโดย โดยปราศจากเสื้อผ้า และสิ่งที่เกี่ยวข้องเป็นที่คาดการณ์เช่นนั้น


ทัศนะที่ 2 คำพูดที่ว่า จำเป็น (วาญิบ) ต้องอาบน้ำละหมาดจะไม่จำเป็น นอกจากจะต้องเป็นบัญญัติ ถือเป็นคำพูดที่ถูกต้อง และความจริงอัลกุรอานได้มีมาในเรื่องนี้ โดยพระองค์ตรัสว่า(أَوْلاَمَسْتُمُ النِّسَاءَ) และในการอ่านที่ว่า (أَوْلَمَسْتُمْ النِّسَاءَ)


ทัศนะที่ 3) การยึดถือสภาพ “อุมูมุลมัลวา” คือ สภาพที่อันตรายคลุมไปกว้างมากป้องกันลำบากเป็นการเสียน้ำละหมาดโดยการวาญิบ (จำเป็น) ต้องอาบน้ำละหมาด อันเนื่องจากการกรอกเลือด การมีเลือดไหลออกจากร่างกาย และอื่น ๆ ความจริงปรากฏว่าท่านนะบี อะลัยหิสสะลาม เคยอ่านตลอดชีวิตของท่าน (أَوْلاَمَسْتُمُ النِّسَاءَ) ซึ่งเป็นรายงานที่เด็ดขาดผู้รายงานครบถ้วน

(จากหนังสืออัษษะคีเราะห์ เล่ม 1 หน้า 220)



สาม: หลักฐานของมัษหับที่ 3

บรรดาเจ้าของมัษหับ ได้อ้างหลักฐานว่า การสัมผัสสตรีเพศเป็นการคาดว่าจะเกิดฮะดัษ ซึ่งเป็นคำพูดของนักปราชญ์ส่วนใหญ่ โดยการรวมกันระหว่างหลักฐานของมัษหับที่ 1 และมัษหับที่ 2 โดยเฉพาะ และแท้จริงอายะห์ อาจจะมีความหมายว่า ร่วมเพศหรืออื่น ๆ ก็ได้


แต่พวกเขามีความเห็นแตกต่างกันในการกำหนดการคาดการณ์นั้นออกเป็นหลายคำพูด โดยแต่ละคำพูดนั้นพาดพิงไปยังสภาพแวดล้อมที่พวกเขาได้ใช้น้ำหนัก และเราจะขออธิบายหลักฐานของแต่ละคำพูดต่อไปนี้

(1) หลักฐานคำพูดที่ 1 ที่กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้เสียน้ำละหมาดนั้น คือการสัมผัสที่น่าเกลียด - ซึ่งเป็นคำพูดของอะบูฮะนีฟะห์ และอะบูยูซุฟนั่นก็คือ การสัมผัสในรูปแบบนี้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วต้องไม่ปราศจากน้ำมะษีย์ ดังนั้น จึงถือว่าเอาส่วนใหญ่เป็นเสมือนความมั่นใจโดยเป็นการเอาเผื่อไว้ และเพื่อดำเนินการบนพื้นฐานข้อชี้ขาดตามส่วนใหญ่โดยไม่เกี่ยวข้องกับของที่ เกิดน้อย เช่นเดียวกับผู้ที่นอนตะแคง น้ำละหมาดของเขาก็เสีย แม้จะมั่นใจว่ไม่มีสิ่งใดออกมาก็ตาม ในทำนองเดียวกับคนที่ไม่มีน้ำในหัวเมือง การทำตะยัมมุมของเขาจะใช้ไม่ได้ โดยถือตามส่วนใหญ่แล้ว น้ำจะไม่ขาดในหัวเมือง

(2) หลักฐานคำพูดที่ 2 ที่กล่าวว่า สิ่งที่จะทำให้เสียน้ำละหมาดก็คือผู้ชายสัมผัสกับผู้หญิงบนผ้า หรือใต้ผ้าหรือจูบโดยที่มีความรู้สึกทางเพศ ที่เป็นทัศนะของอิมามมาลิก – คือ ความรู้สึกอร่อย ถือเป็นที่คาดว่าจะมีน้ำมะษีย์ และการคาดว่าจะมีสิ่งหนึ่งออกมาก็จะให้ข้อชี้ขาดไปตามนั้น โดยไม่มีข้อจำแนกระหว่างผู้หญิงคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง เพราะอายะห์อัลกุรอานนั้น กล่าวไว้กว้าง ๆ

(3) หลักฐานของกลุ่มที่ 3 ที่กล่าวว่า สิ่งที่จะทำให้เสียน้ำละหมาด คือ การสัมผัสผิวหนังของสตรีโดยมีความรู้สึกทางเพศ นี่เป็นทัศนะของมัษหับชาฟีอีย์ตามโกลก้อดีม คือ การสัมผัสนั้นจะไม่เกิดขึ้นเป็นความจริงโดยมีสิ่งขวางกั้น แล้วถ้าไม่มีสิ่งขวางกั้น แน่นอนจึงคาดว่าต้องมีความอร่อยซึ่งจะทำให้น้ำมะษีย์ออกมาโดยเฉพาะเมื่อ ปรากฏว่าสัมผัสกับผิวหนังที่ทำให้เกิดความรู้สึก และปรากฏว่าสตรีนั้นมีความรู้สึก โดยที่ไม่ใช่เด็กหรือคนชรา

(4) หลักฐานของกลุ่มที่ 4 ที่กล่าวว่า สิ่งที่จะทำให้เสียน้ำละหมาดนั้น คือ ผิวหนังของทั้งสองเพศพบกันพร้อมกับมีความอร่อยและมีจุดมุ่งหมาย ซึ่งเป็นทัศนะที่ล่ำลือจากอิมามอะฮ์หมัด คือ แท้จริง ท่านนะบี ศ็อลลัลลอหุอะลัยหิวะซัลลัม เคยสัมผัสภรรยาของท่านในขณะละหมาด และนางก็เคยสัมผัสกับท่าน และถ้าปรากฏว่าการกระทำดังกล่าวนั้นทำให้เสียน้ำละหมาด นางก็คงไม่ทำอย่างนั้น ดังนั้น จึงปรากฏว่า เรื่องนี้มาจำกัดความหมายของอายะห์นี้

(5) หลักฐานของกลุ่มที่ 5 ที่กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้เสียน้ำละหมาด คือ ผิวหนังของทั้งสองเพศมาพบกัน ถ้าปรากฏว่าสตรีคนนั้นเป็นคนอื่น นี่เป็นทัศนะของมัษหับชาฟีอีย์ ตามโกลญะดี๊ด คือ ผู้หญิงที่เป็นมะฮ์รอมกัน ไม่มีทางจะทำให้เกิดความรู้สึกทางเพศ การสัมผัสกับนางจึงคล้ายกับผู้ชายสัมผัสกับผู้ชายด้วยกัน หรือผู้หญิงกับผู้หญิงด้วยกัน

(6) หลักฐานของกลุ่มที่ 6 ที่กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้เสียน้ำละหมาด คือ การสัมผัสผิวหนังของสตรีกับอวัยวะหนึ่งของบรรดาอวัยวะที่อาบน้ำละหมาด ซึ่งเรื่องนี้ได้มีรายงานมาจากอัลเอาซาอีย์ - แต่เราไม่ทราบถึงหลักฐานของเขา และหวังว่าเขาเห็นว่าอวัยวะต่าง ๆ อย่างนั้น เป็นอวัยวะส่วนใหญ่ของมนุษย์ ทำให้เกิดความรู้สึกด้วยกับการสัมผัส โดยที่อิบนุกุดามะห์ ได้กล่าวว่า การเจาะจงไม่มีหลักฐานที่จะใช้เป็นข้อตัดสินให้เป็นอย่างนั้น


ทัศนะที่ถูกคัดเลือก สามารถจะประสานได้โดยการพิจารณาถึงความปลอดภัยของหลักฐาน ความแข็งแรง และเป้าหมายของศาสนบัญญัติที่ให้เกิดความสะดวก ไม่เกิดความลำบาก และหลักที่สำคัญโดยรวมที่ให้ประโยชน์ว่า แท้จริงความมั่นใจนั้นจะไม่หายไป นอกจากต้องมั่นใจเช่นเดียวกัน


ที่มา : http://gangland-dota.is.in.th/?md=content&ma=show&id=10


كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



ออฟไลน์ Deeneeyah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 800
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.alisuasaming.com/
Re: ฮาดิษนี้ ซอเฮียะฮฺหรือไม่
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: ก.ย. 09, 2009, 10:38 PM »
0
ผมเองก็ยังไม่ไม่ละเอียดเท่าไหร่ เอามาโพสก่อน จะได้ช่วยกันตาลาย  ;D  (เพราะมันเยอะจัง)


เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้าง

كُلَّمَاأَدَّبَنِى الدّه    رُأََرَانِى نَقْصَ عَقْلِى    وإذاماازْدَدْتُ عِلْمًا   زَادَنِى عِلْمًابِجَهْلِى
 
ทุกครั้งคราที่กาลเวลาได้สอนสั่งฉัน  ฉันก็เห็นว่าตัวฉันปัญญาพร่อง  และเมื่อใดที่ฉันได้เพิ่มพูนความรู้  มันก็เพิ่มความรู้ว่าฉันโง่เขลา



 

GoogleTagged