อีกอย่าง โด่โด่ รับเอานิสัยของคนญี่ปุ่นมาเต็มๆเลย
คือ สังเกต และชอบจดบันทึก เคยได้ยินว่า
ในกระเป๋าเด็กญี่ปุ่นทุกคนจะมีปากกา กับสมุดบันทึกเสมอ
ใช่ป่าว
อัลฮัมดุลิลละฮฺ
ใช่อย่างที่คุณbintiว่ามาเลยค่ะ ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นนะคะ
ขนาดผู้สูงอายุยังพกเลยค่ะ คนญี่ปุ่นเขาค่อนข้างปิดตัวเอง
ไม่ค่อยสุงสิงกับใครถ้าไม่จำเป็น จึงต้องเข้าหาเขา ถึงจะได้เขาเป็นมิตร
พวกเขาจะนั่งเงียบ อ่านหนังสือบ้าง จดโน่นจดนี่ในสมุดบ้าง
เล่นเกมในมือถือบ้างในยามที่นั่งรถไฟน่ะค่ะ
ตอนมาแรกๆ แหกปากคุยลั่นกับบรรดาเพื่อนๆในรถไฟ โดนจิกด้วยหางตาเลยค่ะ
มันเจ็บยิ่งกว่าคำพูดเป็นไหนๆเลยล่ะค่ะ...อิอิ...
เขาจะเคร่งครัดเรื่องมารยาทการเข้าสังคมน่ะค่ะ...
ที่สำคัญ ขี้อายด้วยค่ะ...แต่คนที่ใจกล้านี่ก็กล้าจนบ้าบิ่นเลยล่ะค่ะ...อิอิ...
โด่โด่คิดว่า คุณbintiคงเคยได้ยินข่าวมาเหมือนกันใช่มั้ยคะว่าคนญี่ปุ่น
มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงเป็นอันดับหนึ่งของโลก
ตอนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงของญี่ปุ่น มีคนกระโดดฆ่าตัวตายให้รถไฟทับทุกวันเลยค่ะ
คุณคงไม่อยากเห็นภาพเหล่านั้นสักเท่าไหร่ แล้วมันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดน่ะสิคะ
เพราะว่า ทางการรถไฟเขาจะเรียกเก็บค่าปรับจากครอบครัวคนตายด้วยค่ะ
ญาติๆเลยต้องมารับชะตากรรมต่อ...เพราะกว่ารถไฟจะเคลื่อนขบวนออกไปได้
ใช้เวลานานร่วมชั่วโมง และรถไฟคือหัวใจหลักของคนญี่ปุ่น เขาเลยบอกว่า
มันประมวลค่าไม่ได้เมื่อมีคนกระโดดลงไปให้รถไฟทับน่ะค่ะ...
คนที่จะทำแบบนั้นจึงต้องคิดหนัก แต่คนที่อยากตายแล้วจริงๆเขาคงไม่มานั่งคิด
ถึงจุดนั้นว่ามั้ยคะ...
เพราะเคยมีครั้งหนึ่ง รุ่นน้องที่สนิท เขาเป็นคนเรียนเก่งมาก
ได้เหรียญเงินโอลิมปิกด้านวิชาการมา แล้วมีโอกาสได้มาเรียนโรงเรียน
สอนภาษาที่เดียวกันกับโด่โด่ เขาช่วยติววิชาฟิสิกส์และคณิตฯให้โด่โด่
ช่วยโด่โด่ให้สอบเอ็นฯเข้ามหาลัยที่ญี่ปุ่นได้ เพราะก่อนหน้านั้น
เหมือนอยู่ในนรก เรียนไม่รู้เรื่อง เรียนไม่ทันคนอื่น เพราะแต่ละคนที่มาเรียน
เขาเก่งๆกันทั้งนั้น เรามันความรู้น้อย แค่หางอึ่ง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยคิดว่า
ตัวเองนั้นเก่งแล้ว แต่เปล่าเลย ความรู้ที่มีมันเทียบกับใครไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยว
แต่ได้น้องเขามาช่วยติวให้ เลยผ่านช่วงหฤโหดตรงนั้นมาได้
เอนฯติดในที่ที่อยากเข้าสำเร็จ...
แต่อยู่มาวันนึง น้องเขาโทรมาบอกว่า เขาอยากตาย
เขาไม่อยากอยู่ในโลกนี้แล้ว ตอนฟังอึ้งไปพักใหญ่ ถ้าน้องเขาอยู่ใกล้ๆ
คงวิ่งไปหาแล้ว แต่นี่ดันอยู่คนละฝั่งของประเทศ เลยต้องมานั่งตั้งสติ
นึกคำพูดอยู่นานว่าจะพูดยังไงดี เลยถามเขาไปแบบขำๆอย่างที่เคยทำเป็นปกติว่า
"ไม่กลัวเหรอ...ความตายน่ะ"น้องเขาเงียบแล้วตอบมาว่า
เขาไม่กลัวอะไรหรอก โลกนี้มันห่วยแตกสิ้นดี...ตอนนั้นเราเริ่มยิ้มได้แล้ว
เพราะถ้าอยากตายมากๆคงไม่โทรมาหาเราชัวร์เลยพูดไปว่า
"ก็เห็นคนอื่นเขาอยู่กันได้นิ....พี่ยังอยู่ได้เลย เรียนก็แย่กว่าเธอ
เอาดีไม่ได้สักเรื่อง เธอก็รู้ดีนี่ว่่ากว่าพี่จะรอดมาจนวันนี้ได้เพราะอะไร..."
น้องเขาตอกกลับมาว่า
"ก็นั่นมันพี่นี่..."
"งั้นเล่าความห่วยแตกของมันให้ฟังหน่อยดิ...ชักอยากรู้ว่าของเธอกับของพี่
ของใครมันจะห่วยแตกกว่ากัน..."จากนั้นน้องเขาก็เล่าถึงปัญหาให้ฟัง
แล้วลงท้ายด้วยว่า
"พี่ไม่รู้หรอกว่าผมพยายามจะตายมากี่ครั้งแล้ว..."
หัวใจโด่โด่ตอนนั้นสะท้านนิดนึง แต่ก็พยายามหาทางกล่อมคนอยากตายต่อไปว่า
"งั้นบอกพี่ได้มั้ย ว่าเธอจะแก้โจทย์นี้ด้วยการตาย ตายแล้วผลลัพธ์ที่ได้
มันคืออะไร..."ตอนนั้นเอาคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์เข้าพูด เพราะให้เอาศาสนา
เข้าใส่ รุ่นน้องคนนี้คงหัวเราะอีกตามเคย เพราะเขาบอกว่า ศาสนามีไว้แค่ให้เรายึด
เหนี่ยวจิตใจ หากใจเรามั่นคงพอ ก็ไม่จำเป็นต้องมี(ที่จริงน้องเขาเคยพูดด้วยหลัก
ปรัชญามากกว่านั้น แต่จำได้แค่นี้ค่ะ)
"นี่พี่จะบ้ารึไง...คนกำลังจะตาย พี่ยังจะมาล้อเล่น...งั้นจะวางหูแล้วนะ..."
"เฮ้ยๆๆ เดี๋ยวสิ...ก็พี่เห็นเธอเป็นอาจารย์ในเรื่องนี้ ถามไม่ได้รึไง...
ก็เธอเคยบอกพี่เองว่า โจทย์คณิตฯมีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้บ่นว่ายาก...
พี่ทำอย่างเธอว่า พี่ก็สอบเข้ามหาลัยได้มาแล้วนี่...เธอออกจะเก่ง"
"ผิดหวังจริงๆที่โทรหาพี่ ไม่เห็นได้อะไรเลย พี่ก็ดีแต่สวนกลับ..."
"แสดงว่าเริ่มมีสติแล้วนี่ รู้ว่าพี่สวนกลับ...เขาว่าคนฆ่าตัวตายเพราะขาดสติ
พี่เลยลองเรียกดู เห็นมันยังอยู่ที่เธอนี่...นี่ไงโจทย์สมการข้อแรกที่เธอสอนพี่
เรื่องแคลคูลัส...จำได้รึเปล่า..."น้องเขาเงียบไปก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกระแทก
กระทั้นว่า
"พี่นี่ไร้สาระได้ตลอด....ขนาดจะเป็นจะตายพี่ก็ยังไร้สาระ สงสารอาจารย์
คนต่อไปของพี่จริงๆ...เขาคงต้องทนกับพี่ไปอีกนาน"
"แต่เธอก็เลือกจะโทรหาพี่อยู่ดี..."
"เหอะๆ"น้องเขาหัวเราะในลำคอ
"งั้นก็ไม่ต้องรีบตายหรอก อยู่ช่วยแก้สมการว่าพี่ควรจะทำยังไงกับอาจารย์คนต่อไป
ของพี่ก่อนเป็นไง รึว่าพี่ต้องแก้ที่ตัวพี่เอง...แต่พี่ดันไม่รู้สูตรนี่สิ...
หน่า...ช่วยกันจนได้เข้ามหาลัยมาขนาดนี้แล้ว จะรีบชิงตายกันไปก่อนทำไมกัน
เดี่ยวก็ได้ตายอยู่ดี...เราได้ตายกันทุกคนนั่นแหล่ะ รึว่าไม่จริง....
โลกนี้ห่วยแตกก็จริง แต่พี่ยังไม่พร้อมจะตาย พ่ียังไม่ได้ใส่ชุดกิโมโนรับปริญญา
ยังไม่ได้ใส่ชุดสวยๆในวันแต่งงาน...ยังหาเจ้าบ่าวไม่เจอ ไม่รู้ว่าหล่อรึเปล่า...
หรือเธอลองมาหมดแล้ว...ถึงได้รีบตายนัก...เธอน่ะเก่งเข้าขั้นอัจฉริยะ
สงสารโลกนี้เถอะ ขาดคนเก่งๆไปหนึ่งคน แต่คนโง่ๆอย่างพี่ยังอยู่
มันดูหดหู่ยังไงไม่รู้ ขาดทุนในแง่เศรษฐศาสตร์ที่เรียนมาเนอะ เนอะๆ"
"นี่หรือคือสิ่งที่ได้จากพี่ในคืนนี้..."
"ใช่...แต่ถ้าเธอคิดสักนิด...เธออาจจะอยากอยู่ดูวันที่พี่รับปริญญาก็ได้
รึเธออาจจะอยากเห็นหน้าเจ้าบ่าวของพี่ก็ได้ใช่มั้ย พี่เองก็อยากเห็นเธอ
ขึ้นรับรางวัลโนเบลเหมือนกัน ถ้าไม่ได้ก็ขอแค่เห็นการ์ดสีชมพูของเธอก็พอแล้ว.."
"ขอบใจมากพี่...อยากน้อยๆพี่ก็ไม่ได้ไร้สาระไปเสียทุกเรื่อง...
ตอนนี้ขอคิดก่อนแล้วกันว่าจะตายดีรึเปล่า"นั่น เจ้ารุ่นน้องยังมีหน้ามาบอกว่า
ขอคิดอีกก่อน...
"คิดไปเถอะ คิดทั้งชีวิตก็ได้ แต่อย่าคิดสั้นแล้วกัน...เชื่อเถอะ...
สักวันเธอคงได้ตายสมใจอยากแน่นอน ปิดเทอมนี้ไปดูดอกไม้ใบหญ้า
กับพี่มั้ยล่ะ จะมาหาพี่หรือให้พี่ไปหาก็บอก...แต่ที่พี่อยู่สวยอย่าบอกใคร555"
แล้วน้องเขาก็หัวเราะ เพราะรู้ว่ารุ่นพี่ของตัวเองจะไม่ยอมนั่งรถข้ามฟาก
ไปหาเขาแน่ๆ ด้วยเหตุผลเดิมๆคือ...เปลืองตังค์...
อีกอย่่างจะได้ให้น้องเขาไปพักกับเพื่อนชายได้ด้วย...
บทสนทนาจบลงตรงไหนแล้วก็จำได้คร่่าวๆ นี่ถ้าไม่จดบันทึกเอาไว้
คงหายเข้าก้นเหวของเส้นหยักในสมองไปแล้วล่ะค่ะ...
ยอมรับว่าใจหายไม่น้อยที่ได้ยินว่าคนที่เคยช่วยเราจากก้นเหวในวันนั้น
จะกลับมาตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับเราได้...สิ่งที่ทำได้ก็คือ
ช่วยเขาอย่างที่เขาเคยช่วยเราให้ได้...
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น เลยเกิดคำถามว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงฆ่าตัวตาย
แล้วทำไมน้องเขาที่ชีวิตดูดี เหมือนมีพร้อมไปเสียทุกอย่าง
อยู่ๆถึงอยากฆ่าตัวตายขึ้นมา...
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสังคมบีบบับคับ การแข่งขันสูง
ซึ่งไม่ว่าที่ใดในโลกก็เป็นอย่างนั้น หากเป็นเมืองหลวงของประเทศ
แต่ที่ญี่ปุ่นมีไม่เหมือนที่ใดก็คือ...คำถามเดียวที่เหมือนให้คำตอบทุกคำถามได้คือ
...คนญี่ปุ่นนับถือศาสนาอะไร...พวกเขาส่วนใหญ่จะพูดกันว่า...ไม่มี...
พร้อมสีหน้าที่เหมือนจะบอกความนัยว่า...ไม่จำเป็น...
ตอนเรียนประถมจนถึงมัธยมไม่มีหลักสูตรสอนเรื่องศาสนาให้กับเด็กๆ
(อันนี้ถามเพื่อนมาแล้วค่ะ เขาว่าอย่างนั้น โรงเรียนปกติทั่วไปไม่มีสอนศาสนา)
โดยให้เหตุผลว่า จะทำให้คนแบ่งแยกกัน...เลยไม่ให้มีเรื่องศาสนาเข้ามาในหลักสูตร
จึงปฏิบัติตามๆบรรพบุรุษกันไปน่ะค่ะ แต่หลักสูตรในมหาลัยมีให้เรียนเรื่องศาสนาค่ะ
เคยเข้าไปนั่งเรียน แต่เขาจะสอนแบบผิวเผิน แค่พอให้รู้จักว่าแต่ละศาสนา
มีหลักการอย่างไรเท่านั้นเองค่ะ...ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดมากนัก
เลยทำให้คนญี่ปุ่น(บางคน)ยังมองอะไรแบบฉาบฉวยในเรื่องศาสนาอยู่ค่ะ
แต่หากอธิบาย พวกเขาก็พร้อมจะฟังอย่างตั้งใจนะคะ
โด่โด่เคยคุยกับอาจารย์ญี่ปุ่นท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าที่คนญี่ปุ่นฆ่าตัวตายกันมาก
เพราะเกิดจากการที่มีปัญหาแล้วไม่กล้าจะปรึกษาใคร แม้กระทั่งคนในครอบครัว
เก็บกดความรู้สึกเอาไว้อยู่อย่างนั้น จนถึงวันระเบิด และเพราะว่าบางครั้ง
ไร้ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ พอหมดสิ้นความหวัง ก็อยากจะจบชีวิตลง
ด้วยเหตุผลที่ว่า...ไม่มีใครในโลกอีกแล้วที่จะอยู่เคียงข้าง...
อะไรประมาณนั้นค่ะ...อาจารย์บอกว่าเขากำลังวิจัยกันในเรื่องนี้
แล้วอาจจะมีการบรรจุหลักสูตรเรื่องศาสนาเข้าไปให้เด็กๆได้เรียนค่ะ
เพื่อให้มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจในยามที่มีปัญหา...
แต่สิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่ทำให้โด่โด่ช็อคกับประเทศนี้เท่ากับการที่ได้รู้ว่่า
ที่นี่เขามีการจ่ายเงินเพื่อซื้อที่ฝังกระดูกตนเองก่อนตายด้วยค่ะ
มารู้เอาก็ตอนที่ได้ไปเยี่ยมกุโบรฺของมุสลิมในประเทศญ่ีปุ่น
ส่วนใหญ่เป็นหลุมศพของชาวต่างชาติค่ะ เขาบอกว่าภูเขาทั้งลูกที่ว่านั้น
มีเศรษฐีชาวอาหรับมาขอซื้อเพื่อใช้ฝังศพชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่น
คนที่พาไปเขาบอกว่าถึงจะมีคนมาซื้อแล้วก็จริง แต่เขาก็ต้องจองที่
และต้องจ่ายเงินค่าหลุมฝังศพให้ตัวเองกับทางรัฐ แต่ไม่มากนัก
เพราะว่า ชาวอาหรับเขามาเหมาภูเขาลูกที่ว่าไปทั้งลูกแล้ว...ปีนึงครั้งนึงค่ะ
(อันนี้ลืมแล้วค่ะว่าเท่าไหร่) แล้วพื้นที่ส่วนใหญ่ก็มีคนจองกันหมดแล้วนะคะ
เหลือพื้นที่บนยอดเขาเท่านั้นน่ะค่ะที่ยังคงเหลือในตอนนั้น...
ได้ฟังอย่างนี้ โด่โด่รู้สึกแปลกๆในใจขึ้นมาทันที ขนาดแผ่นดินให้กลบหน้า
ตอนตายไปแล้วก็ต้องจัดการซื้อเอาไว้ก่อน...จองที่เอาไว้อย่างดีเลยค่ะ
คนที่พาไป เขายังบอกเลยว่า นั่นคือที่ของเขา หากเขาตาย
เขาได้ทำสัญญาจ่ายเงินค่าที่ไว้กับทางรัฐแล้ว ศพเขาก็จะถูกนำมาฝังไว้ที่นี่
ไม่ต้องถูกนำไปเผาตามศาสนาอื่น...
(ตอนนั้นโด่โด่ได้แต่ยืนกลืนน้ำลายลงคอเฮือกๆ พูดอะไรไม่ออก)
ถามตัวเองแค่ว่า...หากอยู่ๆเกิดตายขึ้นมาในญี่ปุ่น ตัวก็ตัวคนเดียว
เขาจะเอาศพเราไปเผามั้ยนะ หรือร่างเราจะได้กลับไปฝังอยู่ในกุโบรฺเดียวกับ
ญาติพี่น้องหรือเปล่า ซึ่งโด่โด่รู้ดีว่าหากตายที่ญี่ปุ่น การจะเอาศพกลับบ้านนั้น
ยากเย็นเพราะต้องจ่ายเงินประมาณ3แสนบาท สำหรับค่าขนส่งศพ
(ยิ่งมุสลิมต้องรีบฝัง) เพราะรุ่นพี่เคยเสียชีวิตอย่างกะทันหันมาแล้วที่ญี่ปุ่น
ตอนนั้นทุกคนต่างช่วยกันออกเงินเพื่อให้นำศพของพี่เขากลับประเทศไทย...
ตอนนั้นเห็นความตายวางอยู่ตรงหน้า พอได้ไปเยี่ยมหลุมศพที่ไม่มีญาติ
มาช่วยถาง ช่วยดูแล หญ้าขึ้นรก ก็ยิ่งคิดอะไรได้หลายๆอย่าง
โด่โด่กับเพื่อนถ่ายรูปกันเล่นๆตอนช่วยกันทำความสะอาดกุโบรฺ
แล้วเราก็ไปละหมาดกันในอาคารหลังเล็กในกุโบรฺกับมุสลิมญี่ปุ่น
และที่เป็นต่างชาติ ซึ่งมีไม่กี่คนเท่่านั้น แต่โชคดีตรงที่ได้เจอ
ผู้นำด้านศาสนาอิสลาม(จุฬาราชมนตรีของญี่ปุ่น)ด้วย
ท่านแต่งกายที่ดูสมถะมากๆ จนอดปลื้มไม่ได้เหมือนกันค่ะ...
พอกลับที่พัก เพื่อนก็โทรมาบอกว่าเห็นกลุ่มควันสีขาวๆข้างๆโด่โด่ในรูปถ่่าย
ที่เขาถ่ายให้ตอนทำความสะอาดกุโบรฺ โด่โด่เลยขอให้เขาส่งมาให้ดูหน่อย
เพราะอยากเห็น แต่เขาก็บอกว่าเขากลัว เขาลบทันทีตั้งแต่เห็นแล้ว(เลยอดดูกัน)
แต่เขายืนยันมาว่า เขาไม่ได้ปั้นเรื่อง จากที่คิดว่าเพ่ือนอำเราเล่น
ก็เริ่มขนลุก มองไปรอบตัวเลยตอนนั้น....แต่ด้วยความที่ยังไม่โตเท่าไหร่
อยู่ไปๆก็ลืม ไม่นึกถึงเรื่องนั้นอีกเลย
มานึกอีกทีตอนเกิดแผ่นดินไหว ตอนนั้นย้ายมาเรียนที่เมืองหลวงเก่า
ของญี่ปุ่นแล้ว แม้จุดศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหวไม่ได้อยู่ในเขตที่เราอยู่
แต่แรงสั่นสะเทือนก็ไม่น้อยหน้าที่อื่นเลย ตอนนั้นจำได้ว่าของเราแค่4หน่วย
แต่ที่จุดศูนย์กลางถ้าจำไม่ผิด ไม่แน่ใจว่า7หรือ8หน่วยแล้วค่ะ...
บ้านสั่นยวบๆพร้อมๆกับหัวใจที่หล่นวูบ นึกถึงอัลลอฮฺตาอาลาในบัดดล
แล้วพอดูภาพข่าวของจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหว
ซึ่งอยู่ที่เดียวกับที่รุ่นพี่คนสนิทอาศัยอยู่
ตอนนั้นพี่เขาโทรมาร้องห่มร้องไห้ บอกว่ามันน่ากลัวอย่างนั้นอย่างนี้
ใจเราก็สั่น เพราะอยู่กันคนจะภาค จะไปช่วยก็ไม่ได้
ได้แต่ปลอบ ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน...
เมืองทั้งเมืองถูกสูบ ผู้คนสูญหายไปในแผ่นดิน ดีใจที่รุ่นพี่คนนั้นรอดชีวิตมาได้
แต่อัตราคนตายไม่มากเหมือนที่อินเดียกับสึนามิที่ไทย เพราะที่นี่เขามีระบบ
ป้องกันแผ่นดินไหว อาคารบ้านเรือนถูกออกแบบมาเพื่อรับกับสภาพของแผ่นดินไหว
แต่ต้านได้ไม่เกิน7หน่วย ความเสียหายเลยมีไม่มากเท่ากับความแรง
แต่ภาพที่เห็นมันทำให้นึกถึงตอนไปเยี่ยมหลุมศพเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา
นึกได้ว่า หากอัลลอฮฺประสงค์แล้ว อะไรที่เตรียมเอาไว้สำหรับโลกนี้
คงไม่ได้ใช้...แค่เห็นภาพคนตายที่โดนแผ่นดินสูบไปพร้อมๆกัน
แล้วพระองค์ทรงกลบพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่ต้องจองที่ ไม่ต้องจ่ายค่าที่
เพื่อฝังศพตนเองตอนตาย...แค่นั้นก็เพียงพอแล้วกับคำตอบทั้งหลาย
กับความวิตกกังวลที่เคยมีว่าตนนั้นจะทำเช่นไรต่อไป...
แต่บางครั้งก็ยังเผลออีก และเมื่อเผลอทีไร แผ่นดินจะค่อยๆสั่นไหว
ให้สะกิดใจอยู่ตลอดเวลา ทำให้นึกถึงตอนที่นั่งอยู่บนเปลไม่มีผิดเพี้ยน
หากแต่ผู้ไกวไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่แม่ที่ไกวเปลเพื่อกล่อมให้เราหลับ
แต่เป็นผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่...ผู้ทรงเมตตายิ่ง
คอยเตือนให้เรามีสติอยู่ตลอดเวลาในยามที่เผลอ...
เพราะที่ผ่านมา เท่าที่สังเกตุ แผ่นดินมักจะไหวตอนเวลาซุบฮฺ
เวลาใกล้รุ่งอรุณ...
อย่างน้อยๆการมาอยู่ในที่ที่ไม่ค่อยมีมุสลิม แต่มีแผ่นดินไหวคอยเตือน
ทุกเช้าค่ำ มันก็ทำให้ใจที่เคยทะนง เคยวางแผนจัดการโน่นนี่
จนการงานสำเร็จลุล่่วงได้ด้วยดี ต้องสั่นไหวไปพร้อมๆแผ่นดินได้ตลอด
บอกกับใจแค่ว่า...หากพระองค์ทรงประสงค์ให้ตาย ก็ขอให้ง่าย
สำหรับคนข้างหลังที่ต้องมารับหน้าที่ฝังตัวเองเท่านั้น...
______________________________________________________
นี่ไม่ใช่เรื่องสั้น ไม่ใช่บทความสั้นๆขยันแต่ง แต่เป็นเรื่องจริง
และเกิดขึ้นจริงๆ แม้จะบรรยายได้ไม่หมดก็ตามค่ะ...
คุณbintiหรือนักอ่านที่แวะเข้ามาอ่าน คิดเห็นยังไง หรือมีเรื่องเล่าอะไร
ที่เกี่ยวกับแสงแห่งทางนำ อย่าลืมมาแชร์กันบ้างนะคะ
แล้วจะนำบทความสั้นๆ ภาคที่เหลือมาลงให้อ่านกันในคราถัดไปนะคะ
หวังว่าคงไม่เบื่อกันไปก่อนนะคะ
วัสลามุอะลัยกุมวะเราะมาตุลลอฮ์วะบารอกาตุ
^__________________________________^
