ผู้เขียน หัวข้อ: ยอมรับเสียเถอะ...... ท่านหลีกเลี่ยงการคำนวณไม่ได้แล้ว!!!  (อ่าน 2326 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด

salam

ยอมรับเสียเถอะ...... ท่านหลีกเลี่ยงการคำนวณไม่ได้แล้ว


โดย นายภราดรภาพ


ควันหลงจากการดูเดือนในวันพฤหัสที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา  เพื่อกำหนดวันเริ่มต้นเดือนรอมฎอน ฮ.ศ. 1430 ที่สวนกระแสหลักของประชาคมมุสลิมไทย  ประชาคมที่เคยชินกับการปฏิบัติตามผลการดูเดือนของสำนักจุฬาราชมนตรีมาเป็นเวลานาน  ทำให้มีผู้คนโจษขานและฮือฮากันมากมาย

“เดี๋ยวนี้ชาวซุนนะฮ์รู้จักออกไปดูเดือนกันแล้วหรือ?”  เพื่อนคนหนึ่งถามผู้เขียน  ในเวลาไล่เลี่ยกันมีเพื่อนหลายคนโทรศัพท์มา  และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้  บางส่วนเป็นคำถามและคำพูดที่ท้าทายเป็นอย่างมาก  และบางส่วนเป็นข้อเสนอแนะที่ดีและจริงใจ  ซึ่งผู้เขียนได้นำมาประมวลในบทความสั้นๆฉบับนี้  เพื่อเสนอให้ผู้ทรงคุณวุฒิและนักวิชาการทางศาสนาที่อยู่ในระดับหน้าของ  แนวทางซุนนะฮ์อันถูกต้องได้นำไปพัฒนาต่อไป   

ทั้งนี้ ความคิดเห็นที่นำเสนอในบทความนี้มิได้จัดทำขึ้นในลักษณะวิชาการทางศาสนาโดยสมบูรณ์  จึงปราศจากการอ้างอิงตำรับตำราและทัศนะของอุละมาอ์ผู้มีชื่อเสียง  เป็นความคิดความเห็นส่วนตัวของปุถุชนคนหนึ่งที่สนใจประเด็นขัดแย้งทางศาสนา

มีบางท่านสงสัยว่า  “ทำไมต้องเลือกวันพฤหัสที่ 20 สิงหาคม1 เป็นวันดูเดือน?”  แม้คำถามนี้จะเป็นคำถามที่แสนธรรมดา  แต่ได้แฝงความหมายลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง   เพราะเป็นคำถามที่พุ่งตรงไปยัง “รากฐาน” ของการดูเดือน  ชนิดที่ว่าถ้าตอบไม่ได้  หรือตอบแล้วขาดเหตุผล  งานนี้พลพรรคชาวซุนนะฮ์ส่วนหนึ่งที่ออกไปดูเดือน  และยินดีปรีดากับการประกาศดูเดือนครั้งนี้  ตลอดจนหัวขบวนของชาวซุนนะฮ์ในส่วนนี้จะไม่พ้นสภาพ “ตกม้าตาย” อย่างแน่นอน

ย้อนหลังไปในสมัยเมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว  ชาวซุนนะฮ์ไทยไม่ค่อยมีการดูเดือนเพื่อมีส่วนร่วมในการกำหนดวัน-เดือนทางศาสนาเลย 2  นี่คือความจริงที่ต้องยอมรับ  รู้สึกชาวซุนนะฮ์ส่วนหนึ่งจะเคยชินกับ “การใช้สินค้าต่างประเทศ” จึงนิยมติดตามผลการดูเดือน และการประกาศของต่างประเทศ  โดยเฉพาะคำประกาศจากองค์กรสูงสุดเพื่อชี้ขาดปัญหาทางศาสนาของประเทศซาอุดิ อาระเบีย  แม้จะมีการแถลงย้ำหลักการอย่างแข็งขันว่า “ไม่ได้จำกัดเฉพาะซาอุดิ อาระเบีย  แต่จะประมวลจากคำประกาศของประเทศมุสลิมทุกประเทศ”  ตามหะดีษ صوموالرؤيته.....  ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ที่กล่าวว่า  “พวกท่านจงถือศีลอดเมื่อเห็นเดือนเสี้ยว”  ซึ่งเป็นคำสั่งใช้ต่อชาวมุสลิมทั่วโลกก็ตาม  แต่จากการสังเกตุ  ดูเหมือนชาวซุนนะฮ์ไทยส่วนหนึ่งจะฟังเสียงประกาศของทางการซาอุดิ อาระเบียมากกว่าประเทศอื่นๆ  จนคำโจษขานที่ว่าชาวซุนนะฮ์ไทยส่วนนั้นตามเฉพาะเดือนของซาอุดิ อาระเบียเป็นความจริงไปในทางปฏิบัติ 3

ประชาคมซุนนะฮ์ในประเทศไทยมิได้มีการพัฒนาปฏิทินที่ใช้ในกิจการศาสนาของตนเองขึ้นมาเลย  นี่คือความจริงอีกประการหนึ่งที่ต้องยอมรับ  เพราะเคยชินที่จะ “ฟัง” ต่างประเทศมากกว่า  อย่างไรก็ตาม  ปฏิทินที่กล่าวมานี้  มิได้หมายถึง “สิ่งตีพิมพ์สำเร็จรูป” ที่แสดงผลการคำนวณวัน  เดือนและเวลาละหมาดในท้องที่ต่างๆ ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในสังคม  แต่หมายถึง  การเฝ้าติดตามดูเดือนและกำหนดวันเริ่มต้นของเดือนตลอดทั้งปี  มิใช่มุ่งหมายจะกำหนดวันเริ่มต้นของเดือนรอมฎอนและซุลฮิจยะฮ์เป็นการเฉพาะเท่านั้น  เนื่องจากเดือนทั้งสิบสองนั้นร้อยเรียงกัน  เราจะไม่รู้วันเริ่มต้นของเดือนใดเดือนหนึ่ง  ถ้าเราไม่รู้วันเริ่มต้นของเดือนที่มีมาก่อน  และถ้าเรากำหนดเดือนหนึ่งคลาดเคลื่อน  มันจะมีผลกระทบให้เดือนถัดไปคลาดเคลื่อนไปด้วยเช่นกัน
 
ความจริงการกำหนดวันเริ่มต้นของเดือนจากผลของการดูเดือนเพียงอย่างเดียวนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก  มันมีความสลับซับซ้อนจากธรรมชาติอันเป็นปรากฏการณ์ของดวงจันทร์เป็นทุนเดิม ซึ่งชาวซุนนะฮ์ที่นิยมตามเดือนของต่างประเทศไม่ค่อยสนใจใฝ่รู้เท่าไรนัก   ยกตัวอย่างเช่น  เราดูเดือนในวันที่ 29 มุฮัรรอม  เราไม่เห็นเดือนเพราะมีเมฆมาบดบัง  เราจึงนับเดือนมุฮัรรอมให้ครบ 30 วัน  เผอิญเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในเดือนถัดๆมา  คือเดือนซอฟัร, รอบีอุลเอาวัล, รอบีอุซซานีและญะมาดิลเอาวัลติดๆกัน  เรานับเดือนเหล่านี้ให้ครบ 30 วัน  รับรองได้เลยครับว่า การกำหนดวันเริ่มต้นของเดือนในเดือนถัดมาจะคลาดเคลื่อนอย่างแน่นอน  เราสามารถสังเกตุความคลาดเคลื่อนนี้ได้จากดิถี  หรือเสี้ยวของดวงจันทร์ที่ปรากฏบนท้องฟ้า  สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเดือนที่ครบ 30 วันจะเกิดต่อเนื่องกันได้ไม่เกิน 3 เดือนนั่นเอง4

ตามธรรมชาติอันเป็นสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงกำหนดนั้น  ดวงจันทร์หมุนรอบตัวเองใช้เวลา 29. 5306 วัน ซึ่งเท่ากับเวลาที่ดวงจันทร์ใช้ในการโคจรรอบโลก 1 รอบ  มิใช่ 30 วัน ดังนั้นจึงต้องมีการนับเป็น  29 วันบ้าง  30 วันบ้าง  ตามที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม แนะนำเรา  ตรงนี้เป็นความสลับซับซ้อนประการหนึ่งที่ชาวซุนนะฮ์กลุ่มนี้จะต้องนำมาใคร่ครวญ  หากคิดจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการกำหนดวันเริ่มต้นของเดือน(ไม่ว่าจะตลอดทั้งปีหรือไม่ก็ตาม) โดยอาศัยแต่การดูเดือนเพียงอย่างเดียว  และละทิ้งวิทยาการและความก้าวหน้าในเรื่องการคำนวณทางดาราศาสตร์ที่พัฒนาอยู่ในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง

เมื่อชาวซุนนะฮ์ส่วนนี้ไม่เคยดูเดือน  และไม่เคยกำหนดวันเริ่มต้นของเดือนต่างๆ ในวันเวลาที่ผ่านมาเลย  แล้วพวกเขากำหนดให้ไปดูเดือนเพื่อหาวันเริ่มต้นเดือนรอมฎอน ฮ.ศ. 1430 ในค่ำวันพฤหัสที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมาได้อย่างไร?   คาดเดาเอาเองหรือ?  ถ้าตอบอย่างนี้ผิดมหันต์  เพราะการปฏิบัติศาสนกิจจะอาศัยการคาดเดาไม่ได้เลย

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า  พวกเขาอาศัยประกาศกำหนดวันดูเดือนของต่างประเทศ  คำถามที่ตามมาก็คือ  เมื่อหลักการคือ  การปฏิบัติตามหะดีษ صوموالرؤيته.....   ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ซึ่งเป็นคำสั่งใช้ต่อชาวมุสลิมทั่วโลกแล้ว  พวกเขาอาศัยประกาศกำหนดวันดูเดือนของประเทศใดเป็นหลัก?  และเพราะเหตุใด? และได้ประมวลประกาศกำหนดวันดูเดือนครอบคลุมทุกประเทศหรือไม่?   เช่น  ประเทศอาหรับในตะวันออกกลางและแอฟริกา  ซึ่งประกาศกำหนดวันดูเดือนต่างกันออกไป  ตรงนี้หัวขบวนชาวซุนนะฮ์กลุ่มนี้คงต้องเหนื่อยในการอธิบายให้ผู้คนทั้งหลายเข้าใจด้วยว่า  ได้ยึดตามคำประกาศของประเทศนั้นประเทศนี้เป็นหลัก  พร้อมเหตุผลทางวิชาการประกอบว่าเพราะอะไร?     

เหตุใดหัวขบวนชาวซุนนะฮ์กลุ่มนี้ต้องออกโลงมาชี้แจง?  นั่นเป็นเพราะพี่น้องมุสลิมที่ติดตามข่าวสารจากต่างประเทศจะพากันสรุปโดยสันนิษฐานเอาเองว่า  ชาวซุนนะฮ์กลุ่มนี้ตามเฉพาะประเทศซาอุดิ อาระเบียเท่านั้น  ชาวซุนนะฮ์กลุ่มนี้ไม่ถือตามประเทศอาหรับอื่นๆ ที่ประกาศวันดูเดือนต่างออกไป   และที่สำคัญคือ ความจริงทางซาอุดิ อาระเบียเองก็ประกาศโดยอาศัยปฏิทินอุมมุลกุรอเป็นหลัก  และนี่คือความเข้าใจและความเชื่อของพี่น้องมุสลิมเหล่านั้น

ตรงนี้แหละครับที่เป็นปัญหาอย่างยิ่ง  เนื่องจากปฏิทินอุมมุลกุรอนั้นเป็นปฏิทินที่พัฒนาขึ้นโดยอาศัยฐานของการคำนวณทางดาราศาสตร์โดยบริสุทธิ์สมบูรณ์  มีการพิมพ์ขึ้นและประกาศใช้ล่วงหน้าเป็นปีๆ  มิได้มีการดูเดือนและกำหนดวันเริ่มต้นของเดือนเป็นวาระๆ ไป5  เมื่อทางการซาอุดิ อาระเบียประกาศวันดูเดือนเพื่อกำหนดวันเริ่มต้นเดือนรอมฎอน ฮ.ศ. 1430 ในค่ำวันพฤหัสที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา  โดยถือวันตามที่กำหนดเอาไว้ในปฏิทินอุมมุลกุรอเป็นหลักแล้ว  ทฤษฎีที่หัวขบวนชาวซุนนะฮ์ท่านหนึ่งย้ำอย่างแข็งขันว่า “การคำนวณไม่ให้นำมาใช้เป็นตัวกำหนดในทางศาสนา” นั้น  คงต้องพังทลายลงอย่างแน่นอน  เพราะซาอุดิ อาระเบียเองก็อาศัยวันที่คำนวณขึ้น คือวันที่ 29 ชะอ์บาน ฮ.ศ.1430 ที่ตรงกับวันพฤหัสที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ตามการคำนวณมาเป็นฐานในการดูเดือน  เพื่อกำหนดวันเริ่มต้นของเดือนรอมฎอน

แม้การดูเดือนดังกล่าวจะเป็นการปฏิบัติตามซุนนะฮ์อย่างแท้จริงก็ตาม  แต่เรื่องนี้ในทางตรรกะถือว่ามีประเด็นขัดแย้งอยู่ในตัวเอง  เป็นการกระทำในลักษณะ “เกลียดตัวกินไข่  เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” นั่นเอง  เนื่องจากกรอบของชาวซุนนะฮ์ส่วนนี้บัญญัติว่า “การคำนวณไม่ให้นำมาใช้เป็นตัวกำหนดในทางศาสนา”  ดังนั้น การกำหนด “วันดูเดือน” ครั้งนั้น ซึ่งมาจากฐานของการคำนวณจึงมิใช่เรื่องที่ถูกต้องตามหลักการ  และมีผลต่อการดูเดือนของพลพรรคชาวซุนนะฮ์ไทยกลุ่มนี้ไปด้วยเช่นกัน 

หากเรื่องนี้เป็นไปตามข้อสันนิษฐานดังกล่าว  ถือได้ว่าพลพรรคชาวซุนนะฮ์ไทยกลุ่มนี้ได้หลงไปใช้การคำนวณโดยไม่รู้ตัว  และเป็นเรื่องเสียหายเป็นอย่างยิ่ง

เป็นความจำเป็นที่หัวขบวนชาวซุนนะฮ์กลุ่มนี้จะต้องออกมาชี้แจงให้สังคมเข้าใจว่า  ความจริงมันไม่ได้เป็นไปตามข้อสันนิษฐานผิดๆ ดังกล่าว  พร้อมแสดงหลักฐานประกอบด้วยว่า  องค์กรสูงสุดเพื่อชี้ขาดปัญหาทางศาสนาในซาอุดิ อาระเบียมีบทบาทในการกำหนดวันเริ่มต้นของเดือนต่างๆ ตลอดทั้งปีอย่างไร  และมีการแก้ไขความคลาดเคลื่อนและความขัดแย้งที่ปรากฏในปฏิทินอุมมุลกุรอหรือไม่อย่างไร?  เรื่องนี้หากสังคมได้รับรู้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

หรือว่าจริงๆ แล้ว  ปฏิทินอุมมุลกุรอนั้นทรงอิทธิพลเป็นอย่างยิ่งในซาอุดิ อาระเบีย  หากเป็นไปเช่นนั้นก็เป็นเรื่องน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง  เพราะแม้ทางการซาอุดิ อาระเบียจะย้ำนักย้ำหนาว่า ปฏิทินอุมมุลกุรอนั้นมีไว้สำหรับการใช้ในทางพลเรือนเท่านั้น มิได้มีไว้สำหรับทำนายฮิลาลเพื่อกำหนดวันทางศาสนาแต่อย่างใด  ปฏิทินอุมมุลกุรอมิได้พยายามที่จะ หรืออ้างว่าเพื่อจะทำนายดวงจันทร์  มันถูกใช้เพียงเพื่อแสดงวันของทางราชการในกระทรวงต่างๆ  รวมถึงในโรงเรียน  สายการบินและทั่วทั้งประเทศ  แต่ในทางปฏิบัติ  มันกลับมีอิทธิพลครอบคลุมไปถึงวงการศาสนาด้วยเช่นกัน   

อย่างไรก็ตาม  ผู้เขียนมีเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งอีกประการหนึ่ง  ที่จะมาแจ้งให้ท่านทั้งหลายทราบ  นั่นคือข้อสันนิษฐานที่ว่า  ทางการซาอุดิ อาระเบียอาศัยปฏิทินอุมมุลกุรอ  ซึ่งเป็นปฏิทินที่เป็นผลิตผลของการคำนวณทางดาราศาสตร์โดยบริสุทธิ์สมบูรณ์  เป็นฐานในการกำหนดวันดูเดือนเข้ารอมฎอนนั้น  เป็นเรื่องที่มีหลักฐานยืนยัน  มิใช่เรื่องที่เกิดจากการคาดเดา  เรื่องนี้ปรากฏในรายงานข่าวของสำนักข่าว Saudi Press Agency (SPA) ซึ่งเป็นสำนักข่าวของทางการซาอุดิ อาระเบียในวันอังคารที่ 17 และ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา  ซึ่งยืนยันว่า “The Supreme Court called for sighting the crescent of the blessed month of Ramadan on Thursday evening of Shaaban 29, 1430H, according to Umm Al-Qura calendar, corresponding to August 20, 2009.”  (แปลว่า  ศาลสูงสุดได้เรียกร้องให้มีการดูฮิลาลของเดือนรอมฎอน  เดือนอันเป็นบะเราะกะฮฺ ในตอนเย็นวันพฤหัสที่ 29 ชะอ์บาน ฮ.ศ. 1430 ซึ่งตรงกับวันที่ 20 สิงหาคม 2009 ตามปฏิทินอุมมุลกุรอ)  รายละเอียดของข่าวอยู่ในส่วนสุดท้ายของบทความนี้ 6

นอกจากนี้  เว็บไซต์ icoproject.org ซึ่งเป็นเว็บเผยแพร่ข้อมูลทางด้านการดูเดือนของจอร์แดน ยังมีข้อมูลที่ยืนยันอย่างชัดเจนว่า องค์กรสูงสุดเพื่อชี้ขาดปัญหาทางศาสนาในซาอุดิ อาระเบียได้ใช้ปฏิทินอุมมุลกุรอเป็นแนวทางในการคำนวณเพื่อกำหนดวันที่ 29 ของแต่ละเดือน  (กรุณาเปิดดู    http://www.icoproject.org/pdf/khan_2001.pdf )
 
ยังมีอีกคำถามหนึ่งที่สำคัญและสะท้อนออกมาตรงๆ ว่า  “เมื่อถือตามผลการดูเดือนของต่างประเทศแล้ว  พวกนี้ไปดูเดือนกันทำไม?”    ผู้เขียนทราบว่า  คำตอบง่ายๆ คือเพื่อปฏิบัติตามซุนนะฮ์  หากไม่ได้ดูเดือน  หรือไม่ยึดการดูเดือนเป็นหลักแล้ว  ถือได้ว่าไม่ใช่ชาวซุนนะฮ์  แต่นั่นเป็นเพียงคำตอบง่ายๆ ที่ขาดรายละเอียดและความลึกซึ้งประกอบการพิจารณา

สมมุติว่า  ในค่ำวันพฤหัสที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา  พลพรรคชาวซุนนะฮ์ที่ไปดูเดือนได้รายงานว่าเห็นเดือนจริง  มีพยานยืนยันถูกต้องตามหลักการ  และพิจารณาแล้วจัดว่าเชื่อถือได้  ขณะเดียวกัน  ทางซาอุดิ อาระเบียไม่พบว่ามีการเห็นเดือน  และประกาศให้วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคมเป็นวันที่ 1 เดือนรอมฎอน ฮ.ศ.1430  ชาวซุนนะฮ์ไทยกลุ่มนี้จะทำอย่างไร?  จะยืนยันผลการดูเดือน  พร้อมประกาศให้วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคมเป็นวันที่ 1 เดือนรอมฎอน ฮ.ศ.1430  หรือไม่?  หรือจะถือเอาตามประกาศของทางการซาอุดิ อาระเบีย  แล้วทิ้งผลการดูเดือนของตนเองไป 

ตามหลักการที่ชาวซุนนะฮ์ยึดถือคือหะดีษที่ระบุว่า  “พวกท่านจงถือศีลอดเมื่อเห็นเดือนเสี้ยว”  ซึ่งเป็นคำสั่งใช้ต่อชาวมุสลิมทั่วโลกนั้น  ได้เกิดคำถามในทางปฏิบัติ  เพราะแม้ประเทศมุสลิมในตะวันออกกลางเอง  ก็มิได้ปฏิบัติตามหลักการนี้แต่อย่างใด  ทุกครั้งที่ประเทศเหล่านี้ประกาศแจ้งผลการดูเดือน  จะประกาศว่า  “ขอประกาศให้วันที่ 1 เดือนรอมฎอนตรงกับวันที่ ..... ตามผลการดูเดือนในท้องที่................ ของประเทศเรา”   ไม่เคยปรากฏในคำประกาศว่ามีการอ้างอิงการดูเดือนของประเทศมุสลิมอื่นๆ เลยแม้สักครั้งเดียว 

แล้วถ้าพลพรรคชาวซุนนะฮ์กลุ่มนี้แจ้งผลการเห็นเดือนในประเทศไทยไปยังประเทศเหล่านั้นบ้าง  เช่นแจ้งไปยังซาอุดิ อาระเบีย  ทางซาอุดิ อาระเบียจะปฏิบัติตามผลการเห็นเดือนของพวกเขาหรือไม่?  ผู้เขียนตอบได้เลยว่า  ซาอุดิ อาระเบียจะไม่ถือตามผลการดูเดือนของประเทศไทยอย่างเด็ดขาด  และจะไม่มีวันทำ  จนกว่าเรื่องนี้จะเป็นที่ตกลงของนักวิชาการและอุละมาอ์จากทั่วโลกเสียก่อน  สิ่งที่เป็นปริศนาคาใจมายาวนานก็คือ  พวกเขาปฏิบัติตามต่างประเทศโดยอ้างหลักการหนึ่ง  แต่กลับพบว่าประเทศเหล่านั้นไม่ได้ใช้หลักการนั้นเลยในทางปฏิบัตินี่เป็นเรื่องน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง

แม้จะอ้างว่าการดูเดือนด้วยสายตาเป็นเรื่องไม่ยาก  ไม่จำเป็นต้องอาศัยการคำนวณและคำอธิบายทางดาราศาสตร์ที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนแต่อย่างใด  ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม มิได้สอนการดูเดือนในรายละเอียดให้ซอฮาบะฮ์ของท่าน  เพราะแม้แต่ชาวอาหรับบัดวีย์เองยังมีความรู้เรื่องการดูเดือนเป็นอย่างดีแล้ว  ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ยังยอมรับแม้รายงานการเห็นเดือนของอาหรับบัดวีย์ที่ไร้การศึกษา  ท่านก็มิได้สอบถามเขาว่าเดือนมันคว่ำหรือมันหงาย  หรือเห็นที่ตำแหน่งใดบนท้องฟ้า 

แปลกนะครับที่อ้างว่า  การดูเดือนเป็นเรื่องธรรมดาๆ และไม่ยากตามคำอ้างข้างต้น  กระนั้นประเทศอาหรับเองที่มีนักวิชาการทางศาสนา  และผู้ทรงคุณวุฒิที่น่าเชื่อถือมากมายยังไม่ลงรอยกันในเรื่องนี้  ก็เห็นพวกเขายังยึดถือผลการดูเดือน  และคำประกาศในประเทศของตนกันทั้งนั้น  ซาอุดิ อาระเบียไม่เคยยอมรับผลการดูเดือนของอียิปต์  อียิปต์เองก็ไม่ฟังผลการดูเดือนของคูเวต  และประเทศอื่นๆ ก็ทำในลักษะเดียวกันทั้งสิ้น

 ชาวซุนนะฮ์ไทยส่วนหนึ่งไม่ยอมรับผลการดูเดือนในประเทศไทยของเราเอง  ยอมรับแต่ผลการดูเดือนของต่างประเทศ  หรือความน่าเชื่อถือตรงนี้ขึ้นกับคุณภาพของนักวิชาการและผู้รู้ที่เกี่ยวข้องกับการดูเดือนในสายตาของพวกเขา  ชาวมุสลิมไทยทั่วไปอาจจะมีนักวิชาทางศาสนาที่จบมาจากประเทศอาหรับน้อย  และส่วนใหญ่ในหมู่ผู้ที่จบมาจากอาหรับยังขาดคุณภาพ  จึงทำให้พวกเขายึดถือเช่นนี้

ชาวซุนนะฮ์กลุ่มนี้คงต้องเหนื่อยกันอีกนานนะครับ  หากจะทำให้สังคมเชื่อถือหลักการกำหนดวันและเดือนทางศาสนาของพวกเขา  และคงต้องมีการพัฒนาทางวิชาการกันอีกเยอะ  หากจะทุ่มเทในเรื่องการดูเดือนที่ยึดตามแนวทางของตนเอง  เห็นจะช้าและเฉื่อยไม่ได้นะครับ เพราะปัจจุบันมีชาวซุนนะฮ์บางส่วนหันไปยึดถือผลการดูเดือนของท้องถิ่น(ของประเทศไทย)แล้ว  ถึงขนาดศิษย์เอกของเจ้าสำนักซุนนะฮ์แห่งหนึ่ง  ย่านหมู่ตึกดอกลำโพงคลองตันยังพัฒนาตัวเองไปเป็นหัวขบวนการดูเดือนและการคำนวณอย่างแข็งขันไปแล้ว  เรียกได้ว่าสามารถทำหน้าที่แทนปรมาจารย์ทางการคำนวณ  ที่มีถิ่นฐานบ้านช่องอยู่ในย่านราษฎร์บูรณะได้เป็นอย่างดี  มิหนำซ้ำยังกวาดเยาวชนและอดีตนักกิจกรรมทางสังคมบางคนที่ยืนอยู่บนแนวทางซุนนะฮ์ให้คล้อยตามไปด้วย  แม้จะมิใช่จำนวนมากมายก็ตาม

สำหรับชาวซุนนะฮ์กลุ่มนี้  พวกท่านอย่าเพิ่งฮึกเฮิมและกระหยิ่มใจไปนะครับ  เพิ่งออกสู่วิถีของการดูเดือน  นับว่ายังด้อยกว่ามาก  เมื่อเปรียบเทียบกับกระแสหลักในสังคมที่พัฒนากันมานาน  ยังมีหลายเรื่องที่พวกท่านทำอย่างคลุมเครือและเป็นปริศนาให้โต้เถียงหักล้างได้ง่าย  อาทิ  ทำไมในเว็บหนึ่งของหัวขบวนชาวซุนนะฮ์ท่าน  ผู้ทรงคุณวุฒิทางศาสนาซึ่งจบมาจากสำนักตักศิลาในอียิปต์  ได้รายงานผลการดูเดือนของซาอุดิ อาระเบียและอียิปต์เท่านั้น  ทำไมไม่มีรายงานจากประเทศอื่นๆ  เช่น คูเวต  กาตาร์และยูเออี  หรือเลยไปจนถึงตูนีเซียและมอร็อคโค  ทำไมจึงหยุดที่สองประเทศนั้น?  อย่างนี้ พวกท่านก็มิได้ประมวลผลการดูเดือนให้ครอบคลุมทั่วโลกจริงตามที่เคยกล่าวอ้างแต่อย่างใดใช่ไหม?

ในหน้าโฮมเพจของเว็บดังกล่าว  แม้เจ้าของจะประกาศอย่างแข็งขันมานานแล้วว่า “การคำนวณไม่ให้นำมาใช้เป็นตัวกำหนดในทางศาสนา”  กลับปรากฏกราฟิกสวยๆ แสดงวันเดือนของอิสลาม  และกรอบแสดงตารางเวลาละหมาดที่ผนวกวันเดือนอิสลาม อันเป็น “ผลิตผล” หนึ่งของการคำนวณทางดาราศาสตร์ชนิดที่สวนทางกับหลักการดังกล่าวอย่างชิ้นเชิง  หลายคนพูดว่า  นี่มันเข้าข่าย “เกลียดตัวกินไข่  เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” อย่างเห็นได้ชัดนี่ครับ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 09, 2009, 06:48 PM โดย al-firdaus~* »

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
ส่วนทัศนะปัจจุบันของท่านผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าวเกี่ยวกับการคำนวณ ดูเหมือนยังเป็นประเด็นให้ยกมาถกเถียงได้  ในอดีตท่านเคยประกาศอย่างเด็ดขาดและแข็งขันว่า “การคำนวณไม่ให้นำมาใช้เป็นตัวกำหนดในทางศาสนา”   ปัจจุบันเห็นมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างไปบ้าง  ดูเหมือนจะแยกประเด็นออกมาในทำนองว่า  จะใช้การคำนวณเพื่อกำหนดเวลาละหมาดให้เป็นประโยชน์ในบางสถานการณ์บ้างก็ได้  เพื่อช่วยให้เรารู้เวลาละหมาดได้ใกล้เคียงความถูกต้องมากยิ่งขึ้น  ทั้งนี้ให้เรายึดการเฝ้าสังเกตแสงอาทิตย์  เงาและความมืดเหมือนที่ชนรุ่นก่อนๆ เคยปฏิบัติเป็นหลัก

ท่านผู้ทรงคุณวุฒิผู้นี้กล่าวย้ำว่า “คำนวณนี่เราต้องอาศัยไว้เพื่อความใกล้ชิด  หรือความแน่นอนเท่าที่ทำได้ในการรู้เวลา  แต่ไม่ใช่เป็นที่อาศัย  หรือเป็นสิ่งที่เราต้องพึ่งพาอย่างแน่นอน  หรืออย่างเดียวในการกำหนดเวลา  เปล่าเลย  แต่ถ้าหากไม่ใช้ปฏิทินเลยก็ถือว่าใช้ได้   ถ้าเราจะละหมาดตามการดูอาทิตย์ของเราถือว่าใช้ได้”    

กล่าวได้ว่าผู้ทรงคุณวุฒิท่านนี้  แยกการคำนวณดวงจันทร์ออกไป  และถือว่าใช้ไม่ได้ในทางศาสนา   โดยอ้างหะดีษดังต่อไปนี้ :  

إناأمةأمية لانكتب ولانحسب. الشهرهكذاوهكذا، يعني مرة تسعة وعشرين و مرة ثلاثيـن 
“แท้จริงพวกเราเป็นประชาชาติที่ด้อยการศึกษา  (ดังนั้น)พวกเราจึงไม่เขียน  และพวกเราไม่คำนวณ  สำหรับเดือนนั้น  มันเป็นอย่างนี้  และเป็นอย่างนี้  นั่นหมายถึงว่าบางครั้งมันมี 29 วัน  และบางครั้งมันมี 30 วัน(ไม่ตายตัว)”
(หะดีษบุคอรี  รายงานโดยท่านอิบนิ อุมัร)

ท่านผู้ทรงคุณวุฒิถือหะดีษนี้เป็นบรรทัดฐาน  และสรุปว่าตามหะดีษนี้  ท่านนบีพูดและห้ามเรื่องการคำนวณดวงจันทร์เท่านั้น  และข้อห้ามนี้ไม่ได้ครอบคลุมถึงการคำนวณเวลาละหมาดแม้แต่น้อย  นอกจากนี้  ท่านยังกล่าวว่า “ท่านนบีกำลังพูดถึงประเด็นที่กำลังเกิดขึ้นในสมัยของท่าน เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่นบีจะเอ่ยเรื่องนี้แล้ว  ไม่มีเหตุการณ์หรือไม่มีอะไรที่อยู่เบื่องหลัง  นบีบอกว่าเราไม่คำนวณ  ก็แสดงว่ามันมีอะไรที่ทำให้ท่านนบีต้องแถลงต้องพูดแบบนี้”  ผู้เขียนจึงอยากเรียกร้องให้ท่านผู้อ่านกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ของการจัดทำปฏิทิน และการกำหนดเดือนของประชาชาติในยุคโบราณ  โดยเฉพาะชนชาติยิว  ซึ่งพำนักอยู่ในเมืองมะดีนะฮ์และส่วนอื่นๆ ของคาบสมุทรอาระเบีย  หากเราได้ล่วงรู้เรื่องนี้แล้ว  เราจะเข้าใจความมุ่งหมายของหะดีษข้างต้นได้เป็นอย่างดี

อาหรับในยุคก่อนอิสลามได้ทำการคำนวณวัน เดือน ปีตามระบบจันทรคติ โดยให้ปีหนึ่งมี 12 เดือน   และถือว่าทุก ๆ เดือนคู่มี 29 วัน  เรียกเดือนคู่ว่าเดือนที่บกพร่อง  ส่วนชาวยิวในสมัยเดียวกันล้ำหน้าไปกว่ามาก  ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเอาไว้ว่า  ชนชาติยิวสามารถคำนวณ newmoon  หรือปรากฏการณ์จันทร์ดับได้ตั้งแต่หนึ่งพันปีกว่ามาแล้ว  สาเหตุที่พวกเขาสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษเพราะพวกเขาต้องการที่จะกำหนดวันเฉลิมฉลองและวันสำคัญทางศาสนาให้ถูกต้องนั่นเอง

มนุษย์ในยุคนั้นเฝ้าติดตามการโคจรรอบโลกของดวงจันทร์  และได้นำผลการคำนวณที่ได้มากำหนดจำนวนวันในหนึ่งเดือน  มีการกำหนดให้ 1 เดือนมี  29 วันและ 30 วันก่อนสมัยการเผยแพร่ศาสนาอิสลามเสียอีก  ตรงนี้ผู้เขียนเองก็อยากจะถามทุกท่านว่า  การที่ท่านนบีกำหนดว่าให้1 เดือนมี  29 วันและ 30 วันนั้น  ท่านนบีกำหนดมาจากไหน?  ท่านคิดขึ้นมาเอง?  หรือยึดถือตามที่ผู้ใช้ปฏิทินในยุคของท่านใช้กันอยู่?  หรือว่าเรื่องนี้เป็นโองการมาจากอัลลอฮ์?  แต่ถ้าใครจะตอบว่าเป็นโองการมาจากอัลลอฮ์   ช่วยหาหลักฐานมายืนยันในเรื่องนี้ด้วย

โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าท่านนบียึดถือตามที่ผู้ใช้ปฏิทินในยุคของท่านใช้กันอยู่  เหมือนการเรียกชื่อเดือนต่างๆ ท่านก็ใช้ตามที่อาหรับในสมัยนั้นใช้กันอยู่  ประเด็นก็คือการกำหนดให้เดือนหนึ่งมี 29 วัน และ 30 วันนั้นมาจากผลของการคำนวณทางดาราศาสตร์ของผู้คนในยุคก่อนยุคของท่านใช่หรือไม่?  คำตอบคือ “ใช่ 100 เปอร์เซ็นต์”  ขอถามหน่อยสิ  มีใครบ้างที่กล้าพูดและคิดไปว่า  ท่านนบีทั้งๆ ที่ปฏิเสธการคำนวณเรื่องเดือน  แต่ท่านกลับแอบไปนำผลิตผลของการคำนวณมาใช้อย่างหน้าตาเฉย (อัซตัฆฟิรุลลอฮ์)  ถ้าท่านปฏิเสธและห้ามการคำนวณเกี่ยวกับเดือนโดยเด็ดขาดแล้ว  ท่านนำผลการคำนวณที่ว่า 1 เดือนมีประมาณ 29-30 วันมาใช้ทำไม?  เพราะนี่ก็เป็นผลมาจากการคำนวณอย่างเห็นได้ชัด
 
เราทราบมาว่าชาวยิวในยุคนั้นกำหนดปฏิทินของพวกเขาดังนี้คือ เดือน Nisan มี 30 วัน, เดือน Iyar มี 29 วัน, เดือน Sivan มี 30 วัน, เดือน Tammuz มี 29 วัน, เดือน Av มี 30 วัน, เดือนElul มี 29 วัน, เดือน Tishrei มี 30 วัน, เดือน Cheshvan มี 29 วันหรือ 30 วัน, เดือน Kislev มี 29 วันหรือ 30 วัน, เดือน Tevet มี 29 วัน, เดือน Shevat มี 30 วัน และเดือนAdar มี 29 วัน  

ชาวยิวตั้งแต่ยุคโบราณสามารถคำนวณได้แล้วว่า 1 เดือนมี 29.5306 วัน  ซึ่งตรงกับการคำนวณของชาวบาบิโลนเช่นกัน  ดังนั้นในเวลา 1 ปีทางจันทรคติมี 354.3672 วัน (12 x 29.5306) ในขณะที่ 1 ปีทางสุริยคติมี 365 วันโดยประมาณ  ฉะนั้น เวลาจะแตกต่างกันอยู่ราวๆ 11 วัน หากไม่มีการแก้ไข  เมื่อเวลาผ่านไปหลายๆปี ปฏิทินจันทรคติจะต่างกับสุริยคติมาก จนอาจจะทำให้วันประกอบพิธีทางศาสนาคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง7

ดังนั้นจึงมีการปรับวันเดือนเสียใหม่  เนื่องจากปฏิทินจันทรคติของชาวยิวถือตามแบบวัฏจักรเมตอน (Metonic Cycle) ซึ่งคิดโดยเมตอน นักปราชญ์ชาวกรีกเมื่อ 400 ปีก่อนคริสตกาล  เพื่อปรับให้ปฏิทินจันทรคติและปฏิทินสุริยคติสอดคล้องกันทุกๆ รอบ 19 ปี  ชาวยิวจัดให้มีปีปกติ 12 ปี  โดยที่ปีเหล่านี้จะมี 12 เดือน  และมีปีอธิก(เพิ่มเดือน)อีก 7 ปี  โดยปีเหล่านี้จะมี 13 เดือน  โดยทั้งหมดในรอบ 19 ปีตามวัฏจักรเมตอนจะมีเดือนทั้งหมด 235 เดือน  สำหรับปีอธิกนั้นประกอบด้วยปีที่ 3, 6, 8, 11, 14, 17, และ 19  เดือนที่ถูกเพิ่มเข้าไปคือเดือน Adar I มี 30 วัน  ให้เพิ่มเข้าไปหลังเดือน Shevat  ส่วนเดือน Adar เดิมให้เรียกว่าเดือน Adar II

นอกจากนี้ชาวยิวยังกำหนดว่าปีต่างๆ นั้นมี 3 แบบ ได้แก่ปี
1.   ปี Chaserah คือปีบกพร่อง  หรือปีไม่สมบูรณ์  กำหนดให้มีวันทั้งหมด  353 หรือ 383 วัน  เดือน Kislev และ Cheshvan มี 29 วัน  
2.   ปี Kesidrah คือปีปกติ กำหนดให้มีวันทั้งหมด  354 หรือ 384 วัน  เดือน Kislev มี 30 วัน  ส่วนเดือน Cheshvan มี 29 วัน
3.   ปี Shlemah คือปีสมบูรณ์  กำหนดให้มีวันทั้งหมด  355 หรือ 385 วัน  เดือน Kislev และ Cheshvan มี 30 วัน

ตามที่อธิบายมาถือว่าปฏิทินโบราณของชาวยิวมีความสลับซับซ้อนมากกว่าชนชาติอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาคมมุสลิมในสมัยของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม  ชาวยิวย่อมจะท้าทายบรรดาซอฮาบะฮ์ของท่านนบีด้วยความเหนือกว่าในด้านการคำนวณ และการออกแบบปฏิทินของตนเอง  ในสมัยนั้นท่านนบีจึงมีทางเลือกในการกำหนดวันเดือนปี 2 ทาง  ได้แก่  1. ยืมปฏิทินของชาวยิวมาใช้  หรือ 2. กำหนดวันเดือนปีที่เป็นของตัวเองขึ้นมา  และท่านนบีของเราได้เลือกหนทางที่สอง  ท่านไม่ยอมรับปฏิทินของชาวยิวด้วยเหตุผลว่า  ท่านประสงค์ที่จะมอบสิ่งที่เหมาะสมและสิ่งที่ดีกว่าให้แก่ประชาชาติของท่าน  ท่านจึงประกาศว่า   “แท้จริงพวกเราเป็นประชาชาติที่ด้อยการศึกษา  (ดังนั้น)พวกเราจึงไม่เขียน  และพวกเราไม่คำนวณ.......” เพราะนี่คือสภาพทั่วไปของประชาชาติมุสลิมในสมัยนั้น  และเป็นสิ่งที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง

กล่าวมานี้คือแนวทางในการทำความเข้าใจหะดีษที่กล่าวมา  ผู้เขียนถือว่าโดยการศึกษาทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ทางด้านสังคม และวัฒนธรรมตรงส่วนนี้จะทำให้เราเข้าใจภูมิหลังอันเป็นที่มาของคำประกาศดังกล่าวของท่านนบี  เป็นความเข้าใจที่ไม่ได้เกิดจากการมีทัศนะอันคับแคบ  ด่วนสรุปและเข้าข้างตัวเอง  โดยตัดสินไปตามตัวอักษรแต่ถ่ายเดียว

ดังนั้น เราควรทำความเข้าใจหะดีษดังกล่าวเสียใหม่  เพราะนอกจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม จะบอกกับบรรดาซอฮาบะฮ์ของท่านถึงสถานภาพของประชาชาติของท่านว่า เพราะพวกเขาด้อยการศึกษา  จึงไม่ขีดเขียนและไม่คำนวณแล้ว  ท่านยังทำไม้ทำมือบอกกับบรรดาซอฮาบะฮ์ของท่านว่า  เดือนของพวกเขาจะมิใช่เดือนที่ถูกกำหนดตายตัวเป็นการล่วงหน้าเช่นที่ประชาชาติอื่นๆ ใช้กันอยู่  ซึ่งดูยากและสลับซับซ้อน  แต่ที่สำคัญคือมันไม่เหมาะกับสภาวะของพวกเขา  ซึ่งส่วนใหญ่ด้อยการศึกษา  ดังนั้น  จากการพิจารณาปริบทหะดีษอย่างถ่องแท้แล้ว  สิ่งที่ท่านไม่สนับสนุนไม่ใช่เรื่องการคำนวณในตัวของมันเอง  แต่ท่านไม่ยอมรับการกำหนดเดือนและการนับเดือนของประชาชาติอื่นๆ มากกว่า  เช่น  บางเดือนมีการกำหนดจำนวนวันที่ตายตัว  บางเดือนเพิ่มหนึ่งวัน  บางปีเพิ่มเดือนใหม่อีกหนึ่งเดือน เป็นต้น  การกำหนดอย่างนี้ต่างหากที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ไม่ยอมรับ

นอกจากนี้  ยังมีในวาระอื่นๆ อีกที่ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม อธิบายว่า  ประชาชาติของท่านควรอาศัยการดูเดือนเป็นเกณฑ์  การกำหนดว่าเดือนใดเป็น 29 วันหรือ 30 วันขึ้นอยู่กับผลของการดูเดือน  และเราพบหะดีษที่ท่านอธิบายในรายละเอียดว่า  หากมีสิ่งมาบดบังไม่ให้เราเห็นฮิลาล  เราควรจะ “คำนวณ” หรือบางหะดีษระบุว่าให้เรา “นับ” ให้ครบ 30 วัน  
  
คำถามก็คือ การคำนวณเพื่อจัดทำปฏิทินและการกำหนดเดือนของชาวยิวในประวัติศาสตร์นั้น  มันคือสิ่งเดียวกับการคำนวณทางดาราศาสตร์ ที่ประชาชาติมุสลิมในสมัยปัจจุบันกระทำอย่างนั้นหรือ  คำตอบก็คือ “ไม่”  เพราะสิ่งที่ชาวยิวทำมีเพียง  คำนวณจำนวนวันในหนึ่งเดือน  คำนวณ newmoon และคำนวณว่าจะหาทางไม่ให้การเฉลิมฉลองวันสำคัญทางศาสนาคลาดเคลื่อนไปจากฤดูกาลที่เป็นจริงได้อย่างไร  แล้วพวกเขาก็กำหนดลงไปในลักษณะตายตัวลงไปว่า เดือนนี้มี 30 วัน  เดือนนั้นมี 29 วัน  แล้วเพิ่มวันลงไปบ้าง  ลดวันลงบ้าง  เพิ่มเดือนเข้าไปก็มี  ส่วนสิ่งที่นักคำนวณทางดาราศาสตร์ทำในปัจจุบันก็คือ  การคำนวณหา newmoon (ปรากฏการณ์จันทร์ดับ)  หาว่าดวงอาทิตย์ตกกี่โมง  ดวงจันทร์ตกกี่โมง  อาจมีฮิลาลค้างฟ้าปรากฏให้เห็นนานเท่าไร  อยู่ ณ ตำแหน่งใดบทท้องฟ้า  ตลอดจนคำนวณว่า  พื้นที่ที่สามารถมองเห็นฮิลาลมีที่ไหนบ้าง  สถานที่ใดต้องใช้กล้องจึงจะเห็นได้  และสถานที่ใดอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า  ทั้งนี้เพื่อดูความเป็นไปได้ว่า  เราสามารถกำหนดเดือนใหม่ได้แล้วหรือยัง  สิ่งที่นักคำนวณทางดาราศาสตร์มุสลิมทำเป็นคนละเรื่องกับสิ่งที่ชาวยิวทำเมื่อพวกเขาสร้างปฏิทินของตนเองขึ้นมา  ทั้งนี้นักคำนวณมุสลิมยังคงทำงานอยู่ในกรอบที่ท่านนบีกำหนดว่า  เดือนนั้นบางครั้งมันมี 29 วัน  และบางครั้งมันมี 30 วันในลักษณะไม่ตายตัว  

จากข้อเท็จจริงของวิทยาการสมัยใหม่  การคำนวณเวลาละหมาดและการคำนวณดวงจันทร์อาศัยข้อมูลทางดาราศาสตร์ในรูปแบบเดียวกัน  และมีความคล้ายคลึงกัน  เราจะเห็นได้ว่าซอฟแวร์  หรือโปรแกรมคำนวณเวลาละหมาดที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะมีการคำนวณดวงจันทร์รวมอยู่ด้วย  คือการคำนวณนี้จะประกอบไปด้วยการคำนวณตำแหน่งดวงอาทิตย์(เพื่อใช้หาเวลาละหมาด)  และตำแหน่งดวงจันทร์(เพื่อหาการขึ้น-การตกของดวงจันทร์) ที่กระทำกับผิวโลกในแนวระนาบ(วัดค่าเป็นองศา) เพื่อใช้คำนวณค่าออกมาโดยสัมพันธ์กับพิกัดของจุดที่ใช้ในการคำนวณ  มันไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันมากนัก  ถ้าผ่อนผันให้ใช้คำนวณเวลาละหมาดเพื่อให้รู้เวลาที่ถูกต้องมากขึ้นได้  ทำไมไม่ใช้การคำนวณเพื่อช่วยให้การดูเดือนมีความถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น?  

อนึ่ง  ผู้เขียนกล่าวอย่างนี้มิได้จะสื่อไปในทำนองว่า  ควรใช้การคำนวณเป็นตัวกำหนดวันเริ่มต้นเดือนใหม่แต่เพียงอย่างเดียว  โดยละทิ้งการดูเดือนด้วยสายตาตามคำสั่งของท่านนบีแต่อย่างใด  การคำนวณดวงจันทร์ตามหลักดาราศาสตร์สมัยใหม่ให้นำมาใช้เพื่อช่วยสนับสนุนให้การดูเดือนมีความถูกต้องและแม่นยำมากขึ้นเท่านั้น  เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดของผู้ดูเดือนที่ขาดความรู้และประสบการณ์  ตลอดจนเพื่อหักล้างการเห็นเดือนที่เป็นความเท็จ  ทั้งนี้ผู้เขียนไม่สนับสนุนทัศนะที่ใช้การคำนวณทางดาราศาสตร์เพื่อกำหนดวันเริ่มต้นของเดือนแต่เพียงอย่างเดียว    

ดังกล่าวคือการทำความเข้าใจหะดีษโดยอาศัยการมองผ่านแง่มุมทางสังคมและวัฒนธรรม  อย่างไรก็ตาม  การมองหะดีษจากความหมายของถ้อยคำ  หรือการทำความเข้าใจหะดีษตามตัวอักษรเป็นสิ่งที่เราไม่ควรจะละเลยเช่นกัน  หะดีษที่กล่าวมา  ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์สภาพที่เป็นอยู่ของประชาชาติของท่าน  ท่านจัดพวกเขาอยู่ในลักษณะของพวกที่ “ด้อยการศึกษา” กล่าวคือพวกที่รู้หนังสือมีจำนวนน้อย แม้ตัวท่านนบีเองยังเป็นคนไม่รู้หนังสือ  อ่านและเขียนไม่ได้  เพราะเงื่อนไขนี้เอง  จึงไม่มีการเขียน  ไม่มีการทำบันทึกเรื่องราวและเหตุการณ์ร่วมสมัยที่เกิดขึ้น  ท่านนบีมิได้มอบหมายให้ซอฮาบะฮ์บางคนทำหน้าที่เป็นอาลักษณ์อย่างเป็นทางการ  เพื่อบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวท่าน  และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเหล่าซอฮาบะฮ์ซึ่งอยู่ร่วมกับท่าน  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวการเผยแพร่ของท่าน  หรือแม้แต่สงครามหลายๆ ครั้งที่เกิดขึ้น  (ยกเว้นการบันทึกอัล-กุรอานที่ท่านสั่งการให้ซอฮาบะฮ์บางคนจัดทำไว้  และการร่างสารส่งไปถึงผู้ปกครองของอาณาจักรต่างๆ เพื่อเชิญชวนให้เข้ารับอิสลาม)  

ดังกล่าวจึงเป็นความหมายของคำว่า “(ดังนั้น)พวกเราจึงไม่เขียน”  โดยแท้จริง  คำว่าเขียน ณ ที่นี้ไม่ใช่การขีดเขียนธรรมดาๆ ทั่วไป  เช่นการเขียนจดหมาย  การทำสัญญาและการจดบันทึกของปัจเจกบุคคลแต่อย่างใด  และเป็นการให้ความหมายที่สอดรับกับสภาพ “ด้อยการศึกษา” ที่กล่าวไว้ในตอนแรกเป็นอย่างยิ่ง  สำหรับความหมายของคำว่า “และพวกเราไม่คำนวณ” นั้น  ได้แก่การคำนวณเดือน-ปี  และการจัดทำปฏิทินเหมือนที่ชนชาติอื่นๆ ในสมัยของท่านนบีทำกันอยู่  ซึ่งผู้เขียนได้อธิบายไปแล้ว

ผู้เขียนมิได้เห็นว่าคำพูดดังกล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม เป็น “คำสั่งห้าม” เรื่องการเขียนและการคำนวณแต่อย่างใด  เพราะถ้าเรากล่าวว่า  ท่านนบีสั่งห้ามมิให้คำนวณเรื่องการกำหนดเดือนแล้ว  เราต้องยืนยันด้วยว่าท่านห้ามมิให้เราเขียน  หรือจัดทำบันทึกในรูปแบบต่างๆ ด้วยเช่นกัน  ซึ่งการเข้าใจอย่างนี้เป็นไปไม่ได้  เพราะ “ท่านนบีจะสั่งห้ามมิให้เขียนได้อย่างไร”  

มีบางท่านแปลคำพูดของท่านนบีในตอนนี้ว่า “พวกเราไม่เขียน(เรื่องการ)คำนวณ”  หรือ “พวกเราไม่เขียน(เพื่อจะ)คำนวณ” ซึ่งเป็นการกระทำที่น่าเกลียดมาก  เพราะเป็นการกุความเท็จให้แก่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม อย่างไม่น่าให้อภัย  ท่านนบีพูดอย่างชัดเจนว่า  لانكتب ولانحسب  พวกเราจึงไม่เขียน  และพวกเราไม่คำนวณ  ท่านแยกคำว่า “เขียน” และคำว่า “คำนวณ” ออกจากกันด้วยคำว่า “และ”  โดยที่คำทั้งสองมิได้เป็นเหตุเป็นผลของกันและกันแต่อย่างใด  การที่บางท่านโยงคำทั้งสองเข้าด้วยกัน  โดยให้เป็นไปในลักษณะ “เขียนเรื่องการคำนวณ” หรืออื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันนั้น  เพราะมีเจตนาที่จะตีความว่าคำทั้งสองเป็นเรื่องเดียวกัน  และทำให้ทัศนะของพวกเขาน่าเชื่อถือมากขึ้น  เป็นการบิดเบือนคำพูดของท่านนบีให้สอดรับกับทัศนะของตนเอง  เป้าหมายก็คือเพื่อทำให้ข้อโต้แย้งที่กล่าวไว้ในตอนท้ายย่อหน้าก่อนที่ว่า “ท่านนบีจะสั่งห้ามมิให้เขียนได้อย่างไร”  ต้องเป็นอันตกไป

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 09, 2009, 07:16 PM โดย al-firdaus~* »

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
นักวิชาการบางท่านชอบที่จะนำเสนอทัศนะ  หรือคำตอบเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ แต่เพียงด้านเดียว  เช่นความหมายของหะดีษข้างต้น  พวกเขาจะกล่าวว่า  นั่นคือคำสั่งห้ามของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม โดยเด็ดขาดและชัดเจนแล้ว  ทั้งๆ ที่อุละมาอ์และฟุเกาะฮาที่สนับสนุนการคำนวณทางดาราศาสตร์เพื่อกำหนดเดือนนั้นมีมากมาย  สำหรับนักวิชาการประเภทนี้  สิ่งใดก็ตามที่แตกต่างไปจากทัศนะของตน  สิ่งนั้นไม่ใช่ “ซุนนะฮ์”  หรือสิ่งนั้นไม่ใช่ “ศาสนา”  เสมือนยึดถือโดยพละการว่า  ซุนนะฮ์และศาสนานั้นต้องสอดรับกับทัศนะของตนเท่านั้น 

ความจริงแล้ว  ตาบิอีนผู้มีชือเสียงเช่น มุตรอฟ บินอับดุลลอฮ์  มุฮัดดิษีนอย่างอิบนิ กุตัยบะฮ์  ฟุเกาะฮาอย่างอิมาม อบู หะนีฟะฮ์, อิมามชาฟิอี, อิบนิ ซุเรจญ์, อิบนิ ดะกีก อัล-อีด, ดาอูดีย์  และท่านอื่นๆ ล้วนอนุญาตให้มีการใช้คำนวณเพื่อกำหนดเดือนรอมฎอน  และวันอีดทั้งสอง  ทั้งๆที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว  การคำนวณในยุคสมัยของท่านเหล่านั้นยังไม่แม่นยำเท่าไรนัก  ท่านอิมามอบู หะนีฟะฮ์ได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือกอนียะฮ์ว่า  “การพึ่งพาอาศัยคำพูดของนักดาราศาสตร์ (เพื่อกำหนดเดือน)นั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีความเสียหายแต่อย่างใด”  ท่านอิบนุ มุกอติลได้ก้าวไปไกลกว่านั้นอีก  ท่านกล่าวว่า “การพึ่งพาอาศัยคำพูดของนักดาราศาสตร์  และสอบถามพวกเขาเกี่ยวกับวันต่างๆ  ถ้าพวกเขากลุ่มหนึ่งมีความเห็นพ้องไปในทำนองเดียวกันแล้ว  เช่นนี้ไม่มีผิดแต่อย่างใด”   

หากจะกล่าวว่าหะดีษดังกล่าวคือ “คำสั่งห้าม” อย่างชัดเจนและเด็ดขาดแล้ว  ผู้เขียนใคร่ขอถามว่า  ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม ประสงค์จะให้ประชาชาติของท่านจมปลักอยู่ในสภาพด้อยการศึกษาตลอดไปหรืออย่างไร?  ท่านต้องการจะห้ามมิให้พวกเราเรียนรู้ที่จะเขียน  เรียนรู้ที่จะบันทึกสิ่งต่างๆ จนกระทั่งวันอวสานหรืออย่างไร?  ท่านต้องการจะห้ามมิให้พวกเราเรียนรู้การคำนวณทางดาราศาสตร์จนกระทั่งวาระสุดท้ายของสรรพสิ่งหรืออย่างไร?  คำตอบก็คือ “ไม่” โดยแน่นอน  หะดีษที่กล่าวมาปิดประตูมิให้มีการคำนวณเกี่ยวกับดวงจันทร์ไปตลอดกาลหรืออย่างไร?  คำตอบก็คือ “ไม่” เช่นกัน   

ขอถามหน่อยว่า  ถ้าเราตัดสิน “ปิดประตู” ไม่ให้ใช้การคำนวณดวงจันทร์อย่างสิ้นเชิงแล้ว  เราจะอธิบายอายะฮ์อัล-กุรอานต่อไปนี้อย่างไร  ความว่า 
(1) “พระองค์ทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้าและดวงจันทร์มีแสงนวล และทรงกำหนดให้มันมีทางโคจร เพื่อพวกท่านจะได้รู้จำนวนปีและการคำนวณ  อัลลอฮ์มิได้ทรงสร้างสิ่งเหล่านั้น  เว้นแต่ด้วยความจริง  พระองค์ทรงจำแนกสัญญาณต่างๆ สำหรับหมู่ชนที่มีความรู้” (ซูเราะฮฺ ยูนุส(10) อายะฮฺที่ 5) 

(2) “ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ต่างโคจรไปตามวิถีที่แน่นอน”  (ซูเราะฮฺ อัรเราะฮฺมาน(55) อายะฮฺที่ 5) 

(3)  “พระองค์ทรงเป็นผู้เบิกอรุณรุ่ง  และทรงบันดาลเวลากลางคืนให้เป็นเวลาพักผ่อน   และทรงบันดาลดวงตะวันและดวงเดือนเป็นหลักแห่งการคำนวณ  นั้นเป็นข้อกำหนดของผู้ทรงเดชานุภาพ  ผู้ทรงปรีชาญาณ”   (ซูเราะฮฺ อัลอันอาม(6) อายะฮฺที่ 96) 

หากพิจารณาตามกรอบหะดีษ “แท้จริงพวกเราเป็นประชาชาติที่ขาดการศึกษา  (ดังนั้น)พวกเราจึงไม่เขียน  และพวกเราจึงไม่คำนวณ” ตามที่นักวิชาการบางท่านอธิบาย  ดังนั้น การคำนวณปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ อันเป็นธรรมชาติที่อัลลอฮ์ทรงกำหนดขึ้นตามอายะฮฺเหล่านี้จะเป็นที่ต้องห้ามสำหรับประชาชาติมุสลิม และจะเปิดกว้างสำหรับประชาชาติอื่นๆใช่หรือไม่?  มันจะเป็นเช่นนั้นกระนั้นหรือ?   ขอท่านนักวิชาการทั้งหลายช่วยตอบหน่อยสิครับ  เพราะถ้าเป็นที่ต้องห้ามสำหรับประชาชาติมุสลิมแล้ว  ประชาชาติมุสลิมก็คงจะไม่มีวันได้พัฒนาตัวเองจนเป็น “หมู่ชนที่มีความรู้” ตามที่อัล-กุรอานกล่าวไว้อย่างแน่นอน

มีบุรุษผู้หนึ่งเขียนบทความลงในอินเทอร์เน็ตชื่อ “หนึ่งเดียวของวันถูกล่ามกับคืนอัลก็อดรฺ  (วันที่ชัยฏอนถูกล่าม ภาคพิเศษ)  โดยอับดุล อะซีซ  กลุ่มอัซซาบิกูน”   ความตอนหนึ่งระบุว่า  “ดาราศาสตร์นั้นเป็นวิชาการที่ศาสนาสนับสนุน  เพราะมียืนยันถึงการโคจรอยู่ในอัล-กุรอาน แต่ต้องนำมาใช้ให้ถูกเรื่อง..... แต่สิ่งที่ควรหยุดทำคือ 1.) การคำนวณในการนับเดือน...”  ผู้เขียนรู้สึกสงสัยว่าท่านผู้นี้อ่านอัล-กุรอานแตกฉานหรือไม่?  ข้อความที่กล่าวว่า “พวกท่านจะได้รู้จำนวนปีและการคำนวณ” (10:5)   ความตอนนี้เกี่ยวข้องกับการคำนวณปีใช่ไหม?   แล้วเมื่อเกี่ยวข้องกับปี  มันเกี่ยวกับเดือนด้วยไหม?  ท่านจะนับปีได้อย่างไร  ถ้าท่านนับเดือนไม่ถูกต้อง?  และที่สำคัญคือข้อความที่กล่าวว่า  “และทรงบันดาลดวงตะวันและดวงเดือนเป็นหลักแห่งการคำนวณ” (6:96)     ท่านผู้นี้ก็ยืนยันเหมือนกันว่า  การคำนวณเวลาละหมาดอนุญาตให้ทำได้  การคำนวณเวลาละหมาดนั้นอาศัยตำแหน่งของดวงอาทิตย์เป็นหลักในการคำนวณ  แล้ว “ดวงเดือน” เล่าครับ  เรานำตำแหน่งของดวงเดือนมาใช้คำนวณเวลาละหมาดหรืออย่างไร?  ท่านเป็น “หมู่ชนที่มีความรู้” ตามที่อัล-กุรอานกล่าวไว้ใช่หรือไม่?   ท่านน่าจะรู้ว่าดวงเดือนนั้นเรานำมาใช้คำนวณเรื่องของเดือนนะครับ 

ในบทความข้างต้นยังมีข้อความตอนหนึ่งที่อรรถาธิบายหะดีษ “แท้จริงพวกเราเป็นประชาชาติที่ด้อยการศึกษา  (ดังนั้น)พวกเราจึงไม่เขียน  และพวกเราไม่คำนวณ.......”  ด้วยข้อความว่า “สำนวนนี้บ่งชี้ว่า มุสลิมทุกคนนั้นเป็นประชาชาติที่ไม่เขียนไม่คำนวณในเรื่องการนับเดือน (หมายถึงไม่นับโดยใช้ดาราศาสตร์)”  ท่านจะตีความอย่างไรก็เป็นเรื่องของท่าน  แต่การที่ท่านระบุว่าคำว่า “เขียน”  ณ ที่นี้คือเขียนที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณทางดาราศาสตร์นั้น  ผู้เขียนไม่เห็นด้วย  เพราะท่านนบีใช้คำว่า “วะ” หรือ “และ”  จึงน่าจะเข้าใจว่าเป็นคนละเรื่องกับอีกคำหนึ่ง  คำว่า  “พวกเราจึงไม่เขียน”  ตามความเข้าใจแล้ว  น่าจะหมายถึงการเขียนและการจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับประชาชาติมุสลิมในสมัยของท่านนบี ซึ่งท่านนบีไม่ได้ให้มีการจัดทำขึ้น  เยี่ยงที่ประชาชาติเจริญแล้วทั้งหลายกระทำกัน   แม้แต่ชาวยิวเอง  ในประชาคมของชาวยิว  อาลักษณ์ซึ่งประจำอยู่ ณ มหาวิหารของพระเจ้าจะทำหน้าที่บันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในประชาคมลงบันวัตถุที่ใช้บันทึกได้  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นม้วนผ้า  เป็นการจัดการอย่างเป็นทางการและมีระบบ  ในอาณาจักรโรมันเองก็เช่นกัน  อาลักษณ์ประจำองค์จักรพรรดิ์จะทำหน้าที่จดบันทึกเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในราชอาณาจักร  การบันทึกเหตุการณ์อย่างเป็นทางการและเป็นระบบอย่างนี้แหละที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะซัลลัม  มิได้ให้มีขึ้นภายใต้การนำของท่าน  การที่ท่านผู้นี้ระบุว่า “เขียน”  เรื่องเดียวกับการคำนวณเกี่ยวกับเดือนจึงเป็นเรื่องที่ผิดพลาดเป็นอย่างยิ่ง  ซึ่งผู้เขียนได้อภิปรายไปแล้วก่อนหน้านี้       

การที่นักวิชาการส่วนหนึ่งในปัจจุบันไม่ยอมรับการคำนวณ  จริงๆ แล้วไม่ใช่เพราะหะดีษที่กล่าวมา  แต่เขาเหล่านั้นกล่าวว่าการคำนวณนั้นเป็น "มุนัจญิมีน" ซึ่งเป็นเรื่องของโหราศาสตร์  เป็นการบอกเหตุการณ์ในอนาคต  หรือเป็นการทำนายซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่จริง   ผู้ที่กล่าวเช่นนี้แสดงว่าไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเลย   การคำนวณทางวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่แน่นอน  หากท่านปฏิเสธการคำนวณทางวิทยาศาสตร์  หมายถึงการปฏิเสธกฎของอัลลอฮ์ไปโดยปริยาย

อนึ่ง  ชาวซุนนะฮ์ที่ปฏิเสธการคำนวณทั้งหลายท่านจะต้องฉงนอย่างแน่นอน  หากท่านทราบว่า  ในการชี้ขาดผลการดูเดือนของทางการซาอุดิ อาระเบียในช่วงคืนวันพฤหัสที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา  องค์กรซึ่งมีอำนาจสูงสุดในการชี้ขาดเรื่องการเข้าเดือนรอมฎอนของทางการซาอุดิ อาระเบียกลับปฏิเสธและไม่ยอมรับรายงานการเห็นเดือนของบางท้องถิ่น  หลังจากมีข่าวว่าได้มีการเห็นเดือนที่เมืองชักรออ์และอัลฆอฏ  เพราะองค์กรฯ รับฟังข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญการคำนวณทางดาราศาสตร์ที่ค้านรายงานการเห็นเดือนดังกล่าว  มีผลให้รายงานจากเมืองทั้งสองต้องตกไป  และถือว่าไม่มีการเห็นเดือน  จึงประกาศให้วันที่ 22 สิงหาคม  เป็นวันที่ 1 รอมฎอน  การปฏิเสธรายงานการเห็นเดือนเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในซาอุดิ อาระเบียมาก่อนเลย

คงต้องกล่าวทิ้งท้าย ณ ที่นี้ว่า  เพื่อเข้าสู่การดูเดือนที่ถูกต้องและสมบูรณ์นั้น  ชาวซุนนะฮ์ที่นิยม “ใช้สินค้าต่างประเทศ” คงต้องพัฒนาและเรียนรู้ธรรมชาติของดวงจันทร์และการดูเดือนกันอีกเยอะอย่างแน่นอน 

และถ้าคิดจะกระโดดเข้ามาสู่เส้นทางการดูเดือน และการกำหนดวันเริ่มต้นของเดือนอย่างจริงจัง เยี่ยงฐานะของผู้ชี้ขาดวันสำคัญทางศาสนา  ซึ่งสถาปนาและอุปโลกน์ตัวเองขึ้นมาอย่างไม่เป็นทางการแข่งขันกับสำนักของผู้นำทางศาสนาตามกฎหมาย  ด้วยมุ่งหมายที่จะเป็นอีก “ทางเลือก” หนึ่งให้พี่น้องมุสลิมปฏิบัติตามต่อไปแล้ว  เห็นจะหลีกเลี่ยงการคำนวณทางดาราศาสตร์ไปไม่ได้อย่างแน่นอน   

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
1.  ตรงตามปฏิทินที่คำนวณไว้ของหลายๆ สำนัก  แต่ตามรุอ์ยะฮ์(การดูด้วยสายตา)นั้น  วันดังกล่าวเป็นวันที่ 28 ชะอ์บาน   ที่ผิดเพี้ยนอย่างนี้เพราะไม่เคยมีการออกไปดูฮิลาลของเดือนรอญับ  และเดือนก่อนๆ เลย
2.  ยกเว้นนครศรีธรรมราช  และบางจังหวัดที่นิยมดูเดือนในท้องถิ่น
3.  แต่ความจริงอุละมาอ์ของซาอุดิ อาระเบีย กลับย้ำเตือนอยู่เสมอว่า ไม่ต้องตามการประกาศเริ่มเดือนของซาอุดิ อาระเบีย   หลักฐานมีปรากฏชัดแจ้งในฟัตวาของท่านเหล่านั้น
4.  เราสามารถคิดได้ง่ายๆ ดังนี้คือ 30 วันใน 4 เดือนเท่ากับ 120 วัน  แต่ถ้าเราคำนวณวันจริงจะเป็นดังนี้คือ  29. 5306 วัน คุณ 4 เดือนเท่ากับ 118.1224 วัน  เพราะฉะนั้นมีวันที่คลาดเคลื่อนคำนวณได้ 1.8776 วัน (หรือเกือบ 2 วัน)  นั่นหมายความว่า  2 ใน 4 เดือนนั้น  จริงๆ แล้วควรมีเพียง 29 วันเท่านั้น 
5.  เคยมีโทรเลขยืนยันถึงสมาคมดาราศาสตร์จอร์แดนว่า  เขาได้ละทิ้งการดูเดือน และหันมาใช้การคำนวณเป็นหลัก   และมีการเปลี่ยนแปลงกฎของการเห็นเสียด้วยซ้ำไป
6.  SPA  หรือสำนักข่าวซาอุดิ ซึ่งเป็นสำนักข่าวของทางการซาอุดิ อาระเบียได้ประกาศข่าวข้อความเดียวกันนี้ 2 วันคือในวันที่ 17 และ 18 สิงหาคม  ข้อความข่าวมีอยู่ว่า

Riyadh, August 17, SPA -- The Supreme Court called for sighting the crescent of the blessed month of Ramadan on Thursday evening of Shaaban 29, 1430H, according to Umm Al-Qura calendar, corresponding to August 20, 2009. (ตรงคำว่า August 20 ตามต้นฉบับอ่านว่า August 21 ซึ่งผู้เขียนได้แก้ไขเป็น 20 เพราะเห็นว่าพิมพ์ผิด  เนื่องจากในท่อนแรกของข่าวระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นวันพฤหัส)
ริยาดห์, 17 สิงหาคม สำนักข่าวซาอุดิ -- ศาลสูงสุดได้เรียกร้องให้มีการดูฮิลาลของเดือนรอมฎอน  เดือนอันเป็นบารอกัต ในตอนเย็นวันพฤหัสที่ 29 ชะอ์บาน ฮ.ศ. 1430 ซึ่งตรงกับวันที่ 20 สิงหาคม 2009 ตามปฏิทินอุมมุลกุรอ

In a statement issued here today, the Supreme Court said that according to a royal order and a cabinet's decision, it called on all Muslims throughout the Kingdom of Saudi Arabia to sight Ramadan's crescent either through naked eyes or telescopes and to report to the nearest court to register their sighting.
ตามแถลงการณ์ที่ออก ณ เมืองริยาดห์วันนี้  ศาลสูงสุดแถลงว่า  (คำเรียงร้องนี้เป็นไป)ตามคำบัญชาของราชสำนัก  และตามการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี  ซึ่งเรียกร้องให้มวลพี่น้องมุสลิมทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรซาอุดิ อาระเบียทำการดูฮิลาลของเดือนรอมฎอน  ไม่ว่าจะใช้ตาเปล่า  หรือกล้องเทเลสโคปก็ตาม  และให้รายงานไปยังศาลที่อยู่ใกล้ที่สุด  เพื่อทำการลงทะเบียนการดูเดือนของพวกเขา 
 
The Supreme Court called on Muslims for joining committees formed in the regions for sighting the crescent as it is in the pursuit of cooperation in righteousness and piety.
ศาลสูงสุดได้เรียกร้องให้พี่น้องมุสลิมเข้าร่วมกับคณะกรรมการที่ถูกแต่งตั้งขึ้นในภูมิภาคต่างๆ เพื่อการดูฮิลาล  ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันในคุณงามความดี  และการตักวา

Source : http://www.spa.gov.sa/English/details.php?id=693173  and
http://www.spa.gov.sa/English/details.php?id=693500
 
7.  เดือนทางจันทรคติของไทยมีการกำหนดในลักษณะเดียวกัน  โดยเดือนหนึ่งจะมีเพียง 29 วัน เรียกว่า เดือนขาด กำหนดให้ตรงกับเดือนเลขคี่ คือ 1,3,5,7,9,11  ส่วนอีกเดือนหนึ่งจะมี 30 วันเรียกว่า เดือนเต็ม กำหนดให้ตรงกับเดือนเลขคู่ คือ 2,4,6,8,10,12   ตัวเลข 1..2..3..4  เหล่านี้ไม่ใช่ตัวเลขเดือนสากลอย่างเช่น มกราคม คือ 1 , กุมภาพันธ์คือ 2  แต่จะหมายถึงเลขเดือนที่คนไทยนิยมเรียกกันเช่น เดือนอ้าย หรือเดือนหนึ่ง  เดือนยี่ หมายถึงเดือนสอง  เป็นต้น  ดังนั้นในเดือนคู่ หรือเดือนเต็ม จะมีแรม 15 ค่ำ  ในขณะที่เดือนคี่ หรือเดือนขาดจะมีแค่แรม 14 ค่ำเป็นวันสุดท้ายของเดือน แล้วจึงเริ่มต้น ขึ้น 1 ค่ำใหม่อีกครั้ง เป็นแบบนี้สลับกันไปตลอดทั้งปี  ดังนั้น New Moon หรือจันทร์ดับ จะตรงกับวันแรม 14 หรือ 15 ค่ำก็ได้  ขณะที่  Full Moon หรือเดือนเพ็ญจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเท่านั้น  แต่ในบางครั้งเมื่อตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำแล้ว ดวงจันทร์ยังไม่เต็มดวงพอดีตามปฏิทิน  อาจจะต้องใช้เวลาอีกราวครึ่งวัน ซึ่งกลายเป็นเวลากลางวันไปแล้ว  ทำให้เรามองไม่เห็น

แต่เนื่องจาก 1 ปีทางจันทรคติมีเพียง 354 วัน (12 x 29.5) ในขณะที่ 1 ปีทางสุริยคติมี 365 วัน  เวลาจะแตกต่างกันอยู่ 11 วัน หากไม่มีการแก้ไข เมื่อเวลาผ่านไปหลายๆปี ปฏิทินจันทรคติจะต่างกับสุริยคติมาก จนอาจจะทำให้วันประกอบพิธีทางศาสนาคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง เช่น วันลอยกระทง ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12  ซึ่งเคยตรงกับเดือนพฤศจิกายนช่วงฤดูหนาว  อาจจะคลาดเคลื่อนไปอยู่เดือนเมษายน ซึ่งเป็นฤดูร้อน  จนมีการลอยกระทงในวันสงกรานต์แทนก็เป็นได้





นายภราดรภาพ
15 รอมฎอน ฮ.ศ. 1430

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
 salam

ขออัลเลาะฮ์ทรงตอบแทนผู้นำเสนอครับ  mycool:
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ vrallbrothers

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 498
  • ALLAH MAHA BESAR...
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
  salam


ยาววววววววว.........

ค่อยมาอ่าน...........  ;D


ญะซากุมุลลอฮ์ ครับ


เวลาเปรียบเสมือนคมดาบ...หากท่านไม่ตัดมัน มันจะตัดท่าน



ยะฮูดีใช้ระเบิดฟอสฟอรัส... เลวร้าย ป่าเถื่อนยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน

 

GoogleTagged