ผู้เขียน หัวข้อ: นิทานนานาชาติน่ารักๆ(เบาสมอง)  (อ่าน 47979 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: นิทานนานาชาติน่ารักๆ(เบาสมอง)
« ตอบกลับ #60 เมื่อ: พ.ย. 01, 2009, 11:30 PM »
0
 salam



มิตรภาพแสนซื่อ
ขณะที่พิกเล็ทเดินตามหมีพูห์ไปต้อยๆ
รอยเท้าคู่เล็กๆ ย่ำไปบนหิมะ
เคียงข้างกับรอยเท้าของหมีพูห์ไปตลอดทาง
เป็นความอบอุ่นในหัวใจที่ทั้งสองทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

ทั้งคู่คงเดินมาด้วยกันนานพอสมควร
และคงไม่ได้คุยอะไรกันเลย
พิกเล็ทเลยต้อง "ขอเสียง" ด้วยการเรียกพูห์
เมื่อพูห์ขานรับและถามกลับว่า

"มีอะไรหรือพิกเล็ท"

พิกเล็ทกลับเกาะมือพูห์ไว้ ก่อนตอบว่า

"เปล่า ไม่มีอะไร แค่อยากมั่นใจว่าเราเดินมาด้วยกันแค่นั้นเอง"



ภาพนี้ ถ้อยสนทนานี้ เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง

สังเกตไหมว่าพูห์เดินนำหน้า
ควรเป็นพูห์หรือเปล่าที่น่าจะเป็นฝ่าย "ขอเสียง"
พิกเล็กว่ายังเดินตามตัวเองมาหรือไม่

นั่นหมายถึงว่าเป็นความกังวลในใจของพิกเล็ทเอง
ที่เกรงว่าพูห์จะลืมเพื่อนตัวเล็กๆอย่างเขา



ในชีวิตเราทุกคน คงเคยผ่านพบมิตรภาพแสนดี
แต่มีกี่คนที่รักษามันเอาไว้ได้คงมั่นไม่หวั่นไหว
วันคืนแห่งชีวิตกลืนกินและฉุดดึงเรารุดไป
หันกลับมามองข้างหลังอีกทีอาจเศร้าใจ
หากพบว่า คนที่เราไว้ใจ...ไม่มีใครเดินตามเรามาอีกแล้ว

ไม่อยากเดินข้างหน้าเพราะเกรงว่าฉันจะลืมเธอ
ไม่อยากเดินตามหลังเช่นกัน กลัวตามไม่ทัน
กลัวเธอทำฉันหล่นหาย
อยากให้เราเดินเคียงข้างกัน
อยากอุ่นใจ มั่นใจว่า
ตลอดการเดินทางชีวิตอันยาวไกล
เรายังมีกันและกันไปตลอดทาง....


........................


เครดิต : ปราย พันแสง หนังสือพิมพ์มติชนรายวันหน้า 14
ฉบับวันอาทิตย์ 12 ธันวาคม 2542

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 01, 2009, 11:49 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: นิทานนานาชาติน่ารักๆ(เบาสมอง)
« ตอบกลับ #61 เมื่อ: พ.ย. 02, 2009, 01:36 AM »
0
 salam


ตะเกียงวิเศษ

 
กาลครั้งหนึ่งมีชายหนุ่มคนหนึ่งขุดพบตะเกียงเก่าแก่อันหนึ่ง
ในขณะที่เขากำลังทำสวนอยู่ พอเขาเอามือถูตะเกียง
ก็ปรากฏว่ามีควันออกมาจากตะเกียง แล้วกลายเป็นยักษ์ตัวใหญ่
ยักษ์ตนนั้นพูดกับชายหนุ่มว่า ขอบใจที่ได้ช่วยให้ฉันเป็นอิสระ
ฉันจะตอบแทนท่านโดยรับใช้ท่าน ท่านจะใช้อะไรฉันก็ได้
แต่มีข้อแม้ว่าเมื่อไรที่ท่านหยุดใช้ฉัน ฉันก็จะกินท่าน

ชายหนุ่มก็ตกลงเพราะเขาเห็นว่าการมีคนรับใช้เป็นเรื่องที่ดี
และเขาก็มั่นใจว่า เขาจะใช้ยักษ์ตนนี้ให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลาได้

ดังนั้นเขาจึงตอบตกลง ยักษ์นั้นจึงถามว่า
นายต้องการให้ฉันรับใช้เรื่องใดบ้าง
แต่อย่าลืมนะถ้านายหยุดใช้ฉันเมื่อใด ฉันก็จะกินนาย

ชายหนุ่มคนนั้นตอบว่า ฉันต้องการวังหลังหนึ่งเพื่อฉันจะได้เข้าไปอยู่

ทันใดนั้นยักษ์ก็เนรมิตวังหลังหนึ่งได้ ชายหนุ่มตกใจเพราะเขานึกว่า
ยักษ์คงใช้เวลาสักปีกว่าจะสร้างวังเสร็จ
ทีนี้เขาต้องคิดอย่างรวดเร็วว่าจะขอให้ยักษ์ทำอะไรต่อไปดี

เขาบอกยักษ์ให้ สร้างถนนกว้างๆ ไปถึงหน้าวัง

ทันใดนั้นถนนก็ปรากฏอยู่ต่อสายตาเขา
ฉันต้องการสวนล้อมรอบวัง เขาสั่งต่อไป

ทันทีความต้องการของเขาก็ปรากฏต่อหน้าเขา ฉันต้องการ.....

เขาก็ขอไปเรื่อยๆ แต่เขาเริ่มวิตกว่าอีกไม่ช้าเขาก็จะขอจนหมดแล้ว
และอีกอย่างเขาคงเข้าไปอยู่ในวังอย่างผาสุกไม่ได้
เพราะเขาต้องคอยมานั่งสั่งยักษ์ให้ทำงานตลอดเวลา

ในที่สุดเขาก็คิดหาทางออกได้ เขาขอให้ยักษ์สร้างเสาต้นหนึ่งให้สูงสุด
ซึ่งยักษ์ก็เนรมิตให้ทันทีทันใด เขาขอให้ยักษ์ปีนเสาต้นนี้ช้าๆ
ไปถึงยอดแล้วให้ปีนลงมาช้าๆ เช่นกัน
พอถึงพื้นก็ให้ปีนขึ้นไปบนยอดใหม่อีกครั้ง
แล้วให้ปีนขึ้นปีนลงเช่นนี้ตลอดเวลาไม่ให้หยุดเลย

ยักษ์ตนนั้นก็เลยต้องปีนขึ้นปีนลงตลอดเวลาตามคำสั่งของนาย

ชายหนุ่มจึงเริ่มหายใจได้ทั่วท้อง ขณะนี้เขาปลอดภัยแล้ว
ชายหนุ่มมีเวลาที่จะเข้าไปอยู่ในวังอย่างมีความสุขตั้งแต่นั้นมา



ยักษ์ตนนี้เปรียบเสมือนความคิดและจิตใจของเรา
ถ้าเรารู้จักใช้ความคิดของเรา และควบคุมความคิดของเราให้ดี
เราจะได้รับผลดีจากความคิดของเรา
ถ้าเราต้องการจะทำอะไรให้ดีให้ถูกต้อง
เราต้องควบคุมจิตใจของเราให้สงบเหมือนกับชายหนุ่มในนิทาน
ที่สามารถควบคุมยักษ์ตนนั้นได้
และสามารถทำให้ความต้องการของเขาลุล่วงสำเร็จได้
ถ้าเราควบคุมความคิดของเราไม่ได้ มันจะสร้างปัญหาให้กับเรา
เราจะเริ่มต้นนั่งคิดว่าจะไปซื้ออะไร จะไปกินอะไรดี หรือจะไปเที่ยวไหนดี ฯลฯ

ความต้องการจะครอบคลุมจิตใจของเรา ครอบคลุมอารมณ์ของเรา
เราจะหวั่นไหวต่อความโลภ ความโกรธและความอิจฉา เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นถ้าเราไม่รู้จักควบคุมความคิดของเราเช่นเดียวกับยักษ์ตนนั้น
ที่ข่มขู่ชายหนุ่ม ตลอดเวลา เราต้องควบคุมความคิดของเราตลอดเวลา

ชายหนุ่มคนนี้ใช้ให้ยักษ์ปีนขึ้นลงที่เสาสูงต้นนั้น
เราก็สามารถใช้ลมหายใจเข้าออกของเราซึ่งอยู่กับเราตลอดเวลานั้น
เป็นเสาสูงแทน


โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา


วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 02, 2009, 01:38 AM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: นิทานนานาชาติน่ารักๆ(เบาสมอง)
« ตอบกลับ #62 เมื่อ: พ.ย. 02, 2009, 01:58 AM »
0
อา-จอง
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ rayes

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 628
  • Respect: +18
    • ดูรายละเอียด
    • บล็อกผมเอง หุหุ
Re: นิทานนานาชาติน่ารักๆ(เบาสมอง)
« ตอบกลับ #63 เมื่อ: พ.ย. 02, 2009, 02:25 AM »
0
ตื่นมาอ่านนิทาน ;D

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: นิทานนานาชาติน่ารักๆ(เบาสมอง)
« ตอบกลับ #64 เมื่อ: พ.ย. 02, 2009, 03:00 AM »
0
^
^

แปลกจริงแท้เลยท่าน ตื่นมาอ่านนิทาน...
มีแต่เค้าจะอ่านกันก่อนนอนอะไรพรรค์นั้น... ;D
(คนเล่ายังไม่ทันได้นอน มีคนตื่นนอนมาฟังเสียแล้ว)

ตาสว่างเลยล่ะสิคะ...เหอๆ....

ปล.อิลฮามเหอออออ...อ่านพรรค์นั้นไม่ได้น้อค่ะเจ้า   fouet:

ง่วงจังเสีย...


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: นิทานนานาชาติน่ารักๆ(เบาสมอง)
« ตอบกลับ #65 เมื่อ: พ.ย. 04, 2009, 06:08 PM »
0
 salam

นำเรื่องราวความรักน่ารักๆประทับใจอีกรูปแบบหนึ่งมาฝากค่ะ
 


    ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน
จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป

น้องชายฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
แล้วพูดว่า

"ผมขโมยเองครับ" ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉัน
อย่างต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุดจนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน

"ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"

     

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
                       

"พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
                             

หลายปีผ่านไปแต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...


เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับ
จากโรงเรียนม.ปลาย ว่าเขาสอบได้

ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัย
ของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้านฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า
                         
"ลูกเราทั้งคู่เรียนดีมากนะ" แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
               
"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
                 
"ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
                             

"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน....
เพื่อขอยืมเงินฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ  ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
         
"ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

       
       วันต่อมาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไป
พร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น  และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ
                 
"พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่ใช่ง่ายๆ นะ
ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"
                         

ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....
                         

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้านรวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับ
เป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......

ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

"มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้างฉันถามเขาว่า
                     
"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ" น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า
               
"ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่
เพื่อนๆก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
                           
"พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉันแล้วพูดว่า
                 
"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"
                             

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอด
และร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี
                       

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
ฉันสังเกตเห็นว่า หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
                 
"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ" แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า
                     

"แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็ว
เพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด

"เจ็บมากไหม" ฉันถาม
                   
"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ
วันๆ มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมดแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผม
คิดเลิกทำงานหรอกนะ และ..." น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค
แต่ก็ต้องหยุดพูด  เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
                         

"เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...
                   

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิต
ในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...
เขาบอกกับฉันว่า
           
"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่ง ผู้จัดการบริษัท

แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงาน
ในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
                       
"ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ดูตัวเองซิ...
เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
                   

"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย.....

ฉันบอกกับน้องว่า
                       
"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."
                     
"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ" น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ  26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...
                           

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน
ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
                         

"ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้" น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล


"พี่สาวของผมครับ"

.....และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้......
                 

"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง 
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียว
เดินเป็นระยะทางไกล เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว 
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ.......

นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเองว่าตลอดชีวิตของผม
ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอ" 

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......
               

"ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"


ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมา
จากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา 
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ 

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง  ..

ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

                             
                          ..........จบบริบูรณ์....


………………………………………..


ปล. ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนได
และในเครือกว่า 20 บริษัท  น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ
ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า "ซัมซุง"

และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์
โดยดาราเล็กๆ คือ ซอง เฮ เคียวและ ลี ดอง ฮุคครับ
                                                                                                           
บู มิง ฮอง เล่าเรื่อง


ที่มา:fwmail

หมายเหตุ:ไม่แน่ใจว่าใช่เรื่องจริงอย่างที่กล่าวไว้หรือเปล่านะคะ
แต่เคยอ่านเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว...วันนี้เห็นเพื่อนรักส่งเมลฉบับนี้มาให้
เลยนึกขึ้นได้น่ะค่ะ...และไม่ว่าจะเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง แต่มันก็ซึ้งใจดีว่ามั้ยคะ



 loveit: loveit:

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

little cat

  • บุคคลทั่วไป
Re: นิทานนานาชาติน่ารักๆ(เบาสมอง)
« ตอบกลับ #66 เมื่อ: พ.ย. 04, 2009, 06:24 PM »
0
เคยได้รับฟอร์เวิดเมล์นี้มาเหมือนกันค่ะ  loveit:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 04, 2009, 06:34 PM โดย ^-^Little Cat^-^ »

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: นิทานนานาชาติน่ารักๆ(เบาสมอง)
« ตอบกลับ #67 เมื่อ: พ.ย. 09, 2009, 05:37 PM »
0
 
salam


ม้าน้ำเพื่อนรัก - My Dear Friend: Seahorse


     กามาลไปเที่ยวทะเลกับครอบครัวในช่วงวันหยุดปิดเทอม
คุณพ่อ คุณแม่พากามาลไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ
กามาลตื่นเต้นมากเมื่อได้เห็นสัตว์น้ำนานาชนิดที่อาศัยอยู่ในตู้กระจก
กามาลเดินดูสัตว์ชนิดต่างๆแล้วเขาเห็นม้าน้ำกำลังว่ายน้ำอย่างช้าๆในตู้กระจก

“คุณตัวเล็กมากเลยครับ” กามาลกล่าว

“ผมคิดว่าม้าน้ำมีขนดใหญ่กว่านี้”

“ใช่แล้ว” ม้าน้ำตอบ

“ส่วนมากคนที่เห็นเราในหนังสือหรือบนทีวีมักคิดว่าเรามีขนาดใหญ่
มากกว่าขนาดจริง ความจริงแล้วเรามีขนาดอยู่ในช่วงระหว่าง 2 ถึง 12 นิ้ว
( 4 ถึง 30 เซนติเมตร)”

กามาลจ้องมองม้าน้ำอย่างใกล้ชิด

“ตาของคุณเคลื่อนไหวได้รอบด้านเลยใช่ไหมครับ
คุณจึงสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบๆตัวคุณ”

“เธอพูดถูกแล้ว” ม้าน้ำตอบ

“อัลลอฮได้สร้างพวกเราให้ส่วนหัวของเราอยู่ในแนวเดียวกับร่างกาย
ไม่มีสัตว์น้ำชนิดอื่นๆที่มีลักษณะเช่นเดียวกับเรา ด้วยเหตุผลดังกล่าว
เราจึงสามารถว่ายน้ำโดยร่างกายอยู่ในแนวตรง และส่วนหัวของเรา
สามารถเคลื่อนที่ขึ้นลงได้เพียงเท่านั้น
ความจริงแล้ว ถ้าสิ่งมีชีวิตอื่นๆมีลักษณะเช่นนี้ ก็จะมีปัญหาในการเคลื่อนที่
ส่วนหัวในแนวขวาและซ้าย ซึ่งยากที่จะป้องกันตนเองจากอันตรายรอบตัวได้
แต่ปัญหาเช่นนี้ไม่เกิดกับเราเพราะว่าร่างกายเราได้รับการออกแบบพิเศษ”


“อัลลอฮผู้ทรงเกรียงไกรได้สร้างให้ตาของเราเป็นอิสระในการเคลื่อนไหว
และสามารถเคลื่อนไหวได้ในทุกทิศทาง ดังนั้นเราจึงสามารถเห็นสิ่งต่างๆรอบตัว
ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่เคลื่อนตาทั้งสอง แม้ว่าเราไม่สามารถเคลื่อนไหว
ส่วนหัวไปทางซ้ายหรือขวา”


“ด้วยการออกแบบอันหลากหลายในการสร้างสรรค์สรรพสิ่งต่างๆที่พระองค์
ทรงสร้างขึ้นมานั้น อัลลอฮได้แสดงให้เราได้เห็นถึงความงดงาม
อันไม่สิ้นสุดในการออกแบบของพระองค์และองค์ความรู้อันไม่รู้จบ”


กามาลคิดคำถามหนึ่งได้จึงถามออกมาไปว่า

“มีบางอย่างที่ผมยังสงสัยอยู่ คือคุณไม่มีปีก ไม่มีหาง
แล้วคุณว่ายน้ำขึ้นลงได้อย่างไร”

ม้าน้ำตอบว่า

“เรามีระบบพิเศษในการว่ายน้ำ เรามีถุงพิเศษในการว่ายน้ำ
ในถุงนี้จะมีแก๊สชนิดหนึ่งภายใน เมื่อเราทำให้แก๊สเกิดการเปลี่ยนแปลงที่พอเหมาะ
ก็จะทำให้เราสามารถเคลื่อนที่ขึ้นลงในน้ำได้ ถ้าถุงนี้เกิดการเสียหาย
เราจะต้องจมลงไปใต้ท้องทะเลอย่างแน่นอน”


“อีกกรณีหนึ่ง ถ้าแก๊สเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เหมาะสม
ในถุงว่ายน้ำของเราแล้วละก็ มันก็ทำให้เราตายได้เช่นกัน
แต่พระผู้อภิบาลของเราได้สร้างระบบควบคุมปริมาณแก๊สในถุงว่ายน้ำของเรา
ได้อย่างปราณีต”

“โอ้โฮ ช่างเป็นการออกแบบที่มหัศจรรย์อะไรเช่นนี้” กามาลอุทาน

“ดังที่เธอได้เห็นนะแหละ เพื่อนตัวน้อยของฉัน” ม้าน้ำกล่าวต่อไป

“อัลลอฮได้สร้างม้าน้ำและสิ่งมีชีวิตอื่นๆในจักรวาลด้วยความประณีต
และสมบูรณ์แบบ พวกเราเหล่าม้าน้ำเป็นเพียงหนึ่งในหลากหลายชนิด
ของสิ่งมีชีวิตใต้มหาสมุทร รูปร่างของเราเป็นเพียงแค่ตัวอย่างหนึ่ง
ของอำนาจอันไม่มีที่สิ้นสุดของอัลลอฮและวิทยปัญญาอันไม่มีที่สิ้นสุด”

“ครับ ขอบคุณมากนะครับ คุณม้าน้ำที่ให้ความรู้แก่ผมมากมายเกี่ยวกับตัวคุณ”
กามาลกล่าวขอบคุณ

“ไม่เป็นไรจ๊ะ อย่าลืมขอบคุณอัลลอฮนะที่ได้สร้างทั้งเธอและฉัน
รวมทั้งสิ่งมีชีวิตอื่นๆมาอย่างสมบูรณ์แบบ”

“ครับ ผมจะไม่มีวันลืม ผมต้องลาไปก่อนนะครับ คุณพ่อ คุณแม่กำลังรอผมอยู่”
กามาลพูด

“จ๊ะ แล้วเจอกันใหม่นะ” ม้าน้ำกล่าวอำลา


หลังจากพูดคุยกับม้าน้ำเสร็จสิ้นแล้ว กามาลกลับไปหาคุณพ่อ คุณแม่
สัตว์ตัวเล็กที่เขาเห็นอย่างเช่นม้าน้ำเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการออกแบบ
อย่างสมบูรณ์แบบจากอัลลอฮ มันทำให้เขารู้สึกทึ่งในการออกแบบจากอัลลอฮ


                      ________________      __________________



ที่มา:

หนังสือชุดนิทานเสริมสร้างศรัทธาสองภาษา
(Bilingual Stories for Uphold Faith)


ม้าน้ำเพื่อนรัก - My Dear Friend: Seahorse

ดัดแปลงมาจากหนังสือรวมนิทานชุด- Stories for thinking children I

โดย ฮารูน ยะฮยา - Author : Harun Yahya

แปลและเรียบเรียงโดย ซากี เริงสมุทร์ - Translated by : Saki R.



-ปกใน-


ทฤษฎีวิวัฒนาการคืออะไร


ผู้ที่ไม่เชื่อว่าอัลลอฮคือผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
พวกเขามีความคิดต่อการเกิดขึ้นของมีชีวิต
โลกและจักรวาลที่แตกต่างออกไป
หนึ่งในนั้นก็คือ ทฤษฎีวิวัฒนาการ
เราเรียกคนที่เชื่อต่อทฤษฎีดังกล่าวว่า ผู้นิยมทฤษฎีวิวัฒนาการ


ผู้ที่เสนอทฤษฎีดังกล่าวมีชื่อว่า ชาร์ล ดาร์วิน
เขามีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 150 ปีก่อน
ดาร์วินไม่เชื่อว่าอัลลอฮคือผู้สร้างสรรค์สรรพสิ่ง รวมทั้งสิ่งมีชีวิตทั้งหมด

เขาเชื่อว่า สิ่งต่างๆเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ด้วยตัวของมันเอง
และเกิดขึ้นได้เนื่องจากความบังเอิญ
เขาคิดว่าสรรพสิ่งทั้งหลายเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นอีกสิ่งหนึ่ง
ตามความคิดของดาร์วิน เขาเชื่อว่า
คราวหนึ่งปลากลายพันธุ์เป็นสัตว์เลื้อยคลานโดยบังเอิญ
แล้วหลังจากนั้นโชคดีมาก สัตว์เลื้อยคลานสามารถบินได้
และมันจึงกลายเป็นนก

ดาร์วินยังเสนออีกว่า มนุษย์มาจากลิง
นั่นก็แสดงว่า ดาร์วินเชื่อว่า บรรพบุรุษของเรามาจากลิง

ในปัจจุบันมีหลักฐานจำนวนมากยืนยันอย่างชัดเจนว่ามนุษย์ไม่ได้มาจากลิง
สิ่งมีชีวิตต่างๆไม่เคยมีการวิวัฒนาการ

อัลลอฮทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างในรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์
และเหมาะสมกับสิ่งนั้นๆอยู่แล้ว
เป้าหมายที่แท้จริงของทฤษฎีดังกล่าวก็คือการชักนำให้ผู้คนหันห่าง
จากการเชื่อมั่นต่อการมีอยู่ของอัลลอฮ

ความจริงแล้วทฤษฎีวิวัฒนาการก็คือคำโกหกจากชาร์ล ดาร์วิน นั่นเอง



-ปกหลังนอก-


“อัลลอฮผู้ทรงเกรียงไกรได้สร้างให้ตาของเราเป็นอิสระในการเคลื่อนไหว
และสามารถเคลื่อนไหวได้ในทุกทิศทาง

ดังนั้นเราจึงสามารถเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวได้อย่างง่ายดายเพียงแค่เคลื่อนตาทั้งสอง
แม้ว่าเราไม่สามารถเคลื่อนไหวส่วนหัวไปทางซ้ายหรือขวา”

“ด้วยการออกแบบอันหลากหลายในการสร้างสรรค์สรรพสิ่งต่างๆ
ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมานั้น อัลลอฮได้แสดงให้เราได้เห็นถึงความงดงาม
อันไม่สิ้นสุดในการออกแบบของพระองค์และองค์ความ


______________ ______________ _________________

ผู้เขียนใช้นามปากกาว่า ฮารูน ยะฮยา
เกิดในเมืองอังการา ประเทศตุรกี เมื่อปี 1956
เขาเคยเข้าเรียนในคณะศิลปศาสตร์
ที่มหาวิทยาลัย อิสตันบูล มิมัร ซินาน (Istanbul’s Mimar Sinan University)

และเคยเข้าเรียนในคณะปรัชญาที่มหาวิทยาลัยอิสตันบูล (Istanbul University)
ตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา

ผู้เขียนได้ตีพิมพ์ผลงานหนังสือจำนวนมากที่ว่าด้วยเรื่องความศรัทธา
ที่เชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์

ฮารูน ยะฮยาเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงในฐานะผู้เปิดโฉมหน้าที่แท้จริง
ของทฤษฎีวิวัฒนาการ

หนังสือจำนวนหนึ่งของเขาได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆทั่วโลก
ไม่ว่า ภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศษ ภาษาสเปน ภาษาโปตุเกส
ภาษาอัลบาเนี่ยน ภาษาอรับ ภาษาโปแลนด์ ภาษารัสเซีย ภาษาบอสเนีย
ภาษาอินโดนิเซีย ภาษาตุรกี ภาษาตาต้าร์ ภาษาอุรดู ภาษามาเลย์และภาษาไทย

มีการตีพิมพ์เผยแพร่ในประเทศที่ใช้ภาษาดังกล่าว
หนังสือของฮารูน ยะฮยาเหมาะสมกับทุกๆคน
ไม่ว่าเป็นมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิม ไม่ขึ้นกับอายุ เชื้อชาติและเผ่าพันธุ์
หนังสือของเขามีจุดมุ่งหมายเพื่อเปิดหัวใจของผู้อ่าน
ให้ได้รับสัญญาณการมีอยู่ของอัลลอฮ



http://www.oknation.net/blog/saki/2007/09/16/entry-6


วัสลามุอะลัยกุมค่ะ


 loveit:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 09, 2009, 05:39 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: นิทานนานาชาติน่ารักๆ(เบาสมอง)
« ตอบกลับ #68 เมื่อ: พ.ย. 10, 2009, 11:03 PM »
0

 salam

ดีหรือไม่ดี.....ยากที่จะบอก


    นานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่ง พระราชาองค์นี้ มีคนสนิทคนหนึ่ง
ที่พระองค์สนิทมาก และมักจะพาไปไหนมาไหนด้วยเสมอในทุกๆที่

แล้ววันหนึ่ง พระราชาก็ถูกหมาตัวหนึ่งกัดนิ้ว แผลฉกรรจ์มาก
พระราชาจึงถามคนสนิทว่า นี่เป็นลางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า
คนสนิทกลับตอบว่า

"ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก "

และในที่สุด พระราชาก็ถูกตัดนิ้ว และพระราชาก็ถามคนสนิทอีกว่า
นี่เป็นลางไม่ดีของพระองค์หรือเปล่า คนสนิทกลับตอบว่า

" ดี หรือไม่ดียากที่จะบอก "

พระราชาโกรธมาก เลยจับคนสนิทขังไว้ในคุก


วันหนึ่ง พระราชาก็ได้เสด็จออกป่าล่าสัตว์ พระองค์ทรงตื่นเต้นมาก
แล้วก็มุ่งเข้าไปในป่า ลึกเข้าไปเรื่อยๆ เมื่อมารู้ตัวอีกที
ก็พบว่าพระองค์ได้หลงทางเสียแล้ว แต่ก่อนที่อะไรจะเลวร้ายไปกว่านั้น
พระองค์ก็ได้พบกับชนเผ่าพื้นเมืองในป่าแห่งนั้น
คนป่าพวกนั้น ต้องการจับพระราชาไปบูชายัญ
แต่พวกเขาก็พบว่าพระราชานิ้วขาด จึงรีบปลดปล่อยพระราชา
เพราะเชื่อว่าพระราชาไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์เลย และไม่เหมาะที่จะนำไปบูชายัญ


พระราชาจึงตัดสินใจกลับพระราชวังในที่สุด
และสุดท้าย พระองค์ก็เข้าใจคำพูดของคนสนิทที่บอกว่า

"ดีหรือไม่ดี ยากที่จะบอก "

เพราะถ้าพระองค์มีนิ้วครบสมบูรณ์ พระองค์ต้องถูกฆ่าโดยคนป่าพวกนั้น
อย่างแน่นอน พระราชาจึงสั่งปล่อยตัวคนสนิท และขอโทษเขา

แต่พระราชากลับประหลาดใจ เมื่อคนสนิทกลับไม่โกรธพระองค์เลย
ในทางตรงข้ามเขากลับบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลยที่ท่านขังข้าไว้
ทำไมงั้นหรือ เพราะว่าถ้าพระองค์ไม่ขังข้าไว้ ข้าก็จะต้องตามท่านไปในป่า
และในเมื่อท่านไม่เหมาะจะถูกบูชายัญ ข้าคงจะถูกนำไปบูชายัญแทนเป็นแน่


อีกครั้งกับคำที่ว่า ดี หรือไม่ดี ยากที่จะบอก

เรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้
ไม่มีการสรุปได้อย่างแน่นอนว่า ดี หรือ ไม่ดี
บางครั้งสิ่งที่ดี อาจจะกลายเป็นสิ่งที่เลวร้าย
ในขณะที่สิ่งที่เลวร้ายอาจกลายเป็นดีได้


สิ่งดีๆอะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นกับเรา จงสนุกสนานกับมัน แต่อย่าไปยึดติดกับมัน
จงคิดเสียว่ามันเป็นสิ่งที่มาสร้างความประหลาดใจให้กับชีวิตของคุณ
อะไรต่างๆ ที่มันเลวร้าย ซึ่งเกิดขึ้นกับคุณ ไม่จำเป็นต้องไปเศร้าเสียใจ
ในตอนท้าย มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย

^________________________________________^

ถ้าพวกเราเข้าใจได้อย่างนี้ พวกเราจะพบว่า การใช้ชีวิตนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเลย


โดย: Daud @  http://yuwita.blogspot. com

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: นิทานนานาชาติน่ารักๆ(เบาสมอง)
« ตอบกลับ #69 เมื่อ: พ.ย. 19, 2009, 09:24 PM »
0
salam


หญิงชรากับหมอรักษาดวงตา


กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีหญิงคนหนึ่งเป็นผู้มีฐานะร่ำรวย
แต่เมื่อเข้าสู่วัยชราดวงตากลับมืดมัวจนมองอะไรไม่เห็น
นางจึงจ้างหมอมารักษา โดยทำสัญญาไว้ว่าถ้าหมอรักษา
ให้นางสามารถมองเห็นได้เหมือนเดิมจะจ่ายค่ารักษาเป็นก้อนใหญ่
แต่หากรักษาไม่หายหมอจะไม่ได้รับค่าตอบแทน

ทุกวันหมอจะนำยาหยอดตามาให้แก่ หญิงชราที่บ้าน
แต่ขากลับหมอได้ขโมยทรัพย์สินมีค่าติดมือกลับไปด้วยเสมอ
โดยที่หญิงชราไม่รู้

เมื่อขโมยของต่างๆไปจนหมดแล้วหมอก็รักษาตาของหญิงชราหายพอดี
แต่เมื่อเอ่ยปาก ทวงค่ารักษา หญิงชรากลับไม่ยอมจ่ายให้
หมอจึงนำเรื่องไปฟ้องศาล

“หมอทำผิดสัญญา” หญิงชราให้การต่อศาลเมื่อถูกเชิญตัวมาสอบปากคำ

“เพราะเมื่อก่อนข้าพเจ้ามองเห็นทรัพย์สินทุกชิ้นในบ้าน
แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามองไม่เห็นมันเลยแม้แต่ชิ้นเดียว”

ด้วยเหตุนี้หญิงชราจึงได้รับการตัดสินให้พ้นผิด

เมื่อผู้พิพากษาสั่งให้สอบสวนอย่างถี่ถ้วน หมอจอมขโมยได้รับสารภาพ
ยอมคืนทรัพย์สินให้แก่หญิงชราและได้รับการลงโทษอย่างสาสม

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ผู้ที่คดโกงคนอื่น ย่อมต้องได้รับผลกรรมที่กระทำเอาไว้


ที่มา: นิทานอีสป





"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: นิทานนานาชาติน่ารักๆ(เบาสมอง)
« ตอบกลับ #70 เมื่อ: พ.ย. 19, 2009, 09:35 PM »
0


นิทานของพ่อ


“กาลหนึ่งนานมาแล้ว นานเท่าไหร่ไม่รู้...”
พ่อมักจะเริ่มต้นเรื่องอย่างนี้ทุกครั้ง..

“มีเจ้าหญิงอยู่องค์หนึ่ง เจ้าหญิงคนนี้เป็นคนขยัน ทำอาหารเก่ง
ชอบทำงานบ้านเสมอ ๆ”

เจ้าหญิงของพ่อมักจะเป็นคนที่ขยันเสมอ ๆ ในความคิดของตะนอย

“เจ้าหญิงได้พบกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งในสวนดอกไม้ ข้างๆ ปราสาท
ในขณะที่เจ้าหญิงกำลังเก็บดอกไม้...” ตะนอยนอนกอดน้องต่ายแน่นขึ้น
ฟังพ่อเล่านิทานอย่างตั้งใจ...

ผมพิมพ์มาถึงตรงนี้ ก็ต้องกด Delete ลบข้อความนั้นทิ้งเสียหมด

หลังจากที่ผมนั่งจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วมั้ง
แต่งานเขียนของผมก็ยังอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรคืบหน้า
ไม่มีอะไรขยับเขยื้อนไปสักอย่าง ทั้งๆ ที่ผมจะต้องส่งต้นฉบับในวันพรุ่งนี้แล้ว
แย่จริงๆ สมาธิหายไปไหนหมดนะ บรรยากาศภาพความหลังในวัยเด็ก
หายไปไหนหมดนะ

- - นี่ผมคิดผิดหรือเปล่าหนอ? - -

ที่รับงานเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับพ่อมา
ก็เพราะคำว่า ‘พ่อ’ นี่แหละ ที่ทำให้ผมเขียนไม่ออก ไม่รู้จะเขียนอะไร
เพราะพ่อไม่เคยอยู่ในความทรงจำของพ่อ หรือเป็นฮีโร่เยี่ยงอย่างพ่อคนอื่น ๆ
จนบางครั้งผมมีความรู้สึกราวกับว่า พ่อกับผมเป็นคนแปลกหน้าที่ต่างวัย
และบังเอิญมาอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน..


พ่อยังเป็นคนทำลายครอบครัว ทำลายความรักที่แม่มีต่อพ่ออย่างหมดสิ้น
จนแม่ทนไม่ไหวต้องหย่าร้างกันไปในที่สุด และพ่อยังจะทำลายความฝันของผมอีก

“ผมอยากเรียนหนังสือ ผมชอบงานเขียนหนังสือ”
ผมบอกกับพ่อในวันที่พ่อบอกให้ผมเลิกเรียนหนังสือ
และออกมาช่วยกันทำงานที่โรงกลึงของตนเอง..

“แกจะเรียนไปทำไมนักหนา กิจการของพ่อก็มี
แล้วไอ้ความฝันบ้า ๆ บอ ๆ ของแกอีก”

“ผมทิ้งมันไม่ได้ ผมทิ้งความฝันของผมไม่ได้หรอกพ่อ” ผมเถียง

“แต่แกต้องทิ้งมัน แกต้องมาช่วยฉันทำงาน” พ่อขึ้นเสียงตอบกลับมา

“พ่อ มันหมดสมัยที่พ่อจะบังคับลูกแล้วนะ”

“แต่ฉันจะบังคับแก” พ่อยืนคำขาด

“พรุ่งนี้แกต้องไปลาออก”

“ผมเกลียดพ่อ ผมเกลียดความคิดโง่ๆ ของพ่อ เกลียดการกระทำของพ่อ
ที่วันๆ มัวแต่นั่งทำงานงกๆ พ่อไม่เคยสนใจผม พ่อไม่เคยถามผมสักคำ
ว่าผมต้องการอะไร เอ๊ะอ๊ะอะไรพ่อก็บังคับผม ผมเกลียดพ่อ...”
ฝ่ามืออันหนักอึ่งของพ่อกระทบลงบนใบหน้าแก้มข้างขวาของผมอย่างจัง

“แกออกไป แกออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้นะ แกไม่ใช่ลูกฉัน”

“ดูแลตัวเองดีๆ นะ” ผมหันมาบอกน้องชายที่ยืนอยู่ห่างๆ
ก่อนที่ผมจะก้าวเดินออกจากบ้านหลังนั้นมา ด้วยความเคียดแค้นที่สุมรุมอยู่ในหัว...

นับจากวันนั้นมา ผมเลือกใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าหลังหนึ่งตามลำพัง
ยังดีที่มีเงินเหลืออยู่ในบัญชีเกือบหมื่น ซึ่งมันก็พอจะเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้บ้าง
แต่ผมก็ยังเฝ้าหางานทำอยู่หลายที่ แต่มาตกอยู่กับการเป็นนักแสดงสมทบ
หรือที่ใครๆ เรียกกันติดปากว่า “ตัวประกอบ” เพื่อแลกกับเงินเพียงไม่กี่ร้อย

แต่ผมก็ยังไม่ละทิ้งความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียนหรอก
ผมเฝ้าฝึกฝีมืองานเขียนจนคิดว่าดีพอ ถึงได้ลองส่งไปลงยังนิตยสารฉบับหนึ่ง..

จนในที่สุดก็ได้รับการตีพิมพ์ ผมเริ่มมีความสุขกับการเขียนหนังสือมากขึ้น
เมื่อความฝันของผมเป็นจริง หนังสือเล่มแรกในชีวิตของผมพิมพ์เสร็จ
เป็นรูปเล่มเรียบร้อยแล้ว ผมรับหนังสือจากพี่ใหม่มา เปิดออกดูทีละหน้าๆ
ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะมีโอกาสแบบนี้จริงๆ

“นี่มันสุดยอดความฝันของผมเลยครับพี่ ขอบคุณมากครับ”

“เอ้า นี่หนังสือของนัทเก้าเล่ม พี่ให้นัทเอาไว้แจกเพื่อนๆ
ถ้าไม่พอยังไงก็เข้ามาเอาใหม่ล่ะกัน” พี่ใหม่หยิบห่อกระดาษยื่นให้ผม

“และนี่เช็คเงินสดค่าเรื่อง”

“ขอบคุณมากครับ พี่ใหม่”


ผมรับเช็คค่าความคิด ค่าน้ำหมึกของผมมาถือไว้ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
แต่ที่แน่ๆ มันเต็มเปี่ยมจนล้นไปด้วยความภาคภูมิ
มาถึงตอนนี้ผมมั่นใจได้แล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝัน..
ผมอยากให้พ่อรู้เหลือเกินว่า ในที่สุดผมก็ทำความฝันของผมได้สำเร็จ


ผมละภาพความหลังเก่าๆ ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์
ด้วยการไปเดินเล่นที่ท่าน้ำ สายน้ำแห่งเจ้าพระยายังคงไหลเวียนไม่ขาดสาย
ประกายแสงจากดวงอาทิตย์สะท้อนผืนน้ำระยิบระยับ เรือลำน้อย เรือลำใหญ่
แล่นว่ายอย่างเช่นเคย.. ที่ตรงนี้ล่ะที่ทำให้ผมมีความสุข
รู้สึกสบายอกสบายใจทุกครั้ง และมักจะได้คำตอบหรือแนวพล็อตเรื่องอยู่เสมอๆ


วันนี้ผมก็หวังไว้เช่นนั้นเหมือนกัน เสียงเรียกเครื่องเพจเจอร์ทำลายความเงียบนั้นลง

“พ่อถูกรถชน พี่รีบมาด่วนนะ” ผมกดข้อความจากน้องชายอ่านซ้ำไปมา
ใจหนึ่งลังเลจะไปดีหรือไม่ดี – แต่ขาน่ะสิรีบก้าวออกไปก่อนโดยไม่รอคำตอบ

“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ” ผมถามน้องชายเมื่อไปถึงโรงพยาบาล

“ก็พ่อน่ะสิ ทำหนังสือหล่นกลางถนน เลยหยุดเก็บ...ก็เลย...” น้องชายพูดเสียงสั่นเครือ

“แค่หนังสือเนี๊ยนะ เอามาแลกกับชีวิต พ่อนี่บ้าหรือเปล่า” ผมยังวายหยุดว่าพ่อ

“ถ้าไม่ใช่หนังสือของพี่ พ่อก็คงไม่เก็บหรอก”
คำพูดของน้องชายทำเอาผมอึ้งไปพูดไม่ออก
หนังสือของผม เพราะหนังสือของผมเหรอ

“พอพ่อรู้ว่า..หนังสือของพี่วางแผง พ่อก็รีบไปซื้อทันที
พ่อบอกว่าไม่ซื้อไม่ได้ นี่ผลงานของลูก นี่ความฝันของลูก
และพ่อยังบอกอีกว่า พ่อจะซื้อหนังสือของพี่ทุกเล่ม”

มาถึงตรงนี้หยาดน้ำตาก็เริ่มไหลเอ่อรื้นอยู่เต็มขอบตา

“พี่รู้ไหม พ่อคิดถึงพี่มากแค่ไหน พ่อคิดถึงพี่เสมอนะ พ่ออยากให้พี่กลับมาอยู่ด้วย
พ่อยังบอกอีกว่า พ่อจะไม่บังคับอะไรลูกๆ อีกแล้ว..
ชีวิตเป็นของลูก พ่ออยากให้ลูกเลือกเดินเอง แต่พ่อจะคอยอยู่ข้างหลัง
คอยเป็นกำลังใจให้ในยามที่ลูกเหนื่อยลูกท้อ

พ่อยังบอกอีกว่า..

"พ่อเชื่อว่าลูกสามารถทำความฝันของตนเองเป็นจริงขึ้นได้อย่างมั่นคง”

คำพูดของน้องชายทำเอาน้ำตาที่เต็มไหลอาบแก้มเมื่อครู่ไหลอาบแก้มอย่างไม่รู้ตัว

ผมไม่เคยรู้สึกดีกับพ่อมาก่อนอย่างนี้ ผมไม่เคยรู้สึกรักพ่อมาก่อนเท่าครั้งนี้
ถึงเวลานี้ผมได้แต่นั่งรอเวลาที่ผมจะโผเข้าสวมกอดร่างของพ่ออีกครั้ง
จะนานแค่ไหนไม่รู้ จะนานกี่ชั่วโมงไม่รู้ กว่าที่ประตูห้องฉุกเฉินนั่นจะเปิดออก..

แล้วผมจะกลับเข้าบ้านหลังนั้นอีกครั้ง กลับเข้าไปสู่อ้อมแขนของพ่ออีกครั้ง
และครั้งนี้มันคงทำให้ผมเขียนเรื่องสั้นได้ทันส่งต้นฉบับวันพรุ่งนี้แน่นอน
ผมตั้งชื่อเรื่องรอไว้ก่อนแล้วว่า ‘นิทานของพ่อ’

พ่อคนเดียวที่สอนให้ผมรู้จักตัวเอง ให้ผมเข้มแข็ง ให้ยืนหยัดได้ด้วยความฝัน
สองแขนสองขาของตัวเอง

“ผมอยากบอกว่า ผมรัก รักมาก อย่างที่ไม่เคยรักมาก่อน
และผมก็รักพ่อไม่น้อยกว่าที่รักแม่หรอก...”


 loveit:


ที่มา: เมลฟอร์เวิร์ด


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: นิทานนานาชาติน่ารักๆ(เบาสมอง)
« ตอบกลับ #71 เมื่อ: พ.ย. 19, 2009, 09:50 PM »
0

วันที่พ่อต้องปล่อยหนูไป


เมื่อสมุดบันทึกแห่งความทรงจำของพ่อค่อยๆ เปิดออกทีละหน้า
เรื่องราวภายในสมุดบันทึกของพ่อจะเป็นอย่างไรนะ

เมื่อถึงวันที่พ่อต้องปล่อยให้หนูไป....


หนูได้สอนให้พ่อรู้ว่า

“ถ้าหนูก้มแล้วเอาหน้าผากแตะพื้น นั่นแปลว่า ช้อนเมื่อกี้เป็นช้อนสุดท้าย
แล้วหนูจะไม่หม่ำอีกเด็ดขาด ไม่ว่าพ่อจะมาไม้ไหนก็ตาม”

หนูได้สอนให้พ่อรู้ว่า ตอนนี้พจนานุกรมของหนูมี 3 คำนี้อยู่ คือ

“มี้เอา แปลว่า ไม่เอา
มะ แปลว่าแม่
จิ แปลว่า ฉี่ (ซึ่งบางครั้งพ่อเองก็ต้องเดาเอาว่า หนูจะฉี่ หรือ ฉี่ไปแล้ว
และพ่อก็ต้องไปตามเช็ด)”

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า “เย็นวันที่พ่อกลับบ้านเร็ววันนั้นมันมีความหมาย
กับหนูมากแค่ไหน”

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า “หนูกินไม่เลือกเหมือนพ่อเลย”

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า “อย่ารัดผมจุกกลางหัวหนู เพราะเวลาหนูคันหัว
หนูจะเกาจนมันหลุด ให้รัดค่อนมาทางหน้าผาก”

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า “ถ้าหนูมาเกาะขาแล้วชี้ไปที่ไหน แปลว่า
สิ่งนั้นมันทำให้หนูเจ็บหรือไม่ชอบใจ
(ซึ่งบางทีหนูก็ไปเกาะขาแม่แล้วชี้มาที่พ่อ)”

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า “ถ้าหนูยังไม่หลับ อย่าหวังว่าใครในบ้านจะได้หลับ
(อย่างเป็นสุข)”

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า “การที่พ่อจัดบ้านให้เป็นระเบียบนั้น
เป็นการเสียเวลาและพลังงานโดยเปล่าประโยชน์”

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า “เมื่อหนูตื่นขึ้นมากลางดึก ถ้าพ่อตบก้นหนูเบาๆ
แล้วหนูยังไม่หลับต่อ แปลว่า หนูหิวน้ำ พ่อต้องไปเอาขวดน้ำมาใส่ปากหนู
ไม่งั้นพ่อคงไม่ได้หลับต่อแน่ ๆ”

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า “ราคาของผ้าอ้อมสำเร็จรูปไม่มีความสัมพันธ์
ต่อจำนวนครั้งที่หนูต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเลย”

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า “ อย่าปล่อยหนูเล่นน้ำนานเกิน 10 นาที
เพราะจะทำให้หนูเป็นหวัด แล้วคนที่เดือดร้อนก็คือพ่ออีกนั่นแหละ”

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า “ถ้าหนูนอนไม่หลับ พ่อต้องเอามือหนูมาแปะไว้ที่หน้าพ่อ
แล้วหนูก็จะหลับต่อได้ง่ายขึ้น ( แต่ตอนตื่นมักจะกลายเป็นเท้าของหนู
ที่เวียนมาอยู่บนหน้าพ่อแทนอยู่ร่ำไป)”

หนูสอนให้พ่อรู้ว่า

“..แล้ววันหนึ่งที่...ความรักของพ่อ..ถูกมองว่าน้อยกว่าความรัก
ของผู้ชายอีกคนหนึ่ง

คำพร่ำเตือนสั่งสอนของพ่อ ... เสียงดังน้อยกว่าคำออดอ้อนของผู้ชายคนนั้น

ความห่วงใยของพ่อ..มีค่าน้อยกว่าที่จะปฎิเสธคำของผู้ชายคนนั้น

อ้อมกอดของพ่อ..ก็ดูเหมือนจะอบอุ่นน้อยไปกว่าอ้อมกอดของผู้ชายคนนั้น

พ่อหวังแค่เพียงว่า..ผู้ชายคนนั้นเขาจะรักและทนุถนอมหนู
ได้เพียงครึ่งหนึ่งที่พ่อรักหนู...ก็เท่านั้นเอง”



ที่มา:ลืมไปแล้วค่ะ...;D


...เจ้าคือดาวดวงน้อยของพ่อ...จับมือพ่อเอาไว้...
...พ่อจะพาเจ้าเดินข้ามไป...สู่ปลายทางที่ดี...

...แม้รู้ว่าในสักวันหนึ่ง...ต้องมีใครสักคน...รักเธอ...
...ขอให้เขาเป็นคนดี...ไม่ทำให้เธอ...เสียใจ...
...รักเธอ...อย่างที่ฉัน...รักเธอ...




วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^______________^



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 19, 2009, 09:53 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: นิทานนานาชาติน่ารักๆ(เบาสมอง)
« ตอบกลับ #72 เมื่อ: พ.ย. 24, 2009, 02:49 PM »
0


 salam



สองพ่อลูกเดินข้ามสะพานด้วยกัน
ด้วยความเป็นห่วงพ่อก็พูดกับลูกสาวว่า

‘ลูกจับมือพ่อไว้นะ ลูกจะได้ไม่ตกลงไปในแม่น้ำข้างล่าง’
           
ลูกสาวตอบพ่อว่า

‘ไม่ค่ะ พ่อนั่นแหละจับมือหนูไว้ ’
           
พ่อสงสัยและถามลูกว่า

‘ทำไมลูกพูดแบบนี้ มันต่างกันยังไง ’
           
ลูกสาวตอบว่า

‘มันต่างกันมากค่ะ...
เพราะถ้าหนูจับมือพ่อไว้ และหากมีอะไรเกิดขึ้นกับหนู
มันอาจมีโอกาสที่หนูจะปล่อยมือจากพ่อได้
แต่ถ้าพ่อจับมือหนูไว้ หนูมั่นใจว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม...
พ่อจะไม่มีวันปล่อยมือหนูแน่ ’







ที่มา:บางส่วนจากเมลฟอเวิร์ด


  วัสลามุอะลัยกุมค่ะ


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: นิทานนานาชาติน่ารักๆ(เบาสมอง)
« ตอบกลับ #73 เมื่อ: ธ.ค. 03, 2009, 04:26 PM »
0



แก้วตาดวงใจ


จากดวงดาวแห่งความศรัทธา
กำเนิดเจ้ามาด้วยความรักยิ่งใหญ่
เจ้าคือแก้วตาดวงใจ...
สายใยลูกโซ่แห่งชีวิต

ผ่านลมฝนผ่านร้อนผ่านหนาว
ใต้ร่มเงาบ้านเราเคยพักพิง
ลูกเอยเจ้าเคยพร้อมทุกสิ่ง
บางสิ่งหายไป...จากใจ

แม่เจ้าเหมือนแก้วตา
ด่วนลาพ่อ ลาเจ้าไป
ลูกรักจงอย่าได้หวั่นเกรง
เพลงที่แม่เคยกล่อม จากนี้พ่อจะร้องเอง
ใครจะมาข่มเหง...ไม่มีวัน

หลับเถิดหนาแก้วตาดวงใจ
หลับให้สบายไม่นานคงพบกัน
จากไกลไม่ใช่ชั่วนิรันดร์
สักวันพ่อจะตามไป...คุ้มครอง...

เสือ ธนพล


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: นิทานนานาชาติน่ารักๆ(เบาสมอง)
« ตอบกลับ #74 เมื่อ: ธ.ค. 03, 2009, 04:36 PM »
0


กล่อมพ่อ


เหนื่อยล้า..นานแล้ว
เธอใช้เวลาชีวิตที่ผ่านมานั้น เพื่อฉันและคนมากมาย
ผ่านร้อน..ผ่านหนาว
เธอสร้างมันตามความฝันจนเกิดวันนี้
เพราะรักและความจริงใจ


จากนี้..วันนี้
มันถึงเวลาที่ฉันจะกล่อมเธอนั้น ให้พักให้นอนผ่อนคลาย
หลับตา..หลับตา
มีเรื่องใดๆ เคยคิดและห่วงใยนั้น ฉันขอให้ลืมมันไป

หลับฝัน พบเจอแต่สิ่งสวยงาม
นอนหลับอยู่บนปลายฟ้า สายลมจะโชยพัดมาให้นอนสบาย

ฝากฟ้า..ตรงนี้ ให้ฟ้าดูแลเธอได้ทุกอย่างแทนฉัน
เมื่อฉันและเธอห่างไกล
หลับตา..หลับตา
และใช้เวลาที่เหลือไปกับความฝัน ที่แสนงดงามในใจ


ด้วยความฝันที่แสนงดงามในใจ

ด้วยความรัก คิดถึงเหลือเกิน...จากหัวใจ

...หนูรักพ่อค่ะ...


แพท สุธาสินี



"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged