โพลล์

ดีปะจ๊ะ

ดีมาก
0 (0%)
ดีมากกว่า
0 (0%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 0

ปิดการโหวต: ก.ย. 16, 2009, 07:52 PM

ผู้เขียน หัวข้อ: ญินในอัลกุรอาน (พร้อมไฟล์ .doc ให้ดาวโหลดท้ายกระทู้)  (อ่าน 14972 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มาลิกกุ๊กกิ๊ก

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 451
  • เพศ: ชาย
  • คนความรู้น้อย
  • Respect: +4
    • ดูรายละเอียด

ญิน

โลกใบนี้นอกจากจะเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์และสรรพสัตว์นานาชนิดแล้ว ยังมีเผ่าพันธุ์ที่ถูกเรียกว่า “ญิน” ซึ่งมนุษย์มองไม่เห็นอาศัยอยู่ด้วย ตามคัมภีร์กุรอาน ญินถูกส่งมาอยู่ในโลกนี้ร่วมกับอาดัมและเฮาวา บรรพบุรุษของมนุษยชาติ เพียงแต่ว่ามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นมันเท่านั้น แต่มันสามารถมองเห็นมนุษย์ ทั้งนี้เพราะญินถูกสร้างมาจากไฟ ในขณะที่มนุษย์ถูกสร้างมาจากดิน
    การมองสิ่งใดไม่เห็นมิได้หมายความว่าสิ่งนั้นไม่มี เพราะสิ่งที่มีอยู่ไม่จำเป็นต้องมองเห็น และสิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็นก็มีมากกว่าสิ่งที่มนุษย์มองเห็นเสียด้วยซ้ำ ความเชื่อในการมีอยู่จริงของสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นเป็นพื้นฐานคำสอนของทุกศาสดา มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นวิญญาณได้ แต่มนุษย์ก็เชื่อว่าตัวเองมีวิญญาณอยู่ ไม่มีมนุษย์คนใดเคยไปเห็นนรกและสวรรค์มาก่อน แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ก็เชื่อว่านรกและสวรรค์มีจริง ด้วยเหตุนี้การปฏิเสธว่าพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของนรกและสวรรค์ไม่มีอยู่จริงเพียงเพราะมองไม่เห็น จึงเป็นเรื่องที่ขัดกับตรรกะของเหตุผล เนื่องจากโลกของญินมิใช่โลกวัตถุ เราจึงไม่สามารถหาความรู้เรื่องญินจากตำราทางวิทยาศาสตร์ได้ แต่เราทราบจากคัมภีร์กุรอานว่า ญินเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีชีวิตอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างอาดัมเสียอีก เมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างอาดัมขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้อาดัมเป็นตัวแทนของพระองค์บนโลกใบนี้ และได้ประทานความรู้ความสามารถแก่อาดัมแล้ว พระองค์ก็บัญชาให้ทุกสรรพสิ่งในอาณาจักรของพระองค์กราบสยบนบนอบต่ออาดัม ทุกสรรพสิ่งยอมทำตามคำบัญชาของพระองค์ แต่อิบลีสหัวหน้าญินปฏิเสธ เมื่อถูกถามถึงเหตุผล มันตอบว่าอาดัมถูกสร้างมาจากดิน แต่มันถูกสร้างมาจากไฟ เรื่องอะไรที่มันจะต้องก้มกราบอาดัม ด้วยความทะนงในต้นกำเนิดจนถึงกับโอหังปฏิเสธคำบัญชาของพระเจ้าผู้สร้างมันขึ้นมา มันจึงต้องถูกลงโทษ แต่ก่อนที่พระองค์จะทรงลงโทษมัน อิบลีสได้ขอให้พระองค์ประวิงเวลาออกไปจนถึงวันสิ้นโลกเพื่อที่มันจะพิสูจน์ให้พระองค์เห็นว่ามนุษย์ผู้เป็นลูกหลานของอาดัมที่พระองค์ทรงยกย่องนั้นมีน้อยคนนักที่จะกตัญญูต่อพระองค์ หลังจากอิบลีสได้รับการประวิงเวลาลงโทษโดยการถูกเนรเทศออกจากอาณาจักรของพระเจ้ามายังโลกนี้แล้วมันก็ทำหน้าที่ของมันเรื่อยมา
    ดังนั้น เผ่าพันธุ์ญินจึงถูกเนรเทศมาอยู่ยังโลกนี้ก่อนที่อาดัมและเฮาวาจะถูกส่งมา หลังจากอาดัมและเฮาวาพลาดท่าเสียทีให้แก่การหลอกลวงของอิบลีสเพื่อเป็นบทเรียนแล้ว พระเจ้าจึงได้ส่งอาดัมมายังโลกใบนี้โดยได้บอกอาดัมว่า นับแต่นี้ต่อไปอิบลีสจะเป็นศัตรูกับเขาและลูกหลานของเขาตราบถึงวันสิ้นโลก ถ้าลูกหลานของเขาคนใดคล้อยตามหรือหลงเชื่อมัน มันก็จะพาคนผู้นั้นกลับไปยังต้นกำเนิดที่มาของมันนั่นคือ“ไฟ”
    เผ่าพันธุ์ญินที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ มีทั้งญินที่ศรัทธาและปฏิเสธพระเจ้า ญินเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความแข็งแรงและสามารถเคลื่อนที่ได้เร็ว คัมภีร์กุรอานกล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ให้ความรู้พิเศษแก่นบีสุลัยมาน (โซโลมอน) ในการควบคุมญินมาใช้งานได้ ผลงานชิ้นหนึ่งซึ่งท่านใช้แรงงานพวกญินสร้างก็คือ วิหารโซโลมอนบนเนินเขาแห่งหนึ่งในกรุงเยรูซาเลม ซึ่งมุสลิมเรียกบริเวณนั้นทั้งหมดว่า “มัสยิดอัลอักซอ” ศาสนสถานแห่งนี้เป็นบริเวณที่เกิดกรณีพิพาทระหว่างประชาชาติมุสลิมกับชาวอิสราเอลอยู่ในปัจจุบัน ใน ค.ศ. 70 วิหารโซโลมอนแห่งนี้ได้ถูกทำลายไปแล้วโดยพวกโรมัน คงเหลือแต่ซากกำแพงเก่าส่วนหนึ่งซึ่งชาวยิวเชื่อกันว่าเป็นกำแพงของวิหารและชาวยิวจะไปแสวงบุญกันที่นั่นเป็นประจำ
    เมื่อนบีสุลัยมานเสียชีวิตลง ญินที่ถูกใช้แรงงานก็แตกกระจัดกระจายออกไปจากการควบคุมของท่าน แต่ก็มีมนุษย์บางคนเรียนรู้วิชาติดต่อกับญินและสามารถใช้งานญินเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆได้ คนเหล่านี้สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอดีตได้จากญินเนื่องจากญินเคลื่อนที่เร็วและมีพวกพ้องอยู่ทั่วทุกแห่งเหมือนกับสายลับในหมู่มนุษย์
    ในสมัยนบีมุฮัมมัด ญินกลุ่มหนึ่งได้ยินท่านอ่านคัมภีร์กุรอานและเกิดความศรัทธา ญินกลุ่มนั้นจึงได้จดจำและนำถ้อยคำจากคัมภีร์กุรอานไปเผยแผ่ในหมู่ญินด้วยกัน ญินชั่วจะถูกเรียกว่า “ชัยฏอน” หรือ “ซาตาน” ชัยฏอนจะทำหน้าที่ล่อลวงมนุษย์ให้หลงผิดไปกราบไหว้บูชา วิงวอนบนบานหรืออธิษฐานต่อวัตถุและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นมาแทนที่จะเคารพสักการะพระเจ้าและวิงวอนต่อพระองค์
    ญินสามารถปรากฏกายในรูปของมนุษย์และสัตว์ได้ นอกจากนี้แล้วมันยังสามารถเข้าสิงหรือครอบงำมนุษย์ให้ทำสิ่งที่มนุษย์ปรกติไม่สามารถทำได้อีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอวดศักดาให้คนโง่งมงายหลงเชื่อบูชามัน ด้วยเหตุนี้ชัยฏอนจึงประสบความสำเร็จในสิ่งที่อิบลีสหัวหน้าของพวกมันได้ขอต่อพระเจ้าไว้ งานที่พวกชัยฏอนชอบที่สุดก็คือการสร้างความแตกแยกขึ้นในหมู่มนุษย์โดยเฉพาะการกระซิบกระซาบในจิตใจของคู่สามีภรรยาให้เกิดความระแวงและแตกแยกกัน
    ความรู้เรื่องญินได้ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์กุรอานเพื่อให้มนุษย์ได้รู้ว่า วิญญาณของมนุษย์กับญินไม่เหมือนกัน วิญญาณมนุษย์เมื่อออกไปจากร่างแล้วก็จะไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งซึ่งมนุษย์ไม่สามารถติดต่อสัมพันธ์ได้ แต่ญินเป็นสิ่งมีชีวิตเร้นลับที่มนุษย์ยังสามารถติดต่อกับมันและใช้ประโยชน์จากมันได้ และถึงแม้ญินจะมีอยู่จริง แต่อิสลามก็ห้ามมุสลิมไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เพราะอาจเกิดความเพลี่ยงพล้ำทำให้ตัวเองและคนอื่นเสียความศรัทธาไปด้วย และหากมุสลิมถูกชัยฏอนรุกราน มุสลิมจะต้องขอความคุ้มครองต่อพระเจ้าเท่านั้น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 15, 2009, 08:10 PM โดย MaliK »

ออฟไลน์ มาลิกกุ๊กกิ๊ก

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 451
  • เพศ: ชาย
  • คนความรู้น้อย
  • Respect: +4
    • ดูรายละเอียด
Re: ญินในอัลกุรอาน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ก.ย. 15, 2009, 07:53 PM »
0



สิ่งมีชีวิต 4 ประเภท
ตามหลักการที่ระบุในอัลกุรอาน อัลลอฮฺทรงสร้างสรรพสิ่งสุดจะครณาได้ ทว่าที่เห็นว่ามีชีวิตนั้นมีอยู่สี่อย่างคือ
1. มีปัญญา มีตัณหา มีตัวตน (เป็นเลือดเนื้อและกระดูก) นั่นคือมนุษย์ มนุษย์นับถือศาสนาตามที่ตนคิดว่าถูกต้อง ขวนขวายหาทางรอดในชีวิตประจำวันเรื่อยไป จนกว่าจะสิ้นชีพ ที่ประเสริฐที่สุดคือมนุษย์พยายามใช้ปัญญาประกอบความดี แต่เมื่อใดยึดตัณหาเป็นใหญ่ ประกอบความชั่ว ฝ่าฝืนกฏระเบียบ ก็ไม่จะผิดกับเดียรัจฉาน เนื่องจากมนุษย์มีเลือดเนื้อที่มาจากดิน เช่นเดียวกับมนุษย์คนแรกคือ อาดัม จึงผูกพันอยู่กับดินไม่จบสิ้น เสพสุขกับอาหารที่งอกเงยมาจากดิน รักและครอบครองผืนแผ่นดิน สะสมธาติและสารที่มาจากดิน เช่นทองคำและเพชรพลอย เมื่อสิ้นชีพร่างกายของมนุษย์ก็กลายเป็นดินอีกครั้ง และมนุษย์ก็จะผูกพันกับ กาละ และ เทศะ ไม่อาจดิ้นรนให้พ้นไปได้
2. มีปัญญา มีตัณหา ไม่มีตัวตนที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า นั่นคือญิน ญินที่ถูกสร้างมาจากเพลิงนั้นก็เหมือนกับมนุษย์ คือจะอาศัยอยู่ในโลกนี้ ทว่ามีตัวตนที่เราไม่อาจจะเห็นด้วยตาธรรมดา มีศาสนาและความเชื่อถือแตกต่างกันไป ในอัลกุรอานได้ระบุว่า ญินพวกหนึ่งได้เดินทางมาหาท่านนบีมุฮัมมัดและเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ทั้งมนุษย์และญินต่างก็หาคำตอบว่า หลังจากดับไปจากโลกนี้แล้ว พวกตนจะไปไหน?
3. มีปัญญา ไม่มีตัณหา ไม่มีตัวตน นั่นคือมลาอิกะห์ มะลาอิกะห์นั้นเมื่อไม่มีตัณหาก็จะขาดความประสงค์ จึงมีหน้าที่ดูแลระบบฟากฟ้าและโลกตามพระบัญชาของอัลลอฮฺโดยไม่ขาดตกบกพร่อง เมื่อถูกสร้างมาจากรัศมี การเคลื่อนไหวก็คงเป็นเช่นแสง เข้าออกและเปลี่ยนที่โดยไม่มีพันธะ หน้าที่ของพวกเขาก็คือการเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ และไร้กังวลต่อการสอบสวนในวันสุดท้าย
4. ไม่มีปัญญา มีตัณหา มีตัวตน นั่นคือสัตว์ สัตว์เดรัจฉานเป็นพวกที่ต่ำสุด ทว่าเป็นพวกที่โชคดีกว่ามนุษย์และญินส่วนมาก เพราะไม่ถูกลงโทษวันปรโลก 

ญินคือใคร           
     ญินคือสิ่งถูกสร้างประเภทหนึ่งที่อยู่ต่างมิติไปจากมนุษย์เฉกเช่นมะลาอิกะห์ แต่มิไช่มะลาอิกะห์ ญินและมนุษย์มีส่วนคล้ายกันบ้างเช่นมีปัญญารับรู้และได้รับสิทธิในการเลือกเฟ้น แต่ก็ต่างกันหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุของแต่ละฝ่าย
                คำว่า “ญิน” มีความหมายในเชิงปกปิดซ่อนเร้นจากสายตามนุษย์ กล่าวคือมนุษย์ไม่สามารถมองเห็น “ญิน” ได้(หากเขามิได้จำแลงให้เห็น) อัลลอห์กล่าวว่า
 

             “ ลูกหลานของอาดัมเอ๋ย! จงอย่าให้ชัยฏอนหลอกลวงพวกเจ้า เช่นเดียวกับที่มันได้ให้พ่อแม่ของพวกเจ้าออกจากสวนสวรรค์มาแล้ว โดยที่มันได้ถอดเครื่องนุ่งห่มของเขาทั้งสองออกเพื่อที่จะให้เขาทั้งสองเห็นสิ่งที่น่าละอายของเขาทั้งสองแท้จริงทั้งมัน และเผ่าพันธุ์ของมันมองเห็นพวกเจ้าโดยที่พวกเจ้าไม่เห็นพวกมัน แท้จริงเราได้ให้บรรดาชัยฏอนเป็นเพื่อนกับบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธา”

ชัยฏอนคือใคร         
       ชัยฏอนหมายถึงผู้ชั่วร้ายไม่ว่าจะมาจากมนุษย์หรือญินก็ตาม เพราะอัลลอห์ทรงตรัสว่า
 
                “และในทำนองนั้นแหละเราได้ให้มีศัตรูขึ้นแก่นะบีทุกคนคือ บรรดาชัยฏอนมนุษย์ และญินโดยที่บางส่วนของพวกเขาจะกระซิบกระซาบแก่อีกบางส่วนซึ่งคำพูดที่ตกแต่งเป็นการหลอกลวง และหากว่าพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์ แล้วพวกเขาก็มิกระทำมันขึ้นได้เจ้าจงปล่อยพวกเขา และสิ่งที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นเถิด” 
   ซึ่งหมายความว่าชัยฏอนนั้นใช่ว่าจะมาจากญินเสมอไป แต่ชัยฏอนนั้นมาจากมนุษย์ด้วย
คำว่า ซาตาน ในภาษายุโรปเป็นคำที่ยืมมาจากคำว่า ชัยฏอน ในภาษาอาหรับ


อิบลีสมาจากญิน
อิบลีส เป็นญินตนหนึ่งที่บำเพ็ญคุณงามความดี จนสามารถคบค้าสมาคมกับมะลาอิกะหฺได้ ทั้งยังมีฐานันดรสูงส่งจนสามารถเข้าออกสวรรค์เหมือนเหล่ามะลาอิกะห์ ต่อมาอิบลีสได้แพ้ต่อตัณหาของตนและขัดขืนพระบัญชา ถูกไล่ออกจากสวนอันอมตะ มันได้ขอพระพรจากอัลลอฮฺให้มีชีวิตที่อมตะจนกว่าฟ้าดินจะสลาย อัลลอฮฺทรงประทานตามที่มันขอ ทว่าในวันปรโลกนั้นมันจะตกอยู่ในอเวจีนิรันดร์
อิบลิสระดมหาพรรคพวกที่มาจากพวกเดียวกัน เพื่อหลอกลวงมนุษย์ด้วยมายาและอุบายนานัปการ ให้ตกลงไปในอเวจีพร้อมกับตน นั่นก็คือการพยายามหันเหมนุษย์ออกจากการบูชาอัลลอฮฺสู่การบูชาสิ่งอื่นใด นอกเหนือไปจากพระองค์
อุบายที่ได้ผลมากพอ เห็นจะเป็นการแสดงปรากฏการณ์นอกเหนือธรรมชาติต่าง ๆ การหลอกหลอนให้มนุษย์กลัว เมื่อกลัวแล้วก็หาที่พึ่งให้ ในรูปของเจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าเขา เจ้าป่า ให้มนุษย์กราบไหว้บูชา อาจจะปรากฏตนให้มนุษย์เห็นบางครั้งบางคราว หรือสอนอวิชา คือไสยศาสตร์ให้มนุษย์ได้นำไปใช้ การเพิ่มสรรพคุณการหลอกหลอน ด้วยการเข้าสิงเข้าทรง การไม่ยอมออกจากร่างที่พวกตนเข้าสิงจนกว่า พวกเดียวกับมนุษย์ที่ได้เป็นพันธมิตรกับพวกตนจะมาทำพิธีขับไล่ เมื่อนั้นพวกตนก็จะทำเสียงร้องโหยหวน ประหนึ่งว่าเจ็บปวดเดือดร้อนกับมนตร์หรือยันตร์ที่มดแมลงไม่เคยรู้สึกความอุ่นของมันเลย
เมื่อมนุษย์เห็นแล้วก็อุปาทานสำคัญว่า ที่ตนเห็นนั้นเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของหมอผีชีเปลือย ทว่าความจริงแล้ว มันก็แค่กลเม็ดของการขายยาบริษัทญิน คือญินจะใส่ยาพิษให้มนุษย์เจ็บไข้ แล้วส่งคนขายยาของพวกตน คือหมอผี มารักษา มนุษย์ก็จะได้บูชาทั้งหมอผีและพวกตน หมอผีเองก็ต้องบูชาพวกตนเช่นกัน มิฉะนั้นจะไม่มีสินค้าส่งมาให้

ธาตุของญิน
อัลลอห์ทรงบอกเราว่าพระองค์ทรงสร้างพวกเขามาจากไฟ แต่มนุษย์เรานั้นพระองค์ทรงสร้างมาจากดิน ซึ่งหมายถึงธาตุเดิมของแต่ละฝ่าย อัลลอห์ตรัสว่า
 
“และญินนั้น เราได้สร้างมันมาก่อนจากไฟของลมร้อน”

 
“และพระองค์ทรงสร้างญินจากเปลวไฟ”
พวกเขาถูกสร้างเมื่อใด
ปรากฏในอัลกุรอ่านว่าพวกเขาถูกสร้างมาก่อนมนุษย์  อัลลอห์ทรงตรัสว่า
 
 
                “และสาบานว่าเราได้สร้างมนุษย์มาจากดินแห้งที่มาจากดินตมที่นิ่ม ส่วนญิน เราได้สร้างมันก่อนหน้านั้นจากไฟอันร้อนแรง”   

ญินมีการสืบเผ่าพันธุ์หรือไม่
นักวิชาการมุสลิมส่วนใหญ่เชื่อว่าญินมีการสืบเผ่าพันธุ์เฉกเช่นมนุษย์ โดยอาศัยเนื้อความจากอัลกุรอ่านที่กล่าวถึงสาวสวรรค์ว่า
“ไม่มีมนุษย์และญินใดเคยล่วงล้ำ(พรมจารี) เหล่านางมาก่อน”
                เพราะคำว่า”ฏอมัษ”หมายถึงเลือดจากพรมจารีซึ่งรวมถึงเลือดประจำเดือนด้วยเช่นกัน แต่สาวสวรรค์ไม่มีประจำเดือน อีกอายะห์หนึ่งระบุว่า
 
                “(อัลลอห์มีบัญชาให้ทั้งมะลาอิกะห์และญินกราบอาดำ เหล่ามะลาอิกะห์ต่างก้มลงกราบอาดำ) ยกเว้นอิบลีส มันมาจากญิน(มันคือญิน)มันฝ่าฝืนบัญชาของพระผู้อภิบาล (ดังนั้น) พวกเจ้าทั้งหลายจะยึดมันและลูกหลานของมันเป็นผู้ปกปักรักษาอื่นจากฉัน (อัลลอห์)กระนั้นหรือ ทั้งๆ ที่พวกมันเป็นศัตรูกับพวกเจ้า มันช่างชั่วช้าแท้ๆ ในการแลกเปลี่ยนสำหรับพวกอธรรม”   
                จากสองอายะห์ข้างต้น นักวิชาการส่วนใหญ่จึงเห็นว่า “ญิน” มีการสืบเผ่าพันธุ์และมีอายุขัยเฉกเช่นมนุษย์ เพียงแต่อายุขัยของอิบลิสนั้นยาวนานถึงวันอาคิเราะห์ ส่วนญินอื่นๆไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีอายุยืนยาวเช่นอิบลิส เพียงแต่เราไม่ทราบว่าพวกเขามีอายุขัยยาวนานเท่าใด

ญินมีกี่ประเภท
หากแบ่งตามสภาพของญินแล้ว มีปรากฏในฮะดีษ(บันทึกสมัยท่านนบีมูฮัมหมัด)บทหนึ่งดังนี้ 
“ท่านนะบี กล่าวว่า ญินนั้นมีสามประเภท ประหนึ่งมีปีกและบินไปในอากาศ ประเภทหนึ่งอยู่ในคราบของงูและแมลงป่อง(บางกระแสระบุว่าเป็นสุนัข) และอีกประเภทหนึ่งประจำอยู่(ในสถานที่ต่างๆ)และโยกย้ายสถานที่” 

ชื่อต่างๆของญิน
ญินนี่ -ใช้เรียกญินทั่ว ๆ ไป
อามิร -ใช้เรียก ญิน ที่อยู่กับมนุษย์ ถ้ามีหลาย ๆ ตัวหน่อย ก็เรียกว่า อัมมาร
อัรวาฮฺ - ใช้เรียก ญิน ที่อยู่กับเด็ก มันจะคอยแกล้งคอยแหย่ บางทีที่เห็นเด็กยิ้มเฉย ๆ ขึ้นมา ก็         
อาจจะเป็นญิน เพราะว่าเด็กเล็กๆสามารถเห็นในสิ่งที่คนโตแล้วมองไม่เห็น หรือบางทีก็อาจแกล้งเด็กให้ร้องไห้ขึ้นมาเฉย ๆ ศาสนาเราจึงให้ขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ
ชัยฎอน – ใช้เรียกญินที่คอยหลอกลวงมนุษย์ไปสู่ความชั่ว ความหลงผิด
มาริด - เป็นตัวที่เลว มากกว่า ชัยฏอนไปอีก
อิฟรีต - ใช้เรียก ญิน ที่ชั่วช้า ทำเรื่องเลวร้าย ...ขั้นสุดยอด

ความสามารถของญิน    
ญินนั้นมีความสามารถเหนือมนุษย์ธรรมดาหลายด้าน ด้วยเหตุนี้อัลลอฮฺ จึงสร้างญินให้กับท่านศาสดาสุไลมาน ซึ่งพวกญินจะสอนท่านสุไลมานถึงสิ่งที่ต้องการ ดังที่อัลลอฮฺได้ทรงตรัสไว้ในอัลกุร อานว่า
 
 
 
“และเราได้ให้มีลมพัดแก่สุไลมาน ซึ่งมันจะพัดไปในยามเช้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน และมันจะพัดกลับในยามเย็นเป็นเวลาหนึ่งเดือน และเราได้ให้ไหลมาแก่เขาซึ่งตาน้ำทองเหลือง (คือให้ทองเหลืองที่หลอมตัวเป็นตาน้ำไหลมาสำหรับสุไลมาน) ในหมู่ญินนั้น มีผู้ทำงานอยู่เบื้องหน้าเขาด้วยอนุมัติแห่งพระเจ้าของเขา และผู้ใดในหมู่พวกเขาหันเหจากพระบัญชาของเรา เราจะให้เขาลิ้มรสการลงโทษที่มีไฟลุกโชติช่วง , พวกเขา (ญิน) ทำงานให้เขา (สุไลมาน) ตามที่เขาต้องการ (เช่นสร้าง) ปราสาทหลายแห่งที่สูงตระหง่าน และบรรดาหุ่นจำลอง และบรรดาโคมใส่อาหารมีขนาดเท่าบอน้ำ และบรรดาหม้อสำหรับหุงอาหารตั้งอยู่กับที่ พวกเจ้าจงทำงานเถิด วงศ์วานของดาวูดเอ๋ย! ด้วยการขอบคุณ และส่วนน้อยแห่งปวงบ่าวของเราที่เป็นผู้ขอบคุณ” 

    นอกจากนี้ ญินยังมีความสามารถทะลุผ่านวัตถุที่มีความแข็ง และสามารถขึ้นสู่ชั้นฟ้าเบื้องบนได้ พวกเขามีความรวดเร็วมาก เพราะพวกเขามีลักษณะเป็นอากาศธาตุซึ่งมีความเร็วใกล้เคียงความเร็วของแสง อัลกุรอานได้เล่าถึงความเร็วของญินในการตอบสนองความต้องการของท่านสุไลมาน ด้วยการนำเอาบัลลังของบัลกีสมายังท่านสุไลมาน ว่า
 
“ผู้ปรีชาสามารถล้ำเลิศคนหนึ่งของพวกญินได้กล่าวว่า “ฉันจะนำมันมาเสนอท่าน ก่อนที่ท่านจะลุกขึ้นจากที่นั่งของท่านและแท้จริงฉันเป็นผู้มีพลังและไว้วางใจได้ในเรื่องนี้”
     “ผู้ที่มีความรู้ในเรื่องคัมภีร์ กล่าวว่า “ฉันจะนำมันมาเสนอท่านชั่วพริบตาเดียว” เมื่อเขา (สุลัยมาน) เห็นมันวางมั่นคงอยู่ต่อหน้าเขา เขากล่าวว่า “นี่เนื่องจากความโปรดปรานของพระเจ้าของฉัน เพื่อพระองค์จะได้ทรงทดสอบฉันว่าฉันกตัญญูหรือเนรคุณ และผู้ใดกตัญญูแท้จริงเขาก็กตัญญูต่อตัวเขาเอง และผู้ใดเนรคุณแท้จริงพระเจ้าของฉันนั้นเป็นผู้ทรงมั่งมี ผู้ทรงเอื้อเฟื้อเผื่อยิ่ง”

    ความสามารถของญินนั้นมีเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายด้าน แต่สิ่งที่เหมือนกันกับมนุษย์ก็คือ พวกเขาไม่สามารถรู้เรื่องเร้นลับได้เหมือนกับมนุษย์ ซึ่งในขณะที่ท่านสุไลมานสิ้นชีวิต ไม่มีญินสักตนเดียวที่รู้ว่าท่านสุไลมานสิ้นชีวิตแล้ว ดังที่อัลกุรอานได้ตรัสว่า
 
“ครั่นเมื่อเราได้กำหนดความตายแกเขา (สุไลมาน) มิได้มีสิ่งใดบ่งชี้แก่พวกเขา (ญิน) ถึงความตายของเขา นอกจากปลวกใต้ดินแทะกินไม้เท้าของเขา ดังนั้นเมื่อเขาล้มลงพวกญินก็รู้อย่างชัดแจ้งว่า หากพวกเขารู้ในสิ่งพ้นญานวิสัยแล้ว พวกเขาจะไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานที่นาอดสูเช่นนี้”   

แต่ทว่าพวกญินนั้นมีความรู้มากกว่ามนุษย์ ส่วนหนึ่งที่ญินมีความรู้มากกว่ามนุษย์นั้นอาจเป็นเพราะว่าพวกญินนั้นมีอายุที่ยืนยาวและมีจำนวนมากกว่ามนุษย์ พวกเขาจึงรู้ถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาในอดีต ใช่ว่าการมีอายุยืนจะไม่มีการตาย พวกญินนั้นก็มีการตายเช่นเดียวกับสิ่งถูกสร้างต่าง ๆ
ได้มีการยืนยันแล้วว่า ญินนั้นมีการแต่งงานและมีการเพิ่มจำนวนประชาการ พวกเขามีกินมีดื่ม หากแต่ว่าสิ่งที่พวกเขากินนั้นต่างจากอาหารของมนุษย์
ชาวซาลัฟบางท่านได้กล่าวว่า ญินมีหลายชนิด ส่วนญินแท้ ๆ นั้นก็คือจำพวกลมที่ไม่มีการกินและดื่ม ไม่การการตาย ไม่มีการให้กำเนิดบุตร หากแต่ว่าพวกเขาจะต้องมีอายุมากถึงจะมีการกินดื่ม มีการตาย และมีการกำเนิดบุตรได้ บางชนิดจากญินก็มีการแต่งงาน การให้กำเนิดบุตร และการตาย
และอีกชนิดหนึ่งจากญินก็คือสิ่งที่ถูกเรียกว่า “กอรีน” ซึ่งกอรีนนั้นจะมีมาพร้อมกับมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิด ซึ่งมันมีหน้าที่คอยกระซิบกระซาบมนุษย์ และคอยแต่งแต้มความชื่นชอบในการปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำและความชั่วร้ายแก่มนุษย์ ซึ่งบางคนอาจจะได้เห็นกอรีนของคนที่ตายไปแล้ววนเวียนอยู่ในสถานที่ที่ผู้ตายอยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุนี้คนต่างศาสนิกจึงคิดว่า พวกนี้คือวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว และแน่นอนอัลกุรอ่านก็ได้กล่าวถึงกอรีนเอาไว้ว่า
 
“และผู้ใดผินหนังจากการรำลึกถึงพระผู้ทรงกรุณาปรานี เราจะให้ชัยตอนตัวหนึ่งแต่เขา แล้วมัน(กอรีน) ก็จะเป็นสหายของเขา” 

และแน่นอนท่านศาสดามุฮัมมัดก็ได้เคยกล่าวถึงกอรีนไว้ว่า
 “ไม่มีคนหนึ่งคนใดจากพวกท่าน นอกเสียจากสหาย (กอรีน) จากญินและสหาย (กอรีน) จากมะลาอิกะฮฺจะถูกมอบหมายให้กับเขา” แล้วบรรดาอัครสาวกของท่านศาสดาก็ได้กล่าวว่า แล้วท่านล่ะ โอ้ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ ท่านศาสดาจึงกล่าวตอบไปว่า “และฉันนั้น แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงช่วยเหลือฉันเกี่ยวกับกอรีนนี้ แล้วมันก็ได้เขารับอิสลาม ดังนั้นมันจึงไม่สั่งใช้ฉันนอกเสียจากสิ่งที่ดีงาม” 



อิบลีส และพลพรรคของมัน ทำร้ายมนุษย์ได้หรือไม่
                อิบลีส(ญินตนหนึ่ง)ผู้ฝ่าฝืนอัลลอห์ ได้ขอต่ออัลลอห์ไว้ดังนี้
 
“มันกล่าว(แก่พระองค์)ว่า โปรดประวิงเวลาให้ข้า(อยู่ยาวต่อไป) ถึงวันที่พวกเขา(มนุษย์)ถูกฟื้นคืนชีพ พระองค์ตรัสว่า แท้จริงเจ้าจะเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับการประวิงเวลา (คือจะยังไม่ตาย)มันกล่าวว่า ด้วยสิ่งที่พระองค์ทำให้ข้าวิบัติ ข้าจะนั่ง(ขัดขวางพวกเขา) บนหนทางอันเที่ยงตรงของพระองค์ท่านหลังจากนั้นข้าจะมาหาพวกเขาทั้งทางด้านหน้า ด้านหลัง ด้านขวา ด้านซ้าย และพระองค์จะไม่พบว่าพวกเขาส่วนใหญ่รู้คุณ(พระองค์)” 
 
                “มันกล่าว(แก่พระองค์)ว่า โปรดประวิงเวลาให้ข้า(อยู่ต่อไป) ถึงวันที่พวกเขา(มนุษย์)ถูกฟื้นคืนชีพ พระองค์ตรัสว่า แท้จริงเจ้าจะเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับการประวิงเวลา(คือจะยังไม่ตาย) มันกล่าวว่า ด้วยเดชานุภาพของพระองค์ท่าน ข้าจะหลอกลวงพวกเขาให้หมดยกเว้นปวงบ่าวของพระองค์ ผู้ได้รับคุ้มครองให้ปลอดภัย(ปวงบ่าวที่อัลลอฮฺเลือกให้ภักดีต่อพระองค์เพื่อให้พ้นจากความหลงผิด)”

งานของชัยฏอน
   อิบลิส อะลัยฮิละอฺนะตุลลอฮ และบริวารของมัน ไม่มีหน้าที่อื่นใด นอกจาก การทำให้มนุษย์หลงผิดและก่อความเสียหายให้แก่มนุษย์เท่านั้นส่วนหนึ่งจากงานของชัยฏอนคือ
1. الإغواء (อัลอิควาอฺ)  คือ  ทำให้มัคลูคของอัลลอฮหลงผิด 
 
“มันกล่าวว่า โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์โดยที่พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์หลงผิดไปแล้วแน่นอน ข้าพระองค์ก็จะทำให้เป็นที่เพริศแพร้วแก่พวกเขาในแผ่นดินนี้และแน่นอนข้าพระองค์จะทำให้พวกเขาทั้งหมดหลงผิด”
2. الاستزلال (อัลอิสติซลาล) คือทำให้มัคลูคของอัลลอฮ (ที่เป็นมนุษย์และญิน) พลาดพลั้ง   ดังอัลกุรอ่านระบุไว้ว่า
 
“แท้จริงบรรดาผู้ที่อยู่ในหมู่พวกเจ้าที่หันหลังหนีในวันที่สองกลุ่มเผชิญหน้ากันนั้น แท้จริงชัยฎอนต่างหากที่ทำให้พลั้งพลาดไป เนื่องจากบางสิ่งที่พวกเขาได้ประกอบไว้เท่านั้น และแน่นอนอัลลอฮฺก็ทรงอภัยให้แก่พวกเขาแล้ว แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นทรงอภัยโทษผู้ทรงหนักแน่น”
3. الكيد (อัลกัยดุ) คือ ออกอุบายหลอกลวงมัคลูค  ดังอัลกุรอ่านระบุไว้ว่า
 
“บรรดาผู้ที่ศรัทธานั้น พวกเขาจะต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธานั้น พวกเขาจะต่อสู้ในทางของอัฎ-ฎอฆูต ดังนั้นพวกเจ้าจงต่อสู้บรรดาสมุนของชัยฏอนเถิด แท้จริงอุบายของชัยฏอนนั้นเป็นสิ่งที่อ่อนแอ”
4. الوعود الكاذبة (อัลวุอูดอัลกาซิบ)คือ  การให้คำมั่นสัญญาที่โกหก  ต่อมัคลูคของอัลลอฮ   
 ดังอัลกุรอ่านระบุไว้ว่า
     “มันจะสัญญาแก่พวกเขา และจะทำให้พวกเขาเพ้อฝัน และชัยฏอนมันจะไม่สัญญานอกจากการหลอกลวงเท่านั้น”
5. العداوة والبغضاء (อัลอะดาวะฮ วัลบัฆฎออฺ) คือ ทำให้มัคลูคของอัลลอฮ เป็นศัตรูและการเกลียดชังซึ่งกันและกัน   ดังอัลกุรอ่านระบุไว้ว่า
     “ที่จริงชัยฏอนนั้นเพียงต้องการที่จะให้เกิดการเป็นศัตรูกันและการเกลียดชังกันระหว่างพวกเจ้าในสุราและการพนันเท่านั้น และมันจะหันเหพวกเจ้าออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮ์ และการละหมาด แล้วพวกเจ้าจะยุติใหม”
    6. الوسوسة (อัลวัสวะสะฮ) คือ  กระซิบกระซาบ ยุยง มัคลูคของอัลลอฮ  กระทำผิด  ดังอัลกุรอ่านระบุไว้ว่า

     “แล้วชัยฏอนก็ได้กระซิบกระซาบแก่ทั้งสองนั้น เพื่อที่จะเผย แก่เขาทั้งสองซึ่งสิ่งที่ถูกปิดบังแก่เขาทั้งสองไว้อันได้แก่สิ่งอันถึงละอาย ของเขาทั้งสอง และมันได้กล่าวว่า พระเจ้าของท่านทั้งสองมิได้ทรงหวงห้ามท่านทั้งสอง ซึ่งต้นไม้ต้นนี้(เพราะอื่นใด) นอกจากการที่ท่านทั้งสองจะกลายเป็นมะลาอิกะฮ์  หรือไม่ก็กลายเป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้ที่ยั่งยืนอยู่ตลอดกาลเท่านั้น”


7. النزغ (อัลนัซฆุ) คือ ทำการยุแหย่ ระหว่างมัคลูคของอัลลอฮ ให้กระทำผิดต่อกัน
อัลกุรอ่านระบุไว้ว่า
     “แท้จริงชัยฏอนนั้นมันยุแหย่ระหว่างพวกเขา แท้จริงชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูที่เปิดเผยของมนุษย์”

     8. الدعوة إلى عبادته : وذلك بدعوتهم إلى عبادة غير الله والكفر بالله وشريعته ทำการเชิญชวนให้ไปสู่การเคารพภักดีต่อมัน และเชิญชวนให้เคารพภักดี อื่นจากอัลลอฮ และการปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ และชะรีอัตของพระองค์  ดังอัลกุรอ่านระบุไว้ว่า
 
“โอ้พ่อจ๋า ! อย่าเคารพบูชาชัยฏอนเป็นอันขาด แท้จริงชัยฏอนนั้นมันดื้อรั้นต่อพระผู้ทรงกรุณาปรานี”

     9. الفتنة  (อัลฟิตนะฮ) ก่อฟิตนะฮ ให้แก่มัคลูคของอัลลอฮ   ดังอัลกุรอ่านระบุไว้ว่า
 
    “เพื่อพระองค์จะทรงทำให้สิ่งที่ชัยฏอนยุแหย่นั้น เป็นการทดสอบสำหรับบรรดาผู้ที่ในจิตใจของพวกเขามีโรคและจิตใจของพวกเขาแข็งกระด้างและแท้จริงบรรดาผู้อธรรมนั้นอยู่ในการแตกแยกที่ห่างไกล”


ช่องทางที่ทำให้ชัยฏอนสมความปรารถนา
1. ความโกรธและกระทำตามอารมณ์
    ความโกรธจะทำลายความรับผิดชอบชั่วดี เมื่อมนุษย์มีความโกรธ เขาจะกลายเป็นของเล่นของชัยฏอน เสมือนฟุตบอลที่เป็นของเด็กเล่น

2. ความอิจฉาริษยา และความตระหนี่ (ละโมบ)
    เมื่อบ่าวของพระองค์คนใดมีความตระหนี่ ตาของเขาจะมืดบอดและหูหนวกต่อการรักษาทรัพย์สินนั้น ถึงแม้จะทำให้ผู้เป็นเจ้าของต้องตกอยู่ในความผิดก็ตาม

    ท่านฮาซัน กล่าวว่า ต้นตอของความชั่วมี 3 ประการ คือ การตระหนี่ การอิจฉาริษยา และการหยิ่งยะโส ซึ่งการหยิ่งยะโสนั้น เป็นสาเหตุที่ห้ามไม่ให้อิบสิสก้มสุญุดต่อท่านอาดัม ความตระหนี่เป็นเหตุให้อาดัมต้องถูกอัปเปหิออกจากสวรรค์ ความอิจฉาเป็นสาเหตให้บุตรชายของอาดัมต้องฆ่าน้องชายตัวเอง

3. ความอิ่มจากการทานอาหาร
    ถึงแม้อาหารนั้นจะเป็นอาหารที่ฮาลาล แต่เนื่องจากความอิ่ม จะทำให้ความต้องการทางเพศมากขึ้น และความต้องการทางเพศเป็นอาวุธสำคัญของชัยฏอน

    ท่านวาฮีบ บิน อัลวัรด กล่าวว่า “พวกเราได้ยินว่า แท้จริงอิบลิสผู้สกปรกได้เข้าหาท่านนาบียะห์ยา บิน ซาการียา عليهما السلام และกล่าวกับท่านว่า “แท้จริงฉันต้องการจะตักเตือนท่าน” ท่านนาบีกล่าวว่า “เจ้าโกหก ไม่ต้องมาเตือนอะไรฉัน แต่จงเล่าเรื่องราวของลูกหลานอาดัมให้ฉันฟัง”
    อิบลิสกล่าวว่า “ในสายตาของพวกเราแล้ว จะแบ่งลูกหลานอาดัมออกเป็น 3 จำพวก จำพวกที่หนึ่งคือพวกที่เรารับมามากที่สุด ซึ่งพวกนี้คือพวกที่เราหลอกลวงจนกระทั่งพวกเขาหลงผิด และเรามั่นใจว่าพวกเขาจะไม่กลับไปสู่แนวทางที่ถูกต้องอีก แต่ต่อมาพวกเขาก็ขออภัยโทษและกลับเนื้อกลับตัว พวกเขาจึงทำลายความพยายามของพวกเราจนสิ้นเชิง ซึ่งต่อมา เราก็จะเข้าหาเขาอีกครั้ง แต่อนิจจาเราไม่สามารถหลอกลวงเขาได้อีก พวกเขามิทำให้พวกเราสมความปรารถนาอีกต่อไป พวกเราจึงท้อแท้ที่จะพยายามหลอกลวงพวกเขาอีก
    ส่วนจำพวกที่สอง พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในกำมือของพวกเรา เป็นเสมือนลูกฟุตบอลสำหรับเด็กๆ ของพวกเรา เราจะชี้ทางให้เขาทำตามที่เราปรารถนา พวกเขาจึงกลายเป็นผู้ปฏิเสธเนื่องจากการหลอกลวงของพวกเรา
    อีกจำพวก พวกเขาเหมือนๆ กับท่าน คือ เป็นกลุ่มชนที่ไม่มีบาป พวกเราไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ ท่านนาบียะห์ยาจึงถามชัยฏอนว่า “ดังนั้น เจ้าเคยยุแหย่อะไรฉันได้บ้าง?”
อิบลีส ตอบว่า “ไม่เคย ยกเว้นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือท่านเคยรับประทานอาหารที่ท่านชื่นชอบจนเกินอิ่ม และเข้านอนในค่ำคืนนั้นอย่างเต็มที่ จนไม่สามารถตื่นมาละหมาดเสมือนกับที่ท่านเคยปฏิบัติอยู่เสมอ”
    
    ท่านนาบียะห์ยากล่าวกับชัยตอนว่า “ฉันจะไม่รับประทานอาหารจนอิ่มหนำอีกต่อไป จนกระทั่งชีวิตฉันจะหาไม่”
    อิบลีสผู้สกปรกจึงกล่าวกับท่านว่า “ฉันจะไม่ตักเตือนลูกหลานอาดัมหลังจากท่านอีก”

4. ความละโมบและความอยากได้สิ่งของจากผู้อื่น
    เพราะเมื่อมนุษย์มีความละโมบและอยากได้สิ่งของจากผู้อื่น ชัยฏอนจะประดับประดาและยกย่องผู้ที่เขาอยากได้ ให้เขามีความรักต่อผู้ที่เขามีความหวัง ด้วยการเอาอกเอาใจ ยกย่องบูชาเพื่อหวังจะได้รับความดีความชอบ จนเป็นเสมือนบ่าวทาส
 
5. ความรีบเร่ง จนขาดความตั้งใจ
    เนื่องจากความรีบเร่ง เป็นการเปิดโอกาสให้ชัยฏอนเข้าสู่มนุษย์ได้ง่ายดายขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว ทั้งนี้เนื่องจากความรีบเร่งมาจากชัยฏอน การพิเคราะห์พิจารณามาจากพระองค์อัลลอฮ์

6.การยึดมั่นในผู้รู้เพียงกลุ่มเดียว ทำตามอารมณ์ และทะเลาะเบาะแว้งกับบุคคลอื่นที่มีความคิดแตกต่างไปจากตน

7. เข้าใจมุสลิมด้วยกันอย่างผิดๆ
    อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า (ผู้ที่มีอีหม่านทั้งหลาย จงห่างไกลจากส่วนใหญ่ของการสงสัย แท้จริงการสงสัยบางอย่างนั้นเป็นบาป (จะได้รับการลงโทษ)...) อัลหุญุรอต อายะห์ที่ 12

8. การตระหนี่ และวิตกต่อความยากจน
    ท่านซุฟยานกล่าวว่า “ชัยฏอนไม่มีอาวุธใดๆ เสมือนกับการกลัวความยากจน เมื่อผู้ใดรับมันเข้าไป ก็จะตกอยู่ในความผิดพลาด และหวงห้ามมิให้ผู้อื่นได้รับในสิทธิที่เขาพึงได้ พูดจาตามอารมณ์ และสงสัยในเรื่องของพระเจ้าในทางที่ไม่ดี”

    ท่านฮาติม อาซ็อม กล่าวว่า “ไม่มีตอนเช้าวันไหน ยกเว้นชัยฏอนจะพูดกับฉันว่า ท่านจะรับประทานอาหารอะไร? จะสวมเสื้อผ้าตัวไหน? และจะอาศัยอยู่ที่ใด? ฉันตอบว่า ฉันจะกินอาหารเหมือนกับคนที่กำลังจะตาย จะใช้ผ้าที่ห่อศพเป็นเสื้อผ้าห่อหุ้มร่างกาย และจะใช้สุสานเป็นที่พักอาศัย”

การสัมผัสของญินและชัยตอน
คำว่า المس ซึ่งมีความหมายว่าสัมผัสนั้นถูกนำมาใช้กับผู้ที่ถูกญิน ชัยตอน หรือมนต์ดำทำร้าย โดยการที่ญินหรือชัยตอนนั้นจะเข้าสิงสถิตอยู่ในร่างมนุษย์ และแน่นอนคำนี้ได้ถูกนำมาใช้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านที่ว่า
 
    “บรรดาผู้กินดอกเบี้ยนั้นจะไม่ทรงตัวยืนขึ้นได้ นอกเสียจากพวกเขาจะทรงตัวยืนประดุจดังผู้ที่ชัยตอนมารร้ายสิงสู่จากการสัมผัส (สิงสถิต)” 

    ได้รายงานมาจากท่านอิบนุอับบาสว่า “แท้จริงมีหญิงคนหนึ่งมาพร้อมลูกชายของนาง แล้วนางก็ได้กล่าวว่า “โอ้ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ แท้จริงลูกชายของฉันคนนี้เป็นคนบ้า เขาจะมีอาการบ้าในตอนรับประทานอาหารกลางวัน และตอนรับประทานอาหารกลางคืน แล้วเขาก็ได้สร้างความเสียหายให้แก่เรา แล้วท่านร่อซู้ล (ศ็อลฯ) ก็ได้ลูบไปที่ตัวเด็กคนนั้นและขอดุอาให้กับเขา แล้วเด็กคนนั้นก็อาเจียนออกมาอย่างมาก สิ่งที่ออกมาจากท้องของเขาคล้ายกับลูกสัตว์สีดำ...”

    สาเหตุที่ญินจะมาสำผัสมนุษย์นั้นมีอยู่หลายสาเหตุ ซึ่งบางทีอาจเป็นเพราะญินนั้นมีความรักใคร่ต่อมนุษย์ผู้นั้น หรือไม่ก็เพราะต้องการที่จะล่อลวงให้หลงผิด และเนื่องจากดังกล่าวนี้ญินจะทำการล่อลวงมนุษย์ด้วยการสัมผัส(สิงสู่)ในร่างกายมนุษย์ พฤติกรรมอันชั่วร้ายของญินนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ นอกเสียจากมนุษย์จะต้องอยู่ในสภาพดังต่อไปนี้
    โกรธจัด - กลัวจัด - ปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ - ห่างไกลจากแนวทางของอัลลอฮฺ - หลงลืมอัลลอฮฺ - หวีดร้อง - ตบหน้าตัวเอง - การเข้าไปในกุโบร์ในยามค่ำคืน
    การสิงสู่ของญินนั้นมีขึ้นหลายรูปแบบ ซึ่งบางทีมันจะสิงสู่โดยการควบคุมประสาททั้งหมดของร่างกายมนุษย์ นั่นหมายถึงมันได้ควบคุมร่างกายทั้งหมด บางทีมนุษย์อาจถูกสิงสู่ในอวัยวะเพียงบางส่วน บางทีอาจจะสิงสถิตอยู่เป็นระยะเวลานาน หรือเพียงไม่กี่นาทีซึ่งจะมาในรูปของฝันร้าย





ออฟไลน์ มาลิกกุ๊กกิ๊ก

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 451
  • เพศ: ชาย
  • คนความรู้น้อย
  • Respect: +4
    • ดูรายละเอียด
Re: ญินในอัลกุรอาน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ก.ย. 15, 2009, 07:53 PM »
0
เครื่องหมายและลักษณะของผู้ที่ถูกญินสิง
 1. เครื่องหมายในขณะตื่น
 - ต่อต้านและห่างไกลการระลึกถึงอัลลอฮฺ
 - รู้สึกงงงัน หลงลืม มึนงง ขี้เกียจ สติแตก
- ไม่มีความหนักแน่นในคำพูดและการกระทำ
- ชอบนอน
- กลัวจากการเข้าใกล้ญาติมิตร
- ร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ
- หลงไหล่ในเสียงเพลงอย่างมาก ทำตัวไร้สาระไปวันๆ
- มีอาการเจ็บปวดอยู่บ่ายครั้งตามร่างกาย เช่น ปวดหัว ปวดตามข้อ ปวดหลัง แน่นหน้าอก
- เกิดความลังเลและสงสัยในอิบาดะฮฺ (ศาสนกิจ) ว่าถูกต้องหรือไม่ ทำแล้วหรือยัง เป็นต้น
- รู้สึกว่ามีสิ่งต่างๆที่ผิดปกติหรือจิตบางอย่างอยู่รอบตัวเขา
- ได้ยินเสียงประหลาดพูดกับเขา หรือเรียกชื่อเขา
2. เครื่องหมายในขณะนอนหลับ
- นอนไม่หลับ วิตกกังวล
- ฝันร้าย
- รู้สึกว่ามีคนต้องการจะฆ่าเขา
- ถูกข่มเหงทางเพศของนอนหลับ
- ฝันว่าสัตว์รุมกัด หรือเข้าจู่โจม หรือเดินตามหลังเขา
- ฝันเห็นโบรถ พระยิว พระคริตส์
- กัดฟันขณะนอนหลับ
- ละเมอพูดหรือเดินโดยไม่รู้ตัว
- ฝันว่าตกจากที่สูง หรือบินอยู่ในอากาศ
- ฝันว่าตกบ่อหรือทะเล หรือตกลงไปในที่ที่มีไฟ
- ฝันว่าอยู่ในกุโบร์ หรืออยู่ในกองมูลสัตว์
- ฝันเห็นมนุษย์มีลักษณะแปลกๆ บางก็สูงหรือเตี้ยจนเกินไป

วิธีการที่ญินจะเข้าสู่ร่างกายมนุษย์
    ญินนั้นก็คือลม และร่างกายมนุษย์ก็มีรูขุมขน ซึ่งญินนั้นสามารถที่จะเข้าไปในร่างกายมนุษว์ได้ทุกที่ ดังที่อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ว่า
                                     
                                              “และพระองค์ทรงสร้างญินจากเปลวไฟ”
    ท่านอิบนุอับบาสได้อธิบายโองการนี้ว่า “อัลลอฮฺทรงสร้างญินมาจากเปลวไฟที่เป็นอากาศร้านที่ออกมาจากไฟ”
    และในขณะที่ญินได้เข้าไปสู่ร่างกายมนุษย์แล้ว มันจะมุ้งไปสู่สมองเป็นอันดับแรก และเส้นทางของสมองนี้เองสามารถที่จะส่งผลต่ออวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกายได้ทั้งหมด

วิธีการรักษา
    ได้มีรายงานจากท่านอิหม่ามอะฮฺมัดในฮาดิษของท่านอุบัยอิบนุกะอฺบฺ (รอฎิฯ) ว่า “ปรากฏว่าฉันนั้นอยู่พร้อมกับท่านนบี (ศ็อลฯ) แล้วมีชาวชนบทคนหนึ่งมา แล้วกล่าวว่า “โอ้นบีของอัลลอฮฺ ! แท้จริงฉันมีน้องคนหนึ่งป่วย ท่านนบีจึงถามว่า “อะไรคือการป่วยของเขา?” ชายคนหนึ่งตอบว่า “เขามีอาการวิกลจริต” ท่านนบีจึงกล่าวว่า “ดังนั้นท่านจงพาเขามาหาฉัน” แล้วชายผู้นั้นก็พาน้องชายของเขามาหาท่านนบี แล้วก็นำเขามาอยู่ระหว่างมือทั้งสองของท่านนบี แล้วท่านนบีก็ขอความคุ้มครองเขาด้วยกับอัลฟาติฮะฮฺ สี่โองการแรกจากอัลบากอเราะฮฺ สองโองการจากส่วนกลางของอัลบากอเราะฮฺ  อายะฮฺกุรซีย์ สามโองการจากท้ายอัลบากอเราะฮฺ หนึ่งโองการจากอาละอิมรอนหนึ่งโองการจากอัลอะรอฟ และท้ายของอัลมุมินูน จนจบ หนึ่งโองการจากซูเราะฮฺอัลญิน สิบโองการจากต้นซูเราะฮฺอัซซอฟฟาต สามโองการจากท้ายซูเราะฮฺอัลฮะชัร กุ้ลฮุวัลลอฮู้อะฮัด กุ้ลอะอูซุบิร็อบบิลฟาลัก กุ้ลอะอูซุบิร็อบบินนาส”

ลักษณะของหมอผู้ทำการรักษา
1. ผู้รักษาต้องมีความเชื่อในหลักความเชื่อในอัลอิสลามอย่างถูกต้อง
2. ต้องทำให้หลักเตาฮีดเกิดขึ้นทางด้านคำพูดและการกระทำ
3. ต้องเชื่อว่าพระดำรัสของอัลลอฮฺนั้นย้อมมีผลต่อญินและชัยตอน
4. ต้องรู้สภาพของญิน
5. ต้องห่างไกลสิ่งต้องห้ามทั้งปวง
6. ต้องเป็นผู้ที่มีความภักดีต่ออัลลอฮฺ
7. ต้องรำลึกต่ออัลลอฮฺอยู่ตลอดเวลาว่าพระองค์ทรงคอยปกป้องเราให้พ้นจากชัยตอนมารร้าย
8. ต้องมีความบริสุทธิ์ต่ออัลลอฮฺ
9. สุนัตให้ผู้รักษาแต่งงานเสียก่อน

กฏเกณฑ์ในการใช้มนต์คาถา (ดุอา) ในการรักษา

1. มนต์คาถาต้องเป็นพระดำรัสของอัลลอฮฺหรือพระนามของพระองค์หรือลักษณะของพระองค์
2. ต้องเป็นภาษาอาหรับ
3. ต้องเชื่อว่ามนต์คาถานั้นไม่สงผลใดๆด้วยกับตัวของมัน แต่ทว่ามนต์คาถานั้นเป็นเพียงสาเหตุเท่านั้น และผู้ที่สงผลให้ให้พ้นจากชัยตอนก็คืออัลลอฮฺเท่านั้น

    สิ่งแรกท่านหมอผู้ทำการรักษาควรทำการทำการลงมือรักษาผู้ป่วยคือ ทำการเตาบัตในบาปที่เคยกระทำมาต่ออัลลอฮฺ แล้วทำการอาบน้ำละหมาด และละหมาดสุนัตสองร่อกาอัตเพื่ออัลลอฮฺโดยเหนียตเพื่อทำการรักษา

วิธีการในการอาบน้ำด้วยกับน้ำอัลกุรอ่าน
1. ต้องทำความสะอาดห้องที่ใช้อาบน้ำ
2. ผู้ป่วยต้องทำธุระส่วนตัว (อุจจาระปัสสาวะ) และให้อาบน้ำละหมาดเสียก่อน
3. ก่อนที่จะทอดเสื้ออาบน้ำให้ผู้ป่วยกล่าว بسم الله الذي لا إله إلا هو
4. ให้ผู้ป่วยอาบน้ำอัลกุรอ่านเริ่มอาบน้ำทางด้านขวาของร่างกาย ต่อมาก็ให้อาบน้ำทางด้านซ้ายจนทั่ว ต่อมาก็ให้อาบน้ำละหมาดด้วยกับน้ำอัลกุรอ่าน
5. หลังจากนั้นก็ให้ผู้ป่วยละหมาดสองร่อกาอัตต่ออัลลอฮฺโดยเหนียตรักษา

สถานที่ออกของญิน
    สถานที่ไม่อนุญาตให้ญินออกจากร่างกายเพราะจะทำให้เกิดอันตรายกับผู้ป่วยได้มีดังต่อไปนี้
ตา – หู – ท้อง – จมูก – ทวารหนัก – ทวารเบา
และสถานที่ที่สมควรที่จะให้ญินออกมีดังต่อไปนี้
นิ้วมือทั้งสอง – นิ้วเท้าทั้งสอง - ปาก

    มีมากมายจากโองการพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานที่สามารถนำมาใช้ในการรักษาและปัดเป่าญินชัยตอนมารร้ายให้ออกจากร่างกายมนุษย์ได้ ซึ่งส่วนใหญ่โองการที่จะถูกนำมาใช้นั้นจะเป็นโองการที่กล่าวถึงความเอกะ ความสามารถของพระองค์อัลลอฮฺ และเป็นโองการที่กล่าวถึงการลงโทษผู้ทรยศต่อพระองค์ต่อคำสั่งใช้ของพระองค์ การรักษานั้นจะสัมฤทธิ์ผลได้นั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นต่ออัลลอฮฺและจิตใจอันบริสุทธิ์ต่อพระองค์เป็นหลักสำคัญ

สิ่งที่ใช้ป้องกันตัวเองจากชัยฏอน
   บ่าวสามารถป้องกันตัวเองจากชัยฏอนและจากความชั่วร้ายของมัน ด้วยดุอาอ์และบทซิกิรที่มีระบุในอัลกุรอานและซุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ ในคำสอนของทั้งสองอย่างนั้นมีสิ่งที่ใช้ในการเยียวยา ความเมตตา ทางนำ และการปกป้องจากความชั่วร้ายต่างๆ ในโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺ ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺตะอาลา ในจำนวนวิธีการป้องกันเหล่านั้นก็คือ
1.การขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่ เพราะแท้จริงอัลลอฮฺได้สั่งรอซู้ลของพระองค์ให้ขอความคุ้มครองต่อพระองค์จากชัยฏอนในสภาวะทั่วๆ ไป และในสภาวะเฉพาะเช่น เมื่อต้องการอ่านอัลกุรอาน เมื่อมีความโกรธ เมื่อมีความลังเล เมื่อฝันร้าย เป็นต้น อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
 
“และหากว่ามีการยุแหย่เจ้าจากชัยฏอนด้วยการยั่วยุใดๆ ก็จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้ได้ยินและผู้รอบรู้ยิ่ง” 
อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
 
“ดังนั้น เมื่อเจ้าอ่านอัลกรุอาน ก็จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจากชัยฏอนที่ถูกสาปแช่ง  แท้จริงมันไม่มีอำนาจใด ๆ เหนือบรรดาผู้ศรัทธา โดยที่พวกเขาได้มอบหมาย(การงาน)ต่อพระเจ้าของพวกเขา”
2.การกล่าวพระนามของอัลลอฮฺ (กล่าว บิสมิลลาฮฺ) การกล่าวพระนามของอัลลอฮฺเป็นการป้องกันจากชัยฏอน และปกป้องไม่ให้มันมายุ่งเกี่ยวปะปนกับมนุษย์เวลาดื่มกิน ยามหลับนอนกับภรรยา เมื่อเข้าบ้าน และทุกๆ อิริยาบทของมนุษย์
จากญาบิรฺ อิบนุ อับดุลลอฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา เล่าว่าได้ฟังท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า
إذَا دَخَلَ الرَّجُلُ بَيْتَـهُ، فَذَكَرَ الله عِنْدَ دُخُولِـهِ، وَعِنْدَ طَعَامِهِ، قَالَ الشَّيْطَانُ: لا مَبِيتَ لَكُمْ وَلا عَشَاءَ، وَإذَا دَخَلَ فَلَـمْ يَذْكُرِ الله عِنْدَ دُخُولِـهِ، قَالَ الشَّيْطَانُ: أَدْرَكْتُـمُ المَبِيتَ، وَإذَا لَـمْ يَذْكُرِ الله عِنْدَ طَعَامِهِ قَالَ: أَدْرَكْتُـمُ المَبِيتَ وَالعَشَاءَ.

“เมื่อชายคนหนึ่งเข้าบ้านของเขา แล้วได้กล่าวถึงอัลลอฮฺตอนเข้าบ้านและตอนทานอาหาร ชัยฏอนก็จะพูดว่า ไม่มีที่หลับนอนและไม่มีอาหารให้เราอีกแล้ว และเมื่อชายคนหนึ่งเข้าบ้านแต่ไม่ได้กล่าวถึงอัลลอฮฺตอนเข้าบ้าน ชัยฏอนก็จะพูดว่า พวกเจ้าได้ที่หลับนอนแล้ว และหากเขาไม่กล่าว ถึงอัลลอฮฺตอนทานอาหาร ชัยฏอนก็จะพูดว่า พวกเจ้าได้ที่หลับนอนและมีอาหารกินแล้ว"

จาก อิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า

لَو أَنَّ أَحَدَكُمْ إذَا أَرَادَ أَنْ يَأْتِيَ أَهْلَـهُ فَقَالَ: بِاسْمِ الله، اللَّهُـمَّ جَنِّبْنَا الشَّيْطَانَ، وَجَنِّبِ الشَّيْطَانَ مَا رَزَقْتَنَا، فَإنَّهُ إنْ يُـقَدَّرْ بَيْنَـهُـمَا وَلَدٌ فِي ذَلِكَ لَـمْ يَضُرَّهُ شَيْطَانٌ أَبَدًا

“หากพวกท่านคนใดคนหนึ่งต้องการหลับนอนมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาของเขา แล้วเขากล่าวว่า บิสมิลลาฮฺ, อัลลอฮุมมัจญ์นิบนัชชัยฏอน วะ ญันนิบิชชัยฏอน มา เราะซักตะนา (ควาหมาย ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ขอทรงโปรดให้เราห่างไกลจากชัยฏอน และให้ชัยฏอนห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ประทานให้เรา) ดังนั้น แท้จริงแล้ว ถ้าหากว่าถูกกำหนดให้มีลูกระหว่างทั้งสองเนื่องด้วย(การมีเพศสัมพันธ์)ในครั้งนั้น ชัยฏอนก็จะไม่สามารถทำร้ายเขา(ลูกคนนั้น)ได้ตลอดไป”

3.การอ่านสองซูเราะฮฺ อัล-มุเอาวิซะตัยน์ คือ ซูเราะฮฺ อัล-ฟะลัก และ ซูเราะฮฺ อัน-นาส เมื่อเข้านอน หลังละหมาด เมื่อเจ็บป่วย และกรณีคล้ายๆ กัน ดังที่มีรายงานจากอุกบะฮฺ บิน อามิรฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า เมื่อครั้งที่เราได้เดินทางกับท่านรอซูลุลลอฮฺ ระหว่าง ญุฮฺฟะฮฺ กับ อับวาอ์ อยู่นั้น ได้เกิดมีลมพัดแรงและฟ้ามืดทึบมาปกคลุม ท่านรอซูลุลลฮฺ ก็ได้ขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺด้วยการอ่านซูเราะฮฺ(الناس)  และ (الفلك) และท่านได้กล่าวว่า

«يَا عُقْبَةُ تَعَوَّذْ بِـهِـمَا فَمَا تَعَوَّذَ مُتَعَوِّذٌ بِمِثْلِـهِـمَا. قَالَ: وَسَمِعْتُـهُ يَؤُمُّنَا بِـهِـمَا فِي الصَّلاةِ.

 "โอ้ อุกบะฮฺ จงขอความคุ้มครองด้วยมันทั้งสอง(สองสูเราะฮฺนี้) เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะใช้ขอความคุ้มครอง(ได้ดีเท่า)เหมือนกับสองซูเราะฮฺนี้" อุกบะฮฺเล่าว่า ฉันได้ยินท่านอ่านสูเราะฮฺนี้ในการเป็นอิมามละหมาดกับเรา”
4.อ่านอายะฮฺ อัล-กุรซีย์
จาก อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้มอบหมายให้ฉันเฝ้าซะกาตของเดือนเราะมะฎอน และแล้วก็มีสิ่งหนึ่ง(คือญินตนหนึ่ง)มาหาฉัน มันได้ขุดคุ้ยหาอาหาร ฉันจึงจับมันไว้และบอกว่า "ขอสาบานว่าข้าจะนำเจ้าไปให้ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม" แล้วท่านก็เล่าหะดีษที่ยาวซึ่งในตอนท้ายของหะดีษมีว่า มัน(ญินที่มาขโมยอาหารนั้น)ได้กล่าวว่า "เมื่อท่านเอนกายลงบนที่นอนก็จงอ่านอายะฮฺ อัล-กุรสีย์ แล้วอัลลอฮฺจะให้มีสิ่งที่คอยเฝ้าพิทักษ์ท่าน และชัยฏอนตัวไหนก็มิอาจจะเข้าใกล้ท่านได้จนกระทั่งรุ่งเช้า

แล้วท่านนบีมุฮัมมัดก็กล่าวว่า

«صَدَقَكَ وَهُوَ كَذُوبٌ، ذَاكَ شَيْطَانٌ»

"มันซื่อสัตย์กับเจ้า ทั้งๆ ที่มันเป็นจอมโกหก นั่นแหล่ะคือชัยฏอน”

5. การอ่านสองอายะฮฺสุดท้ายของสูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ
จาก อบู มัสอูด อัล-อันศอรีย์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า
«مَنْ قَرَأَ هَاتَينِ الآيَتَيْنِ مِنْ آخِرِ سُورَةِ البَقَرَةِ فِي لَيْلَةٍ كَفَتَاهُ».

"ผู้ใดที่อ่านสองอายะฮฺนี้ของท้ายสูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ ในเวลากลางคืน มันจะช่วยคุ้มครองเขา" 

6.การอ่านสูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ
จาก อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่าท่านรอซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า

«لا تَـجْعَلُوا بُيُوتَـكُمْ مَقَابِرَ إنَّ الشَّيْطَانَ يَنْفِرُ مِنَ البَيْتِ الَّذِي تُقْرَأُ فِيهِ سُورَةُ البَقَرَةِ».

"อย่าได้ทำให้บ้านของพวกท่านเป็นเหมือนสุสาน(คือไม่มีการอ่านอัลกุรอานและทำอิบาดะฮฺในบ้าน) แท้จริงแล้วชัยฏอนจะหนีออกจากบ้านที่มีการอ่านสูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ”
7.กล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺ(ซิกิร)ให้มาก ด้วยการอ่านอัลกุรอาน การตัสบีหฺ ตะหฺมีด ตักบีร ตะฮฺลีล เป็นต้น
จาก อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า

مَنْ قَالَ: لا إلَـهَ إلا الله وَحْدَهُ لا شَرِيكَ لَـهُ، لَـهُ المُلْكُ وَلَـهُ الحَـمْدُ وَهُوَ عَلَى كُلِّ شَيْءٍ قَدِيرٌ مِائَةَ مَرَّةٍ كَانَتْ لَـهُ عَدْلَ عَشْرِ رِقَابٍ، وَكُتِبَتْ لَـهُ مِائَةُ حَسَنَةٍ، وَمُـحِيَتْ عَنْـهُ مِائَةُ سَيِّئَةٍ، وَكَانَتْ لَـهُ حِرْزاً مِنَ الشَّيْطَانِ يَومَهُ ذَلِكَ حَتَّى يُـمْسِيَ، وَلَـمْ يَأْتِ أَحَدٌ بِأَفْضَلَ مِـمَّا جَاءَ إلَّا رَجُلٌ عَمِلَ أَكْثَرَ مِنْـهُ.

"ผู้ใดกล่าวว่า ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ วะห์ดะฮู ลา ชะรีกะละฮฺ, ละฮุลมุลก์ วะละฮุลหัมดุ วะฮูวา อะลา กุลลิ ชัยอิน เกาะดีรฺ (ความหมายดุอาอฺ : ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺแต่เพียงพระองค์เดียว ไม่มีภาคีใดสำหรับพระองค์ อำนาจการปกครองและมวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของพระองค์ และพระองค์ทรงอำนาจเหนือสรรพสิ่งทั้งมวล) จำนวนหนึ่งร้อยครั้ง ย่อมเท่ากับ(การปล่อยทาส)สิบคน และถูกบันทึกแก่เขาหนึ่งร้อยความดีงาม และถูกลบล้างแก่เขาหนึ่งร้อยความผิด และมันจะเป็นปกป้องเขาจากชัยฏอนในวันนั้นจนกระทั่งเย็น และไม่มีผู้ใดในวันกิยามะฮฺที่จะนำสิ่งใดๆ อันประเสริฐไปกว่าสิ่งที่เขาได้นำมา(ด้วยการกล่าวบทซิกิรดังกล่าว) นอกจากผู้ที่อ่านมากกว่าเขา" 

8.ดุอาอฺเมื่อออกจากบ้าน
จากอะนัส อิบนุ มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า

إذَا خَرَجَ الرَّجُلُ مِنْ بَيْتِـهِ فَقَالَ: بِاسْمِ الله، تَوَكَّلْتُ عَلَى الله، لا حَوْلَ وَلا قُوَّةَ إلَّا بِاللهِ قَالَ: يُـقَالُ حِينَئِذٍ هُدِيتَ وَكُفِيتَ وَوُقِيتَ فَتَتَنَحَّى لَـهُ الشَّيَاطِينُ، فَيَـقُولُ لَـهُ شَيْطَانٌ آخَرُ: كَيفَ لَكَ بِرَجُلٍ قَدْ هُدِيَ وَكُفِيَ وَوُقِيَ.

 "เมื่อชายผู้หนึ่งออกจากบ้านของเขาและได้กล่าวว่า บิสมิลลาฮฺ ตะวักกัลตุ อะลัลลอฮฺ, ลาเหาละ วะลา กุว์วะตะ อิลลา บิลลาฮฺ (ความว่า ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ฉันขอมอบหมายที่พึ่งยังอัลลอฮฺ ไม่มีความสามารถและพละกำลังใดที่เกิดขึ้นเว้นแต่ด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺ) เมื่อนั้นก็จะถูกกล่าวแก่เขาว่า ท่านได้รับการชี้นำแล้ว ท่านได้รับการคุ้มครองแล้ว ท่านได้รับการปกป้องแล้ว และชัยฏอนทั้งหลายก็จะพยายามเข้าใกล้เขา แต่จะมีชัยฏอนตัวอื่นกล่าว่า เจ้าจะทำอย่างไรได้เล่ากับชายซึ่งได้รับการชี้นำ ได้รับการคุ้มครองและปกป้องแล้ว?"

9.ดุอาอฺเมื่อแวะพักระหว่างทาง
จาก เคาละฮฺ บินตุ หะกีม อัส-สุละมียะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า:

«إذَا نَزَلَ أَحَدُكُمْ مَنْزِلاً فَلْيَـقُلْ: أَعُوذُ بِكَلِـمَاتِ الله التَّامَّاتِ مِنْ شَرِّ مَا خَلَقَ، فَإنَّهُ لا يَضُرُّهُ شَيْءٌ حَتَّى يَرْتَـحِلَ مِنْـهُ».

“เมื่อพวกท่านคนใดคนหนึ่งหยุดพัก(ระหว่างเดินทาง) ณ ที่ใดที่หนึ่ง แล้วเขาก็กล่าวว่า อะอูซุ บิกะลีมาติลลาฮิต ต๊ามมาต, มิน ชัรริ มา เคาะลัก (ความหมาย ฉันขอความคุ้มครองด้วยถ้อยคำอันสมบูรณ์แห่งอัลลอฮฺ จากความชั่วร้ายที่พระองค์ทรงสร้าง) ดังนั้น จะไม่มีสิ่งใดที่ทำร้ายเขาได้ จนกระทั่งเขาเดินทางออกไปจากที่นั้น”

10.พยายามระงับการหาวและใช้มือปิดปาก
จาก อบู สะอีด อัล-คุดรีย์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า

«إذَا تَثَاوَبَ أَحَدُكُمْ فَلْيُـمْسِكْ بِيَدِهِ عَلَى فِيهِ فَإنَّ الشَّيْطَانَ يَدْخُلُ».

"เมื่อพวกท่านคนใดคนหนึ่งหาว ก็จงใช้มือของเขาปิดปากเสีย เพราะแท้จริงแล้วชัยฏอนจะเข้าไป"

จาก อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ

«التّثَاوُبُ مِنَ الشَّيْطَانِ، فَإذَا تَثَاءَبَ أَحَدُكُمْ فَلْيَكْظِمْ مَا اسْتَطَاعَ».

"การหาวนั้นมาจากชัยฏอน ดังนั้นเมื่อพวกท่านคนใดหาวก็จงพยายามระงับมันเท่าที่สามารถทำได้"   

11.การอะซาน
จาก อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า

«إذَا نُودِيَ لِلصَّلاةِ أَدْبَرَ الشَّيْطَانُ لَـهُ ضُرَاطٌ حَتَّى لا يَسْمَعَ التَّأْذِينَ، فَإذَا قُضِيَ النِّدَاءُ أَقْبَلَ، حَتَّى إذَا ثُوِّبَ لِلصَّلاةِ أَدْبَرَ، حَتَّى إذَا قُضِيَ التَّثْوِيبُ أَقْبَلَ، حَتَّى يَـخْطُرَ بَيْنَ المَرْءِ وَنَفْسِهِ، يَـقُولُ اذْكُرْ كَذَا، اذْكُرْ كَذَا لِـمَا لَـمْ يَكُنْ يَذْكُر حَتَّى َيظَلَّ الرَّجُلُ لا يَدْرِي كَمْ صَلَّى».

 "เมื่อมีการอะซานเรียกสู่การละหมาด ชัยฏอนจะหนีไปไกลพร้อมกับตดไปด้วย (วิ่งหนีไปด้วยสภาพเช่นหางจุกตูด) เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงอะซาน เมื่อสิ้นเสียงอะซานมันก็จะกลับมาอีก จนกระทั่งเมื่อมีการอิกอมะฮฺเพื่อละหมาด มันก็จะหนีอีกครั้ง และเมื่ออิกอมะฮฺเสร็จมันก็จะกลับมา จนกระทั่งมันได้เข้าไปรบกวนคนคนหนึ่งกับใจของเขา ด้วยการล่อลวงว่า 'จงนึกถึงสิ่งนี้และสิ่งนั้น' ให้เขานึกถึงสิ่งที่เคยนึกไม่ได้ จนกระทั่งชายคนหนึ่งอาจจะไม่รู้สึกตัวว่าได้ละหมาดไปเท่าไรแล้ว"

12.ดุอาอฺตอนเข้ามัสญิด
จาก อุกบะฮฺ กล่าวว่า อับดุลลอฮฺ อิบนุ อัมร์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุมา ได้เล่าให้เราฟังจากท่านนบี ว่า เมื่อท่านนบีเข้ามัสญิดท่านจะกล่าวว่า

«أَعُوذُ بِالله العَظِيمِ، وَبِوَجْهِهِ الكَرِيمِ، وَسُلْطَانِـهِ القَدِيمِ مِنَ الشَّيْطَانِ الرَّجِيمِ». قَالَ: أَقَطُّ؟ قُلْتُ: نَعَمْ، قَالَ: فَإذَا قَالَ ذَلِكَ قَالَ الشَّيْطَانُ: حُفِظَ مِنِّي سَائِرَ اليَومِ. 

"ข้าขอความคุ้มครองด้วยอัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่ และด้วยพระพักตร์อันทรงเกียรติของพระองค์ และด้วยอำนาจอันดั้งเดิมของพระองค์ จากชัยฏอนผู้ถูกสาปแช่ง" อุกบะฮฺ ถามคนที่ฟังหะดีษ(นักรายงานที่ชื่อ หัยวะฮฺ)อยู่ว่า "ท่านฟังจากฉันเท่านี้เองหรือ?" เขา(หัยวะฮฺ)ตอบว่า "ใช่" อุกบะฮฺ จึงกล่าวต่อไปว่า "เมื่อเขากล่าวดุอาอ์นั้น ชัยฏอนก็จะพูดว่า เขาถูกปกป้องจากฉันวันนั้นทั้งวัน"


    13.การทำวุฎูอฺ(อาบน้ำละหมาด)และเศาะลาฮฺ(ละหมาด) โดยเฉพาะมีความโกรธและมีอารมณ์ใคร่อยากในบาป เพราะไม่มีสิ่งใดที่บ่าวจะใช้ดับความร้อนรุ่มของความโกรธและอารมณ์ใคร่ได้ดีเท่าการอาบน้ำละหมาดและการละหมาด

14.การเชื่อฟังอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ หลีกเลี่ยงจากการดูและพูดเรื่อยเปื่อย การกินที่เกินเลย และการคลุกคลีปะปนที่เกินพอดี

15.ทำให้บ้านปลอดจากรูปภาพ รูปปั้น สุนัข และกระดิ่ง(หรือระฆัง)
จาก อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ วะสัลลัม กล่าวว่า

«لا تَدْخُلُ المَلائِكَةُ بَيْتاً فِيهِ تَـمَاثِيلُ أَوْ تَصَاوِيرُ».

"มลาอิกะฮฺจะไม่เข้าบ้านที่มีรูปปั้นและรูปภาพ"   

จาก อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ กล่าวว่า:

«لا تَصْحَبُ المَلائِكَةُ رُفْقَةً فِيْـها كَلْبٌ وَلا جَرَسٌ».

"มลาอิกะฮฺจะไม่อยู่ร่วมกับผู้เดินทางที่มีสุนัขและกระดิ่ง"

16.หลีกเลี่ยงสถานที่อาศัยของญินและชัยฏอน เช่น ที่ร้าง ที่โสโครกมีนะญิส อาทิ สุขา(หรือสถานที่ปัสสาวะหรืออุจจาระ) ที่ทิ้งขยะ เป็นต้น หรือสถานที่ที่ไม่มีผู้คนอาศัย เช่น ทะเลทราย ชายหาดที่เปลี่ยว เป็นต้น รวมทั้ง คอกอูฐ และ อื่นๆ ในทำนองเดียวกัน


ฮุกุ่มการใช้ญิน
ชัยคฺมุฮัมมัด บิน ซอและฮ์ อัลอุษัยมีน์  ยัรฮุมุฮุลลอฮุตาอาลา  ถูกถามเกี่ยวกับฮุกุ่มการใช้ญิน
เขาตอบว่า
ชัยคุลอิสลาม  อิบนุตัยมียะฮ์  รอฮิมะฮุลลอฮฺ  ได้กล่าวไว้ในเล่มที่ 11 จากหนังสือมัจญ์มั๊วะอฺ อัลฟะตาวา  ซึ่งมีนัยยะความหมายคือ การที่มนุษย์ได้ทำการใช้ญินนั้น  มี 3 สภาพด้วยกัน

สภาพที่หนึ่ง
การที่มนุษย์ใช้ญินเกี่ยวกับการฏออัตต่ออัลเลาะฮ์  เช่นให้ญินเดินเนินการแทนเขาในการเผยแพร่ศาสนา  อาทิเช่น  เมื่อเขามีมิตรสหายเป็ญินที่ผู้มีผู้ศรัทธาได้รับความรู้มาจากเขา  แล้วเขาก็ใช้ญินในการเผยแพร่ศาสนาให้กับมิตรสายทั้งหลายของเขาที่เป็นญิน , หรือให้ช่วยเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่ถูกส่งเสริมในศาสนา  แท้จริงแล้วมันย่อมเป็นสิ่งที่ได้รับการสรรเสริญและถูกบัญชาใ  และมันยังเป็นการเรียกร้องไปสู่อัลเลาะฮ์ อัซซะวะญัลล่า  และญินก็ได้หามาท่านนบี (ซ.ล.)  แล้วท่านก็อ่านอัลกุรอานให้แก่พวกเขา  และพวกเขาก็หวนกลับไปยังกลุ่มชนของพวกเขาโดยทำหน้าที่ผู้คอยตักเตือน  ในญินนั้นมีทั้งบรรดาญินดี  ญินที่ทำอิบาดะฮ์  ญินที่มีความสมถะ  และเป็นญินที่มีความรู้  เนื่องจากผู้ที่ทำหน้าที่ตักเตือนนั้นจำเป็นต้องเป็นผู้รู้ต่อสิ่งที่เขาได้นำมาบอกต่อผู้ทำอิบาดะฮ์

สภาพที่สอง
การที่มนุษย์ใช้ญินในเรื่องต่าง ๆ ที่มุบาฮฺ  ซึ่งดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่อนุญาต  แต่ด้วยเงื่อนไขที่ว่าสื่อที่นำมาใช้ต้องมุบาฮฺด้วย  ดังนั้นหากสื่อที่นำมาใช้เป็นสิ่งที่ฮะรอม  แน่นอนการใช้ญินก็เป็นสิ่งฮะรอม  เช่น  ญินจะไม่รับใช้เขานอกจากเขาต้องกระทำการตั้งภาคีต่ออัลเลาะฮ์  เช่น  เชื่อสัตว์ให้ญิน  หรือก้มรอกั๊วะหรือสุยูดให้แก่ญิน และอื่นๆ

สภาพที่สาม
มนุษย์ใช้ญินในเรื่องที่ฮะรอม  เช่น  ปล้นสดมภ์ทรัพย์สินของผู้คนทั้งหลาย  หรือทำให้ผู้คนหวาดกลัว  และสิ่งที่คล้ายคลึงกับกรณีดังกล่าว  ซึ่งดังกล่าวนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ฮะรอม  เพราะทำให้มีความเป็นศัตรูและอธรรมต่อกัน  จากนั้นหากว่าสื่อ(ในการใช้ญิน)เป็นสิ่งที่ฮะรอมหรือชิริ  การใช้ญินก็ย่อมเป็นบาปใหญ่และรุนแรง



ความรู้เรื่องญินได้ถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์กุรอานเพื่อให้มนุษย์ได้รู้ว่า วิญญาณของมนุษย์กับญินไม่เหมือนกัน วิญญาณมนุษย์เมื่อออกไปจากร่างแล้วก็จะไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งซึ่งมนุษย์ไม่สามารถติดต่อสัมพันธ์ได้ แต่ญินเป็นสิ่งมีชีวิตเร้นลับที่มนุษย์ยังสามารถติดต่อกับมันและใช้ประโยชน์จากมันได้ และถึงแม้ญินจะมีอยู่จริง แต่อิสลามก็ห้ามมุสลิมไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เพราะอาจเกิดความเพลี่ยงพล้ำทำให้ตัวเองและคนอื่นเสียความศรัทธาไปด้วย และหากมุสลิมถูกชัยฏอนรุกราน มุสลิมจะต้องขอความคุ้มครองต่อพระเจ้าเท่านั้น



อ้างอิงจาก

บรรจง  บินกาซัน. “ญิน”ชีวิตที่มองไม่เห็น.http://www.oknation.net/blog/print.php?id=332006. 2551

วิกิพีเดีย. ญิน . http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%99. 2552

Faneen. ชื่อของญิน. http://www.iqraforum.com/forum/index.php?topic=1988.0. 2552

อ.ฮะซัน นาคนาวา,อ.อิสฮาก พงษ์มณี.ญินหรือผี. http://happycare.spaces.live.com/blog/cns!A8D25127AFAF9F30!287.entry. 2552

ดร.ซามีร อัชชานาวีย์ แปลและเรียบเรียงโดย..อะหมัด.ความสามารถของญิน.http://www.ridwanclub.com/subindex.php?page=content&id=273. 2549

อะสัน หมัดอะดั้ม. งานของชัยฏอน. http://www.azsunnah.com/modules.php?name=News&file=article&sid=97. 2552

รัศมีแห่งดวงตา.ช่องทางอื่นที่ทำให้ชัยฏอนสมความปรารถนาhttp://www.annisaa.com/forum/index.php?topic=418.0. 2551

มุหัมมัด อิบรอฮีม อัตตุวัยญิรีย์. แปลโดย.ซุฟอัม อุษมาน.สิ่งที่ใช้ป้องกันตัวเองจากชัยฏอน. http://www.islammore.com/main/content.php?page=sub&category=4&id=1321

Al-azhary. ฮุก่มการใช้ญิน. http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=3258.0. 2551

*********************************************
ดาวน์โหลดไฟล์"ญินในอัลกุรอาน" (.doc)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 29, 2009, 09:30 AM โดย มาลิกกุ๊กกิ๊กแห่งกรุงศรีอโยธยา »

ออฟไลน์ Andalus

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1131
  • เพศ: ชาย
  • บ่าวผู้ต่ำต้อย
  • Respect: +27
    • ดูรายละเอียด
ยาซากัลลอฮฺฮุคอยร๊อน
"โอ้ อัลลอฮฺ ผู้ทรงทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงได้ ขอพระองค์ทรงให้หัวใจของฉันแน่นแฟ้นอยู่บนศาสนา(อิสลาม)ของพระองค์ด้วยเถิด "

ออฟไลน์ เหรียญ 2 ด้าน

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 753
  • เพศ: ชาย
  • เรียบง่าย แต่ไร้เทียมทาน (จิงๆๆ)
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • กัมปงดูกู
 salam

ยาซากัลลอฮฺฮุคอยร๊อน เช่นกัน

วัสสาลาม
ชื่อที่เคยใช้ในบอร์ดคือ ahmdduku, الدوكوي, เหรียญ 2 ด้าน

ออฟไลน์ Beduin

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 24
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
สลาม

มาลิก เด็กยุดยาป่าวเนี๊ยะ

คุ้นๆ

ออฟไลน์ Andalus

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1131
  • เพศ: ชาย
  • บ่าวผู้ต่ำต้อย
  • Respect: +27
    • ดูรายละเอียด
ใช่แล้ว
ผมรู้จักดี
"โอ้ อัลลอฮฺ ผู้ทรงทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงได้ ขอพระองค์ทรงให้หัวใจของฉันแน่นแฟ้นอยู่บนศาสนา(อิสลาม)ของพระองค์ด้วยเถิด "

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
เรียนไหน
หวังว่าคงไม่ใช่ประธานชมรมจุฬาหรอกนะ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Andalus

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1131
  • เพศ: ชาย
  • บ่าวผู้ต่ำต้อย
  • Respect: +27
    • ดูรายละเอียด
มันเรียนรังสิต
นี้และ
"โอ้ อัลลอฮฺ ผู้ทรงทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงได้ ขอพระองค์ทรงให้หัวใจของฉันแน่นแฟ้นอยู่บนศาสนา(อิสลาม)ของพระองค์ด้วยเถิด "

ออฟไลน์ มาลิกกุ๊กกิ๊ก

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 451
  • เพศ: ชาย
  • คนความรู้น้อย
  • Respect: +4
    • ดูรายละเอียด
เรียนไหน
หวังว่าคงไม่ใช่ประธานชมรมจุฬาหรอกนะ

เรียนรังสิตครับ


ออฟไลน์ มาลิกกุ๊กกิ๊ก

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 451
  • เพศ: ชาย
  • คนความรู้น้อย
  • Respect: +4
    • ดูรายละเอียด
สลาม

มาลิก เด็กยุดยาป่าวเนี๊ยะ

คุ้นๆ

แล้วนี่ใครเอ่ย

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
Re: ญินในอัลกุรอาน
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: พ.ย. 25, 2009, 12:48 PM »
0


สถานที่ออกของญิน
    สถานที่ไม่อนุญาตให้ญินออกจากร่างกายเพราะจะทำให้เกิดอันตรายกับผู้ป่วยได้มีดังต่อไปนี้
ตา – หู – ท้อง – จมูก – ทวารหนัก – ทวารเบา
และสถานที่ที่สมควรที่จะให้ญินออกมีดังต่อไปนี้
นิ้วมือทั้งสอง – นิ้วเท้าทั้งสอง - ปาก


 


เคยเห็นหมอไล่ญิน อ่านอายะฮ์อัลกุรอาน จากนั้นใช้ปากวนไปรอบตัวคนที่ถูกญินเข้า
ไปจบที่นิ้วหัวแม่โป้งตรงเท้า แล้วหมอใช้ฟันกัดนิ้วนั้น ซักพักญินก็ออก

ออฟไลน์ กูปีเยาะฮฺสะอื้น

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1679
  • เพศ: ชาย
  • ที่สุดแห่งชีวิต
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
ผมเคยเห้นหมอเรียกออกตรงปลายเท้า
มีหลักเกณฑ์ ยึดหลักการ มีหลักฐาน มั่นหลักธรรม

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
เขาถึงว่า
ให้มุสลิมะฮ์ทาสีเล็บด้วยเฮนน่า
เพื่อป้องกันญินเข้า

เคยได้ยินลางๆ จริงเท็จอย่างไรช่วยทำให้กระจ่างด้วยนะคะ

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
^
ในตำรามีบอกว่า สำหรับสาวที่กำลังจะขึ้นคาน ไม่มีคนมาขอสักที ถ้าเอาน้ำไปอ่านอะไรไม่รู้ลืมแล้ว แล้วเอาน้ำนั้นไปผสมใบอีนา แล้วทาเล็บ ไม่นานก็จะมีคนเข้ามาขอ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

GoogleTagged