ผู้เขียน หัวข้อ: หุกุมของบัสมะละฮฺกับมุมมองที่แตกต่างของอุลามาอฺ  (อ่าน 4420 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
salam  ผมขอร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยคนคับ..บังบาชิร  ผมได้กอ็บมาจากเวปๆหนึ่งที่พวกเขายืนยันว่า บิสมินละนั้นไม่จำเป็นต้องอ่านและจะไม่อ่านดังไม่ว่าเวลาไหนๆ
فائدة :

لَيْسَتْ الْبَسْمَلَةُ آيَةً مِنْ أَوَّلِ كُلِّ سُورَةٍ سِوَى الْفَاتِحَةِ بِلَا نِزَاعٍ قَالَ الزَّرْكَشِيُّ وَغَيْرُهُ : وَلَا خِلَافَ عَنْهُ نَعْلَمُهُ أَنَّهَا لَيْسَتْ آيَةً مِنْ أَوَّلِ سُورَةٍ إلَّا فِي الْفَاتِحَةِ وَجَزَمَ بِهِ فِي الْفُرُوعِ ، وَالرِّعَايَةِ ، وَابْنُ تَمِيمٍ ، وَغَيْرُهُمْ
.

บิสมิลลาฮฺนั้นไม่ใช่อายะฮฺหนึ่งจากต้นสูเราะฮฺต่างๆ ยกเว้น "สูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ" โดยไม่มีข้อขัดแย้ง อัซซัรกะชีย์ และคนอื่นๆ กล่าวว่า : "และไม่มีข้อขัดแย้งในรายงานจากท่าน (อิหม่ามอะหฺมัด) ที่เราทราบ ว่ามัน (บิสมิลลาฮฺ) ไม่ใช่อายะฮฺในต้นสูเราะฮฺต่างๆ นอกจากในต้นสูเราะฮฺอัลฟาติหะฮฺ และเจ้าของหนังสืออัลฟุรูอฺ หนังสืออัรริอายะฮฺ อิบนุตะมีม และคนอื่นๆก็กล่าวเช่นนั้นเช่นเดียวกัน"


تَنْبِيهٌ : ظَاهِرُ قَوْلِهِ ( وَلَا يَجْهَرُ بِشَيْءٍ مِنْ ذَلِكَ ) أَنَّهُ لَا يَجْهَرُ بِالْبَسْمَلَةِ سَوَاءٌ قُلْنَا هِيَ مِنْ الْفَاتِحَةِ أَوْ لَا ، وَهُوَ صَحِيحٌ ، وَصَرَّحَ بِهِ الْمَجْدُ فِي شَرْحِهِ ، وَقَالَ : الرِّوَايَةُ لَا تَخْتَلِفُ فِي تَرْكِ الْجَهْرِ ، وَإِنْ قُلْنَا هِيَ مِنْ الْفَاتِحَةِ.

หมายเหตุ : จากประโยคที่ (เจ้าของมะตันมุกนิอฺนั่นคือท่านอิบนุกุดามะฮฺ) กล่าวว่า "และไม่ต้องอ่านออกเสียงสิ่งเหล่านั้น (อะอูซุบิลลาฮฺ และบิสมิลลาฮฺ) แต่อย่างใด" เข้าใจได้ว่า ไม่ต้องอ่านบิสมิลลาฮฺเสียงดัง ไม่ว่าเราจะกล่าวว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของฟาติหะฮฺหรือไม่ก็ตาม" ซึ่งนี่คือทัศนะที่ถูกต้อง เป็นทัศนะที่ท่านอัลมัจญด์กล่าวถึงในชัรหฺของท่าน และท่านกล่าวว่า "รายงาน (จากอิหม่ามอะหฺมัด) ไม่มีข้อขัดแย้งว่า ไม่ต้องอ่าน (บิสมิลลาฮฺ) เสียงดัง แม้ว่าเราจะกล่าวว่ามันคือส่วนหนึ่งของฟาติหะฮฺก็ตาม"




 hihi:สิ่งที่ผมนำมาข้างบนนั้นรบกวนคุณบาขิรวิจารณ์ด้วยครับ  คือผมสับสนครับกับ เหตุผลและคำอธิบายของพวกเขา party:


ตามที่กล่าวมานั้น ก็คือว่า ตามมัสฮับฮัมบาลีแล้ว ไม่สุนนะฮฺให้อ่านบัสมะละฮฺเสียงดัง แต่อ่านค่อยๆ  และเขาถือว่าบัสมะละฮฺนั้นเป็นส่วนหนึ่งของฟาติฮะฮฺ
นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

ออฟไลน์ อัล-อุม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 92
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
อ้างถึง
تَنْبِيهٌ : ظَاهِرُ قَوْلِهِ ( وَلَا يَجْهَرُ بِشَيْءٍ مِنْ ذَلِكَ ) أَنَّهُ لَا يَجْهَرُ بِالْبَسْمَلَةِ سَوَاءٌ قُلْنَا هِيَ مِنْ الْفَاتِحَةِ أَوْ لَا ، وَهُوَ صَحِيحٌ ، وَصَرَّحَ بِهِ الْمَجْدُ فِي شَرْحِهِ ، وَقَالَ : الرِّوَايَةُ لَا تَخْتَلِفُ فِي تَرْكِ الْجَهْرِ ، وَإِنْ قُلْنَا هِيَ مِنْ الْفَاتِحَةِ.

หมายเหตุ : จากประโยคที่ (เจ้าของมะตันมุกนิอฺนั่นคือท่านอิบนุกุดามะฮฺ) กล่าวว่า "และไม่ต้องอ่านออกเสียงสิ่งเหล่านั้น (อะอูซุบิลลาฮฺ และบิสมิลลาฮฺ) แต่อย่างใด" เข้าใจได้ว่า ไม่ต้องอ่านบิสมิลลาฮฺเสียงดัง ไม่ว่าเราจะกล่าวว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของฟาติหะฮฺหรือไม่ก็ตาม" ซึ่งนี่คือทัศนะที่ถูกต้อง เป็นทัศนะที่ท่านอัลมัจญด์กล่าวถึงในชัรหฺของท่าน และท่านกล่าวว่า "รายงาน (จากอิหม่ามอะหฺมัด) ไม่มีข้อขัดแย้งว่า ไม่ต้องอ่าน (บิสมิลลาฮฺ) เสียงดัง แม้ว่าเราจะกล่าวว่ามันคือส่วนหนึ่งของฟาติหะฮฺก็ตาม"

ในส่วนของอุลามะทัศนะของฮัมบาลีย์นั้นมีทั้งให้อ่านค่อยและดัง ก็ถือว่าเป็นที่เข้าใจ...

  :laugh:  .แต่ทัศนะข้างล่างนี่ซิครับที่ผมไม่ค่อยเคลียร์  อยากให้บังบาชิรอธิบายอีกครั้งหนึ่งครับกับสิ่งที่ผมนำมา   natural:

อ๋อ..ลืมบอกว่า นี่คือทัศนะของพี่น้องวาฮาบีที่ไม่สังกัดทัศนะหนึ่งทัศนะใด แต่เขาบอกว่าสิ่งที่เขายึดนั้นชัดเจนกว่าทุกๆทัศนะ..ตกลงว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่    no:

นี่เป็นทัศนะที่เชคอัลบานีย์ที่ได้ทำการเลือกเฟ้นแล้วเพื่อที่จะให้กับบรรดาผู้ที่รับตามทัศนะในการเลือกเฟ้นของเขา...ว่ามันถูกต้องที่สุด  เขากล่าวว่า...

เหตุผลที่ท่านมีทัศนะว่าสุนนะฮฺให้อ่านค่อยในละหมาดดัง เพราะมีหลักฐานที่ถูกต้องและมีน้ำหนักกว่า (ตามทัศนะของท่าน) โดยที่ท่านยกหะดีษที่ใช้เป็นหลักฐานอ้างว่ามีสุนนะฮฺให้อ่านค่อยเฉพาะดังนี้
ท่านกล่าวในศิฟาตเศาะลาตของท่านว่า
ثم يقرأ : { بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ } ولا يجهر بها
แล้วท่านก็ยกหลักฐานดังต่อไปนี้มาสนับสนุน
1. عن شعبة عن قتادة عن أنس :
أن النبي صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، وأبا بكر ، وعمر رضي الله عنهما كانوا يفتتحون الصلاة بـ : { الحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ العَالَمِينَ } .
أخرجه البخاري (2/180) من " صحيحه " وفي " جزء القراءة " (12) ، ومسلم
(2/12) ، { وأبو عوانة [2/122] } ، والطحاوي (1/119) ، والدارقطني (119) ، والبيهقي
(2/51) ، والطيالسي (266) ، وأحمد (3/179 و 273 و 275) من طرق عنه به ، واللفظ
للبخاري

ولفظ مسلم ، { وأبي عوانة } ، والدارقطني ، والبيهقي، وأحمد في رواية :
صليت مع رسول الله صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ، وأبي بكر ، وعمر ، وعثمان ، فلم أسمع أحداً منهم يقرأ : { بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ } .
وكذلك لفظ الطحاوي ، إلا أنه قال :
يجهر بـ : { بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ } . وهو رواية للدارقطني له . وفي لفظ لأحمد :
فكانوا لا يجهرون بـ : { بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ } .
وكذلك رواه ابن حبان في " صحيحه " ، وزاد :
ويجهرون بـ : { الحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ العَالَمِينَ } - كما في " نصب الراية " (1/327) -

ورواه النسائي (1/144) من طريق عُقبة بن خالد قال : ثنا شعبة وابن أبي عروبة
عن قتادة عن أنس به ، بلفظ :
فلم أسمع أحداً منهم يجهر بـ : { بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ }

(ขอยกสายรยงานเดียวก่อน) ที่เหลือหาอ่านได้ในหนังสืออัศลศิฟะตุสเศาะลาตของอัลบานีย์



หลังจากนั้น ท่านได้รวมหะดีษที่ปฏิเสธการอ่านดังและหะดีษที่ระบุว่าอ่านค่อยโดยยกเอาคำพูดของอัลหาฟิซอิบนุหะญัรในฟัตหุลบารีย์ (2/181) ว่า
" فطريق الجمع بين هذه الألفاظ حملُ نفي القراءة على نفي السماع ، ونفي السماع
على نفي الجهر ، وتؤيده رواية منصور بن زاذان : فلم يسمعنا قراءة : { بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ
الرَّحِيمِ } . وأصرح من ذلك رواية الحسن عن أنس : كانوا يسرُّون بـ : { بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ
الرَّحِيمِ } . فاندفع بهذا تعليل من أعله بالاضطراب - كابن عبد البر - ؛ لأن الجمع إذا
أمكن ؛ تعين المصير إليه " .
แล้วท่านก็สรุปในตอนท้ายว่า
وبذلك يتبين أن حديث أنس حجة في كونه صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كان يسر بالبسملة ، وكذلك
أصحابه الثلاثة ، ومثله حديث عبد الله بن مغفل . وقد قال الترمذي :
" والعمل عليه عند أكثر أهل العلم من أصحاب النبي صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ؛ منهم : أبو بكر وعمر
وعثمان ، وغيرهم ، ومن بعدهم من التابعين ، وبه يقول سفيان الثوري وابن المبارك ،
وأحمد ، وإسحاق ؛ لا يرون أن يجهر بـ : { بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ } ؛ قالوا : ويقولها
في نفسه " .
قلت : وهو مذهب أبي حنيفة ، وصاحبيه - كما حكاه الطحاوي وغيره - ، ونص
عليه الإمام محمد في " الآثار " (15 - 16) ، وبه قال أكثر أصحاب الحديث - كما قال الحازمي (56)
وخالفهم الإمام الشافعي ، وأصحابه ، وبعض من سبقه من الصحابة
والتابعين ؛ فقالوا بالجهر بها ، وأنه السنة
หลังจากนั้นท่านก็ยกหลักฐานต่างๆที่อิหม่ามอัชชาฟิอีย์ใช้เป็นหลักฐานและทำการวิพาษ

สรุปคำวิพากษ์ของท่านคือ หลักฐานของอิหม่ามอัชชาฟิอีย์ มีสองประเภท 1. หะดีษที่เศาะรีหฺ ระบุอย่างชัดเจนว่าท่านนบีอ่านดัง แต่สายรายงานอ่อน

2. หะดีษที่มีสายรายงานเศาะหีห แต่กลับไม่เศาะรีหฺ ไม่มีการระบุว่าอ่านบิสมิลลาฮิดัง ในละหมาดหรือนอกละหมาด

สุดท้ายแล้วท่านก็สรุปว่า ที่ถูกต้องคือทัศนะของอุละมาอ์ส่วนใหญ่ที่ระบุสุนนะฮฺในการอ่านบิสมิลลา คือให้อ่านค่อยไม่ใช่ให้อ่านดัง فالحق ما ذهب إليه الجمهور
من أن السنة الإسرار بها .
ومع هذا ؛ فالصواب أن ما لا يجهر به ، قد يشرع الجهر به لمصلحة راجحة ؛ فيشرع
للإمام أحياناً لمثل تعليم المأمومين ، ويسوغ للمصلين أن يجهروا بالكلمات اليسيرة أحياناً
3.ที่สำคัญท่านอัลบานีสรุปว่า การอ่านบิสมิลลาฮฺค่อยน่าจะสอดคล้องกับสุนนะนบีมากกว่า และอัฟฎ็อลกว่าการอ่านดังเท่านั้นเอง ถึงแม้ว่าบิสมิลลาฮฺจะเป็นหนึ่งในอายะฮฺของอัลฟาติหะฮฺ

แต่ในเมื่อสุนนะฮฺที่มีน้ำหนักกว่า (ตามทัศนะของท่าน) ระบุว่าท่านนบีอ่านค่อย ท่านจึงมีความเห็นว่าอัฟฎอลอ่านค่อย ส่วนการอัลหัมดุลิลลาฮฺ ไปจนถึงท้ายอายะฮฺ มีสุนนะฮฺว่านบีอ่านดัง

ดังนั้น ท่านจึงระบุว่าสุนนะฮฺให้อ่านดัง ด้วยประการฉะนี้ 
 

อ้างถึงบังบาชีร

อ้างถึง
ส่วนอิหม่ามอบูหะนีฟะฮฺถือว่าให้อ่านบัสมะละฮฺแบบเบาๆพร้อมกับการอ่านฟาติฮะฮฺในทุกรอกะอะฮฺ

 และได้ถูกรายงานว่าท่านนั้นอ่านเฉพาะรอกะอะฮฺแรกเท่านั้น

ส่วนทัศนะของอิหม่ามชาฟิอีและอิหม่ามอะฮฺหมัดนั้นวายิบที่ต้องอ่านในละหมาด  ในการอ่านเสียงดัง(ส่งเสริม)ให้อ่านเสียงดัง

 และเสียงเบาก็(ส่งเสริม)ให้อ่านเสียงเบา.

ส่วนสาเหตุที่มีความแตกต่าง ดังที่เราได้กล่าวมาแล้วว่า

بِسْمِ اللهِ الرَّحْمنِ الرَّحِيمِِ เป็นอายะฮฺหนึ่งของอายะฮฺหนึ่งของการเริ่มต้นฟาติฮะฮฺ และการเริ่มต้นของการเริ่มต้นทุกซูเราะฮฺหรือไม่

และอีกสิ่งหนึ่งก็คือความแตกต่างของอาษาร(หะดีษ)ในเรื่องนี้

แล้วใครก็ตามที่ถือว่าบัสมะละฮฺเป็นอายะฮฺหนึ่งของฟาติฮะฮฺ และทุกๆซูเราะฮฺ เช่นอิหม่ามชาฟิอี  ก็ถือว่าจำเป็น(วายิบ)ที่จะต้องอ่านพร้อมกับฟาติฮะฮฺ
 
และใครก็ตามที่ถือว่าบัสมะละฮฺนั้นไม่ใช่อายะฮฺหนึ่งของฟาติฮะฮฺ พร้อมกับยึดหะดีษต่างๆ ที่บ่งบอกว่าไม่มีการอ่านบัสมะละฮฺในละหมาด

 เขาถือว่าห้ามที่จะอ่านในละหมาด เช่นอิหม่าม มาลิก

และใครที่เห็นว่า บัสมะละฮฺนั้น ไม่ได้เป็นอายะฮฺหนึ่งของฟาติฮะฮฺ
 


แต่เท่าที่ผมรู้มาอุลามะของเรา(มัสหับชาฟีอี)กล่าวไว้อย่างนี้ครับ

ท่าน อะนัส บิน มาลิก กล่าวว่า

صليت خلف النبى صلى الله عليه وسلم وأبى بكر وعمر وعثمان فكانوا يفتتحون القراءة بالحمد لله رب العالمين

"ฉันได้ละหมาดตามหลังท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม , ท่านอบูบักร , ท่านอุมัร , ท่านอุษมาน  ซึ่งพวกเขาได้ทำการเริ่มอ่าน อัลฮัมดุลิลลาฮิร๊อบบิลอาละมีน"  ซอฮิหฺ บุคคอรีย์ เล่ม 2 หน้า 265

ท่านอิมาม อัตติรมีซีย์  ได้กล่าวหลังจากรายงานหะดิษนี้ว่า

قال الشافعى : إنما معنى الحديث أن النبى صلى الله عيه وسلم وأبا بكر وعمر وعثمان كانوا يفتتحون القراءة بـ(الحمد لله رب العالمين) معناه : أنهم كانوا يبدءون بقرأة فاتحة الكتاب قبل السورة وليس معناه أنهم كانوا لا يقراءون (بسم الله الرحمن الرحيم) وكان الشافعى يرى أن يبدأ بـ( بسم الله الرحمن الرحيم ) وأن يجهر بها إذا جهر بالقراءة

"ท่านอิมามอัชชาฟิอีย์ กล่าวว่า แท้จริง ความหมายของหะดิษ คือ แท้จริง ท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม , ท่านอบูบักร , ท่านอุมัร , ท่านอุษมาน นั้น

 พวกเขาได้เริ่มอ่าน อัลฮัมดุลิลลาฮิร๊อบบิลอาละมีน  ซึ่งหมายถึง  พวกเขาได้เริ่มอ่าน อัลฟาติหะฮ์ก่อนจากอ่านซูเราะฮ์  แต่หะดิษไม่ใช่หมายความว่า

พวกเขาไม่ได้อ่าน บิสมิลลาฮิรเราะหฺมานิรร่อฮีม และท่านอัชชาฟิอีย์ มีทัศนะว่า ให้เริ่มอ่าน บิสมิลลาฮิรเราะหฺมานิรร่อฮีม และให้อ่านดังด้วยกับมัน เมื่อเขาได้(ละหมาดที่ให้)อ่านดัง" ดู สุนัน อัตติรมีซีย์ เล่ม 2 หน้า 16

ท่านอิมาม อัลค่อฏีบ อัชชัรบีนีย์  กล่าวว่า

وأجيب بأن معني الأول كانوا يفتتحون بسورة الحمد ، ويبينه ما صح عن أنس كما قال الدارقطنى : إنه كان يجهر بالبسملة ، وقال لا ألو أن أقتدى بصلاة النبي صلى الله عليه وسلم

"ตอบจากความหมายหะดิษแรก(ดังกล่าว) คือ พวกเขาเหล่านั้น  ได้เริ่มการอ่าน ซูเราะฮ์ อัลฮัมดฺ  และได้อธิบายกับความหมายหะดิษแรก(ดังกล่าว) โดยสิ่งที่มีรายงานซอฮิหฺจากท่านอะนัส

ตามที่ท่านอัดดารุกุฏนีย์ ได้กล่าวว่า "แท้จริงท่านอะนัสได้อ่าน บิสมิลลาฮิรเราะหฺมานิรร่อฮีม เสียงดัง  และกล่าวว่า ฉันไม่บกพร่องกับการเจริญรอยตาม การละหมาดของท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม"

 ดู  หนังสือ มุฆนีย์ อัลมั๊วะตาจญ์ เล่ม 1 หน้า 308

ได้มีการยืนยันว่า  ท่านอะนัส บิน มาลิก ได้ทำการอ่าน บิสมิลลาฮิรเราะหฺมานิรร่อฮีม  ซึ่งอิมามอัลบุคอรีย์  ได้รายงานว่า  ท่านอะนัสถูกถามเกี่ยวกับการอ่านของท่านนบี ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ท่าน อะนัสกล่าว่า

كانت مداَ ثمّ قرأ بسم الله الرحمن الرحيم يمد ببسم الله ويمد بالرحمن ويمد بالرحيم

"การอ่านของท่านนบีนั้นลากยาว หลังจากนั้น  ท่านนบีได้อ่าน  บิสมิลลาฮิรเราะหฺมานิรร่อฮีม  โดยอ่านยาวกับ บิสมิลลาฮ์ และอ่านยาวกับ อัรเราะฮ์มาน และอ่านยาวกับ อัรร่อฮีม"  ดู  ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 9 หน้า 91


สรุปแล้วบังบาชีรว่า ทัศนะทั้ง4ในเรื่องนี้นั้น อีม่ามท่านใดมีน้ำหนักมากกว่าครับ  แต่เท่าที่อ่านการนำเสนอของบังแล้ว อีม่ามฮานาฟี,อีม่ามชาฟีอี,อีม่ามฮัมบาลีนี่มีมุมมองที่ใกล้เคียงกันมาก

และแตกต่างกับอีม่ามมาลีกีมากคับ

ออฟไลน์ al-ciddix

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 93
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
 salam

เราคงได้แต่ตักตวงความรู้จากบังๆที่มีความรู้ฝ่ายเดียว ละคับ  เพราะเราไม่มีความรู้เท่านกับเขา   loveit:

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
แสดงว่าทัศนะพวกเขาตรงกับมัสฮับฮัมบาลี

ส่วนอัลบานีตัรยีฮฺทัศนะใด มันก็เป็นเรื่องของเขา แต่อัลบานีเป็นนั้นไม่เป็นที่น่าเชื่อถือเพราะเป็นผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีความผิดพลาดมากในวิชาฮะดีษ

ส่วนการตอบโต้ของมัสฮับชาฟิอีเกี่ยวกับฮะดีษที่เริ่มด้วยอัลฮัมดุ หมายถึงเริ่มด้วยซูเราะอัลฟาติฮะฮฺ ดังที่อัลอุมได้อ้างอิงไว้แล้ว

ส่วนกระผมเอง ไม่ใช้อะลุลตัรยีฮฺ เมื่อไม่ใช่อะลุลตัรยีฮฺ ก็ไม่สามารถจะไปตัรยีฮฺอะไรได้ หน้าที่ก็คือตามมัสฮับที่เลือกไว้ก็เท่านั้นเองครับ

นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
ทรรศนะของผม ตามอีหม่ามซาฟีอี
ที่เลือกใช้คือ การอ่าน บิสมิลลาฮิรเราะมานิรรอฮีม

จากตัวอย่างที่ น้องบ่าว อัลอุม ได้นำเสนอไปนั้น ผมขออธิบายเสริมว่า

จากมัซฮับซาฟีอีนั้น ได้เข้าใจประโยคที่ว่า
"ตอบจากความหมายหะดิษแรก(ดังกล่าว) คือ พวกเขาเหล่านั้น  ได้เริ่มการอ่าน ซูเราะฮ์ อัลฮัมดฺ"

ตรงนี้ เสริมว่า อัลฮัม นี้แหละ คือชื่อซูเราะห์ ซึ่งกล่าวถึง ซูเราะห์ อัลฟาติฮะ
ตามที่อุลามะ ได้แบ่งชื่อของมัน ( ฟาติฮะ ) ออกเป็น 13 ชื่อ ด้วยกัน  ( ถ้าจำไม่ผิด อินชาอัลลอฮฺ )
บางอุลามะกล่าวว่ามีถึง 20 ชื่อ !!  และทั่วไปคือ 11 ชื่อ
ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่า การอ่านแรกเริ่มของมันนั้นคือการอ่าน ฟาติฮะ
โดยเริ่มจาก ความเข้าใจที่ว่า บัสมะละ นั้นเป็นส่วนหนึ่ง หรือเป็น อายะแรก ของซูเราะ ( หมายถึงซูเราะนี้มี 7 อายะ )

ซึ่งรายชื่อของ ซูเราะห์นี้นั้น ( เท่าที่จำได้ ) มีดังนี้
1. อัลฟาติหะ         ( บทเริ่มต้น  บทเปิด )
2. อัลฮัม                ( เริ่มต้นแรกของซูเราะ หลังจากบัสมะละ )
3. อุมมุลกรุอาน      ( แม่บทอัลกรุอาน  อุลามะได้อธิบายว่า ซูเราะนี้ ได้สรุปเนื้อหาทั้งหมดในอัลกรุอานไว้เรียบร้อย ซึ่งถูกแบ่งเป็นสามส่วน )
4. อะซอมุลกรุอาน  ( ยิ่งใหญ่ที่สุดในอันกรุอาน )
5. อัฟดอลลุลกรุอาน ( ดีที่สุด ในบรรดาซูเราะต่างๆ )
6. อัซซิฟา              ( เป็นยารักษา ท่านนบีกล่าวว่า "ซูเราะฟาติฮะนี้ สามารถรักษาได้ทุกโรค" )
7. อัลกรุอานนุลอะซีม ( ความยิ่งใหญ่ เป็นบทที่รวมครอบคลุมวิชาการทุกอย่างไว้ทั้งหมด )
8. อัซซอลา             ( บทละหมาด จากฮะดิสที่กล่าวว่า "ไม่ถือเป็นการละหมาด ถ้าไม่อ่านฟาติฮะ" )
9. อัลดุอา               ( บทดุอา หรือการวิงวอนขอ ( ในท้ายของอายะที่กล่าวว่า ขอให้เรานั้นอยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรง อายะที่ 6 ) )
10. อัลวาฟี            ( มีความสมบูรณ์ในบท ไม่มีการแบ่งส่วนออกจากกัน และนี่เป็นซูเราะห์ที่ลงมาพร้อมกันทั้งหมด 7 อายะ )
11. อัลกาฟิ            ( การพอเพียงของซูเราะนี้ ในการทำอิบาดะ เช่นการละหมาด ถือว่าใช้ได้หากได้อ่านอายะนี้แล้ว )
12. อัลอะซาซ        ( ความเป็นรากฐาน ซูเราะแรกในอัลกรุอาน และเป็นซูเราะที่เราจำเป็นต้องรู้ก่อนซูเราะอื่นๆ )
13. อัซซับฮุลมะซานี (  การที่ซูเราะนี้มีทั้งหมด 7 อายะ และถูกอ่านซ้ำไปมาตลอด ( ทุกร๊อกอัต ) )

อีกทั้งยังมีการแต่งเติมชื่อต่างๆ เพี้ยนออกไปอีก เช่นจาก อุมมุลกรุอาน เป็น อุมมุลกิตาบ เป็นต้น...

ดังนั้น จึงเข้าใจได้ว่า การอ่าน อัลฮัม ก็เป็น ชื่อหนึ่ง ของซูเราะห์นี้ อันมากมาย เช่นกัน
ซึ่งสัมพันธ์ กับประโยคที่ ชาวไทยมุสลิมบางท่าน มักจะเรียกว่า อัลฮัม กันเป็นภาษาแต่เดิม
ไม่น่าแปลกที่ ชาวไทยมุสลิม เรียก ซูเราะนี้ว่า อัลอัม ที่ตรงกับ คำวินิจฉัยในมัซฮับซาฟีอี ว่าด้วยเรื่องการอธิบายฮะดิสซูเราะ ที่ใช้ชื่ออัลฮัมนั้น
เนื่องมาจาก พี่น้องมุสลิม ในประเทศไทยนั้น เดิมทีเป็นสายมัซฮับซาฟีอี เสียเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว

วัลลอฮฺอะลัม
วัสลาม...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 22, 2009, 05:55 AM โดย Goddut »

ออฟไลน์ อัล-อุม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 92
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ใช่แล้ว... ถ้อยคำอันจำเริญ "บิสมิลละฮฺ" นั้น ก็คือคลังอันยิ่งใหญ่ที่มันไม่วันสูญสลายตลอดกาล
เพราะด้วยกับถ้อยคำดังกล่าวนั้น เจ้าได้ผูกพันความยากจนของเจ้าไว้กับความเมตตาไพศาลอันเป็นนิรันดร์ซึ่งกว้างใหญ่ยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมด  และด้วยกับถ้อยคำดังกล่าวนั้นเองที่เจ้าได้แขวนการไร้ความสามารถของเจ้าไว้กับพละกำลังความสามารถอันยิ่งใหญ่ที่กุมบังเหียนสรรพสิ่งต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงตั้งแต่อะตอมขี้ประติ๋วไปจนถึงจักรวาลต่างๆ จนกระทั่งทั้งความไร้ความสามารถของเจ้าและความยากจนของเจ้ากลายเป็นคำวิงวอนที่ถูกตอบรับ ณ ผู้ทรงสามารถ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงยิ่งใหญ่
 
 
แท้จริงแล้ว ผู้ใดก็ตามที่เคลื่อนไหว สงบนิ่ง มีชีวิตอยู่ในยามเช้าและยามเย็นด้วยคำว่า "บิสมิลละฮฺ" นั้น ก็เปรียบเสมือนกับผู้ที่เข้าร่วมในกองทัพทหาร และดำเนินการต่างๆ ในนามของรัฐ และไม่เกรงกลัวผู้ใด ทั้งนี้เนื่องจากเขาพูดในนามกฎหมายและในนามของรัฐ ดนั้นการงานของเขาจึงลุล่วงและมีความหนักแน่นยามเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ
ดังนั้น สิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็เช่นเดียวกัน มันได้ทำหน้าที่ของมันในนามของอัลลอฮฺ เช่นที่เมล็ดพันธ์ที่มีขนาดเล็กที่สุดได้แบกต้นไม้อันใหญ่โตพร้อมกับน้ำหนักมหาศาลไว้บนหัวของมันด้วยพระนามของอัลลอฮฺ นั่นก็หมายความว่า
...ต้นไม้ทุกต้นกล่าวว่า "บิสมิลละฮฺ" และทำให้กิ่งก้านสาขาต่างๆ ของมันเต็มไปด้วยผลจากคลังแห่งความเมตตาของอัลลอฮฺ และได้หยิบยื่นผลต่างๆ เหล่านั้นแก่เรา...  
...เรือกสวนต่างกล่าวว่า "บิสมิลละฮฺ" แล้วมันก็กลายเป็นโรงครัวแห่งพละกำลังความสามารถของอัลลอฮฺ ที่อาหารชนิดต่างๆ ได้รับการปรุงแต่งให้สุกงอมในที่แห่งนั้น...  
...และสิงสาราสัตว์ต่างๆ ที่มีความจำเริญและประโยชน์นานัปการ –เช่น อูฐ แพะ และวัว – ก็กล่าวว่า "บิสมิลละฮฺ" ดังนั้นมันก็เริ่มผลิตน้ำนมอันโอชะ และเสนอสารอาหารที่มีประโยชน์และสะอาดที่สุดแก่เราด้วยพระนามของผู้ทรงประทานริสกี (อัรรอซซ็าก)...
...และรากของพืชหรือต้นหญ้าชนิดต่างๆ ได้กล่าวว่า "บิสมิลละฮฺ" และได้ผ่าหินผาอันแข็งแกร่งด้วยพระนามของอัลลอฮฺ และแทรกเข้าไปในหินเหล่านั้นด้วยรากอันอ่อนโยนของมัน... ดังนั้นทุกเรื่องที่ยากเย็นและทุกสิ่งที่แข็งแกร่งก็ง่ายดายเบื้องหน้าพวกมันด้วยพระนามของผู้ทรงเมตตา (อัรเราะฮฺมาน)


ดังนั้นในทัศนะของผมซุเราะอัลฟาติฮะนั้นขาดคำว่าบิสมินละไม่ได้ถ้าเรามองของความเป็นข้าทาสของอัลลอฮ์แต่ในวิชานิติศาสตร์อิสลามนั้นแท้จริงมันแค่ฮุกมที่นักปราชญ์ฟิกฮ์เขากำหนดบนความแตกต่างในสิ่งที่แต่ละทัศนะได้รับหลักฐานมา

เป็นที่รู้ว่า 3มัสหับนั้นจะกล่าวบิสมินละในซุเราอัลฟาติฮะยกเว้นทัศนะของท่านมาลิกที่มีทัศนะวาไม่มีการกล่าวบิสมินละขณะละหมาดและมักกรูถ้าจะกล่าวมัน

นี่คือสิ่งที่นักปราชญืบางกลุ่มได้ละทิ้งความสำคัญของคำที่ประเสริฐอันนี้ ด้วยเอาหลักการขอวิชาฟิกฮ์ที่นักปราชญืในทัศนะกำนดไว้ จริงๆแล้วฮาดิสนั้นตอนแรกๆท่านนบีห้ามหนักหนาเรื่องการบันทึก ด้วยเหตุผลท่านไม่อยากให้เหมือนชาวคัมภีรที่มักจะยกเอาคำพูดของท่านมาสร้างเป็นเงื่อนไขหรือฮุกมศาสนาดดยละทิ้งกาลมุลลอฮ์ของพระผู้ทรงสร้างมนุษย์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 24, 2009, 11:26 AM โดย อัล-อุม »

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
ในส่วนที่ผมเชื่อถือ ( บัสมะละเสียงดัง ) นั้น ยังมีอีกหลายปัจจัยเสริมตามแนวทางของมัซฮับซาฟีอี
จากฮะดิส ที่ว่า ที่ท่านร่อซู้ลกล่าวว่า "พวกท่านจงละหมาด เหมือนอย่างที่เห็นฉันละหมาด"
ดังนั้นเมื่อมารวมความกับฮะดิส อีกบทที่กล่าวว่า "ไม่ถือว่าเป็นการละหมาด สำหรับผู้ที่ไม่อ่านฟาติฮะ"

ในทรรศนะของเรานั้น เลือกที่จะกล่าวว่า ฟาติฮะนั้นมี 7 อายะ และแน่นอนว่า บัสมะละ คือหนี่งในนั้น

เราขอทบทวน สำหรับเรื่องนี้ ที่มีการอ่านเสียงดัง ( ตามที่ได้เสนอไว้แล้ว ) ขอยกยอดมาเพื่อ วิเคราะห์ใหม่ดังนี้
1. หลักจากเรานั้นเลือกทรรศนะ ที่ฟาติฮะนั้นมี 7 อายะ แน่นอนว่าเรานั้น ต้องอ่าน บัสมะละ
2. การอ่านเสียงดังและค่อยนั้น มีทรรศนะที่แตกต่างกัน จากฮะดิสที่เป็นการกระทำของ อบูฮุรอยเราะ และอ้างถึงท่านร่อซู้ลว่า ท่านนั้นอ่านเสียงดัง
3. การอ่านเสียงค่อยนั้น มีหลักฐาน จากฮะดิส ที่ อนัสได้กล่าวว่า ท่านนั้นไม่เคยได้ยินการอ่าน บิสมิลลาฮิรเราะมานิรร่อฮีมดังๆ
4. จากฮะดิสที่ถูกนำเสนอไป ว่าด้วยการอ่าน "อัลฮัม"
5. จากฮะดิสทั้งเสียงเบาและค่อย ทรรศนะหนึ่ง ของอิบนุกอยยิม ได้ชี้แจงว่า เขารวมทั้งสองฮะดิสเข้าด้วยกัน โดยเชื่อว่า บางครั้งท่านร่อซู้ลก็อ่านดัง และบางครั้งท่านก็อ่านค่อย แต่เป็นไปไม่ได้ว่าหากมีสายรายงานทั้งสองต่างกันเช่นนี้ ( คือ ดัง และ ค่อย )
นั่นก็หมายถึง การอ่านบัสมะละนั้น จะต้องมีทั้งสองรูปแบบ โดยเมื่อร่อซู้ล มิได้ทำเป็นประจำแล้ว จึงไม่ได้ถือว่าเป็นซุนนะ

เสริม สำหรับ ทรรศนะมักโระ ที่น้องบซีร ได้กล่าวนั้น เป็นทรรศนะ หนึ่ง ที่เขานั้นไม่ได้รวม บัสมะละ เป็นอายะในซูเราะฟาติฮะ
แต่พวกเขาหมายถึง บัสมะละ นั้นเป็น อายะเอกเทศ ดังนั้นการอ่านมันในละหมาดฟัรดูจึงถือว่าเป็นมักโระ ยกเว้นการละหมาดซุนนะ

จากหลักฐาน ที่เราทบทวนนั้น
ข้อสังเกตุของ การอ่านบัสมะละเสียงดัง หรือค่อยนั้น ก็มีหลักฐานด้วยกันทั้งสิ้น
แต่การอ่านนั้น มีอยู่หลายทรรศนะ อันความว่า "การอ่านที่ค่อยที่สุด คือการขยับริมฝีปาก"

ดังนั้นจากหลักฐานที่กล่าวว่า การอ่านบัสมะละเสียงค่อยนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะหมายถึง "การอ่านแล้วได้ยินเสียงค่อยๆ"
เมื่อเป็นเช่นนี้ฮะดิสที่กล่าวถึงการอ่าน บัสมะละ ด้วยเสียงค่อยๆ นั้น จึงมิได้หมายถึง การอ่านบัสมะละเสียงค่อย ในละหมาดสียงดัง ( ซุบฮฺ มักริบ อีซา )
แต่น่าที่จะเป็น การอ่านเสียงค่อย ในละหมาดบ่าย และเย็น ( ดุฮฺร อัสร ) ซึ่งน่าที่จะให้ความหมายของมันได้ดีกว่า
หมายถึงว่า หากการอ่านเสียงค่อยนั้น ก็จะไม่ได้ยินเสียงของมันในอีกนัยยะหนึ่ง โดยก็จะต้องกล่าวว่า เหมือนกับไม่มีการอ่านมันเลย ( บัสมะละ )

จึงเห็นสมควรว่า การอ่านบัสมะละ เสียงดัง ในละหมาดทั้งสามเวลา ( ไร้ดวงอาทิตย์ ) เป็นเรื่องที่ส่งเสริม
เราจึงเลือกทรรศนะ การอ่านบัสมะละเสียงดัง เป็นแนวทาง ที่ส่งเสริมให้กระทำเมื่อละหมาดฟัรดู เสียงดัง จากอีกหลายๆ ทรรศนะ ที่มีอยู่
วัลลอฮฺอะลัม
วัสลาม

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 salam
ด้วยความเคารพในข้อวินิจฉัยของท่านก็อดดัต ผมเองก็เติบโตมาในแนวทางชาฟิอียฺ ไม่ได้ร่ำเรียนมาทางศาสนาโดยตรง
แต่ก็ติดตามและไฝ่หาความรู้แบบครูพักลักจำ และด้วยการสอบถามแบบตัวต่อตัว ผมเชื่อในแนวทางที่ยึดว่า บิสมิลลาฮฺเป็นอายะฮฺหนึ่งของฟาติหะฮฺ
แต่ในขณะเดียวกันก็โน้มเอียงไปในความคิดเห็น(ที่ได้จากอัลหะดีษ)ของอุละมาอุ์กลุ่มหนึ่งที่ไม่อ่านบิสมิลลาฮฺเสียงดัง
ดังนั้น ที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำขณะนี้ คือ อ่านบิสมิลลาฮฺฯ เสียงค่อย ก่อนอ่านฟาติหะฮฺในการละหมาด ไม่ว่าการอ่านฟาติหะฮฺจะเสียงค่อยหรือดัง
และยอมรับการละหมาดตามอิมามที่อ่านฟาติหะฮฺโดยไม่อ่านบิสมิลลาฮฺ เพราะทางอีสานที่ผมอยู่ อิมามส่วนใหญ่ยึดสำนักหะนะฟียฺ
ในอัลกุรฺอานที่ผมซื้อมาจากร้านในเมืองไทยและคนอื่นซื้อมาฝากจากต่างประเทศเดี๋ยวนี้
ที่ประโยค  بسم الله الرحمن الرحيم   จะไม่มีเลขกำกับอายะฮฺ
แต่จะเริ่มเลขกำกับอายะฮฺ ที่  الحمد لله رب  العـلمين  เป็นอายะฮฺที่ 1
ส่วนอายะฮฺที่ 6 นั้น กำกับไว้ที่   صراط الذين انعمت عليهم  และ  غير المغضوب عليهم ولا الضالين   เป็นอายะฮฺที่ 7
ซึ่งก็ยังสามารถเรียกได้ว่า อัสสับอุลมะซานี คือ อายะฮฺทั้ง 7 ที่ถูกอ่านซ้ำ
والسلام

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
ถ้าเป็นอย่างบังว่าจริง
ก็คงหมายถึง เป็น มัซฮับมะลิกี ที่ไม่ได้นับรวม บัสมะละ เป็นอายะ ของฟาติฮะ

แล้วหากเป็นเช่นนั้นจริง ฮะดิส ที่กล่าวว่า อ่านบิสมิลลา ก็จะตกไป หรือ หมายถึง การอ่านนั้นเป็น มักโระ ในทรรรศนะนั้น นั่นเอง..

วัสลาม

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
มาลิกีนั้นไม่ถือว่าบัสมะละเป็นอายะหนึ่งของอัลกุรอ่านยกเว้นที่อยู่ซูเราะฮฺ อันนัมล์
นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

ออฟไลน์ อัล-อุม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 92
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
สาเหตุในมัสหับของมาลิกีที่เลือกเอาสายรายงานของท่านอนัสที่รายงานว่า  ท่านอนัสเคยละหมาดตามหลังท่านนบี ตามอบุบัก ตามอุมัร ตามอุสมานตามอาลี(รด)  ท่านเหล่านั้นจะเริ่มต้นหรือเปิดด้วย(ซุเราะ) อัลหัมดูลิ้ลา..และพวกเขาจะไม่อ่านบิสมินละทั้งตอนเริ่มและตอนจบ”””

 loveit:ฮาดิสซอหิฮ์แต่เป็นซอฮิแบบมุอัลล้ล..คือสายงานดี แต่สับสน...ตรงประโยคหลังที่ผมขีดเส้นไว้ที่บรรดานักปราชญ์ฮาดิสส่วนมากจะไม่ยอมรับสายรายงานนี้โดยบอกว่า ท่านอนัสไม่ได้กล่าวแต่เป็นการกล่าวของนักฮาดิสยุคหลังๆท่านหนึ่ง   และอีกทั้งมีสายรายงานอื่นมากมายที่ยืนยันว่าท่านบีอ่านบิสมินละก่อนทุกครั้ง   รวมทั้งคำกล่าวยืนยันของท่านอนัสเองว่า ท่านก็จะอ่านบิสมินละในซุเราะอัลหัมดู..ทุกครั้งที่ละหมาด

วัสลาม


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 30, 2009, 10:39 AM โดย อัล-อุม »

ออฟไลน์ เหรียญ 2 ด้าน

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 753
  • เพศ: ชาย
  • เรียบง่าย แต่ไร้เทียมทาน (จิงๆๆ)
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • กัมปงดูกู
ทรรศนะของผม ตามอีหม่ามซาฟีอี
ที่เลือกใช้คือ การอ่าน บิสมิลลาฮิรเราะมานิรรอฮีม

จากตัวอย่างที่ น้องบ่าว อัลอุม ได้นำเสนอไปนั้น ผมขออธิบายเสริมว่า

จากมัซฮับซาฟีอีนั้น ได้เข้าใจประโยคที่ว่า
"ตอบจากความหมายหะดิษแรก(ดังกล่าว) คือ พวกเขาเหล่านั้น  ได้เริ่มการอ่าน ซูเราะฮ์ อัลฮัมดฺ"

ตรงนี้ เสริมว่า อัลฮัม นี้แหละ คือชื่อซูเราะห์ ซึ่งกล่าวถึง ซูเราะห์ อัลฟาติฮะ
ตามที่อุลามะ ได้แบ่งชื่อของมัน ( ฟาติฮะ ) ออกเป็น 13 ชื่อ ด้วยกัน  ( ถ้าจำไม่ผิด อินชาอัลลอฮฺ )
บางอุลามะกล่าวว่ามีถึง 20 ชื่อ !!  และทั่วไปคือ 11 ชื่อ
ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่า การอ่านแรกเริ่มของมันนั้นคือการอ่าน ฟาติฮะ
โดยเริ่มจาก ความเข้าใจที่ว่า บัสมะละ นั้นเป็นส่วนหนึ่ง หรือเป็น อายะแรก ของซูเราะ ( หมายถึงซูเราะนี้มี 7 อายะ )

ซึ่งรายชื่อของ ซูเราะห์นี้นั้น ( เท่าที่จำได้ ) มีดังนี้
1. อัลฟาติหะ         ( บทเริ่มต้น  บทเปิด )
2. อัลฮัม                ( เริ่มต้นแรกของซูเราะ หลังจากบัสมะละ )
3. อุมมุลกรุอาน      ( แม่บทอัลกรุอาน  อุลามะได้อธิบายว่า ซูเราะนี้ ได้สรุปเนื้อหาทั้งหมดในอัลกรุอานไว้เรียบร้อย ซึ่งถูกแบ่งเป็นสามส่วน )
4. อะซอมุลกรุอาน  ( ยิ่งใหญ่ที่สุดในอันกรุอาน )
5. อัฟดอลลุลกรุอาน ( ดีที่สุด ในบรรดาซูเราะต่างๆ )
6. อัซซิฟา              ( เป็นยารักษา ท่านนบีกล่าวว่า "ซูเราะฟาติฮะนี้ สามารถรักษาได้ทุกโรค" )
7. อัลกรุอานนุลอะซีม ( ความยิ่งใหญ่ เป็นบทที่รวมครอบคลุมวิชาการทุกอย่างไว้ทั้งหมด )
8. อัซซอลา             ( บทละหมาด จากฮะดิสที่กล่าวว่า "ไม่ถือเป็นการละหมาด ถ้าไม่อ่านฟาติฮะ" )
9. อัลดุอา               ( บทดุอา หรือการวิงวอนขอ ( ในท้ายของอายะที่กล่าวว่า ขอให้เรานั้นอยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรง อายะที่ 6 ) )
10. อัลวาฟี            ( มีความสมบูรณ์ในบท ไม่มีการแบ่งส่วนออกจากกัน และนี่เป็นซูเราะห์ที่ลงมาพร้อมกันทั้งหมด 7 อายะ )
11. อัลกาฟิ            ( การพอเพียงของซูเราะนี้ ในการทำอิบาดะ เช่นการละหมาด ถือว่าใช้ได้หากได้อ่านอายะนี้แล้ว )
12. อัลอะซาซ        ( ความเป็นรากฐาน ซูเราะแรกในอัลกรุอาน และเป็นซูเราะที่เราจำเป็นต้องรู้ก่อนซูเราะอื่นๆ )
13. อัซซับฮุลมะซานี (  การที่ซูเราะนี้มีทั้งหมด 7 อายะ และถูกอ่านซ้ำไปมาตลอด ( ทุกร๊อกอัต ) )

อีกทั้งยังมีการแต่งเติมชื่อต่างๆ เพี้ยนออกไปอีก เช่นจาก อุมมุลกรุอาน เป็น อุมมุลกิตาบ เป็นต้น...

ดังนั้น จึงเข้าใจได้ว่า การอ่าน อัลฮัม ก็เป็น ชื่อหนึ่ง ของซูเราะห์นี้ อันมากมาย เช่นกัน
ซึ่งสัมพันธ์ กับประโยคที่ ชาวไทยมุสลิมบางท่าน มักจะเรียกว่า อัลฮัม กันเป็นภาษาแต่เดิม
ไม่น่าแปลกที่ ชาวไทยมุสลิม เรียก ซูเราะนี้ว่า อัลอัม ที่ตรงกับ คำวินิจฉัยในมัซฮับซาฟีอี ว่าด้วยเรื่องการอธิบายฮะดิสซูเราะ ที่ใช้ชื่ออัลฮัมนั้น
เนื่องมาจาก พี่น้องมุสลิม ในประเทศไทยนั้น เดิมทีเป็นสายมัซฮับซาฟีอี เสียเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว

วัลลอฮฺอะลัม
วัสลาม...

ขอบคุณมากครับ
ชื่อที่เคยใช้ในบอร์ดคือ ahmdduku, الدوكوي, เหรียญ 2 ด้าน

ออฟไลน์ อัล-อุม

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 92
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด




ลิ้งค์ดาวน์โหลด www.upload.one2car.comในไฟล์เสียงของท่านอจ.กอเซม   มูฮำหมักอาลี  ก็มีการพูดเรื่องนี้โดยละเอียดดีมากทีเดียว


บิสมิลละห์ดัง กุนูตซุบฮิ วิริดหลังละหมาด ซัยยิดนา


และผมถือโอกาสแนะนำลิงค์นี้ เพราะท่านศึกษาในเรื่องปัญหาข้อปลีกย่อยเกี่ยวกับมัสหาละที่คีลาฟกันพอสมควร ท่านเรียน   ที่อัลอัรอัช   อียิปต  23ปีครับ party:

 

GoogleTagged