ผู้เขียน หัวข้อ: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ  (อ่าน 27038 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« เมื่อ: ก.ย. 22, 2009, 01:37 PM »
0

 salam

"สูตรน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพ"

...สูตรน้ำผลไม้ที่ได้จากข้าหลวงประจำพระองค์ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์...

เป็นสูตรน้ำผลไม้ที่ได้จากข้าหลวงประจำพระองค์ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์นะคะ
เป็นสูตรที่ในวังกำลังนิยมกันมาก ในหลวงทรงเสวยทุกวัน ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
มีผิวพรรณสดใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นโรคมะเร็งจะดีมากค่ะ

มีคนแถวบ้านเป็นมะเร็ง อายุประมาณ 80 กว่าแล้วค่ะ ต้องให้คีโม
แต่ปรากฏว่าพอรับประทานน้ำผลไม้สูตรนี้ไปเป็นเวลาประมาณไม่ถึง 1 เดือน
ปรากฏว่ามีผมงอกขึ้น และ แข็งแรงขึ้นมาก จนหมอตกใจ
ลองนำไปปั่นทานกันดูนะคะน่าจะดีต่อสุขภาพไม่มากก็น้อย

ส่วนประกอบก็ราคาไม่แพงมากด้วยค่ะ

สูตรน้ำผักผลไม้

1.แอปเปิ้ล 1 ผล

2.แครอท 1 ลูก

3.ผักสลัด(ผักกาดแก้ว) 3 ใบ

4.ตั้งโอ๋ 2 ก้าน

5.มะนาว 1 ลูก

6.น้ำเสาวรส 1/2 แก้ว (ถ้าไม่มีสดให้ซื้อน้ำเสาวรสกระป๋องก็ได้ค่ะ)

7.น้ำผึ้งแท้ 1/2 แก้ว

8.น้ำเปล่า 1-2 แก้ว แล้วแต่ความชอบ

9.ฝรั่ง 1 ผล

10.มะเขือเทศสีดา (ลูกเล็กๆ) 5 ลูก

11.น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ

นำทุกอย่างมาปั่นรวมกันค่ะ สูตรนี้จะทำได้ประมาณ 1 ลิตร
ในกรณีที่เป็นคนป่วย ให้รับประทานวันละ 1 ลิตร แต่ถ้าดื่มเพื่อสุขภาพเฉยๆ
สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 2-3 วันค่ะ

**ข้อมูลนี้ได้จากอีเมล์ค่ะ ไม่รู้ต้นตอว่าใครเป็นคนนำมา
แต่คิดว่ามีประโยชน์เลยเอามาฝากกัน**

______________________________________________________________

หมายเหตุ:หากทำเองจะอร่อยกว่าที่เขาวางขายอย่างแน่นอนค่ะ


...มีต่อค่ะ...
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ก.ย. 22, 2009, 01:41 PM »
0
ทำไมไม่มียิ้มกว้างๆแล้วล่ะ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ก.ย. 22, 2009, 02:28 PM »
0
ส่วนอันนี้ สำหรับคอกาแฟทั้งหลายค่ะ


อัพเดทความรู้ใหม่ และสลัดความเชื่อเก่าที่ผิดๆ เรื่องกาแฟทิ้ง...
เพราะมันให้คุณมากกว่าโทษ ถ้าคุณรู้จักดื่ม และนี่คือ 6 ข้อเท็จจริงที่เราเอามาบอก

1. ไม่ จริง...ว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน
ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้ ส่งผลให้ทารกแรกคลอดน้ำหนักน้อย
เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านมและกระดูกพรุน
ถ้าคุณดื่มเพียงวันละ 1-2 ถ้วย

2.ไม่รู้ใช่ไหม...กาแฟ ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่
โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ
ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ
และสำหรับนักกีฬาจะช่วยเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน

3.ต้องดื่มบ่อยๆ...สำหรับ ผู้ที่ดื่มกาแฟเพราะต้องการแก้ง่วง
แนะนำให้ดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน
เช่น แทนที่จะดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล.) ในตอนเช้า
ให้ ดื่มเพียงครั้งละ 2-3 ออนซ์ (60-90 มล.) แต่บ่อยขึ้น
กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาที และจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง
และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย

4.กาแฟดีกว่าไวน์และชาสมุนไพร...เมล็ดกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระ
มากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพรที่มากกว่า
เพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ
แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่เท่ากัน
ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของกาแฟ

5.ระวังไว้นิดก็ดี...องค์ประกอบหลักของกาแฟคือ สารกาเฟอีน
ซึ่งเป็นสารกระตุ้นที่มีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น
หรือเต้นผิดปกติในบางครั้ง และเพิ่มความดันโลหิต

งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า
การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันในผู้ที่มียีนขจัดกาเฟอีนช้า ทำให้กาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดกาเฟอีนได้เร็ว
กาแฟก็จะไม่มีผล

6.ดีแคฟ...ไม่ ช่วยอะไร ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดกาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย
แต่นักวิจัยเตือนว่า กาแฟสกัดกาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือด
ให้สร้างแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลตัวร้ายได้
เพราะในกระบวนการสกัดกาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์
ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ๆ ออกไปด้วย
ดังนั้น การดื่มดีแคฟนอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้ว ยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย

อะไรที่มากหรือน้อยเกินพอดีล้วนมีโทษทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยากดื่มกาแฟให้ได้ประโยชน์ก็ต้องเลือกในปริมาณ
และรสชาติที่พอดี แล้วจะมีความสุขกับกาแฟแก้วโปรดไปอีกนานๆ

ที่มา:เมล์จากเพื่อนรักนักรักสุขภาพค่ะ...

ส่วนตัวคนโพสนั้น...ไม่ดื่มกาแฟ เพราะดื่มทีไรใจสั่นทุกที
แต่สามารถโต้รุ่งได้ทั้งคืน ไม่นอนสามคืนก็เคยมาแล้วค่ะ
โดยมีมะนาว มะขาม บ๊วย(เค็ม) และของเปรี้ยวทั้งหลายเป็นเพื่อนคู่กาย
พร้อมกับน้ำผักผลไม้ตามสูตรข้างบนคอยเป็นเพื่อนคู่ใจในยามที่จะง่วง
แต่ว่่าง่วงไม่ได้ งานยังไม่เสร็จ แต่มันเป็นเพื่อนที่มีเอาไว้กินอย่างเดียวนะคะ
เพ่ือนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก...หากไม่ลำบาก อย่าดื่มกาแฟมากจนเกินไปนะคะ
แต่ถ้าติดใจกาแฟเสียแล้ว คงต้องอยู่เป็นเพื่อนกับมันไปอีกนานค่ะ

ปล.แม้ของเปรี้ยวและกาแฟจะมีคุณสมบัติแก้ง่วง ทำให้กะปรี่กะเปร่าเหมือนกัน
แต่ทานของเปรี้ยวเนี่ย ระบบการขับถ่ายดีจนเกินคาด ไม่เหมือนกาแฟว่ามั้ยคะ

ปล.อีกที...หากอยู่ที่ไทย มีผลไม้ห้าชนิดที่ภูมิใจนำเสนอค่ะ
รับรองว่าไม่ง่วงไปอีกหลายวัน นั่นก็คือ...
แห้ว(เดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อเป็นสมหวังแล้ว)
ท้อ
ระกำ
บ๊วย
สละ

คัดสรรมาอย่างดี เพื่อคุณโดยเฉพาะ...
 hehe hehe

แล้วจะนำมาฝากกันอีกนะคะ...


วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^__________________________________^

 loveit: loveit:
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ก.ย. 22, 2009, 02:34 PM »
0
ทำไมไม่มียิ้มกว้างๆแล้วล่ะ

เมื่อกี้พี่ลืมยิ้มอ่ะสิ... ;D

^_______________________________^
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ เหรียญ 2 ด้าน

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 753
  • เพศ: ชาย
  • เรียบง่าย แต่ไร้เทียมทาน (จิงๆๆ)
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • กัมปงดูกู
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ก.ย. 22, 2009, 04:32 PM »
0
 salam

ยิ้มน้อยๆก็พอแล้ว
ชื่อที่เคยใช้ในบอร์ดคือ ahmdduku, الدوكوي, เหรียญ 2 ด้าน

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ก.ย. 22, 2009, 04:48 PM »
0
พระพยอมบอกว่า ยิ้ม1ครั้งแก้มสีชมพู ยิ้ม2ครั้งแก้มจะสีแดง แต่ถ้ายิ้มทั้งวันนั้น ศรีธัญญา
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ก.ย. 23, 2009, 12:56 AM »
0
พระพยอมบอกว่า ยิ้ม1ครั้งแก้มสีชมพู ยิ้ม2ครั้งแก้มจะสีแดง แต่ถ้ายิ้มทั้งวันนั้น ศรีธัญญา

แต่ใครๆก็มักบอกพี่ว่า...เวลาพี่ยิ้มแก้มพี่จะสีดวย...
ยิ่งยิ้มทั้งวันยิ่งสีดวย... :D

มีฟันกี่ซี่เราก็ต้องเอาออกมาโชว์ให้หมด ก่อนจะไม่มีให้โชว์นั้น...hehe

^______________^
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ก.ย. 23, 2009, 03:17 PM »
0
 salam

"ดื่มอย่างถูกวิธีช่วยให้ไกลหมอ"

....ดื่มน้ำอย่างไรให้ถูกต้อง....

เพื่อนๆคิดว่าสุดยอดของการเป็นหมออยู่ที่ไหนครับ
รักษาโรคยากๆได้ยื้อชีวิตของคนที่จะจากเราไปให้อยู่แม้เพียงเฮือกหนึ่ง
ถวายตัวอยู่กับคนไข้ตลอด 24 ชม.

เคยอ่านนิยายกำลังภายในกันไหมครับ เป็นหนึ่งในงานวรรณกรรม
ที่ผมชอบมากเลยครับ โดยเฉพาะเวลา ฉากที่กำลังจะต่อสู้กัน
ถ้าสนใจจะเริ่มอ่านขอแนะนำฤทธิ์มีดสั้นของโกวเล้งครับ

"มีดสั้นในมือของลี้คิมฮวงนั้นหากปล่อยออกจากมือไม่เคยพลาดเป้ามาก่อน"
เพียงแค่คำเล่าลือนี้ก็สามารถสะกดศิษย์วัดเสี้ยวลิ่มยี้แปดร้อยคน
ที่โอบล้อมเขาไว้ให้ไม่กล้าแม้กระทั่งผ่อนลมหายใจลี้คิมฮวง
เพียงแค่ถือมีดไว้ในมือเล่มเดียวทว่าชนะ
ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ออกกระบวนท่าเสียด้วยซ้ำครับ

ที่ร่ายมานี้เพียงเพื่อที่จะบอกว่ายอดฝีมือสามารถช่วงชิงชัยได้
โดยไม่แม้แต่ออกกระบวนท่าเป็นชัยชนะที่ ไม่ต้องเปลืองแรงเลยสักนิด
แต่กว่าจะมีความสำเร็จถึงขั้นนี้ได้ต้องมีการฝึกฝนมา อย่างยาวนาน
ใช่เพียงหัดเล่นๆ ชั่วค่ำคืน

นี่แหละครับที่ทำให้ผมคิดว่าสุดยอดของการเป็นหมอคือการไม่ต้องรักษาคนไข้ครับ
ไม่จำเป็นต้องใช้ มีดผ่าตัด จับชีพจร ฝังเข็มหรือว่าจ่ายยารักษาโรค
โดยไม่ต้องออกกระบวนท่าใดๆก็ คือ การป้องกันก่อนเกิดโรคนั่นเอง

ที่จะเน้นให้เห็นก็คือ การรักษาโรคที่เกิดขึ้นโดยไม่เปลี่ยนพฤติกรรมของคนไข้
เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ ต่อให้เป็น หมอจีนที่พยายามปรับร่างกายแบบองค์รวมก็เถอะ
เพราะเมื่อเรารักษาคนไข้จนหายโดย ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมของคนไข้นั้น
เชื่อได้เลยครับว่าเดี๋ยวเราก็จะได้เจอกันอีกและหนึ่งในพฤติกรรม
ที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ
เรื่องของการดื่มน้ำ นี่แหละครับ

ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ

1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว
    ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น

เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ
พร้อมที่จะรู้ความผิดของตัวเองหรือยังครับ


ข้อหนึ่งนั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ
ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ
เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่ง เพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน

ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำ
วันละ8-10 แก้ว ว่าแต่ ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า
น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน

น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก
ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ
แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกาย
อย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสีย
ออกจากร่างกายได้หมด

นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร
หรือ 1 ลิตร ต่อวัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชย
ส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว (แก้วละ 200 มล.)
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ

ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไร
จึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
สูตรคือ

(น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ

เช่นหนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้ ควรดื่มน้ำ(60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล.
หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ

ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก
ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกันสารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า
ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่ เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย
บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด
ปวดประจำเดือน ก็แหงละครับน้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ
แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ

ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็น
เป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไป
การทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อยอาหาร บูดเน่า
หมักหมมอยู่ในกระเพาะ และลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้
กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไป เรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา

เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้
แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อนทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น
เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกัน จนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ
แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลย ครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว

ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหน
ระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไปจิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จ
หมดน้ำไปสองแก้ว ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ
เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ

คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว
เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย
ผิด ผิด ผิด ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ

เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้อง อาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร
เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้วน้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็น
คืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูดเข้าเส้น เลือด เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ

ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้วเพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ
ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร
ก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที
ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่ง แก้วครับ

ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ
และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆหาขวดน้ำแก้วน้ำ
มาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ
ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียว
ปัสสาวะออกไปหมดแล้ว อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ
เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด
แล้วจะเอาอะไรกักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆ
แล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ

ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด
เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ เพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย
(กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ) หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน
กินแล้วหวานมันเย็น อร่อยแต่ส่งผลเสีย ต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว

เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไปทุกวันนี้เลิกครับ
ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้า เลิกเบียร์กันไป

แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป
แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ
กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ
พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ

นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับ
โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น
มีสองเหตุผลครับ

หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ
ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เหล่านี้
ไม่ได้พอไปถึงลำไส้ถึง คิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ
เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทาน ก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม.ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน
สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อยอาหารด้วย

เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ
ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็น เข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี
เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน

มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว
ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ

ทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก
ดื่มทุกวันไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้ สะอาดหนักกว่าเดิม

เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้
อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง

ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆ
แล้วคุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร

อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก
กินเข้าไปมี แต่ผลเสียครับ ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี
เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ

พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาล
และคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกา
ก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม.ครับ
เพราะชา มีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกาย
ในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย
กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ
"กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผม ไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ
เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้วผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง

อีกอย่างขอแถมนิดนึง คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ
อร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ

ครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน
เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน555 ว่าไปนั่น

ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆครับ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง
เพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่บอกครับ

หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง
เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่วข้ามคืน
แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน

สุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ ได้ยามาทานแล้วหาย
แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง

ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ

ปล. If you trust me ก็นำไปปฏิบัติตามนะครับ อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันครับ
คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก

ที่มา:เมล์จากเพื่อนอีกแล้วค่ะ...อิอิ...
เห็นว่ามีประโยชน์เลยนำมาแปะค่ะ

เพราะคนโพสเคยโดนหมอยิ้มหวานให้ตอนตรวจฉี่มาแล้วอ่ะสิคะ
หมอจิ้มไปที่ผลตรวจฉี่ แล้วพูดว่า "ไม่ชอบทานน้ำล่ะสิ"
ตอนนั้นมีฟันกี่ซี่ก็โชว์ให้หมอดูหมดไม่เหลือสักซี่เดียว
พร้อมนึกในใจ แค่ฉี่เนี่ยนะ ทำให้หมอรู้ว่าเรามีนิสัยการดื่มยังไงได้...
เก่งจริงๆเลยหมอ...เพิ่งเจอกันครั้งแรกก็เล่นเดานิสัยเราได้ขนาดนี้...
แถมยังสั่งอีกว่า...ถ้าไม่ดื่มน้ำเยอะๆ หน้าจะเหี่ยวเร็ว(สะท้านเลยทีนี้)
หมอขู่...ไม่แค่นั้นนะคะ...ยังย้ำอีกว่า...
ถึงน้ำเปล่ามันจะจืด แต่มันก็มีประโยชน์กว่าน้ำชนืดอื่นๆ แล้วเธอคิดว่า
ระหว่างน้ำเค็มกับน้ำจืดอย่างไหนมีมากกว่ากัน...ด้วยความรู้ท่วมหัว
แต่เอาตัวไม่รอด ฉันตอบหมอไปว่า...น้ำเค็มค่ะ เพราะว่าทะเลมีมากกว่าพื้นดิน...
หมอยิ้มหวานให้ฉันอีกแล้ว...แล้วเธอชอบน้ำแบบไหนมากกว่าล่ะ...
...น้ำจืดค่ะหมอ...ตอบพร้อมคิดในใจ หมอจะให้เราดื่มน้ำทะเลหรือไง...
คราวนี้หมอโชว์ฟันครบสามสิบสองซี่ของหมอแล้วบอกว่า

...งั้นเธอก็ด่ืมน้ำจืดให้เยอะๆ ยิ่งมีน้อยๆอยู่...

ตอนนั้นมึนมาก ไม่เข้าใจหมอ หรือว่าเราแปลภาษาญี่ปุ่นของหมอไม่เข้าใจกันแน่
...เอาเถอะ กลับไปค่อยเปิดพจนานุกรมเช็คอีกที...ฉันเลยพยักหน้าเอาไว้ก่อน
เถียงไปก็ไม่ชนะ โดนน็อกตั้งแต่คำถามแรกแล้วอ่ะค่ะ...

พอกลับบ้านไปก็หาข้อมูลเกี่ยวกับฉี่ ด้วยสงสัยว่าทำไมหมอถึงรู้
ว่าเราไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า...ปรากฏว่าบรรลุเลยค่ะ...

เพราะผลการตรวจฉี่นั้น ไม่ได้บอกแค่ปริมาณน้ำตาลในเลือดอย่างเดียว
แต่สามารถบอกถึงสภาพการทำงานของไต และวินิจฉัยโรคบางโรคได้ด้วย
เพราะไตคือตัวกรองของเสียในร่างกายและขับของเสียออกมาเป็นฉี่นี่เอง

แล้วไอ้ที่หมอพูดถึงน้ำทะเลเนี่ยก็ว่าคมใช้ได้เลย...
เพราะว่า น้ำจากป่าเขาหรือต้นน้ำบนผืนดินหรือน้ำจืดนั้นจะไหลจากที่สูง
ลงสู่ที่ต่ำ ระหว่างนั้นมันก็จะพัดพาตะกอนและสิ่งต่างๆบนหน้าผืนดิน
พร้อมกับกัดเซาะตลิ่ง พัดพาทุกสิ่งจนไหลมารวมกันที่ทะเลนั่นเอง...

เลยแอบคิดในใจเล่นๆว่า...
หมอเขาต้องการบอกเรารึเปล่าว่า...น้ำทะเลคือฉี่ของแผ่นดิน!!!555
หมอถึงได้รู้ดีนักว่าในฉี่เราบอกอะไรหมอได้บ้าง มีตะกอนอะไรอยู่ในฉี่...

หลังจากนั้นก็พยายามดื่มน้ำเยอะๆค่ะ ไม่กระหายก็ดื่มค่ะ...
เพื่อน้ำทะเลจะได้ไม่เค็มจนเกินไป...อิอิ...

และมีอีกเรื่องหนึ่งที่สงสัยแต่ไม่กล้าทดลอง นั่นก็คือ
...ฉี่เราจะเค็มเหมือนฉี่ของแผ่นดินอย่างน้ำทะเลหรือเปล่านา...555

แต่ที่แน่ๆ...น้ำตาเอย น้ำมูกเอยก็เค็มไม่แพ้น้ำทะเลเลยล่ะค่ะ...ชิมมาแว้ววววววว...


วัสลามุอะลัยกุมค่ะ
 
@____________@


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ย. 23, 2009, 03:24 PM โดย dho_dho »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ก.ย. 23, 2009, 03:49 PM »
0
ยายเคยบอกว่า ถ้าอยากรู้เป็นเบาหวานหรือเปล่า ให้ชิมฉี่ดู ถ้าหวานแสดงว่าเป็นเบาหวาน ไม่ก็ฉี่ทิ้งไว้ไม่ต้องล้าง ถ้ามดมาตอมก็เป็นเบาหวาน
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ก.ย. 24, 2009, 01:50 AM »
0
 salam

ว่าแต่อิลฮามเคยลองชิมรึยัง...
พี่นั้นใจไม่หาญพอ...อิอิ...
รอคนมาคอนเฟิร์มรสชาติอยู่นิ...ว่าเค็มเหมือนน้ำทะเลหรือเปล่า  :-X
(เอาแบบที่ไม่เป็นเบาหวานนะจ๊ะ)

ปล.เคยได้ยินมาว่า ฉี่เป็นยารักษาโรคอะไรสักอย่างนี่แหล่ะ
ได้มาจากหนังเรื่องนึง  hehe
เห็นว่าฝรั่งเค้ากินฉี่รักษาโรคนา...จริงรึเปล่าไม่รู้ แต่คงทำใจยากน่าดู
ถ้าต้องกินฉี่ตัวเอง ว่ามั้ยจ๊ะอิลฮาม...อิอิ...

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^___________________________________^

ขอยิ้มกว้างๆอีกสักที ไม่ศรีธัญญาหรอก
เพราะว่าใครๆมักบอกพี่ว่า พี่ยิ้มแล้วแก้มจะสีดวย...
ยิ่งยิ้มทั้งวันยิ่งสีดวย(อย่าไปเชื่อพระพยอมเชียว ไม่จริงเลย...อิอิ)

 loveit: loveit:
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ก.ย. 24, 2009, 03:57 AM »
0
ผมว่าอย่าไปเชื่อไอคนที่บอกว่าสีดวยนั่นแหละ 5555

เคยได้ยินเหมือนกันเห็นเขาบอกว่า ฉี่เด็กเป็นยา
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ เหรียญ 2 ด้าน

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 753
  • เพศ: ชาย
  • เรียบง่าย แต่ไร้เทียมทาน (จิงๆๆ)
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • กัมปงดูกู
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: ก.ย. 24, 2009, 11:54 AM »
0
คนแก่เขาก็เคยบอกมาเหมือนกัน
ชื่อที่เคยใช้ในบอร์ดคือ ahmdduku, الدوكوي, เหรียญ 2 ด้าน

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: ก.ย. 24, 2009, 06:15 PM »
0
วิธีดูแลสุขภาพของตัวเองไม่มีอะไรมากค่ะ
ทำกับข้าวกินเอง เน้นผัก หรือไม่ก็แกงส้มใส่ผักเยอะๆ
ดื่มน้ำอุ่นคะ ไม่ดื่มน้ำเย็น เพราะเสียวฟัน  hehe
กาแฟก็กินนะคะ  เช้า สองแก้ว  บ่ายๆ ชานมร้อน  เย็นๆ อาจเป็นกาแฟได้อีก
น้ำผลไม้ไม่จำกัด  มีอะไรในตู้เย็น จับมาปั่นหมด อ้อ...เหยาะเกลือเข้าไปนิดส์ กลมกล่อมดีค่ะ
ออกกำลังกายทุกวันค่ะ งานบ้านทุกอย่างทำหมด ได้เหงื่อสุดๆ
หลัง 6 โมงเย็น ไม่ค่อยกินอะไรค่ะ แต่ถ้ากินก็อืดได้เหมือนกัน เอาเป็นว่า ไม่แน่นอน อะไรล่อใจก็จัดการได้หมด
เป็นคนกินเยอะค่ะ  ไม่ค่อยกินจานเดียว มักสองจานขี้นไป น้ำหนักไม่เคยเกิน 48
อาหารเสริมก็ทานนะคะ แค่อย่างเดียว คือ ใบบัวบกสกัดผสมวิตามินอี และซี 
กินแล้วไม่เพลีย ก็เรยกินมาตลอด
สำคัญก็คือ มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ อย่าซีเรียส เพราะถ้าซีเรียสกับบางสิ่ง  ริ้วรอยจะถามหาได้ค่ะ โดยเฉพาะรอบดวงตา cool2:

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: ก.ย. 26, 2009, 08:45 AM »
0
สำคัญก็คือ มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ อย่าซีเรียส เพราะถ้าซีเรียสกับบางสิ่ง  ริ้วรอยจะถามหาได้ค่ะ โดยเฉพาะรอบดวงตา cool2:

 salam

 loveit: loveit:

ขอบคุณค่ะก๊ะ... hehe

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^____________^

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: ก.ย. 26, 2009, 09:09 AM »
0
 salam

ไข่ ไข่ ไข่ ไข่ ไข่...เชิญมากินไข่...
มาเร็วๆไวๆ ไข่ปิ้งใบโตโต้...

วันนี้เอาเรื่องไข่มาฝากกันค่ะ
หลายท่านอาจจะทราบแล้ว และอาจจะมีหลายท่่านที่ยังไม่ทราบ
ว่าควรทานไข่แค่ไหนถึงจะปลอดภัย


น้อยกว่า 3 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ไม่เพียงพอ

การไม่ทานไข่อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้นะ
ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12
ซึ่งดีต่อร่างกายมากกว่าปริมาณมาตรฐานที่แนะนำ ให้บริโภคต่อวันเสียอีก
"วิตามินบี 12 จำเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท"
อะแมนดา เออร์เซลล์ นักโภชนาการและผู้เขียนหนังสือ
Complete Guide to Healing Foods กล่าว
"ถ้าขาดวิตามิน เส้นใยประสาทอาจถูกทำลายจนฟื้นฟูกลับคืนมาไม่ได้"

นอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณโดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกา
ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า
การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตา
ที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีน
ซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ ในไข่แดง
จะช่วยบำรุงจอประสาทตานั่นเอง


6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี
ไข่เจียวถือเป็นยาบำรุงร่างกายได้เลย เพราะนอกจากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณ
ดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน
แถมปริมาณสารซีลีเนียมและวิตามินอี ในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ
ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย
ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า
คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่
ในมื้อเช้าได้ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน

"โปรตีนในไข่จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มขึ้น ถึง 50 เปอร์เซนต์
และยังทำให้คุณลดปริมาณมื้อเที่ยงที่ทานโดยเฉลี่ยได้อีก164 แคลอรี่"
นิคิล ดูเรนดาร์ ผู้เขียนงานวิจัยกล่าว แต่ถ้าคุณอยากสร้างกล้ามเนื้อ
ก็ไม่ต้องกังวล เพราะงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทกซัสเอแอนด์เอ็ม พบว่า
การทานไข่วันละ 3 ฟอง เป็นเวลา 2 วัน ต่อสัปดาห์จะช่วยหนุ่มนักเล่นเวตทั้งหลายสร้างกล้ามเนื้อที่ปราศจากไขมันได้เป็น 2 เท่าในช่วงเวลา 12 สัปดาห์

แล้วเรื่องคอเลสเตอรอลที่เล่าลือกันล่ะ "จริงค่ะ ไข่มีคอเรสเตอรอล"
พาเมลา ไดสัน นักโภชนาการแห่งสมาคมโภชนาการประจำสหราชอาณาจักร กล่าว

"แต่จัดว่ามีผลน้อยมากต่อการเพิ่มระดับคอลเรสเตอรอลในเลือด
เมื่อเทียบกับปริมาณไขมันอิ่มตัวที่คุณบริโภคอยู่ทุกวัน"

นอกจากนี้ผลการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ของมหาวิทยาลัยคอนเนติคัตยังพบว่า
การทานไข่ช่วยลด คอเรสเตอรอล LDL (ไม่ดี) เพิ่มคอเรสเตอรอล HDL (ดี)
และลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมองได้


6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี
ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution
ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้ายได้เหมือนกัน
ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกัน ทุกวัน "
ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ทำให้มีอันตรายถึงชีวิต

ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์
จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซนต์"
ดร.ไมเคิล กาเซียโน แห่งคณะแพทยศาสตร์ของฮาร์วาร์ด
ซึ่งเป็นผู้เขียนรายงานการวิจัย กล่าวว่า ที่สำคัญคือ สำหรับหนุ่มที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว
ไข่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ดังนั้นคำพูดที่ว่าทานไข่วันละฟอง
อาจทำให้คุณไม่ป่วยไข้และห่างไกลหมอ ข้อนี้เฉพาะในกรณีที่คุณตรวจสุขภาพ
เป็นประจำ และร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วเท่านั้น

ขอบคุณที่มา : นิตยสาร Mens Health

(รับมาอีกทอดจากเมล์ของเพื่อนรักค่ะ)...

__________________________________________________

สุขภาพหาซื้อไม่ได้ หากอยากมีสุขภาพที่ดี ต้องดูแลรักษาด้วยตัวเองเป็นดีที่สุดค่ะ

ปล.คนโพสก็ชอบทานไข่ โดยเฉพาะในเวลาเร่งรีบ ไม่เคยนับหรอกค่ะ
ว่าทานสัปดาห์ละกี่ฟอง รู้แต่ว่า บางสัปดาห์ที่ยุ่งสุดๆ  ไข่ที่ซื้อมาหายไปท้ังแพ็ค...
 hehe hehe แต่พอได้รู้ ก็พยายามระวังมากขึ้นค่ะ เชื่อหมอไว้ก่อน...อิอิ...

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^____________^
 loveit:
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged