ผู้เขียน หัวข้อ: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ  (อ่าน 27589 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: ก.ย. 26, 2009, 09:19 AM »
0

ต่ออีกสักเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญค่ะ


อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

จากการอบรม เรื่องเกี่ยวกับการทำ GMP ของโรงงานผลิตอาหารต่างๆ
วิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้าน Clean food มีเกร็ดต่างๆมาเล่าให้ฟัง
เลยสรุปมาเล่าสู่กันฟัง พอเป็นสังเขป จริงๆมีมากกว่านี้

1. พวกขนมปังปี๊บ กระบวนการผลิตบางแห่งไม่ดี ไส้สับปะรด
เป็นมันแกวหรือพืชอื่น ๆ กวนใส่น้ำตาลและใส่กลิ่นกับแกนสัปปะรดไปนิดหน่อย

2. เชอรี่บนขนมเค้กราคาถูกตามตลาดสด คือ มะเขือเปาะฟอกสีจนใสเป็นวุ้น
แล้วย้อมสีแดง (ผงฟอกสีทำให้เป็นโรคไต) พวกที่ใช้สารฟอกสีอื่นๆ
เช่น มะม่วงกวน (แผ่นใส ๆ) ยอดมะพร้าวขาว ๆ

3. ซูชิในตลาดนัดที่อากาศร้อน แบคทีเรียจะเจริญเติบโตเร็ว ชูชิต้องเสริฟเย็นเท่านั้น

4. เอแคลร์กับลูกชุบ หรือขนมอะไรที่ต้องมีการปั้น ๆ ถู ๆ ต้องพึงระวังสุขอนามัย
ควรซื้อกับร้านค้าที่รู้จักหรือมีชื่อเสียงเท่านั้น

5. ลูกอมสีอื่น ๆ เช่น ฟ้า เขียว ม่วง เป็นสีที่ขาย ไม่ดีไม่ควรซื้อ
เพราะใช้สีที่เก็บไว้นาน ทานลูกอมสีแดง ขาว ได้

6. ปลายหน้าร้อนต่อต้นหน้าฝน ไม่ควรกินอาหารทะเล
เพราะฝนเริ่มตกจะชะฝุ่นบนพื้นดินลงทะเลและสัตว์ทะเลจะกินเข้าไป
จะมีแต่ไวรัส แบคทีเรีย โอกาสท้องเสียมีสูง

7. พวกอาหาร Pack สำเร็จมา wave ที่บ้าน wave ได้ ครั้งเดียวเท่านั้น
ไม่ควรล้าง Package มาใส่ wave ซ้ำเพราะสารพิษจะออกมา

8. โยเกิร์ตต่างๆ จะมีแป้งผสมอยู่ประมาณ 20% ควรทานโยเกริ์ต Home made
ถ้วยเล็ก ๆ (ลองหยดไอโอดีนพิสูจน์ดูก็ได้ จะพบว่าโยเกริ์ตเป็นสีน้ำเงิน)

9. น้ำปลาเปิดขวดแล้ว ควรมีอายุการใช้ไม่เกิน 1 เดือน

10. ระวังเชื้อราตามคอขวดที่เปิดแล้วต่าง ๆ

11. กระดาษหนังสือพิมพ์ อย่าเอามาห่อผักแช่ตู้เย็น (มีสารพิษ จากหมึก)

12. อาหารกระป๋องถ้าใช้ไม่หมดควรเอาออกจากกระป๋องใส่ภาชนะอื่นแช่ตู้เย็น

13. ฟองน้ำล้างจานที่มีน้ำยาผสมน้ำทิ้งไว้ (เป็นน้ำๆ) ทิ้งไว้ได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง แบคทีเรียจะขึ้น ควรเททิ้งไป

14. อาหารหมักดองต้องระวังมีไวรัสที่ทำลายกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
ผักกาดดองตามท้องตลาด
ในโรงงานบางแห่งจะมีกระบวนการผลิตที่ไม่สะอาด (ใช้คนลงไปในอ่างดอง)

15. มันกุ้ง เต็มไปด้วยสารพิษ และคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีเป็นพิษกับร่างกาย
เพราะมันกุ้งคือสารพิษที่ขับออกมาจากตัวกุ้งนั่นเอง บางทีมีสารตะกั่วด้วย

ที่มา:เมล์ฟอร์เวิร์ดค่ะ เห็นว่ามีประโยชน์ไม่น้อยเลยเอามาฝากกันค่ะ

__________________________________________________

วัสลามุอะลัยกุมวะเราะมาตุลลอฮฺวาบาเราะกาตุ

^____________________________________^

 loveit:
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: ก.ย. 29, 2009, 01:52 PM »
0
 salam

ปวดท้องตรงไหน เป็นอะไรกันแน่ (ชีวจิต)


    อาการปวดท้องมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ แต่ส่วนมากเราจะไม่ค่อยรู้สาเหตุ
ว่าปวดเพราะอะไร ทนได้ก็ทน แค่ถ้าทนไม่ได้ถึงจะกินยาแก้ปวด

มูลนิธิหมอชาวบ้านจึงให้คำแนะนำว่า หน้าท้องแข็งเป็นดาน กดแล้วเจ็บ
หรือกดแล้วท้องยุบลงไป แต่เจ็บทันทีที่ปล่อยมือ มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้
อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ ปัสสาวะไม่ออกหรือถ่ายเป็นเลือด หน้าซีด เป็นลม
ตัวเย็น เหงื่อออก ไม่รู้สึกตัว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตัวเหลือง อ่อนเพลีย
เหนื่อยง่าย หรือข้อใดข้อหนึ่ง ต้องรีบไปหาหมอทันที

เราสามารถแบ่งบริเวณที่ปวดท้องได้เป็น 9 ส่วน คือ


1. ชายโครงขวา คือ ตับและถุงน้ำดี

อาการที่พบมักจะกดแล้วเจอก้อนแข็งร่วมกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง
ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า อาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี
เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ

2. ใต้ลิ้นปี่ คือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่

- ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ

- ปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ

- คลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต

- คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่


3. ชายโครงขวา คือ ม้าม ซึ่งมักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณนี้


4. บั้นเอวขวา คือท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่

- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ

- ปวดร้าวถึงต้นขา อาจเป็นนิ่วในท่อไต

- ปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น อาจเป็นกรวยไตอักเสบ

- คลำเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นไตโตผิดปกติหรือเนื้องอกในลำไส้ใหญ่

5. รอบสะดือ คือ ลำไส้เล็ก มักพบในโรคท้องเดินหรือไส้ติ่งอักเสบ
(ก่อนจะย้ายมาปวดท้องน้อยขวา) แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้อง
ก็อาจเป็นเพราะกระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ

6. บั้นเอวซ้าย คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ (เหมือนข้อ 4)

7. ท้องน้อยขวา คือ ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก

- ปวดเกร็งเป็นระยะ ร้าวมาที่ต้นขา อาจเป็นเพราะมีก้อนนิ่วในกรวยไต

- ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก มักเป็นไส้ติ่งอักเสบ

- ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว มักเป็นเพราะปีกมดลูกอักเสบ

- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ

8. ท้องน้อย คือ กระเพาะปัสสาวะและมดลูก

- ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย มักเป็นเพราะ
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการปวดประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรัง
ในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจเป็นเนื้องอกในมดลูก

9. ท้องน้อยซ้าย คือ ปีกมดลูกและท่อไต

- ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต

- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ

- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ

- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้

ขอบคุณที่มา:นิตยสารชีวจิต

ลองสำรวจอาการก่อนไปพบหมอดูนะคะ
บางคร้ังอาจมองเป็นเรื่องเล็ก แต่ปัญหาเล็กๆก็พร้อมจะเป็นปัญหาใหญ่ได้เสมอ
หากเราประมาทค่ะ...

ขออัลลอฮฺทรงประทานสุขภาพพลานามัยที่ดีแก่ตัวเราและพี่น้องทุกคนค่ะ อามีน

และเมื่อยามป่วย...

"อัลฮัมดุลิลละฮฺ"

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^___________^



"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ เหรียญ 2 ด้าน

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 753
  • เพศ: ชาย
  • เรียบง่าย แต่ไร้เทียมทาน (จิงๆๆ)
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • กัมปงดูกู
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: ก.ย. 29, 2009, 03:40 PM »
0
salam

ปวดท้องตรงไหน เป็นอะไรกันแน่ (ชีวจิต)


    อาการปวดท้องมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ แต่ส่วนมากเราจะไม่ค่อยรู้สาเหตุ
ว่าปวดเพราะอะไร ทนได้ก็ทน แค่ถ้าทนไม่ได้ถึงจะกินยาแก้ปวด

มูลนิธิหมอชาวบ้านจึงให้คำแนะนำว่า หน้าท้องแข็งเป็นดาน กดแล้วเจ็บ
หรือกดแล้วท้องยุบลงไป แต่เจ็บทันทีที่ปล่อยมือ มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้
อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ ปัสสาวะไม่ออกหรือถ่ายเป็นเลือด หน้าซีด เป็นลม
ตัวเย็น เหงื่อออก ไม่รู้สึกตัว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตัวเหลือง อ่อนเพลีย
เหนื่อยง่าย หรือข้อใดข้อหนึ่ง ต้องรีบไปหาหมอทันที

เราสามารถแบ่งบริเวณที่ปวดท้องได้เป็น 9 ส่วน คือ


1. ชายโครงขวา คือ ตับและถุงน้ำดี

อาการที่พบมักจะกดแล้วเจอก้อนแข็งร่วมกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง
ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า อาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี
เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ

2. ใต้ลิ้นปี่ คือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่

- ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ

- ปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ

- คลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต

- คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่


3. ชายโครงขวา คือ ม้าม ซึ่งมักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณนี้


4. บั้นเอวขวา คือท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่

- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ

- ปวดร้าวถึงต้นขา อาจเป็นนิ่วในท่อไต

- ปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น อาจเป็นกรวยไตอักเสบ

- คลำเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นไตโตผิดปกติหรือเนื้องอกในลำไส้ใหญ่

5. รอบสะดือ คือ ลำไส้เล็ก มักพบในโรคท้องเดินหรือไส้ติ่งอักเสบ
(ก่อนจะย้ายมาปวดท้องน้อยขวา) แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้อง
ก็อาจเป็นเพราะกระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ

6. บั้นเอวซ้าย คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ (เหมือนข้อ 4)

7. ท้องน้อยขวา คือ ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก

- ปวดเกร็งเป็นระยะ ร้าวมาที่ต้นขา อาจเป็นเพราะมีก้อนนิ่วในกรวยไต

- ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก มักเป็นไส้ติ่งอักเสบ

- ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว มักเป็นเพราะปีกมดลูกอักเสบ

- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ

8. ท้องน้อย คือ กระเพาะปัสสาวะและมดลูก

- ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย มักเป็นเพราะ
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการปวดประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรัง
ในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจเป็นเนื้องอกในมดลูก

9. ท้องน้อยซ้าย คือ ปีกมดลูกและท่อไต

- ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต

- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ

- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ

- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้

ขอบคุณที่มา:นิตยสารชีวจิต

ลองสำรวจอาการก่อนไปพบหมอดูนะคะ
บางคร้ังอาจมองเป็นเรื่องเล็ก แต่ปัญหาเล็กๆก็พร้อมจะเป็นปัญหาใหญ่ได้เสมอ
หากเราประมาทค่ะ...

ขออัลลอฮฺทรงประทานสุขภาพพลานามัยที่ดีแก่ตัวเราและพี่น้องทุกคนค่ะ อามีน

และเมื่อยามป่วย...

"อัลฮัมดุลิลละฮฺ"

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^___________^





ขอบคุณครับ
ชื่อที่เคยใช้ในบอร์ดคือ ahmdduku, الدوكوي, เหรียญ 2 ด้าน

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: ต.ค. 02, 2009, 11:39 AM »
0
ตู้เย็นที่บ้านจะมีนมสดตั้งไว้เป็นแกลลอน บางทีก็ดื่มแทนน้ำ 
อยากสูงค่ะ  แต่กินเท่าไหร่ก็ยังเหมือนเดิม
ลืมไปว่า...อายุเกินเกณฑ์ที่จะสูงได้อีกแล้ว
ไม่น่าเรยค่ะ...รู้งี้กินแทนน้ำตั้งแต่อยู่ประถมก็คงดี
เล่าสู่กันฟังน่ะ...เวลาย้อนกลับไปไม่ได้
ตอนนี้ก็เรยต้องดื่มเพื่อเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกาย
แก่ตัวไป กระดูกกระเดี้ยวจะได้ไม่ผุ ลูกหลานไ่ม่ต้องคอยจูง  ;D

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: ต.ค. 03, 2009, 07:50 PM »
0
ตู้เย็นที่บ้านจะมีนมสดตั้งไว้เป็นแกลลอน บางทีก็ดื่มแทนน้ำ 
อยากสูงค่ะ  แต่กินเท่าไหร่ก็ยังเหมือนเดิม
ลืมไปว่า...อายุเกินเกณฑ์ที่จะสูงได้อีกแล้ว
ไม่น่าเรยค่ะ...รู้งี้กินแทนน้ำตั้งแต่อยู่ประถมก็คงดี
เล่าสู่กันฟังน่ะ...เวลาย้อนกลับไปไม่ได้
ตอนนี้ก็เรยต้องดื่มเพื่อเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกาย
แก่ตัวไป กระดูกกระเดี้ยวจะได้ไม่ผุ ลูกหลานไ่ม่ต้องคอยจูง  ;D


 salam

เป็นคนนึงที่แสลงกับนมวัวและนมจากสัตว์ค่ะ...
ดื่มไม่ได้ต้ังแต่เด็กเลยค่ะ...เคยถูกบังคับให้ดื่มค่ะ เพราะว่าพ่ออยากให้โต
อยากให้สูง ขนาดพยายามหานมสดๆมาต้มปรุงเองด้วยการใส่ใบเตยหอม
เพื่อลดกลิ่นคาวบ้าง ใส่ช็อกโกแลตผสมให้ดื่มบ้าง พ่อจะทำสารพัดเลยล่ะค่ะ
แต่ก็ดื่มไม่ได้อยู่ดีค่ะ...แม้จะอร่อย แต่พอดื่มก็ต้องอาเจียนออกมา
กลายเป็นเครื่องดื่มล้างท้องไปโดยปริยาย  hehe
โยเกิร์ตก็เคยพยายามทานดู ก็อาการเดียวกันกับนมวัว(ตอนนั้นไม่รู้ค่ะว่า
โยเกิร์ตเขาทำมาจากนม เห็นเพื่อนกินก็อยากกินมั่ง ปรากฏว่ากินไม่ได้
เลยรู้ทันทีว่าต้องทำมาจากนมจากสัตว์แน่ๆ...อิอิ)

แต่ว่าชอบดื่มน้ำเต้าหู้ค่ะ นมถั่วเหลืองอะไรพวกนี้จะชอบมากๆค่ะ
ทานกับปาท่องโก๋นี้สุดยอดเลยค่ะ....

วันนี้เลยเอาเรื่องประโยชน์ของนมถั่วเหลืองมาฝากกันค่ะ

 loveit: loveit:
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: ต.ค. 03, 2009, 07:53 PM »
0

"โซ้ยถั่วเหลืองบ่อยๆลดเสี่ยงอัมพาต"


ถั่วเหลืองอาหารเสริมสมอง ลดอัมพฤกษ์อัมพาต

การกินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง 50 กรัม/สัปดาห์ขึ้นไป ลดเสี่ยงสโตรค
(stroke = กลุ่มโรคหลอดเลือดสมองแตก-ตีบตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต) ได้
โดยลดภาวะหลอดเลือดตีบตัน

คนที่กิน 300 กรัม/สัปดาห์ขึ้นไปดีที่สุด, รองลงไปเป็น 50-300 กรัม/สัปดาห์
และ 50 กรัม/สัปดาห์ตามลำดับ

ศ.โคลิน บินส์ และคณะจากมหาวิทยาลัยเคอร์ทิน (Curtin U of Technology) ทำการวิจัยร่วมกับโรงพยาบาล 3 แห่งทางตอนใต้ของจีน

สโตรคเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบตัน 70%, หลอดเลือดแตก 30%,
ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองทำให้ความเสี่ยงสโตรคชนิดตีบตันลดลง

การศึกษานี้พบว่า การกินถั่วเหลืองทั้งเมล็ดหรือนมถั่วเหลืองให้ผลดีที่สุด
ผลิตภัณฑ์ เช่น เต้าหู้ ฯลฯ ให้ผลดีรองลงไป

ทีมวิจัยนี้พบว่า การดื่มชาเขียวลดเสี่ยงสโตรคมาแล้วเช่นกัน


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: ต.ค. 03, 2009, 08:09 PM »
0
นมถั่วเหลือง... ทางเลือกของคนแพ้นมวัว ไข่ อาหารทะเล

คนยุคใหม่ต้องใส่ใจเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน
ซึ่งของดีราคาแพงใช่ ว่าจะมีประโยชน์ไปซะทุกอย่าง

ยุคนี้ต้องกินอย่างฉลาด อย่าง “นมถั่วเหลือง” เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
ราคาไม่แพง รสชาติอร่อย หาซื้อได้ง่าย ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ
เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่รักสุขภาพทุกคน

เพื่อเป็นการย้ำคุณค่าทางอาหารของถั่วเหลือง รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล
อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ข้อมูลว่า


      ถั่วเหลืองเป็นแหล่งไขมันและโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
รวมทั้งอุดมไปด้วยสารอาหาร อีกมากมาย อาทิ คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม
ฟอสฟอรัส วิตามินเอ, บี, บี 1, บี 2, บี 6, บี 12, ไนอาซิน
และในเมล็ด ถั่วเหลืองยังมีเลซิทิน ซึ่งเป็นสารบำรุงสมอง
เพิ่มความทรงจำ ลดไขมันและ คอเลสเทอรอลในร่างกายได้อีกด้วย

ข้อมูลจาก:ไทยรัฐ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: ต.ค. 03, 2009, 08:24 PM »
0
คุณค่ามหัศจรรย์จากโปรตีนถั่วเหลือง


    เริ่มต้นเช้าวันใหม่ของคุณกับคุณค่าของ "ถั่วเหลือง"
ที่ได้รับยกย่องให้เป็นแหล่งอาหารคุณภาพที่ดีเท่าเทียมกับเนื้อสัตว์

เพราะไม่เพียงมี โปรตีน ที่มากกว่าเนื้อสัตว์โดยรวมถึงเกือบ 1.5 เท่า
ในถั่วเหลืองยังมี แคลเซียม ที่ช่วยให้กระดูกแข็งแรง
ช่วยการทำงานของระบบประสาท และจุดเด่นที่สำคัญคือ เส้นใยอาหาร
ซึ่งดีต่อระบบขับถ่าย ช่วยดูดซับสารพิษ และช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด
ได้ดีกว่าเนื้อสัตว์


     นอกจากนี้ในถั่วเหลืองยังอุดมด้วยคคุณค่าอีกมากมาย อาทิ วิตามินอี
และ กรดไขมันจำเป็น ที่จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส รวมทั้ง เลซิธิน (Lecithin) สารประกอบของฟอสฟอรัสกับไขมัน ที่ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัว
โรคหัวใจ และช่วยบำรุงสมอง

ล่าสุดยังพบสารที่มีฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเพศหญิงที่ชื่อ ซอย ไอโซฟลาโวนส์
(Soy Isoflavones) ซึ่งช่วยป้องกันและลดความรุนแรงของโรคกระดูกพรุน
ลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง

รวมถึงลดอาการบางอย่างอันเนื่องมาจากฮอร์โมนขาดหายหรือผิดปกติ
เช่น ความรู้สึกไม่สบายตัว และอาการหงุดหงิดของผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน


ที่มา : Nestle


แต่ที่ญี่ปุ่นและหลายๆที่วิจัยออกมาว่า

"ถั่วเหลืองกินมากไปไม่ดี"


     ถั่วเหลืองเป็นหนึ่งในอาหารที่เรียกว่า "ซูเปอร์ฟู้ด"
เพราะสามารถต้านโรคมะเร็งทรวงอก ทำให้กระดูกแข็งแรง
และให้ผู้ที่เป็นเมนโนพอสมีอาการดีขึ้น

ซึ่งปัจจุบันถั่วเหลืองถูกแปลงรูปให้อยู่ในรูปแบบต่างๆ
เช่น นมถั่วเหลือง เต้าหู้ โยเกิร์ต ชีส ฯลฯ


     จีนเป็นชาติแรกที่เพาะปลูกถั่วเหลือง โดยนำมาใช้ทั้งทำเป็นยาและอาหาร
ซึ่งปีที่แล้วจีนต้องนำเข้าถั่วเหลืองจากประเทศต่างๆ นับล้านตัน
เพราะที่เพาะปลูกไม่เพียงพอที่จะบริโภคในประเทศ


     ปัจจุบันในอุตสาหกรรมอา หารนำถั่วเหลืองเข้าไปเป็นส่วนประกอบ
ของสินค้ามากขึ้น โดยอยู่ในชื่อ "แป้งถั่วเหลือง" "น้ำมันพืช"
"โปรตีนคอนเซนเทรต" "เลซิธิน" "แพลนต์ สทีรอล" ฯลฯ

ผู้คนหลายล้านคนเชื่อว่าถั่วเหลืองเป็นพืชที่ดีต่อสุขภาพ
เนื่องจากให้โปรตีนที่ไม่มีกรดไขมันอิ่มตัว ไม่เพิ่มระดับคอเลสเตอรอล



      อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานพบมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า
ถั่วเหลืองอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ เช่น จากการศึกษาลิงเพศผู้
ที่กินนมถั่วเหลืองของมหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก ประเทศอังกฤษ พบว่า
ลดระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนในลิงลดลง

   
      การศึกษาหลายชิ้นของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นยังพบว่า

"ถั่วเหลืองเข้าไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์
โดยเข้าไปกั้นไอโอดีนที่จำเป็นต่อต่อมไทรอยด์ ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่ม
อ่อนเพลีย อารมณ์แปรปรวน ผู้ที่เป็นโรคไทรอยด์จึงได้รับการแนะนำว่า
ไม่ควรรับประทานหัวกะหล่ำ ถั่วลิสง หัวเทอร์นิปส์ ไพน์นัต
เพราะเป็นพืชที่เข้าไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์เช่นเดียวกับถั่วเหลือง


   ดร.มาริลิน เกลนวิลล์ นักโภชนาการ ผู้แต่งหนังสือเรื่อง
"Nutritional Health Handbook For Women" แนะนำว่า

"การรับประทานอาหารต้องรับประทานแต่พอดี
เพราะถั่วเหลืองจะดีต่อสุขภาพถ้าเราไม่ทานมากเกินไป
คือ วันละ 30 กรัม เป็นจำนวนที่กำลังเหมาะ"

ที่มา:ข่าวสด


_____________________________________________

ดังนั้น การจะบริโภคอะไรนั้น ควรบริโภคแต่พอดีค่ะ
เพราะหากมากไปแทนที่เราจะได้ประโยชน์จากสิ่งนั้น
อาจจะกลายเป็นโทษมหันต์ก็เป็นได้ค่ะ...

ปล.นมถั่วเหลืองไม่สามารถดื่มทดแทนสารอาหารจากนมจากสัตว์ได้หมดค่ะ
ดังนั้นหากดื่มได้ทั้งสองอย่าง ทั้งนมจากสัตว์และนมจากพืช
ท่านจะเป็นผู้ที่โชคดีมากๆเลยค่ะ แต่ว่าทุกอย่างต้องพอดีนะคะ...

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^____________^


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: ต.ค. 20, 2009, 12:25 PM »
0
 salam

ขอนำเสนอเรื่อง"สายตาดีได้โดยไม่ต้องพึ่งแว่น"
เรียบเรียงโดย วิจักขณา
ชุด อาหารและสุขภาพ



ดวงตาเป็นสิ่งมีค่าสำหรับทุกคน
เราทุกคนรู้จักกับโรคตา อาการบกพร่องของดวงตาสารพัดแบบ
มานานเท่าๆกับที่เรารู้จักแว่นตา
ความเชื่อเก่่าๆก็คือ เมื่อตาเสียไปแล้ว ไม่ว่่าจะสั้น จะยาว ฯลฯ
ก็แก้ไขไม่ได้ ต้องพึ่งแว่นตาตลอดไป...

ความจริงที่คนจำนวนมากพบก็คือ

..ย่ิงใส่แว่นนานสายตาก็ยิ่งแย่ลง...

ความจริงใหม่ที่ค้นพบก็คือ..แว่นตานั้นเราโยนมันทิ้งได้...
อาการบกพร่องทางสายตานั้นก็แก้ไขได้...
โดยไม่ต้องใช้แว่นตา...โดยไม่ต้องผ่าตัด...

วิธีการรักษาที่เป็นธรรมชาติ...การรักษาอย่างถูกจุด...
และเป็นการถาวร...

ดอกเตอร์เบทิสจะชี้ให้เห็นว่า สายตาที่แย่ของคนเรานั้น
สามารถเยียวยาให้ดีขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์
ด้วยเพียงการปรับการกินและการอยู่ของเราให้ถูกต้องเท่านั้นเอง

นี่คือมิติใหม่ของผู้คนนับล้านที่ต้องพึ่งพาแว่นสายตา

...มาโยนแว่นตาทิ้งกันเถอะ...

มีต่อค่ะ

 
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: ต.ค. 20, 2009, 12:31 PM »
0
สาเหตุของสายตาที่ผิดปรกตินั้น
เกิดจากอาการเกร็งของกล้ามเนื้อเป็นเวลานานๆ
ซึ่งอาการเกร็งนั้นก็เกิดจากความเครียดนั่นเอง

ปัญหาอยู่ที่ว่า
เมื่อเราหยุดอาการเครียดแล้ว
ความผิดปรกติทางสายตา
ใช่จะกลับมาดีดังเดิม...

การใช้แว่นตาเป็นการปรับภาพให้กับดวงตาให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น
แต่ผู้ใช้แว่นตาหารู้ไม่ว่า
นั่นเป็นการหยุดขบวนการ
การทำงานตามธรรมชาติของกล้ามเนื้อตา
ทำให้กล้ามเนื้อตาเกร็ง แข็ง
และยากต่อการบำบัด

...โยนแว่นสายตาเก็บไว้ก่อน...


มีต่อค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 20, 2009, 12:32 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ mustura^@^

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 336
  • เพศ: หญิง
  • ALLAH is the only ONE !!!
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: ต.ค. 20, 2009, 12:38 PM »
0
รอติดตามอยู่ค่ะ(เพราะใช้แว่นสายตาอยู่ด้วย แต่ใช้เฉพาะตอนนั่งเรียนหนังสือ)  happy2:

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: ต.ค. 20, 2009, 12:50 PM »
0
...การบำบัดสายตาที่ผิดปกติ...

โดยที่สาเหตุของสายตาที่ผิดปกติเกิดจากสาเหตุสามประการคือ

ความเครียดของสมอง
การทานอาหารไม่ถูกหลักเป็นระยะเวลานาน
การผิดปกติของระบบเลือดและเส้นประสาทรอบดวงตา

การบำบัดสายตาตามวิธีธรรมชาติจึงมีสามประการเช่นกัน

ด้วยการมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาหรือข้อบกพร่องดังกล่าว
แต่ปัญหาอย่างหนึ่งที่ยากแก่การแก้ไขก็คือ...
ไม่มีใครสามารถบอกผู้ที่มีสายตาผิดปกติได้ว่าสาเหตุของการมอง
ที่ผิดปกติของเขาเกิดจากสาเหตุใดเป็นการเฉพาะ

เป็นไปได้มาทีเดียวที่สาเหตุของการผิดปกติของสายตาของเขา
จะเกิดจากสองหรือสามสาเหตุร่วมกัน

เพราะฉะนั้น การบำบัดสายตาที่ผิดปกติที่ดีที่สุด
จึงจำเป็นต้องนำเอาทุกวิธีการที่มีอยู่เข้ามาใช้ร่วมกัน

โดยลักษณะของการบำบัดในตัวมันเองแล้ว
วิธีการรักษาที่จะให้ผลร้อยเปอร์เซ็นในทุกกรณีนั้นไม่มีอยู่ในโลกนี้

เพระดอกเตอร์เบทิส ผู้ซึ่งได้ค้นคว้าและทดลองจนเป็นที่ยอมรับ
ในทฤษฎีของเขาที่ว่า สาเหตุสำคัญของการเกิดอาการผิดปกติของสายตา
มาจากความเครียดกลับไม่ยอมรับแนวคิดที่ว่า
อาการผิดปกติของสายตาสามารถเกิดจากการทานอาหารผิดส่วน
เป็นระยะเวลานาน อีกทั้งยังไม่ยอมรับด้วยว่าระบบการทำงานของเลือด
และเส้นประสาทบริเวณรอบดวงตาหรือการผิดปกติ
ของบริเวณกล้ามเนื้อต้นคอเป็นเหตุของอาการผิดปกติของสายตาด้วย

ดังนั้น วิธีการบำบัดของดอกเตอร์เบทิสต์จึงเน้นที่การลดความเครียดเท่านั้น


แต่ความเป็นจริงที่พบภายหลังจากการทดลองมานับครั้งไม่ถ้วน
ทำให้เราได้พบว่า การบำบัดโดยมุ่งลดสาเหตุทั้งสามประการข้างต้น
ไปพร้อมๆกัน เป็นวิธีบำบัดตามธรรมชาติที่ดีที่สุด
โดยเฉพาะวิธีวิธีการตามคำแนะนำของดอกเตอร์เบทิส

นอกจากนี้เรายังได้พบอีกว่า การเลือกบำบัดตามธรรมชาติ
เพียงวิธีใดวิธีหนึ่งโดยไม่สนใจวิธีการอื่นๆอีกสองวีธี
มีส่วนให้การผิดปกติของสายตาไม่กระเตื้องขึ้น

มีต่อค่ะ

 

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: ต.ค. 20, 2009, 01:02 PM »
0
รอติดตามอยู่ค่ะ(เพราะใช้แว่นสายตาอยู่ด้วย แต่ใช้เฉพาะตอนนั่งเรียนหนังสือ)  happy2:

 salam

เป็นวิธีธรรมชาติบำบัดค่ะ...
เลยคิดว่าน่าจะเหมาะที่เราทั้งหลายสามารถปฏิบัติ
โดยไม่ต้องสูญเสียเงินมากมายไปน่ะค่ะ...

ตัวพี่เองนั้น เมื่อก่อนสายตาดีถึงดีมาก แพทย์เลยแนะนำว่า
หากต้องไปเรียน ก็พยายามอย่าเครียด เสียดายสายตา
มันหามาทดแทนยาก...หรือทดแทนได้ก็ไม่เหมือนเดิม...

ก็เลยพยายามหาวิธีการไม่ให้เครียด แต่มันก็เครียดอยู่ดีค่ะ

หลังๆมาแม้สายตาจะยังไม่ผิดปกติมากนัก
แต่ระดับคุณภาพการมองเห็นลดลงจากแต่ก่อนมากค่ะ...
พอมาอ่านหนังสือเล่มนี้เข้าก็เลยต้องใส่ใจเรื่องอาหารการกินมากขึ้นค่ะ...

จะพยายามเอามาลงเรื่อยๆค่ะ เพราะว่าดวงตาเป็นสิ่งจำเป็นและมีค่า
เผื่อว่าใครที่ถอดใจไปแล้วกับการจะกู้สายตาที่เสียไปคืนมาให้เป็นดังเดิม
หรือเห็นได้ชัดเจนใกล้เคียงกับแต่ก่อน จะได้ไม่หมดหวังเสียทีเดียวค่ะ
อีกอย่างบางคนนั้น สายตาสั้นมาแต่กำเนิด...
เพราะว่าอาจจะเกิดจากสาเหตุหลายๆประการ
แต่หากไม่หมดหวัง ทุกอย่างในโลกย่อมเป็นไปได้หมดค่ะ...


 loveit: loveit: loveit:

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: ต.ค. 20, 2009, 01:27 PM »
0

...ระบบการบำบัดสายตาอย่างสมบูรณ์...


ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้วยตนเอง
ในการรวมเอาวิธีการบำบัดสายตาทุกวิธีเข้ามาด้วยกัน
และพบว่ามันเป็นทางเดียวในการสร้างระบบการบำบัดสายตา
ตามธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แบบ นั่นคือ
มันจะต้องเป็นการบำบัดด้วยการลดความเครียดของกล้ามเนื้อตา
การทานอาหารอย่างถูกต้อง และการไม่เปิดโอกาสให้เกิดการผิดปกติ
ของกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ

อย่างไรก็ตาม วิธีการผ่อนคลายความเครียดของกล้ามเนื้อตา
จะเป็นสิ่งที่กล่าวถึงค่อนข้างละเอียดอยู่สักหน่อย
ซึ่งจะเป็นวิธีการออกกำลังกายเพื่อสายตาที่ทำได้ง่ายทุกสถานที่

สำหรับการเลือกทานอาหารเพื่อประโยชน์ในการป้องกัน
และบำบัดอาการเสื่อมหรือผิดปกติของสายตาจะมีอยู่ในเรื่องอาหาร
(ที่กล่าวต่อไป) ขณะเดียวกันก็จะมีวิธีการลดความเครียดของกล้ามเนื้อต้นคอ
(ที่จะกล่าวต่อไป)ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ขอเพียงให้ผู้ที่มีสายตาที่ผิดปกติมีความอดทนบำบัดอาการต่างๆ
อย่างถูกต้องตามวิธีการและกระทำอย่างสม่ำเสมอ
อาการสายตาที่ผิดปกติจะสามารถกระเตื้องขึ้นในไม่ช้า


...ดวงตากับการผ่อนคลาย...

ก่อนที่เราจะไปในรายละเอียดถึงวิธีการออกกำลังกาย"สายตา"นั้น
ควรที่จะทำความเข้าใจกว้างๆเสียก่อนว่า
อาการของดวงตา(กล้ามเนื้อตา)ที่เกร็งหรือไม่ผ่อนคลายนั้นเป็นอย่างไร
เพราะเราพูดกันมามากแล้วว่าจะต้องปล่อยให้ดวงตาผ่อนคลายไม่เกร็ง
อาการเกร็งของดวงตานั้นเป็นเหตุแรกที่ทำให้ดวงตา"แข็ง"
อันถือว่าเป็นอาการขั้นต้นของสายตาผิดปกติ

ดวงตาที่เป็นปรกติตามธรรมชาตินั้นจะเป็นดวงตาที่เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา
ไม่ใช่ดวงตาที่แข็งทื่อ ดวงตาที่แข็งทื่อไม่ค่อยกะพริบตาง่ายๆ
ถือว่าเป็นดวงตามี่กล้ามเนื้อตาต้องทำงานหนัก เพราะต้องเกร็ง
หรือระวังและบังคับมันไว้ตลอดเวลา เท่ากับเป็นการบังคับให้กล้ามเนื้อตา
ต้องทำงานหนักเกินควร และหากเราจะคิดให้ดีก็คงจะยอมรับว่า
เมื่อใดที่เรามีอารมณ์โกรธหรือกังวล(ความเครียดทางสมอง)
เมื่อนั้นดวงตาเรามักจะแข็งทื่อ ใครจ้องก็ไม่กะพริบ
และพฤติกรรมที่ง่ายๆอีกอย่างหนึ่งที่เราน่าจะเข้าใจก็คือ
การเคลือนไหวของดวงตาถือเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งน่ันเอง
การที่ดวงตาเคลื่อนไหวบ่อยๆจึงเท่ากับเป็นการเสริมสุขภาพของดวงตานั่นเอง

อ่านไปแล้วคุณอาจจะเกิดความเข้าใจใหม่ก็ได้ว่า
ใครที่ตาลอกแลกคือคนมีสุขภาพตาดี...

ดอกเตอร์เบทสให้ข้อแนะนำว่า ดวงตาที่ดีจะต้องเคลื่อนไหวอยู่เสมอ
และการป้องกันหรือบำบัดดวงตาที่ถูกต้องอันดับแรกก็คือ
การลดความเครียดของกล้ามเนื้อตาออกไปอย่างสิ้นเชิง
กรรมวิธีออกกำลังกายสายตาที่สำคัญมีสองวิธีคือ

พาล์มิ่ง และ สวิงกิ้ง ดังจะนำเสนอในรายละเอียดต่อไป


 
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #29 เมื่อ: ต.ค. 20, 2009, 01:49 PM »
0
...การพักสายตา...

เมื่อร่างกายหมดพลังงานเราก็ต้องพักผ่อน เช่น ด้วยการหยุดใช้พลังงาน
หรืออาจจะด้วยการนอนหลับเลย ในระหว่างการพักผ่อนร่างกาย
เราก็จะเสริมพลังขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ฉันใดก็ฉันนั้น
เมื่อร่างกายทุกส่วนต้องกานพักผ่อน เราก็ควรเปิดโอกาสให้สายตา
ได้รับการพักผ่อน ลดความเคร่งเครียดบ้าง
วิธีลดความเครียด ผ่อนคลายกล้ามเนื้อของดวงตามีอยู่หลายวิธี
กล่าวคือ


"พาล์มมิ่ง"

ที่เรียก "พาล์มมิ่ง"ก็เพราะเราต้องใช้ฝ่ามือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ
ในการพักสายตา ฟังดูอาจจะไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้อย่างไร

แต่วิธีการพาล์มมิ่งที่ดอกเตอร์เบทิสแนะนำนี้สามารถลอความเครียด
ให้กับดวงตาได้อย่างดียิ่งและมันไม่ใช่เป็นการพักผ่อนดวงตาเท่านั้น
แต่ยังช่วยให้กล้ามเนื้อตาและเนื้อเยื่อรอบๆดวงตาได้รับการพักผ่อนไปด้วย

หลักก็คือ ดวงตาจะได้รับการพักผ่อน(นอกเหนือจากช่วงหลับ)
วันละครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อยหรือมากกว่านั้นก็ยิ่งดี

วิธีการก็คือ

นั่งลงบนเก้าอี้ที่สบายที่สุดด้วยท่าที่สบายที่สุด สกัดความเครียด
และปัญหายุ่งเหยิงต่างๆออกไปให้หมด
เมื่อคุณสลัดความไม่สบายใจออกไปได้หมดแล้ว
และแน่ใจแล้วว่าไม่มีอารมณ์เครียดใดๆหลงเหลืออยู่
ก็ปิดตาลง เอาฝ่ามือทั้งสองปิดดวงตาไว้โดยให้ฝ่ามือซ้ายปิดตาซ้าย
ฝ่ามือขวาปิดตาขวา ปลายฝ่ามือทั้งสองไขว้ทับกันไว้บนหน้าผาก
อย่ากดดวงตาเพียงแต่กุมประคองไว้เฉยๆ และอย่าปิดแน่น
จนกระทั้งหายใจไม่สะดวก ส่วนข้อศอกนั้นวางเท้าไว้บนตัก

หลักสำคัญก็คือ จะต้องไม่มีความเครียดอยู่ในสมอง
พยายามให้สมองผ่อนคลายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลับตาและปิดตาด้วยฝ่ามือเท่านั้นเอง

ด้วยวิธีนี้เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ดวงตาได้พักผ่อนอย่างดี
ส่วนที่ว่าจะดีมากน้อยแค่ไหนนั้นพิจารณาได้จาก "ความดำ"
ที่คุณมองเห็นขณะที่เอาฝ่ามือปิดเอาไว้
(ขณะที่เราปิดตาลงนั้น เราก็ยังสามารถมองเห็นความมืดและความดำได้อยู่)

และความดำที่คุณเห็นนั้นยิ่งดำมากเท่าไหร่ก็หมายความว่า
ดวงตาคุณได้พักผ่อนมากขึ้นเท่านั้น

ที่สำคัญกว่านี้ก็คือ สมองอย่าได้คิดกังวลเรื่องที่น่ากลุ้มใจทั้งหลาย
อย่าได้นั่งคิดกังวลกับสายตาที่เสื่อมลง
แต่ที่ควรทำก็คือ พยายามจินตนาการให้เห็นความดำในฝ่ามือให้มากขึ้น
ยิ่งมากยิ่งดีหรือไม่ก็ปล่อยให้สมองแล่นไปเรื่อยตามที่มันต้องการ
แต่เฉพาะในเรื่องที่มีความสุขน่าสนใจเท่านั้น

ทำเช่นนี้ครั้งละ10 หรือ 20 หรืออาจจะ 30ต่อครั้งก็ได้
ทำวันละ 2-3ครั้ง (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าสายตาของคุณเสื่อมหรือผิดปกติ
มากน้อยแค่ไหน) ในช่วงเวลาไม่นานคุณจะพบว่า
สายตาคุณดีขึ้นอย่างน่าแปลกใจ


อินชาอัลลอฮฺ เดี๋ยวค่อยมาต่อ ท่า "สวิงกิ้ง"นะคะ ;D

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 20, 2009, 01:50 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged