ผู้เขียน หัวข้อ: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ  (อ่าน 27355 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: ต.ค. 20, 2009, 07:45 PM »
0
มาสวิงกิ้งกันค่ะ  yippy:

"สวิงกิ้ง"

วิธีการคลายความเครียดแบบพาล์มมิ่งเป็นวิธีการผ่อนคลายความเครียด
ของดวงตาโดยตรง แต่ยังมีอีกวิธีหนึ่งในการลดความเครียดให้แก่ระบบประสาท
ของร่างกายทั้งหมด นั่นคือ จะเป็นการคลายความเครียดทั้งร่างกาย
และสมองไปพร้อมๆกัน ซึ่งจะช่วยในการลดความเครียดของดวงตาได้อย่างมาก
แต่วิธีนี้ถือเป็นการลดความเครียดของดวงตาทางอ้อม

วิธีนี้เรียกว่า วิธีสวิงกิ้ง เพราะเป็นการโยกตัวไปมาอย่างช้าๆนั่นเอง

วิธีการก็คือ

ยืนตัวตรงแยกเท้าออกจากกันโดยให้ห่างประมาณ1ฟุต
ปล่อยแขนทั้งสองไว้ข้างตัวตามสบาย ทำตัวตามสบาย ผ่อนคลายไม่กังวล
ไม่เครียด หลังจากนั้นค่อยๆโยกตัวไปข้างซ้ายสลับกับข้างขวาอย่างช้าๆ
คิดว่าตัวเองเป็นลูกตุ้มนาฬิกาที่จะต้องแกว่งไปมาช้าๆ
ตอนจังหวะที่โยกตัวไปข้างซ้าย ให้ยกส้นเท้าเข้าจังหวะได้
แต่ต้องเป็นการยกเฉพาะส้นเท้าเท่านั้น ไม่ใช่ยกเท้าทั้งหมด

และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ในการโยกนั้นจะต้องเป็นการโยกทั้งตัว
มิใช่โยกเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย หรือว่าเป็นการโยกศีรษะ
เอวและสะโพกต้องไม่งอ

ให้ฝึกเช่นนี้ประมาณ 5-10นาที ทำวันละ2-3ครั้ง
หรืออาจจะทำเมื่อใดที่รู้สึกว่าดวงตาเกิดความอ่อนล้าก็ได้
คุณจะพบว่าการฝึกเช่นนี้จะช่วยบรรเทาความเครียดของร่างกายได้อย่างดี

การฝึกสวิงกิ้งที่ดีควรกระทำต่อหน้าหน้าต่าง เพื่อที่ว่าคุณจะได้มองเห็นภาพ
ที่อยู่นอกหน้าต่าง จุดนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อคุณโยกตัวไปมา
ภาพที่ปรากฏต่อสายตานอกหน้าต่างจะทำให้คุณรู้สึกว่าส่ิงเหล่าน้ัน
กำลังเคลืื่อนที่ไปพร้อมๆกับการเคลื่อนของคุณ แต่จะเป็นการเคลื่อนไหว
ในทิศทางที่สวนกัน ในตอนแรกที่คุณเริ่มโยกตัวให้กระทำโดยลืมตาอยู่
พอทำไปได้สักพักค่อยหลับตาลง แต่ยังสวิงกิ้งหรือโยกตัวต่อไป
และที่สำคัญก็คือให้พยายามมองให้เห็นภาพนอกหน้าต่าง
ที่กำลังเคลื่อนตัวสวนไปมากับจังหวะการโยกตัวของคุณเหมือนเช่นตอนที่คุณ
ยังลืมตาอยู่ หลังจากนั้นก็โยกตัวโดยลืมตาบ้างสลับกันไปโดยตลอด
แต่สิ่งที่ต้องระลึกไว้เสมอก็คือ ขณะฝึกการโยกตัวเช่นนี้
ต้องพยายามปล่อยให้ดวงตาอยู่อย่างผ่อนคลายสบายไม่เกร็ง
หรือจ้องสิ่งหนึ่งสิ่งใดและควรจะกะพริบตาเป็นช่วงๆระหว่างการฝึกด้วย

ถ้าหากมีการฝึกฝนอย่างถูกต้องแล้ว ระบบประสาทของร่างกายทั้งหมด
จะได้รับการผ่อนคลายเป็นอย่างมาก อันจะส่งผลดีต่อการลดความเครียด
ของดวงตาต่อไป(และที่จะลืมไม่ได้ก็คือ ระหว่างการผ่อนคลายความเครียดเช่นนี้
จะต้องไม่สวมแว่นตา)



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 07, 2009, 07:35 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: ต.ค. 21, 2009, 11:44 AM »
0
"การกะพริบตา"

ไม่ใช่วิธีการแบบพาล์มมิ่งหรือสวิงกิ้งเท่านั้นที่จะช่วยผ่อนคลาย
ความเครียดของสายตาลงได้ แต่ยังมีอีก 2-3วิธีที่จะช่วยลดความเครียด
ของดวงตาลงได้ อีกวิธีหนึ่งก็คือ การกะพริบตาที่เป็นปกติ
ของธรรมชาติดวงตานั่นเอง

สำหรับดวงตาที่อยู่ในสภาพปกตินั้น การกะพริบตาจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว
และค่อนข้างจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ นั่นคือ ไม่จำเป็นต้องตั้งใจกะพริบ
การกะพริบก็เกิดขึ้นได้เสมอ แต่สำหรับดวงตาที่มีความบกพร่อง
ในการมองแล้วนั้น จะเป็นดวงตาที่ค่อนข้างแข็งทื่อ
ไม่เคลื่อนไหวตามธรรมชาติเท่าที่ควร เพราะมีความเครียดของกล้ามเนื้อตา
อยู่ในลำดับสูง พูดง่ายๆก็คือ คนที่มีความบกพร่องในการมองนั้น
การกะพริบตามิใช่จะเป็นไปโดยอัตโนมัติ หากต้องมีการตั้งใจ
หรือฝืนกะพริบตานั่นเอง

ดังนั้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับสายตาและการมอง การออกกำลังกายสายตา
เพื่อเยียวยาดวงตาอีกอย่างหนึ่งก็คือการหัดกะพริบตาบ่อยๆ
พยายามหัดให้ติดนิสัย โดยภายใน 10วินาทีลองพยายามกะพริบตาสัก1-2ครั้ง
แต่ทั้งนี้ต้องเป็นไปโดยไม่ต้องฝืนหรือตั้งใจอย่างแรง แต่ขอให้เป็นไปอย่างอัตโนมัติ
การฝึกเช่นนี้ สามารถกระทำได้ทุกสถานที่ทุกเวลา
แม้กระทั่งระหว่างการอ่านหนังสือ

ซึ่งหากเราเปิดโอกาสให้กล้ามเนื้อตาได้คลายความเครียดบ้างแล้ว
ก็จะพบว่า แม้เราจะอ่านหนังสือติดต่อกันเป็นเวลานานก็ไม่เกิดความอ่อนล้า
ของสายตามากมายแต่อย่างใด


"แสงแดด"

คนส่วนใหญ่มักจะรู้แต่ว่าแสงแดดเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผิวหนัง
แต่หารู้ไม่ว่าแสงแดดมีคุณค่าต่อสายตาอย่างอเนกอนันต์
และข้อแนะนำก็คือ จงพยายามให้ดวงตาได้รับแสงแดดมากเท่าที่จะมากได้

แต่วิธีการให้ดวงตารับแสงแดดนี้มิใช่การลืมตาจ้องดวงอาทิตย์
แต่ให้กระทำโดยการหลับตา แต่ก่อนที่จะหลับตาให้แน่ใจก่อนว่า
ท่ายืนของคุณนั้นเปิดโอกาสให้แสงแดดส่องเข้าสู่ดวงตาทั้งสอง
ได้อย่างสม่ำเสมอกัน เมื่อแน่ใจแล้วก็ให้หลับตา ให้ดวงตารับแสงแดดอยู่เช่นนั้น
สัก10นาที ทำวันละ 3 ครั้ง (และจะต้องไม่ใส่แว่นระหว่างนี้ด้วย)

แสงแดดที่ส่องมายังบริเวณดวงตานี้จะช่วยให้การไหลเวียนของโลหิต
รอบๆดวงตาเป็นไปได้ดีขึ้น อันจะเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อของดวงตา
และระบบประสาทดวงตา

"น้ำเย็น"

การล้างหน้าเป็นวิธีหนึ่งที่แสนง่ายดาย แต่ส่งผลให้ดวงตาและระบบประสาทรอบๆ
ได้รับการผ่อนคลาย เราล้างหน้าแล้วรู้สึกสดชื่นมากขึ้นอย่างไร
การเปิดโอกาสให้ดวงตาได้รับน้ำเย็นบ้างก็ทำให้ดวงตาสดชื่นขึ้นเท่านั้น

เคล็ดก็แต่เพียงว่าขอให้ใช้น้ำเย็นในการล้างหน้าโดยอาจจะเอามือรองน้ำไว้
แล้ววักใส่หน้า (ดวงตา) อย่างไม่ต้องแรงนัก ทำสัก 20ครั้ง
แล้วก็ซับให้แห้งด้วยผ้าเช็ดหน้าเบาๆ

การใช้น้ำเย็นต่อดวงตาเช่นนี้จะทำให้ดวงตา กล้ามเนื้อและเส้นประสาทสดชื่นขึ้น
คุณสามารถล้างหน้าเช่นนี้ได้สัก 3 ครั้งต่อวัน หรืออาจจะทำทุกครั้งที่เกิด
ความรู้สึกว่าดวงตาอ่อนล้าก็ได้

ที่สำคัญน้ำที่ใช้ควรจะเป็นน้ำเย็น ไม่ใช่น้ำอุ่นอย่างที่คนทั่วไปนิยมกัน


ปล.จะพยายามนำมาลงเรื่อยๆตามแต่เวลาจะเอื้ออำนวยนะคะ อินชาอัลลอฮฺ

บางคนที่เชื่อว่าการอ่านหนังสือจะทำให้สายตาผิดปกติหรืออาจเสื่อมสภาพลง
จะได้มั่นใจว่า มันมิใช่อย่างนั้นเลย แต่การอ่านหนังสือจะช่วยให้
ดวงตาได้ออกกำลังกายด้วยค่ะ แต่มันก็มีข้อแม้บางอย่าง
ซึ่งจะมานำเสนอในคราถัดไปค่ะ...อินชาอัลลอฮฺ


...เพียงหลับตา คุณจะได้เห็นอะไรมากกว่าที่คุณคิด...



วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^___________^

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 21, 2009, 11:53 AM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: ต.ค. 22, 2009, 01:26 PM »
0
 salam

"สิ่งที่ช่วยในการมองเห็น"

...ความจำและจินตนาการ...

  การมองวัตถุใดๆที่เราเคยเห็นหรือคุ้นตามาก่อนย่อมทำให้เรามองเห็นภาพ
หรือวัตถุนั้นชัดเจนขึ้น หรืออย่างน้อยเราก็สามารถแยกแยะสิ่งนั้นออกจาก
สิ่งที่ไม่คุ้นตาได้โดยง่าย เรื่องนี้สามารถทดลองได้โดยง่ายๆ

หากเพื่อนสนิทคนหนึ่งของคุณยืนอยู่ท่ามกลางคนอื่นๆอีกจำนวนหนึ่ง
ที่คุณไม่เคยรู้จักมาก่อน คุณก็ยังสามารถมองได้ออกว่าคนๆนั้นเป็นเพื่อนของคุณ
แม้ว่าจะมีสิ่งอื่นห้อมล้อมเขาอยู่

ในกรณีน้ีหมายความว่า ความจำหรือจินตนาการเข้ามามีบทบาท
ในการมองด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นเรื่องของดวงตาแต่เพียงอย่างเดียว

ดังนั้น สำหรับผู้ที่มีสายตาผิดปกติแล้ว(คือมองภาพไกล/ใกล้ไม่ชัด)
ยิ่งต้องสมควรฝึกหัดใช้ความจำหรือจินตนาการในการมองให้มากยิ่งขึ้น

สำหรับวิธีฝึกนั้น ก็อาจจะเริ่มด้วยการมองดูที่วัตถุชิ้นใดชิ้นหนึ่งขนาดเล็ก
สังเกตรูปทรงขนาดขอบผิว ฯลฯของมันไว้ หลังจากนั้นก็บันทึกภาพที่คุณมองเห็น
ไว้ในสมอง(ความจำ)ของคุณ และเมื่อคุณหลับตาลงแล้วก็ยังนึกเห็นภาพนี้ได้
ก็พยายามจดจำมันเอาไว้ให้ดี หลังจากน้ันลืมตาขึ้น มองที่วัตถุนั้นอีกที
จดจำมันไว้แล้วก็หลับตาสลับกัน ทำเช่นนี้สักวันละ5นาทีโดยไม่ต้องสวมแว่น

หรือแทนที่จะมองวัตถุคุณอาจเลือกมองตัวหนังสือเลยก็ได้
แต่น่าจะเลือกมองเป็นคำๆมากกว่า วิธีการก็เหมือนกับข้างต้น
เพียงแต่เมื่อคุณหลับตาลงและนึกถึงมัน พยายามใช้จินตนาการว่า
คุณเห็นมันชัดดำคม และเมื่อลืมตาขึ้นคุณก็จะพบว่าตัวหนังสือเหล่านั้น
ดำชัดกว่าที่มองในหนแรก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสายตาที่ดีขึ้น

พยายามฝึกเช่นนี้วันละหลายๆครั้ง และสามารถเพิ่มตัวอักษรให้มากขึ้นได้เรื่อยๆ
แต่ทั้งนี้พึงระลึกว่า การฝึกฝนอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอเท่านั้น
ที่จะช่วยให้สายตาดีขึ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งแว่นตาช่วย

...มีต่อค่ะ...
 
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: ต.ค. 22, 2009, 01:44 PM »
0

...จุดที่กำลังมองคือจุดที่เห็นชัดที่สุด...

คำว่า"จุดที่กำลังมองคือจุดที่เห็นชัดที่สุด"อาจฟังดูยากแก่การเข้าใจ
หรือน่าหัวเราะเยาะ แต่แท้ที่จริงแล้ว สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติทางสายตา
จะเข้าใจความหมายนี้ดี...
กล่าวคือ การผิกปกติของสายตา(การมองไม่ชัด)นั้นเกิดขึ้นเพราะจุดศูนย์กลาง
ของเรตินา(ม่านตา)เกิดการบิดเบี้ยวไปจากปกติ ทำให้จุดรวมภาพ
เกิดตกเลยเรตินาบ้าง หรือตก ณ จุดที่ยังไม่ถึงเรตินาบ้าง
ดังนั้น เราจึงได้รับการช่วยเหลือจากแว่นสายตาให้มองเห็นภาพได้ชัดเจน
เหมือนเช่นปกติ ด้วยการหดหรือยืดจุดรวมภาพให้ตกลงที่ศูนย์กลาง
ของเรตินา อีกนัยหนึ่งก็คือ เฉพาะจุดศูนย์กลางของม่านตาเท่านั้น
ที่แว่นตาเข้ามามีส่วนเสริม ส่วนอื่นๆเช่น ด้านข้างๆของม่านตา
ไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนอะไรเลย แปลอีกทีก็หมายความว่า
ส่วนข้างๆของเรตินาไม่ได้เสียหายอะไร ยังสามารถมองภาพ
ที่คมชัดเหมือนเดิม แม้ว่าส่วนศูนย์กลางจะมองได้ไม่ชัดก็ตาม

ดังนั้นเมื่อจับคนท่ีสายตาผิดปกติให้ถอดแว่นออก เขาสามารถมองด้วยหางตา
ชัดกว่าการมองตรงๆ ดังนั้น การทำให้สายตากลับคืนดีเหมือนเดิม
คือการปรับศูนย์กลางของเรตินาให้ดีเหมือนเดิมนั่นเอง

การแก้ไขลักษณะนี้จึงเป็นการแก้ไขให้ส่วนกลางหรือศูนย์กลางของเรตินา
ทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งอาจจะเรียกง่ายๆได้ว่า
"การจับกลาง" วิธีการก็คือ

...มองไปที่ตัวหนังสือบรรทัดหนึ่ง หาคำที่อยู่ตรงกลางของบรรทัดนั้น
เพ่งดูที่คำนั้น หลับตาลงและจินตนาการว่าคุณสามารถมองเห็น
คำนั้น(ที่อยู่ตรงกลาง)ได้ชัดเจนกว่าคำอื่นๆที่อยู่ข้างๆ
(เพราะเมื่อถอดแว่น คนที่สายตาผิดปกติจะสามารถมองเห็นคำที่อยู่ข้างๆ
ได้ชัดกว่าคำที่อยู่ตรงกลาง) ขณะเดียวกันก็จินตนาการว่าคำอื่นๆ
ที่อยู่ข้างๆนั้นคุณเห็นได้ไม่ชัด หลังจากนั้นลืมตาขึ้นมองดูที่คำนั้น
แล้วฝึกซ้ำอีกที ทำเช่นนี้ 5 นาที โดยพยายามจินตนาการว่าคำที่อยู่ตรงกลาง
ชัดกว่าคำที่อยู่ด้านข้าง ไม่นานคุณจะพบว่าคำที่อยู่ตรงกลางนั้น
ชัดเจนขึ้นจริงๆ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ที่ดีของสายตาอย่างหนึ่ง
และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น คุณก็เปลี่ยนจากการเพ่งคำ
ที่อยู่ตรงกลางเพียงคำเดียวมาเป็นกลุ่มของคำที่อยู่ตรงกลางบรรทัดแทนก็ได้

...มีต่อค่ะ...

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: ต.ค. 22, 2009, 02:20 PM »
0

...การอ่าน...

ในสมัยหนึ่งคนส่วนมากรวมทั้งนายแพทย์เข้าใจว่าการอ่าน
เป็นต้นเหตุสำคัญของการผิดปกติของสายตา โดยเฉพาะเมื่อการอ่านนั้น
กระทำในสถานที่ที่มีแสงไม่เพียงพอ แต่ความจริงก็คือ

การอ่านไม่มีโอกาสที่จะทำให้เกิดการผิดปกติของสายตาได้เลย
ไม่ว่าสายตาจะถูกใช้อ่านหนังสือมากน้อยเพียงใด
โดยมีข้อแม้ว่า การอ่านนั้นจะต้องกระทำขณะที่ดวงตาไม่มีความเครียด
ของกล้ามเนื้อเลย นอกจากนั้น ยังเป็นที่ยอมรับในปัจจุบันอีกด้วยว่่า
แท้จริงการที่ดวงตาได้อ่านหนังสือกลับเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้ดวงตา
มีสุขภาพดีขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องเสียก่อนว่า สำหรับผู้ที่สายตา
ไม่มีความผิดปกตินั้นย่อมสามารถอ่านหนังสือได้ในทุกสถานที่
ทุกสภาวะ เพราะกล้ามเนื้อตาจะไม่เกิดความเครียด

แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องสายตามองไม่ชัดอยู่แล้ว การอ่านในสภาวะ
ที่ไม่อำนวยย่อมจะทำให้เกิดการเกร็งหรือความเครียดของกล้ามเนื้อตา
มีมากขึ้นไปอีก ซึ่งหมายความว่าจะทำให้สายตาแย่ลงไปอีก

แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม วิธีการที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในการฟื้นฟูสายตา
ให้กลับมาดีเหมือนเดิมก็ยังคงเป็นการอ่านอยู่เช่นเดิม
การอ่านในลักษณะนี้จะต้องเป็นการอ่านโดยไม่ต้องใช้แว่น
อ่านในปริมาณที่เหมาะสม และกระทำทุกวัน และรับรองได้ว่าหากกระทำ
ตามนี้จะไม่มีผลเสียใดๆเกิดขึ้น นอกจากผลดี ยกเว้นเสียแต่ว่า
อ่านโดยไม่ใส่แว่นน้ันอ่านในปริมาณผิดปกติที่มากเกินไป

แต่เคล็ดลับที่สำคัญกว่าเรื่องอื่นๆก็คือ การอ่านจะต้องกระทำโดยปราศจาก
ความเครียดหรือการเกร็งของกล้ามเนื้อตา

วิธีการก็คือ...เอาฝ่ามือปิดตาสักครู่หนึ่ง(พาล์มิ่ง)
หลังจากนั้นก็ลองหยิบหนังสือมาอ่าน แต่ให้อ่านในระยะที่ทำให้คุณ
เห็นได้ชัดที่สุด โดยไม่ต้องเพ่งสายตา(สำหรับคนสายตาสั้นอาจจะต้องอ่าน
ในระยะ 6-12 นิ้วและสำหรับคนที่สายตายาวอาจต้องอ่านในระยะ 2 ฟุต
หรือมากกว่านั้น)

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่สายตาสั้นอย่างมาก อาจจะสะดวกว่า
หากจะอ่านด้วยตาทีละข้าง เพราะการจ่อตาใกล้เกินไป
จะทำให้การอ่านด้วยสองตาลำบาก

ส่วนการอ่านจะมากน้อยแค่ไหนนั้นก็แล้วแต่สายตาคุณจะผิดปกติ
มากน้อยเพียงใด ซึ่งอาจจะเป็นการอ่านแค่ไม่กี่คำหรืออาจจะหนึ่งบรรทัด
หรือหลายบรรทัด หรือแม้แต่จะอ่านทั้งหน้าก็ได้

ประเด็นที่สำคัญก็คือ เมื่อเริ่มรู้สึกว่าดวงตาชักจะล้าเหนื่อยอ่อน ต้องหยุด
หลังจากนั้นก็หลับตาสักพัก ลืมตา แล้วเริ่มอ่านใหม่อีกครั้ง
เพราะจะช่วยให้การอ่านโดยปราศจากความเครียด

การอ่านด้วยวิธีการเช่นนี้ จะช่วยให้ดวงตาได้ทำงานอย่างที่มันควรจะต้องทำบ้าง
เพียงแต่ว่าอย่างเพ่งสายตา หรือทำอะไรที่ทำให้กล้ามเนื้อตาเกิดอาการเกร็ง
หากทำได้เช่นนี้ ก็แน่นอนว่า สายตาคุณต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน

คำถามก็คือว่า จะอ่านเช่นนี้ได้นานแค่ไหน คำตอบก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรง
ของการผิกปกติของดวงตาของคุณ แต่แน่นอนที่ว่า ภายในช่วงเวลา
ที่ฝึกฝนที่ไม่นานนัก คุณจะสามารถอ่านได้โดยไม่ต้องใช้แว่น
ได้นาน 1-2 ชั่วโมง โดยไม่เกิดอาการเครียดต่อดวงตา

สำหรับผู้ที่สายตาผิกปกติอย่างรุนแรงจนต้องใช้ตาอ่านทีละข้างนั้น
ก็อย่าได้ท้อถอย เพราะระหว่างที่ตาข้างหนึ่งกำลังอ่านอยู่นั้น
ก็เท่ากับเปิดโอกาสให้ตาอีกข้างหนึ่งได้พักผ่อน
และไม่นานคุณก็จะสามารถอ่านด้วยตาทั้งสองได้พร้อมๆกัน

ข้อพึงระวังอีกประการหนึ่งก็คือ สำหรับผู้ที่มีอาการผิดปกติของสายตารุนแรง
ไม่เท่ากันระหว่างตาซ้ายและตาขวา ก็ขอให้ใช้ตาข้างที่ดีกว่าอีกข้าง
อ่านให้มากกว่าการอ่านด้วยตาที่ผิดปกติรุนแรง

ที่สำคัญก็คือ อย่ากลัวที่จะอ่านโดยปราศจากแว่นสายตา
ทำตามข้อแนะนำข้างต้นนี้ และในไม่ช้าคุณจะสามารถอ่านหนังสือได้
โดยไม่ต้องอาศัยแว่นสายตาอีกต่อไป...



ปล.คราวหน้าจะมาต่อกันในเรื่อง การบริหารกล้ามเนื้อตาและคอ
อินชาอัลลอฮฺ

ลองทำตามวิธีที่โพสไปแล้วได้ผลอย่างไร อย่าลืมบอกกันบ้างนะคะ
สำหรับคนโพสนั้นชอบวิธีสวิงกิ้งมากค่ะ ทำแล้วช่วยให้ผ่อนคลาย
ทั้งร่างกาย สมองและกล้ามเนื้อ

คนที่สายตายังปกติอยู่ก็ลองฝึกดูนะคะ
ก่อนที่สายตาจะเสื่อมลงเรื่อยๆ
เราไม่รู้ตัวหรอกค่ะว่าสายตาเราเสื่อมลงไปแค่ไหนแล้ว
มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อไปตรวจสายตากับหมอ...หรือมาสนใจอีกที
ก็เมื่อสายตาเริ่มฟ่าฟาง มองอะไรไม่ชัดเจนอย่างเดิม

ส่วนตัวคนโพสนั้น ต้องหาแว่นภาษาอาหรับมาใส่อย่างด่วนแล้วล่ะค่ะ
เพราะว่าอ่านภาษาอาหรับไม่ชัดดดดดด  ;D

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: ต.ค. 23, 2009, 07:23 PM »
0
 salam

"การบริหารกล้ามเนื้อตาและคอ"

การบริหารกล้ามเนื้อตาและกล้ามเนื้อคอที่จะกล่าวในบทนี้
มีเจตนาเพื่อลดอาการเกร็งหรือบีบรัดของกล้ามเนื้อในส่วนดังกล่าว
ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในบุคคลผู้ที่มีความผิดปกติในสายตา
ผลของการบริหารนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อดวงตาคลายความเครียด
และเคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้น อันจะส่งผลต่อการมองภาพได้อย่างรวดเร็ว

การบริหารทั้งหมดที่จะกล่าวต่อไปนี้ ให้กระทำขณะที่นั่งบนเก้าอี้
ด้วยท่าที่สบายที่สุดเท่าที่จะทำได้


...การปริหารท่าที่1...

ศีรษะนิ่ง ทำตัวสบายๆไม่เกร็งหรือเครียด แล้วค่อยๆเหลือบตาขึ้น-ลงช้าๆ 6 ครั้ง
แต่ละครั้งพยายามเหลือบตาให้ขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุดเท่าที่จะทำได้
พยายามทำจนกระทั่งการเหลือบตาเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีอาการเกร็ง
ในการบริหารตา การบริหารนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ไม่เกร็ง
และยังทำให้การเห็นภาพในมุมมองที่กว้างขึ้นด้วย
เมื่อได้ครบ 6 ครั้ง ให้พักได้ 1-2 วินาที แล้วเริ่มต้นใหม่จนครบ 3 รอบ

...การบริหารท่าที่2...

  กลอกตาไปข้างซ้ายและขวาสลับกัน โดยพยายามกลอกให้ไปขวาสุดและซ้ายสุด
และให้กระทำโดยไม่ต้องออกแรงหรือเกร็ง ทำทั้งหมด 6 คร้ัง
และเช่นเดียวกับการบริหารในท่าที่1 คุณสามารถมองซ้ายและขวา
ในมุมที่กว้างขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อตาเริ่มคลายตัว...

ทำซ้ำ 2 หรือ 3 ครั้ง แต่พึงระวังว่าเมื่อรู้สึกว่าดวงตาเริ่มเกิดอาการเกร็ง
จากการบริหาร ต้อหยุดทันที เพราะการบริหารนี้มีเจตนาเพื่อลดความเกร็ง
ของกล้ามเนื้อ ไม่ใช่เพิ่มอาการบีบรัดให้มากขึ้น...


...การบริหารท่าที่3...

ชูนิ้วชี้ขวาขึ้นให้อยู่ในระดับสายตา โดยให้ห่างจากใบหน้าประมาณ 8 นิ้ว
หลังจากนั้นก็ลองมองไปที่วัตถุชิ้นใดชิ้นหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปสัก 10 ฟุต
หรือมากกว่านั้น

ใช้สายตามองสลับไปมาระหว่างนิ้วชี้ที่ชูขึ้นกับวัตถุที่หมายตาไว้
มองสลับไปเช่นนี้สัก 10 ครั้ง แล้วหยุดพัก 1 วินาที
แล้วทำเช่นนี้อีก 2-3 รอบ ทั้งนี้ให้สลับตามองอย่างค่อนข้างเร็ว

การบริหารท่านี้สามารถกระทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ อีกทั้งจะฝึกที่ใดก็ได้


...การบริหารท่าที่4...

กลอกตาไปมาเป็นวงกลมช้าๆ แล้วกลอกตาหลับในทิศทางตรงกันข้าม
ทำเช่นนี้ 10 ครั้งหยุดพักสัก 1 วินาที แล้วทำเช่นนี้อีก 2-3 รอบ
ทั้งนี้อย่ากลอกตาด้วยการฝืนเกร็งเป็นอันตราย

การบริหารสายตาด้วยวิธีนี้ ควรจะกระทำภายหลังการผ่อนคลายสายตา
แบบพาล์มมิ่ง เพราะสายตาได้คลายเครียดก่อนแล้ว
ให้ฝึกเช่นนี้วันละ 4-6 ครั้ง


...มีต่อค่ะ...
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: ต.ค. 23, 2009, 08:26 PM »
0

"การบริหารคอ"

การบริหารท่านี้เพื่อประโยชน์ในการคลายความบีบรัดของกล้ามเนื้อ
บริเวณต้นคอและเป็นการบริหารที่สามารถฝึกฝนได้
แม้ว่าคุณอาจจะมีอาการปวดหลังอยู่ก็ตาม
ช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การบริหารก็คือ ช่วงตื่นนอนประมาณวันละ 4-5 นาที

...การบริหารท่าที่1...

ยืนตามสบาย ทิ้งแขนไว้ข้างตัวแล้วยกไหล่ขึ้นให้สูงสุดเท่าที่จะทำได้
แล้วก็แบะไหล่ไปข้างหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทิ้งไหล่ลงท่าเดิมแล้วหมุนไหล่ให้เป็นวงกลมค่อนข้างเร็ว

ทำเช่นนี้ 25 ครั้ง แต่ระวังให้การยกไหล่ แบะไหล่ไปข้างหลัง
ทิ้งไหล่กลับที่เดิม และการหมุนไหล่เป็นวงกลมให้กระทำเป็นจังหวะเดียวกัน
อย่าขาดความต่อเนื่อง

...การบริหารท่าที่2...

เหมือนการบริหารท่าที่1 เพียงแต่กลับกันด้วยการแบะไหล่ให้สูงขึ้น
หมุนไหล่เป็นวงกลมในทิศทางที่ตรงข้ามกับการหมุนไหล่ในท่าที่1
(คือหมุนถอยหลังในท่าที่ 1 และหมุนเดินหน้าในท่าที่ 2นี้)
ทำเช่นนี้ 25 ครั้งและให้แต่ละช่วงต่อเนื่องกันเช่นเดียวกับท่าที่ 1

...การบริหารท่าที่3...

ก้มหน้าลงให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่อย่าเกร็งคอ เงยหน้าขึ้น
แล้วแหงหน้าไปข้างหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่นกัน
ทำเช่นนี้ 20 ครั้ง


...การบริหารท่าที่ 4...

ก้มหน้าลงเหมือนเช่นท่าที่ 3 แล้วส่ายศีรษะเป็นวงกลม
เสร็จแล้วเงยหน้าขึ้น เอียงคอไปทางขวา แหงนไปข้างหลัง
เอียงคอไปทางซ้ายแล้วกลับไปที่ท่าเดิม

กระทำเช่นนี้ซ้ำ แต่กลับทิศทางกันกับหนแรก ทำให้ครบ12รอบ
แต่ให้สลับทิศทางการหมุนศีรษะทุกคร้ัง
ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะเวียนหัว
ที่สำคัญคือ คอจะต้องไม่เกร็งตลอดท่าการบริหาร

...การบริหารท่าที่5...

หันหน้าไปทางซ้ายสุด ร่างกายส่วนอื่นอยู่นิ่งๆ กลับมาท่าเดิม
หันหน้าไปทางขวาสุด ทำเช่นนี้ 10 ครั้งช้าๆ

การบริหารกล้ามเนื้อคอด้วย 5 วิธีที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ในตอนเช้า
จะช่วยให้กล้ามเนื้อคอและบริเวณหลังผ่อนคลาย ไม่เกร็ง
ช่วยให้การหมุนเวียนของโลหิตและการทำงานของระบบประสาท
บริเวณศีรษะและดวงตาดีขึ้น


____ _____ ____

บางครั้งเวลาที่เราก้มทำงาน หรือจดจ่อกับงานที่ทำอยู่
เป็นเวลานาน พอเงยหน้าขึ้นปุ๊บ เราจะมองภาพข้างหน้าเลือนลาง
แต่พอเวลาผ่านไปทุกอย่างก็จะกลับมาชัดเหมือนเดิม

หลังๆมาเป็นบ่อยค่ะ...โดยเฉพาะเวลานั่งเขียนแบบ
คือสายตาต้องจดจ้องอยู่กับเส้นและการคำนวณ
คอเราก็ก้มอยู่ตลอด เพลินจนลืมเวลาก็มีค่ะ..พอเงยหน้าเวลาเพื่อนทัก
กลับมองหน้าเพื่อนไม่ชัดค่ะ...แต่พ่อหลับตาลงแค่ชั่วครู่
แล้วลืมตาขึ้นมาภาพก็กลับมาชัดอีกรอบ นั่นอาจจะเป็นเพราะ
ทั้งกล้ามเนื้อตา และกล้ามเนื้อคอของเรามันเกร็ง
พอได้รับการผ่อนคลายก็จะกลับมาชัดเจนเหมือนเดิม...
ยิ่งเวลาต้องใช้โปรแกรมเขียนแบบอยู่หน้าคอมฯ
ต้องทำงานหน้าคอมฯนานๆ ทั้งรังสีจากคอมฯเอย
ทั้งการไม่ได้พักสายตาเอย ทั้งกล้ามเนื้อคอ สมองก็เครียด
อย่างนี้ยิ่งต้องดูแลเพิ่มขึ้นค่ะ...จากที่สายตาดีๆอาจจะค่อยๆเสื่อมลง
โดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ค่ะ...เพราะรังสีจากคอมฯเราสามารถป้องกัน
ได้ด้วยการใส่แว่นกรองรังสีหรือไม่ก็ซื้อฟิล์มกรองรังสีจากคอมฯ
เดี๋ยวนี้มีแผ่นเย็นๆที่จะช่วยให้ตาเราสดชื่น แค่เพียงวางลงบนตา
(แต่มีวิธีที่ง่ายกว่านั้นอย่างที่ได้นำเสนอไปแล้วน่ะค่ะ)

เคยใช้คอมฯที่มหาลัยนานตั้งแต่บ่ายโมงยันสองทุ่ม จากที่เข้าไปฟ้ายังสว่าง
แต่พอออกมาทุกอย่างกลับมืดหมด...เป็นอยู่อย่างนั้นหลายเดือนเลยค่ะ
จนกระทั่งตาอักเสบ รับแสงไม่ไหว จนต้องไปปรึกษาแพทย์
แพทย์เลยแนะนำวิธีดีๆมาหลายวิธีเลยค่ะกับการถนอมดวงตา
ตอนกลับไปเยี่ยมบ้านก็เลยหาหนังสือเกี่ยวกับดวงตา...
รู้เลยว่า หากว่าตาเจ็บเมื่อไหร่ มันสุดจะบรรยายค่ะ...
ยิ่งกว่าปวดฟันและปวดหัวรวมกันเสียอีกค่ะ...
เลยตั้งใจจะพิมพ์เรื่องตาจากหนังสือมานำเสนอกันน่ะค่ะ...
 
ใครมีอะไรเสริมหรืออยากแชร์ ก็ช่วยแนะนำกันมาบ้างนะคะ...


ปล.คราวหน้าจะขอนำเสนอเกี่ยวกับอาหารที่ช่วยบำรุงสายตาค่ะ
อินชาอัลลอฮฺ

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ


^___________^
 
   
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: ต.ค. 25, 2009, 07:39 AM »
0
 salam

                 อาหาร

   ดังกล่าวมาแล้วในตอนต้นว่า อาหารเป็นสิ่งหนึ่งที่มีบทบาทมาก
ในการเสริมสร้างการทำงานของดวงตา ขณะเดียวกันก็มีการค้นคว้าวิจัย
หลายกลุ่มที่กล่าวว่า อาหารเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้การทำงานของดวงตา
เกิดข้อบกพร่อง แต่คำกล่าวนี้จะหมายถึงการบริโภคที่ไม่ถูกสัดส่วน
อยู่เป็นเวลานาน มากกว่าที่จะหมายถึงข้อบกพร่องที่เกิดจากอาหารประเภทหนึ่ง
ประเภทใดเป็นการเฉพาะ

ฉะนั้น สิ่งที่เราควรจะสร้างความเข้าใจให้ถูกต้องก็คือ เรื่องของทัศนะ
เกี่ยวกับอาหารและการดำรงชีวิต หากมองดูที่ธรรมชาติ เราต้องยอมรับว่า
การทานอาหารของมนุษย์น้ัน เป็นไปเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้เท่านั้น
มิใช่เป็นการดำรงเพื่อการกิน

อย่างไรก็ตาม เป็นเวลานานมาทีเดียว(แม้แต่ในปัจจุบัน)ที่คนส่วนมาก
นำวิถีการทานอาหาร ประเภทของอาหารมาเป็นเครื่องบ่งชี้ของฐานะทางสังคม
ของคนเรา ดังน้ัน เราจะเห็นได้กลาดเกลื่อนว่า ในประเทศที่พัฒนา
ทางวัตถุอย่างมากแล้ว อาหารที่มีคุณค่าทางธรรมชาติได้ถูกเบียดให้ตก
ไปจากโต๊ะอาหารด้วยอาหารสังเคราะห์ อาหารที่มีสิ่งเจือปนหรือไม่ก็ด้วยอาหาร
ที่ผ่านกรรมวิธีสมัยใหม่มากมาย จนกระทั่งคุณค่าของอาหารที่แท้จริงหมดสิิ้น
หรือลดน้อยลง ทั้งนี้ก็เป็นเพียงเพื่อให้เกิดภาพของอาหารที่เหมาะหรือดี
ต่อสายตาคนเรามากที่สุด

อาหารเช่นว่านี้ก็คือน้ำตาลที่ขัดจนขาวและเกลือแร่ที่คุณค่าหมดไป
ข้าวที่สีจนขาวน่าทานแต่หมดวิตามินตามธรรมชาติ
ขนมปังที่ผ่านกรรมวิธีจนขาว นุ่ม น่าทาน แต่ให้คุณค่าแค่เพียงแป้ง
ผลไม้ เนื้อสัตว์ หมดความหมายไปทุกทีด้วยเนื้อกระป๋องที่ใส่ยากันบูด
ผลไม้สดที่ถูกแทนที่ด้วยแยมผลไม้ประเภทต่างๆ ผักสด ผลไม้สดถูกโยนทิ้งไป
อย่างไม่ไยดี และแม้ว่าคนบางกลุ่มยังเห็นคุณค่าของผักอยู่
แต่ก็มักเลือกทานเฉพาะผักที่ผ่านการต้ม หรือปรุงแต่งมาแล้วแทน
ซึ่งไม่ได้ทำให้เขาได้รับคุณค่าอาหารอย่างที่ควรจะเป็นแต่อย่างใด

บางคนอาจจะเถียงว่า แม้อาหารเหล่านี้จะให้คุณค่าทางโภชนาการน้อยลง
แต่มันก็มีข้อดีอย่างอื่นเป็นการชดเชย เช่น หากซื้อได้ง่าย พกพาสะดวก
และที่สำคัญที่สุดก็คือ อาหารก็คืออาหาร ไม่เห็นจะมีข้อแตกต่่างอย่างใด
และเราทุกคนก็บริโภคมันอยู่ได้ทุกวันมานานแล้ว

ข้ออ้างดัวกล่าวก็มีส่วนถูกต้องอยู่บ้าง และนั่นทำให้คนเราเมื่อสมัยสัก 20ปีที่แล้ว
มักจะบอกกับตัวเองว่า อยากกินอะไรก็กินไม่ต้องไปคิดมาก
แต่ในสมัยปัจจุบันมีนักโภชนาการเข้ามามีบทบาทในสังคมมากขึ้น
จนเราได้บทเรียนใหม่ว่า อาหารเทียมหรืออาหารที่ปรุงแต่งอย่างดีของคนที่มีฐานะ
ร่ำรวยน้ัน เป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับผิดชอบต่อโรคร้ายหลายๆโรค
ที่รุมเร้าคนเราอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นรูมาติซั่ม เบาหวาน โรคไต
โรคหัวใจ ฯลฯ

โรคร้ายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยากแก่การรับมือของแพทย์ในปัจจุบัน
(แม้ว่าจะไม่ทำให้เราเสียชีวิตไปในทุกกรณี) แต่นักโภชนาการกลับเป็นผู้ที่ช่วย
บรรเทาปัญหาเหล่านี้ได้ และเครื่องมือในการรักษาโรคของเขาก็เป็นเพียงอาหาร
ด้วยการจัดให้คนไข้ทานอาหารอย่างได้สัดส่วนเท่านั้น
เครื่องมืออื่นหากจะมีก็มีเพียงแค่เครื่องมือพื้นๆ
เช่น ถุงโคลแพคสำหรับลดความร้อน แสงแดด หรือแม้กระทั่งการอาบแดด
ก็เป็นเครื่องมือในการรักษาโรคของนักโภชนาการ

ดังนั้น สำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางสายตาแล้วคงจะไม่ปฏิเสธว่า
อาหารที่มีความสำคัญและเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่งในการเยียวยา
อาการผิดปกติให้คืนดีเหมือนเดิม และอาหารที่เหมาะสมแก่ผู้ที่มีความบกพร่อง
ของดวงตาได้แก่อาหารในลักษณะดังต่อไปนี้


...มีต่อค่ะ...
 
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #38 เมื่อ: ต.ค. 25, 2009, 08:00 AM »
0

อาหารธรรมชาติที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับการบริโภค
เช่น ผลไม้สด ผักที่มีสีเขียวประเภทต่างๆ ผักที่เป็นส่วนราก
เช่นมะเขือเทศ แครอท หัวหอม บีทรู ถั่วประเภทต่างๆและนมเนยประเภทต่างๆ
สรุปแล้วก็คืออาหาร5ประเภทเหล่านี้ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่าต่อสายตา

นักวิจัยบางคนก็บอกว่า คนเราควรงดทานเนื้อสัตว์และปลาประเภทต่างๆ
แต่แท้จริงแล้วยังไม่มีเหตุผลใดที่มาสนับสนุนข้อเสนอนี้ได้ดีพอ
เป็นแต่เพียงว่าทานเนื้อและปลานั้นควรจะเป็นไปในปริมาณที่เหมาะสม
ไม่มากจนเกินไป อีกทั้งควรจะลือกทานเนื้อที่สดจริงๆ
สำหรับเนื้อสัตว์และเนื้อปลาที่บรรจุกระป๋องหรือใส่่สารกันเสียนั้น
ควรแก่การหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง

อาหารประเภทธัญพืชทั้งหลายก็เป็นอีกประเภทหนึ่งที่มไม่ควรทานมากเกินไป
คือสามารถทานได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่มากไปในแต่ละครั้ง
ธัญพืชที่ให้คุณค่าทางด้านคาร์โบไฮเดรตสูงประเภทนี้ทานแค่วันละครั้ง
ก็น่าจะเป็นการเพียงพอ และประเภทธัญพืชที่เหมาะสมที่สุดก็คือ
ประเภทที่ไม่ได้ผ่านการปรุงหรือขัดสีเกินความจำเป็น
เช่น หากจะทานข้าวก็ไม่ควรทานข้าง 100% ที่ขัดจนขาวน่าทาน
เพราะคุณค่าทางอาหารหลุกออกไปหมดระหว่างการขัดสีแล้วเช่นกัน
หากต้องการทานขนมปัง การทานขนมปังที่มีส่วนแข็งๆ สีน้ำตาล
จะมีประโยชน์มากกว่าทานเฉพาะขนมปังที่ฟอกจนขาวและมีแต่เนื้อนุ่มๆ

ถ้าหากว่าคุณทานแยม เค้ก น้ำตาลขาวๆ ขนมปังที่ฟอกจนขาวๆ
ชา กาแฟ เนื้อ ไข่ ปลา และลูกวาดต่างๆเพียงแค่วันละ 2-3 ครั้ง
ไม่นานเท่าใด รับรองได้ว่าร่างกายของคุณจะเกิดปัญหาเกี่ยวกับ
การย่อยสลายอาหารที่รับเข้าไป(เพราะมันมากเกินไป)
และไม่นานเท่าใด ร่างกายของคุณก็จะกลายเป็นเรือนแห่งโรค

ทั้งนี้ก็เพราะว่า เมื่อร่่างกายไม่ได้ใช้อาหารที่รับเข้าไปอย่างสมดุล
การอุดตันของเส้นเลือดระบบประสาทจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นส่วนของ
เนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ เส้นประสาทต่างจะได้รับผลกระทบไปหมด
การทำงานของอวัยวะที่สำคัญก็จะไม่เป็นไปอย่างที่ควร
ผลก็คือ  โรคร้ายๆจะตามมา เช่น โรคหัวใจ โรคตับ

ครางนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสายตากับอาหารก็มาถึงจุดที่ได้กล่าวไป
ตั้งแต่ต้นว่า การเกิดอาการผิดปกติทางสายตานั้น
สาเหตุหนึ่งก็คือการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกสัดส่วนได้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทานอาหารประเภทแป้ง น้ำตาลและโปรตีน
มากเกินขนาด

ดังนั้น การบำบัดให้สายตาของเรากลับมาเป็นปกติได้นั้น
จำต้องเปลี่ยนแปลงวิถีการบริโภคอาหารของเราเสียใหม่

...มีต่อค่ะ...

   
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #39 เมื่อ: ต.ค. 25, 2009, 08:26 AM »
0
แนวทางการบริโภคอาหารเพื่อเยียวยาสายตาที่มีอาการผิกปกติ
อาจเป็นได้ดังนี้

อาหารเช้าที่ดีที่สุดก็คือ ผลไม้ โดยอาจจะเรียกว่าเป็นมื้อของผลไม้เลยก็ได้
ผลไม่ที่ว่านี้จะเป็นผลไม้แห้งบ้างก็ได้ และนอกจากผลไม้
และนอกจากผลไม้ก็ควรจะมีนมเย็นๆสักแก้วด้วย
และข้อควรระวังอย่างมากก็คือ อย่าทานขนมปังผลไม้และนม
(ซึ่งที่เป็นอยู่ทั่วไปนั้นมักจะมีการทานขนมปังคู่กับนมในตอนเช้ากันแทบทั้งนั้น)

สำหรับมื้อกลางวันก็ควรจะเน้นสลัดผักเป็นเกณฑ์ โดยจะเป็นผักอะไรก็ได้
แต่ควรจะเป็นผักที่มีสีเขียว ขนมปัง ครีม เนย ทานได้ในมื้อนี้
และหากว่าคุณต้องการเครื่องราด(เดรสซิ่ง)สำหรับสลัด
ก็ควรจะเป็นเครื่องราดที่ทำจากน้ำมะนาวเป็นหลัก

สำหรับมือเย็นนั้นก็เป็นเพียงการเติมคุณค่าของอาหารที่ร่างกาย
ยังไม่ได้รับมาแต่เช้า เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ และควรจะมีผักควรคู่ไปด้วยเช่นกัน
สำหรับอาหารจานรองนั้นก็อาจจะเป็นถั่ว ผลไม้แห้ง
คัสตาร์ดหรือเบกแอปเปิ้ลก็ได้ แต่ที่สำคัญที่สุดในมื้อเย็นก็คือ
อย่าดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ระหว่างอาหาร ชาหรือกาแฟก็ลด
ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนั้นอาหารทุกอย่างที่ทาน
พยายามเลือกทานอาหารที่สดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อาหารประเภทรมควันทั้งหลายแม้ว่าจะอร่อยสักแค่ไหนก็ควรงดเว้น
และโปรดสังเกตว่าอาหารประเภทแป้ง อย่างขนมปังนั้นได้รับการแนะนำ
ให้ทานเพียงวันละครั้งเท่านั้น

สำหรับผู้ที่ยังงดชาหรือกาแฟอย่างเด็ดขาดไม่ได้ โดยเฉพาะในช่วงบ่าย
ก็ขอให้ดื่มโดยไม่ต้องใส่น้ำตาลหรือใส่ให้น้อยที่สุด

หากคุณสามารถเปลี่ยนวิถีการทานอาหารมาเป็นอย่างที่ระบุไว้ข้างต้นนี้ได้
เป็นที่แน่นอนว่าภายในระยะเวลาไม่นาน สุภาพของคุณจะต้องดีขึ้นทันตา
และย่อมส่งผลดี่อระบบการทำงานของดวงตาทั้งหมดด้วย

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าการบำบัดดวงตาที่มีความผิดปกติในการมองนั้น
จำเป็นต้องอาศัยการออกกำลัง "สายตา" อย่างที่กล่าวมาแล้วควบคู่ไปด้วย

สิ่งที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษอีกอย่างหนึ่งในเรื่องของอาหารเพื่อดวงตา
ก็คือ เรืื่องของวิตามินเอ ซึ่งช่วยในการมองของดวงตาได้อย่างมาก
โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้สายตาในความมืด

แหล่งที่มาของวิตามินเอก็คือ น้ำมันตับปลา กำหล่ำปลี ตับวัวสด
อาหาร3อย่างนี้ให้วิตามินเอในลำดับที่สูงมาก

นอกจากนั้นก็มีอยู่ในผักสีเขียว ผลไม้หลายปรเภทรวมทั้งไข่แดง
ลูกพรุน และนมสดด้วย


______ _____ _____

เรื่องอาหารเช้าที่ดีที่สุดคือ ผลไม้นั้น ตั้งแต่เด็กๆเลยค่ะ
ตื่นเช้าขึ้นมาก็หาเรื่องขึ้นต้นชมพู่หน้าบ้านหรือไม่ก็สอยแย่งกันกับพี่ๆน้องๆ
เวลาแย่งกันกินชมพู่นั้นสนุกสุดๆค่ะ...กินชมพู่เสร็จก็ไปทานข้าวฝีมือแม่บ้าง
ฝีมือพี่สาวบ้างก่อนอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน...

พออ่านเรื่องนี้เข้าเลยรู้สึกว่า เออหนอ เมื่อก่อนไม่รู้อะไร เราก็กินๆไป...
ปัจจุบันยังติดนิสัยนั้นอยู่เลยค่ะ ตื่นมาต้องหาผลไม้กินก่อน
ไม่นั้นไม่สดชื่นในท้อง...อิอิ...แม้จะนอนเช้าตื่นบ่าย
ก็หาเรื่องกินผลไม้ก่อนอยู่ดีค่ะ...

ส่วนเรื่องขนมปังไม่ขอออกความเห็นค่ะ เพราะว่านึกถึงฝรั่ง
ขนมปังเป็นอาหารหลักของฝรั่ง เขากินกันทุกวันอยู่แล้ว
อันนี้ไม่รู้ค่ะ เรามันไม่ใช่ฝรั่งเสียด้วยสิ...;D

เรื่องของดวงตายังไม่จบเพียงเท่านี้ค่ะ...อินชาอัลลอฮฺ
คราวหน้าจะนำเสนอในหัวข้อ "ทำอย่างไรในการบำบัด"


วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

 ^__________^

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 25, 2009, 08:40 AM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #40 เมื่อ: ต.ค. 25, 2009, 05:21 PM »
0
แนวทางการบริโภคอาหารเพื่อเยียวยาสายตาที่มีอาการผิกปกติ
............................................................................................
สิ่งที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษอีกอย่างหนึ่งในเรื่องของอาหารเพื่อดวงตา
ก็คือ เรืื่องของวิตามินเอ ซึ่งช่วยในการมองของดวงตาได้อย่างมาก
โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้สายตาในความมืด

แหล่งที่มาของวิตามินเอก็คือ น้ำมันตับปลา กำหล่ำปลี ตับวัวสด
อาหาร3อย่างนี้ให้วิตามินเอในลำดับที่สูงมาก

นอกจากนั้นก็มีอยู่ในผักสีเขียว ผลไม้หลายปรเภทรวมทั้งไข่แดง
ลูกพรุน และนมสดด้วย
............................................................................................
 
อยากให้ระวังไว้สักนิด
บรรดาวิตามินต่าง ๆ นั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ วิตามินที่ละลายได้ในน้ำ กับ วิตามินที่ละลายได้ในน้ำมัน
วิตามินที่ละลายน้ำ คือ วิตามิน บีทั้งหลาย และ วิตามิน ซี กินมาก ๆ ก็ไม่เป็นไร นอกจากเปลืองโดยไม่จำเป็น กินเกินขนาดไปบ้างเดี๋ยวก็ขับถ่ายหมด
วิตามินที่ละลายในน้ำมันนั้น ถ้ากินมากจะขับถ่ายช้า เกิดการสะสม และถ้ามากเกินขนาดก็อาจเกิดเป็นพิษได้
วิตามินในกลุ่มนี้ ได้แก่ เอ ดี อีและเค
การได้รับวิตามินเอเกินขนาด(มากกว่า 20000 หน่วยสากล)อาจเกิดอันตรายได้
เรียกว่า HypervitaminosisA มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว มึนงงตาพร่า และกล้ามเนื้อทำงานไม่สัมพันธ์กัน
ถ้าต้องการเพิ่มวิตามิน เอ ควรเลือกกินอาหารที่มีวิตามินเอ เช่น ตับ ผักบุ้ง  ไข่แดง หรือลูกพรุนไม่ควรกินจากยา/อาหารเสริม
ตับที่มีวิตามินเอสูงคือ ตับหมีขั้วโลก(Polar bear) ซึ่งคงจะหากินไม่ได้ง่าย ๆ ไม่รู้จะให้ใครเชือด
ถ้าจะกินวิตามินเอเป็นอาหารเสริม ให้ดูด้วยว่า จะต้องกินไม่เกินวันละ 10000  หน่วยสากล(ดูขนาดวิตามินเอาจากข้างขวด)
ตั้งแต่ทำงานมายังไม่เคยเจอ hypervitaminosis a เลย เคยเจอแต่ hypovitaminosis a คือพร่องวิตามิน เอ
มีอาการ มองไม่เห็นในเวลากลางคืน(night blindness) กลัวแสง(photophobia) ตาเป็นเกล็ดกระดี่ตาดำขุ่นขาวและอาจถึงตาบอด
ใครอยากสายตาดีไปซื้อวิตามินเอมากินเอง ไม่ว่ากัน แต่อย่ากินเกินขนาดก็แล้วกัน
ส่วนใครอยากตาหวาน เอาน้ำผึ้งหยอดน่าจะได้ผล ถ้ามดไม่รังควานเสียก่อน
والسلام

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #41 เมื่อ: ต.ค. 25, 2009, 07:51 PM »
0
 salam

ขอบคุณค่ะแชมัด...

ตับหมีขั้วโลกนี่ อิสลามเรากินได้หรือเปล่าไม่รู้นะคะ hehe
แต่ที่มีวิตามินเอไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใครก็คือ ผักบุ้งใกล้ตัวนี้แหล่ะค่ะ
กินแล้วตาหวาน โดยไม่ต้องพึ่งน้ำผึ้งหยอดตา;D
แต่ตอนข้าน้อยตาอักเสบ ข้าน้อยหยอดตาด้วยน้ำผึ้งนะคะ
แสบแต่ว่าหายค่ะ...ตอนนั้นทรมานสุดๆเลยค่ะ...
กลัวว่าตาจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ค่ะ...อัลฮัมดุลิลลาฮฺ
อัลลอฮฺให้หายด้วยมหัศจรรย์น้ำผึ้ง น้ำผึ้งนี่สารพัดยาค่ะ

ปล.เคยเป็นอาการตากลัวแสงอยู่เกือบเดือนค่ะ ไปเรียนไม่ได้
เพราะว่าใช้คอมฯเยอะและติดต่อกันนานจนเกินไป
โดยไม่รู้วิธีถนอมสายตาน่ะค่ะ...


วัสลามุอะลัยกุมค่ะ


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #42 เมื่อ: พ.ย. 10, 2009, 11:53 PM »
0

 salam

ทำอย่างไรในการบำบัดสายตา


      สำหรับระยะเวลาในการบำบัดนั้นเป็นเรื่องที่คนไข้ทุกคน(ไม่ว่าโรคใด)
ต่างต้องรู้กันด้วยว่าจะต้องรับการเยียวยาไปนานเพียงใด
ผลที่ได้จะเป็นอย่างไร คำตอบก็คือ ระยะเวลาหรือผลการเยียวยา
ก็ย่อมจะขึ้นอยู่กับอาการดั้งเดิมของคุณเป็นที่ตั้ง เช่น สายตาคุณผิดปกติมากน้อย
เพียงใด การใช้แว่นตา(ซึ่งทำให้อาการเกร็งของกล้ามเนื้อตายังคงอยู่)นานเพียงใด

ระหว่างการบำบัดวิธีตามธรรมชาติคุณสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีเพียงใด
(เพราะหากกังวลหรือเคร่งเครียดเหมือนเดิมก็จะไม่ได้ผล หรือได้ผลช้า)
รวมตลอดไปถึงวิธีการเยียวยาที่ถูกต้องตามหลักการเพียงใด
หากทำอย่างถูกบ้างผิดบ้างก็คงจะได้ผลช้า

โดยสรุปคือ การเยียวยาสายตาที่ผิดปกตินั้น จะต้องทำทั้งทางกายภาพและจิตใจ


ตัวอย่าง


สายตาสั้น

    นางสาวเอ เป็นครูใหญ่ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง มีอาการสายตาส้ันมาตั้งแต่
อายุ 10 ขวบ เธอต้องสวมแว่นมาเป็นเวลาถึง 16 ปีเต็ม
อีกทั้งยังต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยๆด้วย

   อาการสายตาสั้นของเธอเกิดจากสาเหตุที่เห็นกันอยู่ทั่วไป
นั้นคือ งานมาก เครียดเกินไป ฝันกลางวัน นอกจากสาเหตุทางสมองหรือจิตใจแล้ว
เธอยังทานอาหารอย่างไม่ถูกหลักการอีกด้วย
คือทานพวกแป้ง น้ำตาล โปรตีนมากเกินไป
นอกจากนั้นเธอยังมีอาการปวดต้นคออีกด้วย

ในการเยียวยาเพื่อรักษาอาการบกพร่องของสายตานี้ เธอได้รับคำแนะนำ
ให้เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนวิธีการยริโภคเสียใหม่ และตามด้วยแนะนำ
ให้ปรับปรุงตนเอง คือพยายามเป็นคนอารมณ์เย็นลง ไม่เครียดง่ายๆ
ซึ่งทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น หลังจากนั้นเธอก็ได้รับคำแนะนำ
ให้ใส่ๆถอดๆแว่นสายตา ไม่ให้ใส่ติดตาตลอด ให้เธอออกกำลังกาย
เพื่อคลายความเครียดของกล้ามเนื้อต้นคอ ให้หัดเอาน้ำเย็นล้างหน้า
และลูบบริเวณตาบ่อยๆ
นอกจากนั้นยังให้เธอออกกำลังกาย "สายตา" เพื่อคลายความเครียดแบบพาล์มมิ่ง
และสวิงกิ้ง 30 นาทีต่อวันในช่วงแรกๆ หลังจากนั้นเธอก็สามารถอ่านมันได้นาน
ถึงหนึ่งชั่วโมงและสองชั่วโมงตามลำดับ โดยในช่วงของการอ่านหนังสือ
โดยไม่ต้องใช้แว่นตานี้ เธออาจจะต้องหยุดอ่านเป็นบางครั้งเมื่อรู้สึกว่า
ดวงตาเริ่มล้า นอกจากนั้นเทคนิคแบบ "จับกลาง"ก็ถูกนำมาใช้ด้วย

ส่วนเรื่องระยะเวลาหรือจังหวะที่เธอบำบัดอาการผิดปกติของสายตานั้น
เธอเลือกออกกำลัง "สายตา"ระหว่่างที่นั่งรถไฟไปทำงานในช่วงเช้า
และเมื่อใดที่มีโอกาส เธอก็แหงนหน้าให้แสงแดดเลียดวงตาอีกครั้งละ 10 นาที
และในช่วงเวลาไม่นานเธอก็พบว่าสายตาของเธอดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
และแว่นตาที่ใช้อยู่ก็ต้องเปลี่ยนใหม่เพราะหนาเกินไป

ต่อมาเธอก็สามารถเดินทางไปทำงานได้โดยไม่ต้องใช้แว่นตา
ซึ่ลำบากอยู่บ้างในช่วงแรก แต่ก็ปรับตัวได้ในเวลาต่อมา
และท้ายที่สุดเธอก็รอเวลาให้สายตาเธอกลับเป็นปกติเช่นเดิม


 

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #43 เมื่อ: พ.ย. 11, 2009, 12:03 AM »
0


สายตายาว


        อัลเฟรด บี เป็นเด็กชายอายุเพียง 14 ปี ที่มีปัญหาสายตายาว
และจำต้องสวมแว่นต้ังแต่อายุเพียง 6 ขวบ แต่เด็กคนนี้ก็เป็นอีกคน
ที่มารับการบำบัดสายตาตามวิธีธรรมชาติ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนอาหาร
ให้เข้ากับการบำบัด การออกกำลังกายบริหารต้นคอ
การให้ดวงตาได้มีโอกาสสัมผัสกับน้ำเย็นบ่อยๆ

       ในช่วงแรกเขายังต้องไปโรงเรียนโดยสวมแว่นอยู่ แต่เมื่อเวลาพักผ่อน
ก็ให้ถอดแว่นออก และเมืื่อมีโอกาสก็ให้แสงแดดส่องหน้าสัก 10 นาทีต่อครั้ง
นอกจากนั้นเขายังได้รับคำแนะนำให้ฝึกวิธีพาล์มมิ่งทุกเช้าและเย็น
ส่วนในตอนเย็นก็ให้เขาลองอ่านหนังสือ โดยให้หนังสืออยู่ใกล้ตามากที่สุด
เท่าที่จะทำได้โดยไม่เกิดอาการเกร็งต่อดวงตา ให้พักเมื่อเมื่อยตา
รวมทั้งให้กะพริบตาบ่อยๆ(โดยไม่ต้องฝืน)

      ในเวลาไม่นานก็ปรากฏว่าเขาสามารถอ่านหนังสือโดยไม่ต้องสวมแว่น
ได้นานขึ้นรวมทั้งสามารถอ่านได้ในระยะไกลมากขึ้นด้วย คือประมาณ 5 นิ้ว
การบำบัดของเด็กชายคนนี้กินเวลาประมาณ 2 เดือน เขาเห็นผลที่ดีขึ้น
ที่โรงเรียนเขาสามารถร่วมกิจกรรมได้โดยไม่ต้องสวมแว่น
แต่เขาก็ยังได้รับการแนะนำให้พักดวงตาทุกครั้งที่มีอาการล้าเกิดขึ้น
และอีกไม่กี่อาทิตย์ต่อมาสายตาเขาก็กลับคืนดีดังเดิม...


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #44 เมื่อ: พ.ย. 11, 2009, 12:13 AM »
0


สายตาคนแก่


      ความจริงสายตาของคนแก่ก็คือลักษณะของสายตายาวนั่นเอง
แต่ศัพท์ทางการแพทย์นั้นแตกต่างกันออกไป
เพื่อให้เกิดความเข้าใจในทันทีว่าเป็นอาการสายตายาวทีเกิดในลักษณะใด
ตัวอย่างของการเยียวยาสายตาแบบคนแก่นี้ก็คือเรื่องของนายดี
เขาอายุ 54 ปี เป็นพนักงานขายที่ไม่เคยต้องใส่แว่นเลย
แต่แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าเขามองสิ่งที่ใกล้ตัวไม่ชัด

      ต้นเหตุของปัญหาสายตาของเขาก็คือนิสัยการทานอาหารทีไม่ถูกต้อง
เพราะส่วนใหญ่เขาจะทานเฉพาะแป้ง โปรตีน ติดบุหรี่และกาแฟ
ดังนั้น การบำบัดอาการของเขาจึงเริ่มต้นด้วยการจัดระเบียบการทานเสียใหม่
แนะให้เขาออกกำลังกายให้มากขึ้น (โดยทั่วๆไป)
นอกจากนั้น เขายังคลายความเครียดของกล้ามเนื้อตาด้วยวิธีพาล์มมิ่ง
วันละ 2 คร้ัง ครั้งละ 15 นาที ไม่นานนักเขาก็สามารถอ่านหนังสือพิมพ์
โดยไม่ต้องพึ่งแว่นสายตาและโดยไม่เกิดความเครียดของดวงตา
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังได้รับการแนะนำให้หัดกะพริบบ่อยๆให้เป็นนิสัย
เพราะทำให้กล้ามเนื้อตาและดวงตาไม่แข็งทื่อ ให้เอาน้ำเย็นลูบ
หรือชโลมดวงตาบ่อยๆ รวมทั้งออกกำลังกล้ามเนื้อคอ
และด้วยการออกกำลังบริหารกล้ามเนื้อเช่นว่านี้แค่ประมาณ 3 อาทิตย์
สายตาของเขาก็เกือบกลับสู่สภาวะเดิม


 
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged