ผู้เขียน หัวข้อ: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ  (อ่าน 27420 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #45 เมื่อ: พ.ย. 11, 2009, 12:30 AM »
0


ตาเหล่


      การบำบัดความผิดปกติของสายตานั้นสามารถใช้ได้กับความผิดปกติ
ของสายตาหลายชนิด แม้แต่การผิกปกติ เช่น ตาเหล่

ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงของมอลลี่ อี เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 7 ปีที่มีอาการตาเหล่
ข้างซ้าย ทั้งนี้เพราะความผิกปกติของกล้ามเนื้อตา การเยียวยาเริ่งขึ้น
เหมือนกับกรณีอืื่นๆ คือจัดระเบียบการบริโภคอาหารของเธอเสียใหม่
โดยเน้นผักและผลไม้เป็นหลัก

นอกจากนั้นในการใช้สายตาก็มักจะปิดตาข้างที่ดีคือข้างขวาด้วยที่ปิดตา
เพื่อเปิดโอกาสให้ดวงตาข้างที่ไม่ปกติทำงานมากขึ้น เพื่อกล้ามเนื้อ
จะได้มีการยืดหยุ่น คลายเครียดได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องอยู่ภายใต้วิธีการเยียวยา
ที่ถูกต้องอย่างเคร่งครัด เช่น ต้องบริหารกล้ามเนื้อแบบพาล์มมิ่งทุกวัน

     แต่สำหรับกรณีของเด็กหญิงคนนี้ได้มีวิธีการเยียวยาที่ค่อนข้างพิเศษ
และไม่เหมือนกับที่กล่าวมาข้างต้นด้วย กล่าวคือ
มีการนำดินสอปลายแหลมมา "ล่อ" กล้ามเนื้อตาที่เหล่
ด้วยการเอามาจ่อไว้ที่หน้าดวงตาข้างนั้น
แล้วค่อยๆเลื่อนปลายดินสอไปในทิศทางที่ตรงข้ามกับดวงตาที่เหล่
เช่น หากนัยน์ตาเหล่ไปทางซ้ายก็ค่อยๆเลื่อนปลายดินสอไปข้างขวา
และให้ผู้รับการบำบัดพยายามมองตามปลายดินสอไว้ตลอดเวลา
โดยวิธีนี้กล้ามเนื้อตาจะถูกบังคับโดยปริยายให้กลับมาสู่จุดปกติ


แต่แน่นอนที่ว่าการเยียวยาเช่นนี้จะต้องค่อยๆทำเพื่อกันมิให้เกิดความเครียด
ในกล้ามเนื้อดวงตา อันจะเป็นการซ้ำเติมอาการให้เลวร้ายลงไปอีก

     มอลลี่ อี ใช้วิธีเยียวยาเช่นนี้อยู่ประมาณสองเดือน อาการผิดปกติ
ทางดวงตาของเธอดีขึ้นอย่างมาก


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #46 เมื่อ: พ.ย. 11, 2009, 12:43 AM »
0


ต้อกระจก


     ต้อกระจกเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความผิดปกติของดวงตา
ที่สามารถบำบัดให้ดีขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้แว่นสายตา
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับหญิงคนหนึ่งที่ชื่อสมมติว่า นางเอฟ เธออายุ 56 ปี
และต้อกระจกกำลังเกิดขึ้นดับดวงตาทั้งสองข้าง
แม้ว่าอาการต้อกระจกนั้นจะอยู่ในระยะต้นๆ แต่หลายคนก็บอกกับเธอว่า
ไม่มีโอกาสเยียวยาให้ดีขึ้นได้ เว้นแต่รอให้มันแก่ตัวเต็มที่แล้วก็ผ่าตัดออกเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เธอก็มาลองบำบัดอาการต้อกระจกกับนักโภชนาการ
ที่รู้เรื่องนี้ดีอย่างไม่ค่อยจะเชื่อมั่นสักเท่าใดนัก

ภายหลังเธอก็ได้รับคำอธิบายว่าสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดต้อกระจกได้ก็คือ
การทานอาหารอย่างไม่ได้สัดส่วน ฉะนั้น การเยียวยาในขึ้นต้นก็คือ
การจัดระเบียบการทานอาหารของเธอใหม่หมด รวมทั้งบริหารกล้ามเนื้อ
กระดูกสันหลัง ต่อมาเธอก็ได้รับการแนะนำให้บริหารกล้ามเนื้อตา
ด้วยวิฑีพาล์มมิ่ง บริหารกล้ามเนื้อคอทุกเช้าและเย็น
ชโลมดวงตาด้วยน้ำเย็นบ่อยๆ รวมทั้งให้แสงแดดสาดดวงตาขณะที่ปิดอยู่บ้าง
และต่อด้วยการทำสวิงกิ้งวันละ 10 นาที

    เพียงแค่ชั่วระยะเวลาเดือนเดียวเธอก็ต้องแปลกใจที่สุขภาพโดยท่ัวไปของเธอ
ดีขึ้นมารวมทั้งสายตา ต่อจากนั้นเธอจึงเกิดความมั่นใจมากขึ้น
เธอพยายามอ่านหนังสือทุกวัน พยายามใช้ความจำและจินตนาการ
เข้าช่วยในการอ่าน รวมทั้งเทคนิคการ "จับกลาง"

ในไม่ช้าสายตาของเธอก็กลับคืนดีขึ้นจนเกือบจะเหมือนเดิมทั้งสองข้าง
เมื่อเวลาผ่านไปหาเดือน แม้ว่าสายตาของเธอจะยังไม่กลับดีดังเดิม
แต่มันก็ดีขึ้นอย่างแปลกประหลาด จนกระทั่งเธอไม่เห็นความจำเป็น
ที่จะต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อเยียวยาเรื่องนี้แต่อย่างใด


 
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #47 เมื่อ: พ.ย. 11, 2009, 01:08 AM »
0

หมายเหตุ


   มิใช่อาการผิดปกติ เช่น สายตาสั้น หรือสายตายาวเท่าน้ันที่การบำบัด
แบบธรรมชาติและไม่ต้องใช้แว่นสายตาจะได้ผล
แต่อาการผิดปกติอื่นๆของสายตาก็สามารถใช้การเยียวยาเช่นนี้ได้ด้วย
แต่มีเงืื่อนไขว่า อาการเช่นนั้นจะต้องไม่รุนแรงจนเกินไปแล้ว
ซึ่งจะมีการกล่าวถึงรายละเอียดต่อไป แต่ก่อนอืื่นใคร่ขอกล่าวถึงศัพท์เทคนิค
บางคำก่อนเพื่อจะได้เกิดความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้นเม่ือมีการกล่าวถึงคำนี้
ในที่อืื่น กล่าวคือ

"สายตาส้ันอย่างรุนแรง" ความจริงคำว่าสายตาส้ันอย่างรุนแรง
มิใช่ศัพท์เทคนิคทางการแพทย์ แต่การที่ใครสักคนเกิดอาการสายตาสั้น
อย่างรุนแรงนั้นมักจะเป็นผลมาจากอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดสภาพที่ "หลุด"
ออกมาจากม่านตา(เรตินา) ซึ่งศัพท์ทางการแพทย์จะเข้าใจดีในคำว่า
"Detachment of the Retina"

อาการสายตาสั้นอย่างรุนแรงนี้อาจจะยากแก่การบำบัด
แม้ว่าจะใช้ทุกวิธีการที่กล่าวมาข้างต้น การบำบัดอาจทำให้สายตาสั้น
ดีขึ้นบ้างเพียงเล็กน้อย อีกทั้งยังต้องใช้ระยะเวลานาน

    "จุดหรือรอยวงๆที่ลอยอยู่หน้าตา" หลายคนคงเคยประสบปัญหา
อาการเหล่าเช่นว่านี้ กล่าวคือ ที่มีเหมือนวงหรือจุดอะไรสักอย่าง
มาลอยอยู่ให้เห็นทุกครั้งที่ลืมตาอยู่ อาการเหล่านี้จะเรียกง่ายๆว่า
"ขี้แมลงวันของตา" ก็คงไม่ผิด คือแทนที่จะไปเกิดที่ผิวหนังแต่กลับมาเกิด
ในที่ที่ดวงตาต้องเห็นอยู่ตลอดไป

ต้นเหตุของอาการแบบนี้ก็คืออนุภาคเล็กๆของเซลล์เกิดไปติดอยู่ที่
ดวงตานั่นเอง ลักษณะเช่นนี้มิใช่พยาธิโรค เพราะฉะนั้นจะไม่เกิดอาการ
ติดเชื้อหรือลามปาม เป็นอาการผิดปกติทางตาอื่นๆ
เพียงแต่ก่อให้เกิดความรำคาญเท่านั้น วิธีเยียวยาอาจจะค่อนข้างลำบาก
เพราะมันก็เปรียบหมือนเศษผงเข้าตานั่นเอง เพียงว่ามันติดอยู่อย่างค่อนข้างถาวร
แต่ถ้าไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าการเยียวยาด้วยการทานอาหารให้ถูกต้อง
อย่างที่กล่าวมาข้างต้น จะช่วยให้อาการบรรเทาลงได้ในบางกรณี
แต่ไม่สามารถขจัดมันออกไปได้อย่างสิ้นเชิง ทางที่ดีที่สุดก็น่าจะลืมเสียดีกว่า
(แต่หากแพทย์ที่ติดอยู่กับกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์แบบเก่าๆก็อาจจะบอกว่า
การผ่าตัดอาจช่วยได้)

    กุ้งยิงหรือต่อมหนังตาอักเสบ นายแพทย์เก่าๆมักจะบอกว่า
อาการกุ้งยิงหรือต่อมหนังตาอักเสบออกเป็นเม็ดสีแดงเรื่อๆนั้น
เป็นเพราะได้รับเชื้ออย่างใดอย่างหนึ่ง ความจริงคำอธิบายนี้อาจจะ
มีส่วนถูกต้องอยู่เช่นกัน แต่แท้จริงแล้ว แม้ว่าดวงตาจะไม่ได้รับเชื้อใดๆ
อาการของกุ้งยิงหรือต่อมหนังตาอักเสบก็อาจเกิดขึ้นได้
เพราะอาการของกุ้งยิงมีสาเหตุที่แท้จริงมาจากระบบของร่างกายตกต่ำลง
ซึ่งการรักษาจะต้องทำที่สาเหตุของปัญหามิใช่การแก้
หรือบรรเทาอาการการล้างตาด้วยเกลือเอปซอมผสมน้ำอุ่นจะช่วยได้มาก

    อาการตาฟาง อาการตาฟางคือการมองไม่ชัดหรือไม่เห็นในเวลากลางคืน
อาการนี้ก็เป็นผลมาจากการโภชนาการเช่นกัน มิใช่จากเชื้อโรคใดๆ
กล่าวคือเป็นผลจากการขาดวิตามินเอน่ันเอง
การเยียวยาจึงจำต้องทานวิตามินเอให้มากขึ้น ซึ่งมีมากในน้ำมันตับปลา



ปล.อินชาอัลลอฮฺ...แล้วจะมาต่อเรื่องตาให้จบในคราถัดๆไปนะคะ...

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 11, 2009, 01:10 AM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #48 เมื่อ: พ.ย. 17, 2009, 03:25 AM »
0


 salam


สาเหตุของโรคตา


คนจำนวนไม่น้อยไม่เข้าใจว่าโรคตานั้นอาจแยกออกเป็นสองลักษณะ
ที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อย่างแรกคืออาการของโรคตา
ที่เป็นความบกพร่องในการมอง เช่น อาการของสายตาสั้น สายตายาว ฯลฯ
อาการที่สองก็คือ อาการที่ถือว่าเป็นโรคของตา เช่น อาการระคายเคือง
ต้อตาแดง ฯลฯ อาการที่สองนี้มิใช่ความบกพร่องในการมอง
แต่เป็นอาการที่เกิดจากความบกพร่องของระบบการทำงานของร่างกาย
โดยส่วนรวม ซึ่งบางคนอาจจะจัดอาการประเภทที่สองนี้ไว้เป็นอาการของตา
ที่เกิดจากพยาธิก็ได้ ทำให้บางครั้งเรียกโรคตาลักษณะนี้ว่า
โรคตาแบบพยาธิ ซึ่งหมายความว่าเป็นอาการที่เกิดจากการติดเชื้อนั่นเอง
ทั้งที่ความจริงก็มิได้หมายความว่าอาการเหล่านี้จะต้องมาจากเชื้อโรค
อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ

   อย่างไรก็ตาม อาการทางตาทั้งสองลักษณะนี้มีส่วนเก่ียวพันกันอยู่นั่นเอง
อาการทางตา เช่น ตาแดง ต้อ ฯลฯ มีส่วนทำให้ดวงตาบกพร่องเป็นการชั่วคราว
หรือถาวรได้ อย่าลืมว่าดวงตาก็คือส่วนหนึ่งของร่างกายเรา
ดังนั้นเมื่อร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งหรือส่วนมากของร่างกายเกิดการบกพร่อง
ในการทำงาน ไม่ว่าการทำงานที่บกพร่องนั้นจะเป็นไปในลักษณะใด
ดวงตาก็ย่อมต้องได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อยด้วย
เช่น เมื่อสมองเกิดความเครียดติดต่อกัน (ซึ่งเป็นภาวะบกพร่องมิใช่ภาวะปกติ
ของร่างกาย) ความบกพร่องในการมองของเราจะตามมาทันที
อย่างที่กล่าวมาแล้วแต่ต้น

ดังนั้น เมื่อคุณเกิดโรคตาไม่ว่าจะเป็นการมองบกพร่องหรืออาการทางพยาธิอื่นใด
การรักษาที่ถูกต้องก็คือ การพิจารณาสภาวะการทำงานของร่างกายทั้งระบบ
มิใช่วิเคราะห์หรือหาทางแก้ปัญหาเฉพาะที่ตาแต่เพียงอย่างเดียว

    การรักษาโรคตาโดยทั่วๆไปที่ผ่านมาตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ไม่ถูกต้อง
ดังกล่าวมาข้างต้น หลายคนมองไปที่สาเหตุของปัญหาที่เป็นอันดับรอง
มิใช่สาเหตุแรกหรือสาเหตุที่แท้จริง เช่น เมื่อเกิดอาการตาแดงหรือตาอักเสบขึ้น
ก็จะมองหาวิธีรักษาว่าดวงตาเกิดความเครียดหรือติดเชื้ออะไรมาหรือไม่
ซึ่งแท้จริงเป็นเรื่องปลายเหตุ ถ้าให้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต้องมองที่
สภวะของร่างกายคนไข้โดยทั่วไปว่าทำงานเป็นปกติหรือไม่
รวมทั้งตรวจสอบประวัติการเจ็บป่วยของเขาในอดีตด้วย

   มีการกล่าวไว้ว่าอาการทางตา เช่น ตาแดงหรือต้อ หรืออื่นๆนั้นไม่มีโอกาส
ที่จะเกิดขึ้นตราบเท่าที่สุขภาพของคุณแข็งแรงดีพอ
คนทั่วไปอาจจะรู้สึกว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน แต่มันคือความจริง
ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว อย่าลืมว่านัยน์ตาคือส่วนหนึ่งของร่างกาย
ที่จะเกิดความบกพร่องได้ หากร่างกายส่วนใหญ่ทำงานไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น


หากจะกล่าวให้ละเอียดกว่านี้ก็อาจจะพูดได้ว่า หากระบบเลือดของร่างกาย
มีสภาพที่เป็นพิษมากขึ้น (มิได้หมายความว่าเลือดต้องเน่าเสียหรือเป็นพิษ
จนทำให้เราตาย) โรคตาก็สามารถเกิดขึ้นได้และอาการเป็นพิษของเลือดนั้น
สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เพราะการทานอาหารไม่ได้สัดส่วน
หรือการดำเนินชีวิตโดยทั่วไปไม่ส่งเสริมการทำงานตามปกติของร่างกาย

การรักษาอาการทางตาทุกอย่างจึงต้องกระทำที่ต้นเหตุ แต่คนจำนวนไม่น้อย
ได้ละเลยข้อเท็จจริงข้อนี้ แล้วไปรักษาหรือเยียวยาอาการที่เกิดขึ้นมาให้เห็นเท่านั้น
การรักษาที่สาเหตุนอกจากจะช่วยให้อาการบกพร่องของดวงตาหมดไปแล้ว
ยังช่วยฟื้นฟูให้สภาวะทั่วไปของร่างกายกลับสู่ระดับปกติ
หรือดีหว่าเก่าเป็นอย่างมากด้วย

    ดังนั้น การรักษาอาการของตาที่ต้นเหตุด้วยการพิจารณาระบบการทำงาน
ของร่างกายทั้งหมดนั้นจึงเป็นการรักษาตามธรรมชาติ
และเท่ากับเป็นการสำเร็จไปครึ่งทางแล้วในการรักษา
ตรงกันข้าม หากเยียวยามุ่งเน้นเฉพาะการบรรเทาอาการ การรักษาในลักษณะนี้
อาจจะเรียกว่าเป็นการ "ระงับอาการ" และเป็นการรักษาที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ

    โรคสำคัญอย่างหนึ่งที่เรารู้จักก็คือ ต้อ ซึ่งการรักษาของคนทัั่วไปจะเน้นที่
การผ่าตัด ซึ่งแน่นอนว่าจะเกิดความเจ็บปวด แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ
หากผ่าตัดเป็นเพียงการระงับอาการที่เกิดจากต้อเท่านั้น
การรักษาที่ต้นเหตุมิได้ถูกแตะต้อง ซึ่งในระยะหลังอาการเช่นนี้อาจจะเกิดขึ้นได้อีก
รวมทั้งอาจจะรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้

    การรักษาแบบธรรมชาติ ซึ่งไม่ต้องอาศัยการผ่าตัดคือการรักษาที่ต้นเหตุ
เป็นการรักษาตามธรรมชาติและระงับมิให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก

วิธีการรักษาหลักก็คือ การนำโภชนาการเข้ามาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาวะ
ของร่างกายแต่ละคน จุดประสงค์ก็คือ ให้ร่างกายกลับเข้าสู่สภาวะสมบูรณ์
อย่างที่ควรจะเป็นโดยไม่ต้องพึ่งยา การรักษาแบบนี้วางหลักเกณฑ์ว่า
ร่างกายของเราเป็นหน่วยหนึ่งที่จะต้องทำความสะอาดเมื่อเกิดความสกปรกขึ้น
โดยเฉพาะภายในร่างกาย

อย่างไรก็ตาม การรักษานี้จะได้ผลอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เมื่อมีการบรรเทาอาการ
ที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆกันด้วย

ต่อไปนี้จะเป็นอาการของโรคตาบางชนิดที่สมควรหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง


...มีต่อค่ะ...


 
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #49 เมื่อ: พ.ย. 17, 2009, 01:01 PM »
0

 salam



ต้อกระจก

  อาการของต้อกระจกก็คือ การที่เลนส์ตาซึ่งอยู่หลังม่านตาเกิดอาการขุ่นมัว
ทำให้แสงไม่อาจผ่านเลนส์ตาเข้าไปภายในได้ เมื่อไม่มีแสงคนเราก็มองไม่เห็น
ดังนั้น อาการของต้อกระจกจะเริ่มด้วยการมองภาพไม่ชัดเพราะแสงน้อยเกินไป
และเมื่อความขุ่นมัวนั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งแสงผ่านเข้าไปไม่ได้เลย
เราก็มองไม่เห็นไปเลย(คือบอด) ทางแก้เท่าที่ผ่านมาก็คือ การผ่่าตัดเอาเลนส์
ที่มัวชิ้นนี้ออกไปเสีย (แล้วให้คนไข้ใส่แว่นแทน) และการผ่าตัดเอาเลนส์
ออกนี้จะต้องรอจนกระทั่งต้อกระจกนั้น "แก่"ได้ที่เสียก่อน

  การที่การรักษาต้อกระจกออกมาในแนวนี้มาเป็นระยะเวลานาน
ก็เพราะการตั้งสมมติฐานที่ว่า เราไม่สามารถหยุดอาการขุ่นมัวของเลนส์ตาได้
ต้องรอให้มันมัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งบอดแล้วก็เอามันออก
และนั่นหมายความว่่าคนไข้ต้องทนเสียใจให้สายตาพร่ามัวไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งมองไม่เห็นและต้องทำใจว่าการผ่าตัดเป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น

แต่ความจริงมันมิใช่เช่นนั้น กล่าวคือเราสามารถหยุดสาเหตุหรือหยุดอาการ
พร่ามัวของดวงตาได้ด้วยวิธีอื่น การผ่าตัดเป็นเพียงแก้ไขผลของการพร่ามัวเท่าน้ัน

ตัวอย่างเช่น คนที่เป็นโรคเบาหวานบางคนมักจะเกิดอาการของต้อกระจก
ขึ้นมาด้วย ดังนั้น การแก้ไขโรคเบาหวานก็ย่อมแก้ไขต้นเหตุของต้อกระจกได้ด้วย


   สาเหตุท่ีแท้จริงของต้อกระจกก็คือ การเกิดสภาวะที่เป็นพิษขึ้นในร่างกายของเรา
อันมีสาเหตุมาจากการดำเนินชีวิตและการบริโภคอาหารผิดพลาดเป็นระยะ
เวลานาน รวมทั้งการเกิดอาการท้องผูกอย่างชนิดเรื้อรัง
คำว่า "สภาวะที่เป็นพิษ" นี้ก็เช่นกัน การที่กระแสเลือดเป็นพิษและแพร่กระจาย
ไปทั่วร่างกาย รวมทั้งบริเวณดวงตาและบริเวณรอบๆและเมื่อประกอบกับ
กล้ามเนื้อดวงตาเกิดอาการเครียดขึ้นมา ความบกพร่องในดวงตาหรือการมอง
ก็จะตามมาได้โดยไม่ยากเย็น และเมื่ออาการเช่นนี้เพาะตัวขึ้นมันก็ขยายตัวได้
หากภาวะเป็นพิษนั้นไม่ได้รับการเยียวยา (ซึ่งที่คนเราไม่แก้ไขตรงจุดนี้ในขณะแรก
เพราะอาจจะไม่รู้) นั่นเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ต้อกระจกเติบโตขึ้น
จนกระทั่งเป็นอุปสรรคในการมองของคุณ

โดยสรุปจึงอาจกล่าวได้ว่า ต้อกระจกเกิดจากการปล่อยให้ภาวะที่ไม่ปกติ
ของร่างกายเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานปี
ดังนั้น การวิเคราะห์และแก้ไขปัยหาที่เกิดจากต้อกระจกจึงต้องพิจารณาว่า
ร่างกายอยู่ในภาวะเช่นใดในหลายๆปีที่ผ่านมา โรคเรื้อรังอื่นๆมีหรือไม่
รวมทั้งระลึกไว้เสมอว่าการเยียวยาด้วยมีดผ่าตัดมิใช่วิธีเดียวในการรักษา
เพราะมันมิใช่การรักษาที่ต้นเหตุ

อย่างไรก็ตาม อย่าคิดว่าต้อกระจกจะได้รับการเยียวยาให้หายขาดได้
โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัด เพราะความจริงที่ว่า
ต้อกระจกเป็นโรคตาที่ "ดื้อ" มากที่สุดอย่างหนึ่ง
และยิ่งปล่อยให้มันขยายตัวจนสุกงอมก็ยากที่จะหนีการเยียวยาด้วยมีดผ่าตัดไปได้

  โดยสรุปคือ

1) การเยียวยาอาการที่เกิดจากต้อกระจกสามารถกระทำได้ หากว่าทำในระยะ
เริ่มแรกของอาการ

2) การเยียวยาสามารถกระทำได้ด้วยวิธีธรรมชาติโดยมิต้องผ่าตัด

3) การรักษาวิธีธรรมชาติที่เน้นโภชนาการเป็นหลักจะสามารถช่วยให้เลือด
ภายในร่างกายและเนื้อเยื่อต่างๆเกิด "ความสะอาด" ขั้น ซึ่งจะทำให้ต้อกระจก
สลายไปได้อย่างสิ้นเชิง

4) ในกรณีที่ต้อกระจกนั้นเติบโตขึ้นมามากแล้ว แม้การรักษาตามธรรมชาติ
จะสลายมันไปไม่ได้แต่ก็สามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของมันได้


...มาดูกันต่อในเรื่องการรักษาค่ะ...

     
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #50 เมื่อ: พ.ย. 17, 2009, 01:17 PM »
0


การรักษาต้อกระจก


   หลังจากที่เราได้เกริ่นเรื่องของต้อกระจกกันมาแล้ว
คราวนี้เป็นเรื่องของการบำบัดต้อกระจกอย่างละเอียด
ดังที่กล่าวมาแล้วแต่ต้นว่าการเยียวยาต้อกระจกให้หายขาดนั้นสามารถทำได้
ถ้าหากว่าทำในระยะแรก และแม้ว่าอาการของต้อกระจกจะอยู่ในขั้นรุนแรงแล้ว
ก้ยังสามารถชะลอตัวมิให้ขยายออกไปได้ ด้วยการนำหลักโภชนาการ
ที่ถูกต้องเข้ามาใช้

อย่่างไรก็ตาม หากอาการที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงและนานมาแล้ว
การผ่าตัดก็อาจจะเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะพยายามนำหลักการกินที่ดี
มาใช้แล้วก็ตาม

   ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า
เบเกอร์ เขามีอาชีพเป็นบรรณาธิการหนังสือฉบับหนึ่งในอเมริกา
ผู้ซึ่งประสบความทุกข์อย่างมากจากต้อกระจก อาการของเขาทุกคนที่พบเห็น
แล้วบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีทางพ้นจากการผ่าตัดไปได้
มิฉนั้นก็ต้องตาบอด ต่อไปนี้เป็นคำบอกกล่าวของนายเบเกอร์เอง

"...ตอนแรกผมไปตรวจสายตากับจักษุแพทย์ที่เคยตรวจ
แต่ผมมองไม่ชัดอย่างที่ควรจะเป็น เขาจึงตรวจตาผมอย่างละเอียดอีกที
แล้วก็บอกกับผมว่า ตาผมเกิดต้อกระจก และเขาบอกว่า ถ้าอยากจะแน่ใจจริงๆ
ก็ให้ผมไปถามจักษุแพทย์คนอื่นก็ได้..."

"ผมไม่ได้ไปสอบถามหรือตรวจกับใครอีก แต่คนอีก 5-6 คนที่ผมพบ
และเล่าอาการทีเกิดขึ้นให้ฟัง ทุกคนบอกเหมือนกันหมดว่า
อาการต้อกระจกของผมต้องแก้ด้วยการผ่าตัดเท่านั้น ทุกคนบอกว่าผม
จะต้องยอมให้อาการนี้มันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมองไม่เห็น
และบอกอีกด้วยว่ายาป้าย ยาทาต่างๆไม่มีความหมาย ช่วยอะไรไม่ได้
แทบทุกคนย้ำแต่เรื่องผ่าตัด..."

   อย่างไรก็ตาม นายเบเกอร์ก็ต้องไปตัดแว่นสายตาคู่ใหม่ใส่ในช่วงนี้ไปก่อน
และก็พบว่าแม้จะมีแว่นสายตาช่วยแล้ว อาการพร่ามัวของเขาก็รุนแรง
มากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ได้พบกับชายคนหนึ่งที่บอกกับเขาว่า
อาการต้อกระจกเช่นนี้สามารถรักษาได้ด้วยวิธีง่ายๆ เช่น ด้วยเรื่องของอาหาร
เขาแนะนำให้นายเบเกอร์ไปหาจักษุแพทย์อีกคนหนึ่ง เขาทำตาม
และหลังจากการตรวจตราอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ได้รับคำแนะนำว่า
อาการพร่ามัวของเขาสามารถรักษาให้หายได้ในระยะเวลาที่ไม่นานนัก


...มีต่อค่ะ...

 
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #51 เมื่อ: พ.ย. 17, 2009, 02:02 PM »
0


"ผมนั่งฟังเธอ(จักษุแพทย์) อย่างไม่อยากเชื่อ เพราะมันขัดกับส่ิงที่ผู้รู้
คนอื่นๆบอก อย่างไรก็ตาม คำแนะนำให้ผมหัดออกกำลังกายเสียบ้าง
เพื่อเยียวยาอาการตาพร่ามัวนี้ เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเสียหาย
ผมยอมรับคำแนะนำของเธอในที่สุด ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ
8 เดือนที่แล้ว"

"แต่หลังจากทำตามที่เธอแนะนำอย่างเคร่งครัดอยู่ระยะหนึ่ง
อาการตาพร่ามัวที่เคยเป็นก็บรรเทาลงอย่างมหัศจรรย์
ก่อนหน้านั้นผมต้องพกแว่นตาสำหรับมองใกล้มองไกลติดตัวเสมอ
เพราะผมห่างมันไม่ได้ แต่ท้ายที่สุด ผมก็ไม่จำเป็นต้องใช้แว่นสายตา
อีกต่อไป ตรงกันข้าม หากพยายามจะหยิบมันขึ้นมาใช้
จะยิ่งปวดตามากขึ้นเสียอีก สำหรับการอ่านหนังสือระยะใกล้
ที่ต้องใช้แว่นเหมือนกัน ก็เปลี่ยนแปลงไป เช่น ตอนแรกผมสามารถ
อ่านหนังสือที่มีตัวอักษรไม่เล็กจนเกินไปได้ 1-2 ชั่วโมง
อ่านติดต่อกันได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น..."

   หลังจากที่อาการดีขึ้น นายเบเกอร์ก็ไปหาจักษุแพทย์คนเดิม
ที่บอกว่าเขาเป็นต้อกระจกและต้องผ่่าตัดอีกครั้ง เมื่อเขาตรวจตราเสร็จ
เขาก็ต้องแปลกใจสุดขีดที่อาการของตาดีขึ้น แทนที่จะแย่ลงอย่างกรณีทั่วๆไป
และเขาแนะมิให้นายเบเกอร์ใส่แว่นที่ตัดไป เพราะมันแรงเกินไป

ประสบการณ์นี้คงช่วยให้กำลังใจสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาเรื่องต้อกระจก
เช่นเดียวกับนายเบเกอร์ได้มาก

  วิธีการรักษาที่นายเบเกอร์ได้รับมาก็คือสิ่งที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นๆ
นั่นคือ เริ่มต้นด้วยการออกกำลังกาย "สายตา" กล้ามเนื้อตา กล้ามเนื้อคอ
เพื่อลดความเครียดของดวงตา วิธีการก็คือ พาล์มมิ่งและสวิงกิ้งนั่นเอง

หลังจากนั้นก็เป็นขั้นตอนที่สองคือการ "ล้างท้อง" ให้สะอาดด้วยการทานอาหาร
ประเภทผลไม้และผักเป็นหลัก ซึ่งในเรื่องของอาหารนี้อาจจะกล่าวถึง
รายละเอียดอีกครั้ง นั่นคือ

"การล้างท้อง"ที่ว่านี้ควรเริ่มด้วยการอดอาหารสัก 3-6 วัน ในช่วงนี้
ให้คุณทานได้เฉพาะน้ำส้มหรือน้ำหรือทั้งสองอย่างเท่านั้น
แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุและอาการที่ควรได้รับการเยียวยาด้วย
หลังจากพ้นระยะอดอาหารแล้วก็เป็นช่วงที่คุณทานอาหารภายใต้
การควบคุมเท่านั้น ซึ่งควรกินเวลาอีกประมาณ 10-14 วัน
อาหารภายใต้การควบคุมที่ว่านี้ก็คือ

อาหารเช้า ส้มหรือองุ่น

อาหารกลางวัน สลัดผักราดมันมะนาว(ถ้าต้องการ) แต่ห้ามดื่มน้ำส้ม
ของหวานอาจะเป็นลูกพรุน

อาหารเย็น สลัด หรือผักต้มหรือนึ่งหลายชนิดปนกัน ยกเว้นมะเขือเทศ
ของหวานอาจเป็นผลไม้ที่ออกรสหวานได้ หรืออาจจะเป็นถั่วก็ได้

ทั้งนี้ ในอาหารทุกมื้อของให้งดขนมปัง มิฉะนั้นการควบคุมอาหาร
จะหมดความหมาย

หลังจากหมดระยะการควบคุมอาหารข้างต้นแล้วก็ตามด้วยการทานอาหาร
อย่างเต็มที่ แต่คำว่า "เต็มที่" ในที่นี้หมายความว่าดังนี้

อาหารเช้า ผลไม้ ทานได้ทุกชนิด ยกเว้นกล้วยหอม

อาหารกลางวัน สลัดผัก ขนมปัง เนย มะเขือเทศ

อาหารเย็น ผักต้มหรือนึ่ง ยกเว้น นม มะเขือเทศ ไข่ หรือเนยหรือถั่ว
ปลานึ่งหรือปลาย่าง (อาทิตย์ละครั้งเท่านั้น) ไก่อาทิตย์ละครั้งเช่นกัน
งดเนื้อสัตว์อื่นๆ ของหวานคือ เบกแอปเปิ้ล ลูกพรุนหวาน
หรือผลไม้ที่ออกรสหวาน

วงจร "การล้างท้อง" เช่นนี้สามารถกระทำได้ทุกๆ 2-3 เดือน

นอกจากนั้น การล้างตาด้วยน้ำเกลือเอปซอมก็เป็นอีกสิ่งที่น่าทำ
ซึ่งอาจจะทำวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น แต่ต้องปิดตาให้สนิทระหว่างล้าง

  เรื่องต่อไปที่จะช่วยอาการเยียวยาต้อกระจกได้ก็คือ
การออกกำลังกายกลางแจ้ง และการรับอากาศบริสุทธิ์
ถ้าหากคุณสามารถปฏิบัติตามนี้ได้หมดครบทุกขั้นตอน
สายตาพร่ามัวจะดีขึ้นได้ในไม่ช้า แต่ก็อย่าหวังมากเกินไปในรายที่
มีอาการรุนแรงแล้ว อย่างไรก็ตาม สุขภาพโดยทั่วไปของคุณ
ก้จะดีขึ้นอย่างคุ้มค่าอยู่ดี

ในวิธีทั้งหมดที่ว่ามานี้ เรื่องของอาหารเป็นสิ่งสำคัญเป็นอันดับแรก
พึงระลึกว่า ยิ่งร่างกายคุณใกล้ผักและผลไม้มากขึ้นเท่าใด
อาการผิดปกติทางตาก็จะดีขึ้นเท่านั้น


หลักการสองข้อก็คือ พึงหลีกเลี่ยงขนมปังขาว น้ำตาล ครีม
ข้าวหรือธัญญาหารอื่นๆที่ฟอกจนขาวน่าทาน รวมทั้งของหวาน
ที่มากด้วยแป้งและน้ำตาล ตลอดจนชาหรือกาแฟแก่ๆ
เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก็สมควรงดเว้น ตลอดจนอาหารที่ทำให้
ย่อยลำบากเช่นกัน





"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #52 เมื่อ: พ.ย. 17, 2009, 02:10 PM »
0


หมายเหตุ

   เนื่องจากมีเรื่องของการอดอาหาร การควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด
และอย่างไม่เข้มงวดปะปนกันอยู่ในการเยียวยาอาการผิกปกติของตา
ด้วยวิธีธรรมชาติ ผู้ใดที่สุงอายุแล้วหรือว่าสุขภาพไม่แข็งแรงเป็นปกติ
โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับหัวใจควรจะปรึกษาหรืออยู่ในการดูแลของแพทย์
ตลอดเวลาของการอดอาหาร

และสำหรับผู้ที่ร้อนใจ อาจจะพึ่งยาล้างตาวันละ 2 ครั้งก็ได้
จะช่วยให้เกิดความสดชื่นกับดวงตาขึ้นบ้าง


 loveit:


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ มัยซูน

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 280
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #53 เมื่อ: พ.ย. 17, 2009, 02:55 PM »
0

นอกจากนั้น การล้างตาด้วยน้ำเกลือเอปซอมก็เป็นอีกสิ่งที่น่าทำ
ซึ่งอาจจะทำวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น แต่ต้องปิดตาให้สนิทระหว่างล้าง


งงๆอ่ะค่ะ ปิดตาให้สนิทระหว่างล้าง
ปิดตาแล้วล้างอย่างไรคะ

ใช้สองมือหนึ่งหัวใจบอกเล่ากับพระองค์ก้มหน้าลง..แล้วขอความเมตตา

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #54 เมื่อ: พ.ย. 17, 2009, 03:20 PM »
0

นอกจากนั้น การล้างตาด้วยน้ำเกลือเอปซอมก็เป็นอีกสิ่งที่น่าทำ
ซึ่งอาจจะทำวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น แต่ต้องปิดตาให้สนิทระหว่างล้าง


งงๆอ่ะค่ะ ปิดตาให้สนิทระหว่างล้าง
ปิดตาแล้วล้างอย่างไรคะ



 salam

คือจริงๆแล้วบทความนี้มิใช่บทความที่ข้าน้อยเขียนขึ้นน่ะค่ะ
แต่นำมาจากหนังสือที่ข้าน้อยมี...ซึ่งหากตอบตามที่ข้าน้อยเข้าใจ
ก็เสมือนกับการปิดตาแล้วล้างหน้าทั่วไปค่ะ...
เพียงแต่เปลี่ยนจากน้ำธรรมดาเป็นน้ำเกลือเท่านั้นเองค่ะ...

ซึ่งการล้างหน้าด้วยน้ำเย็น 20 ครั้งนั้นโดยให้เน้นที่ดวงตา(ตาเราก็ปิดด้วยค่ะ)
ก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน คือดวงตาของเราจะรู้สึกสดชื่นขึ้นมา
จากการซึมผ่านและการสัมผัสค่ะ...
มิใช่การล้างอย่างการใช้ยาหยอดตาหรือน้ำยาล้างตาน่ะค่ะ...

อย่างเช่นการปิดตาและเปิดตาให้ดวงตาสัมผัสกับแสงอาทิตย์ก็เฉกเช่นกันค่ะ...
มันจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน หากทำบ่อยๆตาเราจะค่อยๆแข็งแรงด้วยค่ะ
เพราะข้าน้อยเองมีอยู่ช่วงหนึ่ง เกิดอาการแพ้แสง ตาสู้แสงไม่ได้ ต้องหยี่ตาตลอด
เลยเริ่มจากการปิดตารับแสงอาทิตย์แล้วค่อยๆเปิดตารับแสงอาทิตย์ได้เรื่อยๆค่ะ...
ตาก็เริ่มแข็งแรงขึ้น สามารถสู้แสงปกติได้ แต่มิใช่แสงแดดจัดจ้า
เพราะบางครั้งแสงแดดจ้าก็เป็นอันตรายต่อสายตาค่ะ...
ต้องสวมแว่นกันแดดและกันรังสีด้วยในบางครั้งค่ะ...;D


ปล.หากจบเรื่องของดวงตาแล้ว อินชาอัลลอฮฺ
ตั้งใจว่าจะนำเรื่องประโยชน์ของเกลือเอปซอมมาลงต่อค่ะ  loveit:

หากใครมีอะไรดีๆหรือมีเคล็ดลับดีๆ ร่วมนำเสนอไปพร้อมๆกันนะคะ...

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ




 loveit:


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #55 เมื่อ: พ.ย. 17, 2009, 04:52 PM »
0

ตาแดง


  ตาแดงหรือเยื่อตาอักเสบนั้นเป็นโรคตาอีกอย่างที่พบเห็นกันมาก
การอักเสบหรือระคายเคืองเช่นนี้มักเกิดขึ้นที่ผนังส่วนในของหนังตา
อาการของตาแดงที่เห็นได้ง่ายก็คือหนังตาบวมและกลายเป็นสีแดง

สาเหตุของโรคตาแดงมักจะอ้างกันว่าเกิดจากการติดเชื้อบางอย่าง
หรือไม่ก็อาจเกิดจากอาการเครียดของกล้ามเนื้อตาและดวงตา
รมทั้งอาจเกิดจากการใช้สายตามากเกินควรในภาวะที่ไม่เหมาะสม
เช่น แสงที่ไม่เป็นธรรมชาติ แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงของอาการตาแดง
สาเหตุที่แท้จริงมาจากความบกพร่องของสุขภาพเลือดในร่างกาย
คือเกิดอาการเป็นพิษ ซึ่งสาเหตุก็เกิดจากการอยู่และการกินที่ไม่ถูกต้องอีกเช่นเคย

และมีการกล่าวด้วยว่าหากคุณมีสุขภาพดีอย่างแท้จริงแล้ว
คุณจะไม่มีโอกาสเป็นตาแดงเลย นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าสังเกตว่า
อาการตาแดงมักจะมีโอกาสสัมพันธ์กับอาการนาสิกอยู่ไม่น้อย
เช่น สัมพันธ์กับการที่เยื่อจมูกอักเสบ การอักเสบของเยื่อจมูกนั้นเป็นอาการ
ของโรคตาแดงได้ง่ายๆด้วยซึ่งฟังดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็เป็นเรื่องจริง

   ด้วยเหตุนี้การเยียวยาที่ต้นเหตุของอาการตาแดงจึงไม่ใช่การป้ายยาแก้ตาแดง
อย่างที่หลายคนแนะนำกัน แต่ต้องแก้กันที่สุขภาพของเลือดอย่างที่กล่าวมาแล้ว
ข้างต้น คนที่เกิดอาการตาแดงบ่อยๆมักจะเป็นผู้ที่ทานอาหารประเภทแป้ง
มากเกินไป โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้งที่ไม่ค่อยมีกากหรือไฟเบอร์มากนัก
เช่น ขนมปังที่ผ่านกรรมวิธีจนขาวน่าทาน เป็นต้น
ทั้งนี้รวมทั้งพาย พุดดิ้ง แยมประเภทต่างๆและขนมหวานด้วย ฯลฯ
และยิ่งผู้นั้นยังชอบทานโปรตีนหรือเนื้อในจำนวนมาก รวมทั้งติดกาแฟด้วยแล้ว
โอกาสที่จะเกิดการอักเสบของเยื่อจมูกและลำคอย่อมมีมากตามมาด้วย
เพราะอาการตาแดงและการอักเสบของเยื่อจมูกนั้นเกี่ยวพันกันดังที่กล่าวมาแล้ว

อย่่างไรก็ตาม อย่าได้ละเลยข้อเท็จจริงที่ว่า การใช้สายตาอย่่างเหมาะสม
ในสภาวะต่างๆกันจะทำให้อาการบกพร่องทางตาเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นได้

การแก้ปัญหาตาแดงจึงต้องแก้ด้วยการปรับสภาวะการกินและการอยู่ของเรา
ให้เหมาะสมอย่างที่ควรจะเป็น

เราอาจเริ่มต้นด้วยการกิน อันเป็นการนำหลักโภชนาการเข้ามาใช้ประโยชน์
วิธีที่ดีที่สุดในเรื่องนี้คือ การเปลี่ยนประเภทอาหารที่ทานจากปกติ
มาเป็นการทานผลไม้สดเพียงอย่างเดียวสัก 7-10 วัน
ผลไม้ในที่นี้จะเป็นผลไม้อะไรก็ได้ ยกเว้นกล่วยหอม
ในช่วงนี้ห้ามทานอาหารอื่นอย่างเด็ดขาด แม้แต่น้ำดื่มก็ควรดื่มน้ำธรรมดาเท่านั้น
ห้ามของมึนเมาทุกประเภท

   สำหรับผู้ที่มีอาการตาแดงค่อนข้างรุนแรงนั้น ควรจะเพิ่มระยะเวลา
การทานผลไม้จาก 7-10 วัน เป็น 2 สัปดาห์แทน หรือหากจะให้ดี
ก็อาจจะใช้วิธีอดอาหารสัก 4-5 วัน แล้วจึงค่อยควบคุมอาหาร
(ประเภทอาหาร) อย่างเข้มงวดอีก 2 สัปดาห์

   ดังนั้น การเยียวยาตาแดงด้วยวิธีธรรมชาตินั้นจึงอยู่ใน 3 ลักษณะ
คือ การอดอาหาร การควบคุมประเภทอาหาร และการทานแต่ผลไม้

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คุณเสร็จสิ้นกรรมวิธีอย่างใดอย่างหนึ่งข้างต้น
ตามความเหมาะสมแล้ว (ซึ่งกินเวลาไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์)
อาหารในวันต่อๆไปก็ควรจะอยู่ในลักษณะต่อไปนี้เท่านั้น นั่นคือ

อาหารเช้า ผลไม้สด นม

อาหารกลางวัน สลัดจานใหญ่ๆสักจาน ขนมปังอย่างชนิดดีไม่ฟอกขาว
เนย ของหวานอาจจะเป็นลูกเกด

อาหารเย็น ผักนึ่ง ไข่ เนย ปลา (เนื้อไม่ควรทานบ่อย) ของหวานอาจจะเป็นลูกพรุน
เบกแอบเปิ้ลหรือผลไม้สด

หมายเหตุ...อาหารกลางวันและอาหารเย็นอาจจะสลับกันได้

วงจรการทานอาหารเช่นที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มิควรจะกระทำเพียงรอบเดียว
แล้วเลิกไปเลย หากแต่ควรทำเป้นระยะๆ เช่น ภายในสองสามเดือน
ก็นำวงจรการทานอาหารนี้ออกมาใช้สักครั้ง (ซึ่งกินเวลา 2 สัปดาห์ต่อรอบวงจร)
กระทำจนกว่าระบบอวัยวะภายในจะ "สะอาด"ขึ้น


หลังจาก "การกิน" ถูกจัดให้เข้ากับหลักโภชนาการแล้ว
คราวนี้ก็มาถึงเรื่อง "การอยู่" บ้าง การอยู่เป็นเรื่องสำคัญมากอีกอย่างหนึ่ง
ที่จะช่วยให้สภาวะของร่างกายกลับสู่ภาวะที่สมบูรณ์
และสารพิษหรือภาวะที่เป็นพิษต่างๆหมดไปจากร่างกาย อันจะเป็นการเยียวยา
อาการสารพัดชนิดที่ต้นเหตุ หลักสำคัญของการอยู่นั้นก็คือ
การออกกำลังกายนั่นเอง ซึ่งจะต้องเป็นไปในลักษณะนี้คือ

1) ต้องเป็นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

2) การออกกำลังกายนั้นจะต้องเป็นการเปิดโอกาสให้ร่างกายได้กระตุ้น
ระบบการหายใจให้ดีขึ้น (คือจะต้องเหนื่อย)

3) การออกกำลังกายควรกระทำในที่แจ้ง กลางแสงแดด หากเป็นไปได้

4) อย่าหักโหมในการออกกำลังกาย

    นอกจากการกินและการอยู่แล้ว ก็อย่าได้ละเลยวิธีการบำบัดอาการ
อย่างง่ายๆบางอย่าง เช่น การล้างตาด้วยน้ำเกลือเอปซอมผสมน้ำอุ่น
ทุกเช้าและก่อนนอน แต่ข้อสำคัญคือต้องหลับตาระหว่างล้างให้สนิท
การล้างเช่นนี้จะช่วยบรรเทาอาการ (มิใช่สาเหตุ)ของตาแดงได้อย่างดีพอควร
นอกจากนั้น ควรเปิดโอกาสให้ดวงตาได้สัมผัสกับแสงแดดมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
(โดยหลับตาเช่นกัน) ส่วนขี้ผึ้งหรือยาทาประเภทต่างๆนั้น คุณสามารถโยนทิ้ง
ไปได้หากต้องการ เพราะมันแทบจะไม่มีความจำเป็น
หากว่าคุณเยียวยาด้วยวิธีการธรรมชาติดังที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด

    นอกจากนี้คงไม่จำเป็นต้องกล่าวอีกว่าการดูแลดวงตาอย่างระมัดระวัง
เป็นเรื่องที่จำเป็น และแม้ว่าการอ่านหนังสือ
จะเป็นการออกกำลัง "สายตา"อย่างหนึ่ง แต่การใช้สายตาเช่นนั้นก็ไม่ควร
ที่จะใช้ภายใต้ภาวะที่แสงไม่เหมาะสมเป็นระยะเวลานาน
นอกจากนี้อย่าลืมการพักผ่อนและคลายเครียดสายตาด้วยวิธีการต่างๆ
ที่บรรยายมาในตอนต้น โดยเฉพาะวิธีการ "พาล์มมิ่ง"
ซึ่งควรจะกระทำวันละหลายๆครั้ง ครั้งละ 10 นาที

   สำหรับการควบคุมอาหารให้เป็นไปตามหลักการที่ว่ามา
ก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งที่จะช่วยป้องกันและเยียวยา
อาการผิดปกติของสายตา ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะใด
อาหารที่มากด้วยแป้งและไม่มีกากอาหารควรลดให้น้อยลง
และเพิ่มอาหารประเภทผักสด ผลไม้ให้มากขึ้น


    
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 17, 2009, 06:54 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #56 เมื่อ: พ.ย. 17, 2009, 05:44 PM »
0
salam 

((ปล.ส่วนตัวที่ใช้อยู่ ทายาทาตา((แถวบ้านเรียก จาเลาะ))ก่อนนอน

มีในหนังสือ การแพทย์ตามแนวทางท่านศาสดา
บทการรักษาสุขภาพของดวงตา ของท่าน อิบนิกอยยิม อัลเญาซียะห์ 
งดมองแสงจ้าๆ มองสีเขียวเยอะๆ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องนอนดึก

((ข้อนี้ส่งผลหลายด้าน)) และ.....


ยาทาที่เรียกว่า จาเลาะ หน้าตาเป็นอย่างไรคะ...อยากเห็นค่ะ
เผื่อว่าจะได้นำมาใช้บ้างหรือให้ที่บ้านส่งมาให้ค่ะ...
เพราะช่วงนี้ต้องนอนดึกแทบทุกคืนค่ะ...เนื่องจากต้องเคลียร์อะไรๆ
หลายๆเรื่อง อีกทั้ง มีสมาธิคิดงานและทำงานในช่วงกลางคืนเสียด้วยค่ะ
เพราะว่าทุกอย่่างมันเงียบหมด เลยชอบทำงานอ่านหนังสือตอนกลางคืนน่ะค่ะ...;D

แต่ก็ไม่ลืมบริหารดวงตาตามวิธีที่ได้นำเสนอไปด้วยน่ะค่ะ...
หลังๆมาใช้สายตาหนัก เลยรู้สึกว่าสายตามันล้าและประสิทธิภาพการทำงานลดลง
แต่ก็จำเป็นต้องใช้อยู่ดีอ่ะค่ะ...

หากท่านนักปราชญ์น้อยมีวิธีดีๆและยิ่งเป็นแนวทางของท่านนบี
ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมด้วยแล้ว หากมีเวลา เอามาลงให้อ่านกันบ้างนะคะ...

ญะซากัลลอฮุคอยรอน...
   

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ


^____________^

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #57 เมื่อ: พ.ย. 18, 2009, 11:19 PM »
0

 salam

ขอขอบคุณท่านนักปราชญ์น้อยมากเลยค่ะ
สำหรับข้อมูลดีๆที่นำเสนอ  loveit:

ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนท่าน

ปล.ยาทาดังกล่าวมีส่วนผสมของอะไรบ้างหรือคะ
อยากรู้จริงๆค่ะ...แล้วหาซื้อยากหรือเปล่าคะ...
ลองหาข้อมูลในกูเกิ้ลแล้วไม่เจออ่ะค่ะ...;D

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #58 เมื่อ: พ.ย. 19, 2009, 12:05 AM »
0

 salam

ต้อหิน


ต้อหินหรือที่ภาษาวิชาการเรียกว่า "กลูโคมา" เป็นอาการทางตา
ที่พบเห็นได้บ่อยอีกประเภทหนึ่ง ต้อหินเกิดขึ้นเนื่องจากมีปริมาณของของเหลว
ในดวงตามากเกินไป ผลก็คือดวงตาจะมีอาการแข็งตัวแทนที่จะอ่อนนุ่ม
และเคลื่อนไหวไปมาอยู่เสมอเหมือนเช่นภาวะปกติ
เพราะการที่ดวงตาแข็งและเคลื่อนไหวไม่คล่องตัวนี้เอง เราจึงเรียกมันว่าต้อหิน

สัญญาณของการเกิดอาการต้อหินที่ง่ายๆสำหรับชาวบ้านคือการที่มองเห็น
วงแหวนรอบๆวัตถุที่อยู่ไกลๆเมื่อมองในเวลากลางคืน รวมทั้งอาการเจ็บ
บริเวณหว่างคิ้ว หน้าผากหรือแก้มหรือในบริเวณอื่นใดที่อยู่่รอบดวงตา
ความสามารถในการมองสูญเสียลงเรื่อยๆจนกระทั่งบอดสนิท
ถ้าปล่อยไว้โดยไม่แก้ไข

นายแพทย์รุ่นเก่าๆจะบอกว่าสาเหตุของต้อหินคือการใช้สายตา
ใต้สภาวะที่ไม่เหมาะสมเป็นระยะเวลาติดต่อกันนาน
รวมทั้งการใช้สายตาจนเกิดความเครียดขึ้น ซึ่งก็มีส่วนถูกต้องอยู่บ้าง
แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะสาเหตุที่แท้จริงของต้อหินก็เช่นเดียวกับต้อกระจก
กล่าวคือ เกิดจากร่างกายมีภาวะที่เป็นพิษอย่างสูง อันเนื่องมาจากนิสัย
การทานอาหารและการดำรงชีวิตที่ไม่ถูกต้องรวมทั้งการบำรุงรักษาตา
ด้วยวิธีการของ "มีด" ที่มิใช่วิธีธรรมชาติ ความเคร่งเครียดของดวงตา
อย่างที่กล่าวอ้างว่าเป็นสาเหตุใหญ่นั้นเป็นเพียงสาเหตุรอง

เท่าที่เป็นอยู่ทั่วไปในขณะนี้ การรักษาหรือแก้ไขอาการผิดปกติในการมอง
เนื่องจากต้อหินจะทำด้วยการผ่าตัด ซึ่งไม่สามารถขจัดต้นตอของปัญหาไปได้
นั่นคือ การที่มีของเหลวในดวงตามากเกินควร
เพราะฉะนั้น การผ่าต้อหินออกมิได้เป็นการรับประกันว่าอาการเช่นนั้น
จะไม่เกิดขึ้นอีก หรือว่าจะไม่เกิดขึ้นกับดวงตาอีกข้างหนึ่ง

เช่นเดียวกับอาการทางตาอื่นๆ การรักษาต้องเป็นการขจัดสาเหตุของอาการ
มิใข่บรรเทาอาการลงเท่านั้น

เมื่อปริมาณของเหลวในร่างกายมีจำนวนมากเกินไป ร่างกายจะต้องขับมันออกมา
เพื่อให้เหลือในปริมาณที่เหมาะสมเท่าน้ัน
แต่บางครั้งการทำงานของร่างกายผิดปกติจึงทำให้ขับของเหลวต่างๆ
ออกมาได้ไม่ดีพอ ซึ่งก็มีอาการไม่ต่างไปจากท่อระบายน้ำอุดตัน
ระบายของเสียไม่ออกนั่นแหล่ะ ก็เท่ากับว่าของเสียบางชนิดที่อยุ่ในรูปของเหลว
ที่ถูกกักไว้ในดวงตาเราก้มีลักษณะเช่นที่ว่านี้เหมือนกัน
และเมื่อนั้นก็ทำให้เนื้อเยื่อของดวงตาเกิดอาการคั่ง และเมื่อเนื้อเยื่อคั่งตัว
ก็เกิดอาการแข็งตัว ซึ่งในแง่ของนักโภชนาการแล้ว การที่ร่างกายขับของเหลว
ของเสียเหล่านี้ออกมาไม่ได้ เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งของภาวะเป็นพิษ
ทีเกิดขึ้นโดยทั่วไปในร่างกายผสมกับการทำงานของอวัยวะบางส่วนบกพร่อง
(คือส่วนที่ขับของเหลวออก) สำหรับการใช้สายตามาก การใช้สายตาใต้แสง
ที่ไม่เหมาะสมนั้น นักโภชนาการยอมรับว่าเป็นสาเหตุรองอย่างหนึ่ง
ที่ทำให้เกิดความเครียดของดวงตาและต้อหิน

สำหรับนายแพทย์ที่ปรับหลักการรักษาสมัยใหม่เข้ากับหลักโภชนาการนั้น
จะบอกว่า วิธีรักษาต้อหินไม่ได้แตกต่างไปจากการรักษาต้อกระจกแต่อย่างใด
เพราะสาเหตุของอาการทั้งสองเหมือนกันโดยแท้

กล่าวโดยสรุปก็คือ การรักษาต้อกระจกด้วยวิธีการธรรมชาติ
(คือการปรับภาวะการกินการอยู่ให้ถูกต้อง)นั้น จะต้องกระทำในระยะเริ่มต้น
ของต้อหิน จึงจะประสบผลสำเร็จ สำหรับอาการที่รุนแรงมากแล้วนั้น
ยากต่อการบำบัด แต่ก็ยังสามารถป้องกันมิให้อาการทรุดลงไปอีก
และยังสามารถดึงภาวะของร่างกายโดยทั่วไปให้กลับสู่จุดที่ดีขึ้นได้ด้วย

เพราะฉะนั้น แม้ว่าการบำบัดโดยไม่ต้องผ่าตัดในช่วงที่อาการต้อหินรุนแรง
จะไม่สามารถขจัดอาการตาพร่ามัวออกไปได้โดยเด็ดขาด
แต่ก็คุ้มค่าที่จะเยียวยาด้วยวิธีการตามธรรมชาติอยู่ดี...


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #59 เมื่อ: พ.ย. 19, 2009, 01:11 AM »
0

ตาอักเสบ


นอกจากเรื่องของต้อกระจก ต้อหิน และตาแดง (เยื่อตาขาวอักเสบ)แล้ว
ยังมีอาการของตาอักเสบที่เราพบเห็นได้บ่อยๆ ซึ่งคำว่า ตาอักเสบนี้
อาจจะหมายถึงม่านตาอักเสบ หรือแก้วตาอักเสบไปพร้อมๆกับม่านตาก็ได้

การอักเสบส่วนใหญ่ก็จะเกิดจากการระคายเคืองเป็นส่วนใหญ่
แต่ไม่ว่าอาการจะปรากฏออกมาเช่นใดก็ตาม สิ่งที่ต้องกระทำก็คือ
การแก้ไขเพื่อกำจัดต้นเหตุ มิใช่การแก้ไขเพื่อบรรเทาอาการ
การแก้ไขเพื่อบรรเทาอาการอาจจะทำก็ได้ แต่ต้องทำไปพร้อมๆกับ
การขจัดต้นเหตุของอาการไปด้วย

การที่ม่านตาอักเสบก็มีสาเหตุมาจากการที่ร่างกายเราเกิดภาวะที่เป็นพิษ
เหมือนเช่นกรณีอื่นๆที่กล่าวมาแล้ว และจากการสำรวจทำให้เราทราบ
ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่า คนที่มีการอักเสบของดวงตาน้ันมิใช่จู่ๆก็เป็นขึ้นมาเฉยๆ
ส่วนมากมักจะเป็นต้องเป็นโรคใดโรคหนึ่งมาก่อนอยู่แล้ว
นอกจากนั้นเรายังได้ข้อยืนยันจากการตรวจสอบด้วยว่า การที่ปล่อยให้ท้องผูก
ติดต่อกันเป็นเวลานานเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะที่ไม่ปกติของร่างกาย
อันนำไปสู่การบกพร่อง เจ็บป่วยของสายตาในที่สุด
การเยียวยาอาการบกพร่องของตาใดๆโดยไม่แตะต้องต้นตอของปัญหา
ย่อมเป็นการรักษาที่ไม่ถูกจุดเป็นอย่างยิ่ง

การเยียวยาอาการอักเสบของดวงตาจึงต้องกระทำด้วยกานอดอาหาร
และคุมอาหารอีกระยะหนึ่งหลังการอดอาหาร
ฟังดูเป็นเรื่องแปลก เจ็บตาแต่สั่งให้อดอาหารแทนที่จะให้ยาไปทานเพื่อแก้ไข
แต่ความจริงก็เป็นเช่นนั้น เมื่อใดที่ "ท้อง" เราสะอาด ระบบอะไรๆก็จะดีตามไปด้วย
เมืื่อข้างในเราสะอาดหมดร่างกายก็กลับสู่สภาพเดิมได้ง่าย

การอดและการควบคุมอาหาร (อย่างเคร่งครัด) เพื่อรักษาอาการตาอักเสบนี้
ก็ไม่ต่างไปจากการควบคุมอาหารเพื่อเยียวยาต้อมากน้อยเพียงใดในรายละเอียด
คือจะต้องขึ้นต้นด้วยการอดอาหารสักระยะหนึ่งก่อนเป็นเวลา 5-7 วัน
โดยในช่วงนี้ให้ทานได้แต่น้ำส้มและน้ำเท่านั้น หลังจากนั้นจึงเป็นการควบคุม
อาหารอย่างเคร่งครัดอีก 14 วัน ประเภทของอาหารเช้า กลางวัน และเย็น
เหมือนเช่นที่แนะนำไว้ในเรื่องของต้อหิน คือเน้นเรื่องผักและผลไม้
และห้ามขนมปัง และหลังจากระยะ 14 วันของการควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัดนี้แล้ว
ก็เป็นช่วงของการควบคุมอาหารตามปกติคือทานได้มากประเภทขึ้นอีกหน่อย
ทั้งนี้รายการอาหารก็อาจดูได้จากบทความที่กล่าวเรื่องต้อหินได้เช่นเดียวกัน
ช่วงระยะการควบคุมอาหารในขั้นตอนที่สามนี้อาจกินเวลา 7 วัน

ฉะนั้นหากนับแต่เริ่มต้นที่อดอาหารจนจบกระบวนการ คุณจะต้องใช้เวลา
ประมาณ 1 เดือนในการ "ล้างท้อง"ให้สะอาด
และภาวะเป็นพิษหายไป แต่หากยังพบว่าภาวะเป็นพิษยังไม่หมดสิ้นไปโดยสิ้นเชิง
คุณก็อาจจะกลับไปที่ขั้นตอนที่สอง (การควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด)ได้อีก

นอกจากนั้น การพักผ่อนสายตาด้วยวิธีการพาล์มมิ่งและการเปิดโอกาส
ให้ดวงตาได้กระทบกับน้ำเย็นบ่อยๆจะช่วยกระตุ้นการทำงานของเนื้อเยื่อ
และเซลล์ผิวหนังรอบๆดวงตาได้ดีขึ้น อันจะช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างได้ผล
และรวดเร็วขึ้น

และแม้การใช้สายตาอย่างเคร่งครัดจะมิใช่สาเหตุอันดับแรกของการผิดปกติ
ของดวงตา แต่ในช่วงที่คุณเยียวยาด้วยการอดอาหาร คุมอาหารเช่นข้างต้นนี้
ก็ไม่สมควรที่จะใช้สายตาอย่างหักโหม เช่น ภายใต้แสงที่ไม่เพียงพอ
หรือใช้นานเกินไป

เรื่องของตาอักเสบอาจจะไม่มีความแตกต่างกันมากนักในความรู้พื้นๆของชาวบ้าน
แต่สำหรับแพทย์ การอักเสบที่ม่านตาจะมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่ง
และหากการอักเสบนั้นเกิดขึ้นที่คอร์เนีย ซึ่งเปรียบเสมือน "หน้าต่าง"ของดวงตา
ก็จะเรียกชื่อไปอีกแบบหนึ่ง

แต่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใดและเราจะเรียกว่าอย่างไรก็ตาม ที่มาหรือสมมติฐาน
ของโรคไม่ได้แตกต่างกันเลย นั่นคือ การกินและการอยู่ของเรา
ไม่ถูกต้องตามธรรมชาติ จนกระทั่งทำให้เกิดภาวะที่เป็นพิษขึ้นในร่างกาย
การรักษาจึงต้องทำอย่างถูกต้อง มิใช่บรรเทาอาการแต่เพียงอย่างเดียว
ซึ่งการรักษาเพื่อบรรเทาแต่อาการนี้ฝรั่งเรียกว่า "ซัพเพรสซีพ ทรีทเมนท์"
ในขณะที่การรักษาอาการผิดปกติที่ต้นตอนั้นจะเรียกว่า
"อิลิมิเนทีพ ทรีทเมนท์" อันนับเป็นการเยียวยาอย่างถาวรที่จะนำร่างกาย
เข้าสู่ภาวะที่เป็นปกติ สะอาด และได้สมดุล
อีกทั้งจะทำให้สุขภาพโดยทั่วไปดีขึ้นอีกด้วย


.......จบ..........


 

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged