ผู้เขียน หัวข้อ: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ  (อ่าน 29127 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #60 เมื่อ: พ.ย. 19, 2009, 01:21 AM »
0

อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...สำหรับข้อมูลจากหนังสือเรื่อง
"สายตาดีได้โดยไม่ต้องพึ่งแว่น"ของวิจักขณา(ผู้เรียบเรียงหนังสือ)
ข้าน้อยได้นำเสนอเนื้อหาเสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์แล้ว...

และหลังจากนี้คงต้องหยุดพักการอัพเดตข้อมูลไปสักระยะ
เพราะว่า คงต้องเตรียมทำผลงานขึ้นส่ง....
อินชาอัลลอฮฺ...ตั้งใจจะลงเรื่องประโยชน์ของเกลือเอปซอม
แล้วคงหยุดยาวเลยทีนี้...

หากพี่น้องท่านใดมีข้อมูลดีๆหรือเคล็ดลับดีๆเกี่ยวกับสุขภาพ
มาร่วมนำเสนอกันต่อไปนะคะ...


 loveit:


วัสลามุอะลัยกุมค่ะ


^_____________^


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 19, 2009, 01:48 AM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #61 เมื่อ: พ.ย. 19, 2009, 01:45 AM »
0



ประโยชน์ของเกลือเอปซอม




     ชื่อเอปซอมมาจากน้ำพุแร่ในเมืองเอปซอม มณฑลเซอร์เรย์
แต่ดีเกลือชนิดนี้พบได้ทั่วไปในที่ซึ่งมีเกลือแร่ หรือน้ำทะเลระเหยเป็นไอ
และมีส่วนผสมของแมกนีเซียมซัลเฟต

     สมัยก่อนใช้เกลือเอปซอมเป็นยาระบาย แต่ไม่กี่สิบปีมานี้ไม่แนะนำ
ให้ใช้กันอีกต่อไป ในทางตรงกันข้าม การใช้เกลือเอปซอมเป็นยาภายนอกนั้น
ปลอดภัยและมีประโยชน์อย่างน่าอัศจรรย์

เกลือเอปซอมที่ทำเป็นยาพอกสามารถถอนพิษแมลงกัดต่อย
และช่วยดันเสี้ยนที่ตำผิวให้ขึ้นสู่ผิวหนังชั้นบนได้

เติมเกลือเอปซอมหนึ่งช้อนชาลงในน้ำอุ่นครึ่งแก้ว ใช้ขัดผิวเพื่อกำจัดสิวเสี้ยน
ทำความสะอาดรูขุมขนที่เปิดกว้าง และทำให้ผิวพรรณสดชื่นขึ้น

สารละลายเกลือเอปซอมดึงของเหลวออกจากร่างกายและลดอาการบวม
ของเนื้อเยื่อต่างๆ ขณะเดียวกันยังดึงเอากรดแล็กติก
ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้อออกมาด้วย
รวมทั้งช่วยบรรเทาอาการเคล็ดขัดยอกและฟกช้ำได้
โดยเติมเกลือเอปซอมสองถ้วยลงในอ่างน้ำอุ่น แล้วแช่ส่วนที่มีอาการ


ที่มา: ครัวบำบัดโรค ยาทำกินทำใช้เองในบ้านที่ได้ผลดีจริงๆ
จากบอร์ดพันทิป

หากพี่น้องท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติมหรือสิ่งใหม่ๆ มาร่วมนำเสนอกันต่อไปนะคะ

อัลฮัมดุลิลลาฮฺ

วัสลามุอะลัยกุมวะเราะมะตุลลอฮฺวะบารอกาตุ


^___________________________________^



"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #62 เมื่อ: พ.ย. 19, 2009, 01:55 AM »
0
 salam

แชเองก็ไม่ใช่ผู้ชำนาญโรคตา แต่เคยเป็นต้อหิน ที่ หมอเขาเรียก กลอโคมา(Glaucoma)
วันนั้น ตื่นเช้าขึ้นมาปวดตามาก ๆ ข้างเดียว คิดว่า อาจจะเป็นต้อหิน เพราะมีความรู้อยู่บ้าง
โทรศัพท์ไปให้เลขาฯลากับ boss สักพักเดียว เจ้านายสั่งให้รถมารับไปหาเพื่อนรุ่นน้องที่เป็นหมอตา
ไปถึงพยาบาลสั่งให้นอนราบบนเตรียงตรวจ เอายาขยายม่านตามาหยอด สักครู่ คุณหมอตา เข้ามา เอาเครื่องมือวัดความดันในลูกตา
แล้วบอกว่า เป็นต้อหินเฉียบพลัน ถ้ามาช้าตาอาจบอดได้ ไม่ใช่ต้อหินเรื้อรังที่ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งอาจทำให้ประสาทตาเสื่อมทีละน้อย
ว่าแล้วก็ให้เอาหน้าไปแนบกับเครื่องมือเรียกว่าอะไรก็ไม่รู้ ปรับให้ดวงตาที่ปกติข้างหนึ่งกับที่กำลังปวดอีกข้างหนึ่งตรงกับช่องของเครื่องมือ
อ้อ ลืมไป ก่อนเอาหน้าไปแนบเครื่องนี้ พยาบาลเอายาชาหยอดตาไว้ก่อนแล้วประมาณ 1 นาที
พยาบาลก็รู้งาน เอามือกดด้านหลังหัวให้แนบกับเครื่องมือและให้ลืมตากว้าง ๆ อยากกับนักโทษรอประหาร
สักครู่ คุณหมอตาบอกว่า ผมจะยิงด้วยเลเซอร์นะพี่ แล้วก็เกิดอาการเจ็บแปลบ ๆ เป็นระยะ ๆ เหมือนใครเอาเข็มมาแทงเข้าไปในตา
แชจะก้มหัวหลบก็ไม่ได้ พยาบาลกดเอาไว้ หลับตาก็ไม่ได้ เครื่องมือที่ว่านี้มันมีเครื่องถ่างตาอยู่ด้วย
คุณหมอยิงด้วยเลเซอร์จนหนำใจแล้วนั่นแหละ จึงให้พยาบาลเอายาป้ายตาและปิดตา พร้อมกับสั่งยาให้ไปกินที่บ้านพร้อมยาหยอด
แชเลยเหมือนคนตาบอดข้างเดียว มองเห็น 2 มิติ คือ กว้างกับยาว มองไม่เห็นความลึก เลขาจูงเดินมะงุมมะงาหราขึ้นรถกลับบ้าน
ดีเหมือนกัน ไม่ต้องทำงาน เพราะขับรถไปทำงานไม่ได้ แต่ต้องนอนปวดอยู่ 2-3 วัน หลังจากนั้นก็ต้องหยอดตารักษาเพื่อให้ความดันในตาลดเรื่อยมา
คุณหมอนัดให้ไปตรวจเป็นระยะ ๆ แชไม่ค่อยได้ไปเท่าไหร่เพราะเห็นว่า การมองเห็นก็ปกติดี  ถ้ามันบอดไป คุณหมอคงจะสมน้ำหน้า
ก็เลยอยากให้พี่น้องที่อ่านบทความนี้ระวังสักนิด
ต้อหินนั้นเกิดจากน้ำในลูกตามันระบายไม่สะดวก จึงมีน้ำคั่งในลูกตามาก
ถ้าค่อยเป็นค่อยไป เรียกว่า  Chronic glaucoma มักไม่ค่อยมีอาการ วินิจฉัยได้โดยการวัดความดันในลูกตา
ใครที่มีความดันในลูกตาสูงกว่า 21 มม.ปรอท เรียกว่าเป็นต้อหิน อาการที่คนเป็นต้อหินจะสังเกตได้คือ มองเห็นได้แคบกว่าเดิม
ซึ่งก็สังเกตยากอีกนั่นแหละ เพราะเวลามองเห็นด้วยตาข้างขึ่งแคบลง อีกข้างหนึ่งก็ยังมองปกติ
เมื่อใดก็ตามที่สังเกตได้ด้วยตัวเองว่าลานสายตาแคบลง แสดงว่าเป็นต้อหินมากแล้ว ต้องรักษา
ส่วนใหญ่ใช้การกินยา การรักษาด้วยอาหารและการออกกำลังกายนั้น น่าจะได้ผลบ้าง เพราะโรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อม
อาหารและการออกกำลังกาย(วิธีธรรมชาติ)รักษาโรคที่เกิดจากความเสื่อมได้ คือจะทำให้การเสื่อมเกิดได้ช้าลง
แต่ที่แชเป็นนั้น เรียกว่า  Acute closed angle glaucomaรูระบายน้ำในดวงตานั้นมันปิดขึ้นมาเฉย ๆ โดยทันที ไม่มีเตือนสักคำ
ความดันในลูกตาจึงสูงขึ้นทันที ประสาทตาถูกความดันที่เกิดขึ้นกด ปวดตา ตาแดง คลื่นไส้อาเจียนในบางราย
ต้องการการรักษาเร่งด่วน สมัยก่อนก็ผ่าตัดเอา สมัยนี้ยิงเลเซอร์ไม่ให้รูม่านตามันปิด ถ้ารักษาช้า ตาอาจบอด
เพราะฉะนั้น ใครที่คุณหมอบอกว่า เป็นต้อหินเฉียบพลัน ต้องยิงเลเซอร์ ยอมให้ยิงเถอะครับ เดี๋ยวเกิดตาบอด ถ้าช้าไป
แต่ถ้าเป็นต้อหินเรื้อรัง เลือกเอาการรักษาด้วยยาร่วมกับวิธีที่น้องน้ำค้างแนะนำไว้ก็ไม่เสียหลาย

ย้อนกลับไปต้อกระจกสักหน่อย ต้อกระจกเกิดจากความเสื่อมของกระจกเลนส์ในตา
เลนส์ที่ใส กลับกลายเป็นขุ่นเนื่องจากขาดออกซิเจน ที่เป็นผลมาจากความเสื่อม
การรักษาด้วยวิธีธรรมชาติสามารถชะลอความเสื่อมได้ คือใช้แอนติออกซิแดนซ์ไปต้านอนุมูลอิสระ
แต่ใช้ได้เฉพาะ ต้อกระจกที่เกิดตามอายุที่เพิ่มขึ้น (Senile cataract)แต่ใช้ไม่ได้ผลกับ ต้อกระจกที่เกิดจากความรุนแรง
เช่น ตาถูกกระแทกจากอุบัติเหตุ(Truamatic cataract )การรักษาด้วยวิธีธรรมชาติจึงควรเลือกใช้เป็นกรณี ๆ ไป
การรักษาโรคแผนปัจจุบันนั้น ต้องมีข้อมูลพื้นฐานเป็นหลักฐานรองรับ จึงจะถือเป็นการรักษามาตรฐาน
ยาตัวหนึ่ง รักษาผู้ป่วยคนหนึ่งหาย อาจจะรักษาผู้ป่วยอีกคนหนึ่งไม่หาย
ยาตัวหนึ่งรักษาคนเป็นร้อย หายจากโรค แต่แป้งอัดเม็ด รักษาผู้ป่วยโรคเดียวกันหายในบริมาณเท่ากัน ก็แสดงว่ายานั้นไม่ได้ผล
โรคหายเอง(ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ)กว่ายาหรือวิธีรักษาแต่ละชนิดจะเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์จึงต้องมีการทดลอง
เริ่มจากการทดลองในสัตว์ (หนูลองยา) การทดลองในคนเฉพาะกลุ่ม และการทดลองในคนวงกว้าง
เมื่อได้ผลดีแล้วจึงนำออกใช้และมีการประเมินติดตามยาบางชนิด หรือ การรักษาบางวิธีแม้จะยอมรับเป็นมาตรฐานแล้ว บางครั้งก็ยังมีการเปลี่ยนแปลง
ถ้าพบว่ามีการแทรกซ้อนของยา หรือวิธีรักษาดังกล่าว กระบวนการอันเป็นระบบนี้ เขาเรียกว่า
Evidence Based Medicine
จบดีกว่า เดี๋ยวจะพาออกนอกอ่าว
مع السلامة

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #63 เมื่อ: พ.ย. 19, 2009, 06:18 PM »
0
 salam

ขอบคุณแชมัดและท่านนักปราชญ์น้อยมากๆค่ะ
ที่นำความรู้และประสบการณ์มานำเสนอและเล่าให้ฟังกันค่ะ  loveit:

โดยเฉพาะประสบการณ์ที่แชมัดเล่ามา ข้าน้อยเพิ่งได้ยินค่ะ...

ตัวข้าน้อยเองเคยเกือบสูญเสียแก้วตาไปแล้วเช่นกันค่ะ...
เนื่องด้วยอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นสิ่งที่รักษายากมาก
หากว่าเป็นการเสื่อมโดยธรรมชาตินั้นพอรักษาได้บ้าง
แต่หากเกิดจากอุบัติเหตุก็จะยากขึ้น เพราะเมื่อก่อนน้ันการแพทย์
และเครืื่องมือแพทย์ยังไม่เจริญเท่าสมัยนี้ หมอเคยทักถึงขนาดว่า
ข้าน้อยต้องผ่าตัดเปลี่ยนแก้วตาด้วยซ้ำไปค่ะ ซึ่งมันค่อนข้างเสี่ยง
ว่าอาจจะหายหรืออาจจะไม่หายก็ได้ ตอนนั้นท้อแท้สิ้นหวังและก็กลัว
เริ่มเห็นคุณค่าของดวงตาเมืื่อยามจะเสียมันไป...
และได้รู้ว่า ไอ้ที่เขาเปรียบเทียบกันว่า พ่อแม่รักลูกดังแก้วตาดวงใจ
มันเป็นความรู้สึกประมาณไหน เพราะตอนนั้นทั้งพ่อและแม่เอง
ก็ดูทุกข์ร้อนไม่แพ้กับข้าน้อยเลย บางครั้งยิ่งกว่าเราด้วยซ้ำไป
ทำให้ซึ้งถึงความรักของพ่อกับแม่ไปพร้อมๆกับความรักที่มีต่อดวงตาของตัวเอง

หมอเองก็ทำได้แค่ให้ยามาทานและยามาทา กินและทาอยู่เป็นเดือนๆ
ก็ทำได้เพียงแค่บรรเทาอาการเจ็บปวดให้ทุเลาลงเท่านั้น แต่ก็ยังไม่หาย
หรือกลับมามองเห็นได้ดังเดิม แต่เหมือนยิ่งทานยาร่างกายส่วนอื่น
อวัยวะส่วนอื่นเริ่มทำงานผิดปกติ โรคภัยรุมเร้าจนพ่อต้องเอายาที่ได้
ไปถามญาติที่เป็นหมอ(ซึ่งเป็นหมอคนละทางกับเรื่องตา)
ญาติที่เป็นหมอบอกว่า มันเป็นยาแก้อักเสบ เป็นยาปฏิชีวนะที่อาจจะมี
ผลข้างเคียงทำให้กระดูกพรุน พ่อกลับมาบอกว่าไม่ต้องทานมันแล้ว
เพราะหากจะสูญเสียดวงตาไปสักข้างก็ยังดีกว่าให้กระดูกที่เป็นส่วนเชื่อม
ให้คนเป็นรูปเป็นร่างมีปัญหาในภายหลัง...ตอนนั้นร้องไห้เลยค่ะ...
(พ่อกับแม่เองก็พยายามทำทุกทางเลยค่ะ แม่นั้นจะอ่านฟาติฮะและดุอาฮฺเป่าให้
เวลาที่รู้สึกปวดดวงตา) พ่อก็ลองไปหายาสมุนไพร ถามผู้รู้เกี่ยวกับยาสมุนไพรทั่วทิศ
แล้วนำสูตรที่ได้มาต้มให้ข้าน้อยกินและทา ข้าน้อยนี้ไม่รู้ว่ามันคืออะไรบ้าง
ได้แต่ยอมทำตามเพราะความกลัวว่าตาจะบอดและเพราะความเจ็บ
พ่อทำอยู่อย่างนั้นเป็นปี ข้าน้อยเองก็เกลียดยาเพราะว่ามันขม กลิ่นก็ไม่น่าพิสมัย
ต้องปิดจมูกปิดตาก่อนจะเอาเข้าปากได้และต้องกินไปพร้อมๆกับน้ำผึ้งป่า
ซึ่งก็มีสรรพคุณสมานแผลด้วยค่ะ...
ซึ่งพ่อบอกว่า แม้ตาจะไม่หายเป็นปกติ
แต่อย่างน้อยร่างกายเราก็ดีขึ้น เพราะทุกอย่างที่พ่อให้กินพ่อบอกว่า
มันช่วยแซ่มแซมร่างกาย และยังห้ามให้ข้าน้อยกินโน่นกินนี่อยู่พักใหญ่
แถมยังย้ำทุกครั้งว่าก่อนกินยาต้องบิสมินลาฮฺแล้วขอต่ออัลลอฮฺ
ให้เราหายจากโรคด้วยยานี้ เพราะโรคทุกโรคมาจากพระองค์
ผู้จะให้หายคือพระองค์...เพราะว่าอันข้าน้อยนี้ทำมันมาแทบทุกทางก็ไม่หายค่ะ...
เวลาท้อๆพ่อก็บอกว่าให้มองไปยังคนที่เขาตาบอดตั้งแต่เกิด
คนที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็นสีสันของโลก เรานั้นอัลลอฮฺเมตตาแล้ว ที่ให้เป็นแค่นี้...
แต่ข้าน้อยก็รู้ว่าพ่อกับแม่ก็ไม่ค่อยสบายใจนัก แต่ไม่ยอมหมดหวังเท่านั้น
ตอนนั้นจากที่ท้อๆและสิ้นหวังก็เริ่มเชื่อมั่นว่าอัลลอฮฺจะให้เราหาย
กินมันทุกอย่างค่ะ ยาอะไรที่พ่อเอามาก็กินหมด ไม่บ่นเลยจริงๆค่ะ
แต่ก็ยังขยาดกับความขมของมันอยู่ดี hehe

ปรากฏว่าหายวันหายคืนค่ะ ตาค่อยๆกลับมาเห็นชัดเจนขึ้น
แม้จะไม่ดีเท่าเดิมแต่ก็ยังดีที่ไม่ต้องเจ็บปวดและมันไม่บอดสนิท

ก่อนมาเรียนต่อที่ญี่ปุ่น หมอก็เช็คร่างกายทุกส่วน
แล้วบอกว่า ประสิทธิภาพในการมองโดยรวมถือว่ายังดีเยี่ยม
เพราะว่าตาอีกข้างนั้นมองเห็นชัดเจน มีเพียงอีกข้างที่ไม่เท่่ากับอีกข้าง...
และย้ำว่าไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดต่อการเล่าเรียน
แต่ให้หมั่นดูแลไม่ใช้งานมันหนักจนเกินไป แล้วมันจะค่อยๆดีขึ้น
หากหมั่นดูแลสุขภาพให้ดีด้วย...

โรคตามันมีหลายชนิดค่ะ...แล้วแต่กรณี และคนที่ประสบกับปัญหาเกี่ยวกับดวงตา
ส่วนใหญ่ยินยอมที่จะทำทุกทาง เพราะรู้ดีว่า หากขาดมันไป
แสงสว่่างที่เคยมองเห็น อาจจะดับวูบลง...
เมืื่อก่อนห่วงดวงตายิ่งกว่าสิ่งใด แต่หลังๆมาชักปลงตกว่า
ทุกอย่างเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ พระองค์จะเอากลับคืนไปในวันใดก็ย่อมได้
และบางครั้งก็ไม่มีการแจ้งเตือน(เช่นอุบัติเหตุที่ข้าน้อยเคยเจอ)
และสิ่งที่เราทำได้คือ รักษามันให้ดีที่สุด
ให้สมกับที่เราไดรับเนี๊ยมัตมา ที่เหลือก็ต้องมอบหมายไปยังพระองค์...

ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ...อยู่ๆดวงตาข้างนั้นเริ่มประท้วงอีกรอบหลังจาก
เงียบมานาน จนต้องไปปรึกษาแพทย์...หมองี้เบิกตาแล้วฉายแสงอะไร
ก็ไม่รู้ค่ะ รู้แต่ว่าตาเราที่เปิดไม่ได้อยู่แล้วเพราะปวด สู้แสงไม่ได้ในตอนนั้น
พอหมอง้างมันออกด้วยเครื่องมือ ก็เหมือนเข็มนับร้อยนับพันทิ่มแทง
เจ็บไหนไม่สู้เท่าเจ็บตา(คือเจ็บพอๆกับในอดีตเลยค่ะ) และยังบอกว่า
ให้ไปหาหมอเรื่อยๆ

ด้วยเหตุผลว่าต้องรอหมอนานครึ่งวันกว่าจะได้ตรวจและค่าตรวจแพงแสนแพง
เลยถอดใจว่าจะกลับไปรักษาอย่างจริงๆจังที่ไทยดีกว่า
คุยกับหมอเข้าใจมากกว่าด้วย hehe

ตอนนั้นน้องชายรู้เรื่อง ก็ชวนพี่ชายเข้าป่าหาน้ำผึ้งหลายๆรังรวมกันส่งมาให้
ทั้งกินทั้งทาค่ะ...พอได้ถามพี่สาวว่าน้องชายกับพี่ชายไปเอาน้ำผึ้งมาได้
ยังไงด้วยวิธีไหน...มาชาอัลลอฮฺ...ตอนนั้นตื้นตันสุดจะบรรยายเลยค่ะ...
เพราะผึ้งมันจะทำรังอยู่บนปลายกิ่งไม้ใหญ่บนยอดเขา...คนที่เคยขึ้นผึ้ง
จะเข้าใจดีว่ามันเสี่ยงขนาดไหน...แต่อัลลอฮฺให้พี่และน้องชายรอดมาได้
อย่างปลอดภัย...อัลฮัมดุลิลลาฮฺ

ข้าน้อยรู้สึกแย่ตรงคนอื่นเขาเป็นห่วงเรา แต่เรานี่ไม่ห่วงตัวเอง
ละเลยสุขภาพตัวเอง ไม่สนใจมันมานานค่ะ คือตอนนั้นใช้มันคุ้มทั้งวันทั้งคืน
ไม่หยุดเลยค่ะ...จนร่างกายมันเสื่อม อวัยวะต่างๆมันเลยประท้วงเอา
ก็เลยหันมาดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆค่ะ...
ปัญหาเลยเริ่มน้อยลง ตาก็ไม่ปวดแล้วค่ะ...ค่อยๆแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ...
ด้วยวิธีให้สิ่งที่มีในธรรมชาติช่วยบรรเทารักษา และดุอาฮฺขอให้หายค่ะ...

ปล.เคยอ่านเจอเรื่องแร่พลวงที่พี่น้องเคยนำเสนอในบอร์ดนี้มาเช่นกันค่ะ
แต่ว่าไม่เคยลองใช้เลยค่ะ ว่าจะลองหามาใช้แล้วล่ะค่ะ...อินชาอัลลอฮฺ
และคิดว่า หากใครมีปัญหาเรื่องดวงตา อันดับแรกเลยต้องรีบปรึกษาแพทย์
อย่างที่แชเล่ามาให้ฟัง ส่วนวิธีรักษานั้น ต้องขึ้นอยู่กับกรณีค่ะ...
บางครั้งต้องเสี่ยงและต้องเจ็บ
แต่ความเจ็บไม่ว่าจะเกิดที่ร่างกายหรือที่จิตใจนั้นสามารถเยียวยาได้ด้วยศรัทธาค่ะ...
วัลลอฮุอะลัม

หากพี่น้องท่านใดมีเคล็ดลับดีๆหรือประสบการณ์ดีๆมาร่วมนำเสนอกันต่อไปนะคะ


วัสลามุอะลัยกุมค่ะ


   loveit:


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ عاش حميدا ومات شهيدا

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 15
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #64 เมื่อ: พ.ย. 21, 2009, 01:37 PM »
0
 salam
เห็นท่านกำลังพูดประโยชน์น้ำมะพร้าว ก็เลยอยากจะแนะนำ น้ำมันมะพร้าวกันบ้าง 
ก็คือการทำออลย์พูลลิ่ง  Oil pulling  ที่กำลังฮือฮามาก. สามารถรักษาโรคได้หลายอย่าง
ยังงัยลองศึกษา และลองใช้กันดู..

Dr. F. Karach, M.D., ได้เสนอรายงานต่อที่ประชุมสัมนาบัณฑิตย์ทางด้านวิทยาศาสตร์ ที่ประเทศ USSR ปี 2534-2535
การประชุมนั้นมีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเนื้องอก และแบคทีเรีย
ซึ่ง Dr.Karach ได้อธิบายถึงการบำบัดรักษาโรค ที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร ด้วยวิธีง่ายๆ โดยใช้ น้ำมันสกัดเย็น หรือ หีบเย็น (สกัดน้ำมันออกมาโดยใช้ความร้อนต่ำ หรือไม่ใช้ความร้อนเลย)

ผลลัพธ์ของการบำบัดด้วยวิธีนี้ ทำให้ผู้คนตะลึง ประหลาดใจ เต็มไปด้วยความสงสัย ในรายงานของเขาเป็นอันมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้มีการอธิบาย ซักถามกันถึงการรักษาด้วยน้ำมันสกัดเย็น มีการทดสอบ ทดลองใช้ ทดลองทำพิสูจน์หาความสมเหตุสมผลที่เกิดขึ้น ต่างก็ยิ่งประหลาดใจถึงผลที่ได้รับจากการรักษาอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังไม่มีอันตรายใดๆด้วย เป็นการรักษาทางด้านชีววิทยาโดยแท้ ด้วยวิธีการง่ายๆ ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาโรคได้มากมายหลายโรค
ในบางกรณี บางรายที่ไม่ต้องการรักษาโรคด้วยการผ่าตัดหรือการกินยา ก็ได้ใช้วิธีการนี้บำบัด ซึ่งก็เป็นผล อีกทั้งไม่เกิดผลข้างเคียงเหมือนการใช้ยาเคมี
 
 
กระบวนการบำบัด และผลที่ได้รับที่น่าตื่นเต้นตามทฤษฎีนี้ กลับแสนง่าย โดยเริ่มต้นที่ใส่น้ำมันสกัดเย็นเข้าไปในปาก (น้ำมันทานตะวัน น้ำมันงา หรือน้ำมันสกัดเย็นอื่น ไม่จำเป็นต้องกลั่นโดยวิธีธรรมชาติเสมอไป น้ำมันทานตะวันที่ซื้อจากซุปเปอร์มาเก็ตก็พอใช้ได้แล้ว)

กระบวนการบำบัดจะบรรลุผลสำเร็จด้วยระบบบำบัดของผู้นั้นเอง ในกรณีนี้อาจจะไปบำบัดเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆ ในเวลาเดียวกัน ร่างกายเองก็จะขับสารพิษออกทิ้งไม่ให้รบกวนระบบต่างๆ ของร่างกาย
Dr.Karach กล่าวว่า คนเราส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่แค่ครึ่งหนึ่งของชีวิตที่น่าจะเป็น ความจริงแล้วถ้าสุขภาพที่ดีจะมีอายุได้ถึง 140- 150 ปี


 
 

ออฟไลน์ عاش حميدا ومات شهيدا

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 15
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ..วิธีการทำ “Oil Pulling”
« ตอบกลับ #65 เมื่อ: พ.ย. 21, 2009, 01:39 PM »
0
วิธีการทำ “Oil Pulling”
- เช้าตื่นนอนขึ้นมา ช่วงท้องว่าง ก่อนรับบประทานอาหารเช้า เอาน้ำมันประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ใส่เข้าปาก อย่าได้กลืนลงคอไปนะครับ แล้วทำให้น้ำมันเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในปาก (Move Oil Slowly) กลั้วอยู่ในปาก ไม่ต้องทำแรงนัก Dr.Karach ใช้วิธีค่อยๆ จิบน้ำมันเข้าปาก ดูด และดึง น้ำมันให้ผ่านฟันไปมาให้ทั่วๆ ใช้เวลา 15 – 20 นาที
- ในขั้นตอนนี้ น้ำมันจะผสมกลมกลืนกับน้ำลาย แล้วทำให้มันเคลื่อนไหวกระตุ้นเอนไซม์ เพื่อให้เอนไซม์ดึงสารพิษออกมาจากกระแสเลือด จงอย่ากลืนน้ำมันนี้ลงคอไป เพราะมันมีพิษ พิษที่ดึงออกมานั่นแหละ
- เมื่อเราคลื่อนไหวน้ำมันอยู่ในปากสักพัก จะรู้สึกว่าน้ำมันนั้นเบาบางลงไม่หนืด ลักษณะคล้ายน้ำ สีขาว
- แต่ถ้าน้ำมันนั้นยังมีสีเหลือง(น้ำมันงา ทานตะวันจะสีเหลือง น้ำมันมะพร้าวจะใส) อยู่เหมือนเดิม แสดงว่าใส่น้ำมันมากไป หรือยังใช้เวลาไม่นานพอ
- ขั้นต่อไป ให้บ้วนน้ำมันที่อมอยู่ทิ้ง แล้วใช้น้ำสะอาดล้าง หรือจะให้ดี ก็ใช้นิ้วมือช่วยทำความสะอาดฟันและเหงือกด้วยก็ได้

ล้างทำความสะอาดอ่างล้างหน้าให้ดี
คุณควรล้างทำความสะอาดอ่างล้างหน้าให้ดี (ถ้าบ้วนน้ำมันที่อมลงในอ่าง) ใช้สบู่ น้ำยาฆ่าเชื้อล้างด้วยก็ดี เพราะน้ำมันที่บ้วนทิ้งลงไปนั้นจะมีแบคทีเรีย และสารพิษ Toxin ของเสียที่ดึงออกจากร่างกาย ถ้าลองใช้กล้องขยายขนาด 600 เท่าส่องดูก็จะพบว่ามีแบคทีเรีย และจุลินทรีย์ที่อยู่ในระยะฟักตัวเพื่อก่อโรคอยู่
สิ่งสำคัญต้องทำความเข้าใจว่าการทำ OP เป็นกระบวนการทำให้ระบบเมทาโบริซึมเข้มแข็งขึ้น เพื่อให้ร่างกายเราแข็งแรง
สิ่งที่ทำให้เราเห็นชัดเจนก็คือจะทำให้ฟันของเราแน่นขึ้น ไม่โยกคลอน ทำให้เหงือกแข็งแรงสดใส ฟันก็จะขาวขึ้น
การทำ OP จะดีที่สุดก็คือตอนก่อนอาหารเช้า แต่ถ้าจะเร่งกระบวนการบำบัดให้เร็วขึ้น ก็ให้ทำ OP วันละ 3 เวลา ก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็น ตอนท้องว่าง

ข้อควรระวังคือ
1 อย่ากลืนน้ำมันที่ทำ OP ลงคอไป จะต้องบ้วนน้ำมันที่อมอยู่ออกทิ้งไป แต่ก็อย่าวิตกกังวลถ้าเกิดกลืน หรือ
มีน้ำมันไหลลงคอไปบ้าง ร่างกายก็จะขับออกมาทางอุจจาระเอง
2 ถ้าเกิดอาการแพ้ หรือไม่ถูกโรคกับน้ำมันที่ใช้อยู่ ก็ให้ลองเปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ดู
3 น้ำมันทานตะวัน และน้ำมันงา นั้นใช้ได้ผลพอๆ กัน น้ำมันอื่นๆ ยังไม่พบว่าใช้มากนัก และควรใช้น้ำมัน
สกัดเย็น (แต่ก่อนนั้น น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นยังไม่มีใช้ในอายุรเวท จะใช้น้ำมันงารักษาโรคเป็นส่วนใหญ่)

ออฟไลน์ عاش حميدا ومات شهيدا

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 15
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ประสบการณ์จากการบำบัดโดย Oil Pulling
จากผลการสำรวจโดยหนังสือพิมพ์ในประเทศอินเดีย
ในปี ค.ศ. 1996 ที่ Andhra Jyoti ได้เขียนเรื่องราวข้อมูลจากบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บโดยวิธีการ Oil Pulling ในหนังสือพิมพ์รายวัน Telugu มา 3 ปี ก็ได้จัดการสำรวจดูว่าวิธีการดังกล่าวนี้รักษาโรคอะไรได้บ้าง แล้วผลการรักษาได้ผลดีมากน้อยประการใด จากผลสำรวจที่ได้ตอบรับกลับมา 1,041 ราย
จำนวน 927 ราย หรือ (89%) ได้รายงานผลการรักษามารายละโรค บางรายก็หลายโรค ส่วนอีก 114 ราย หรือ (11%) ราย ไม่ได้รายงานผลการรักษาว่าได้ผลแค่ไหน ตามผลการรายงานพอสรุปได้ดังนี้
อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย คอ ศรีษะ 758 ราย
อาการภูมิแพ้ ปัญหาที่ปอด หอบหืด หลอดลมอักเสบ 191 ราย
ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง สีผิวที่ผิดปกติ อาการคัน รอยแผลเป็น ปื้นสีดำๆ ผื่นคัน 171 ราย
ระบบย่อยอาหารที่ไม่ดี 155 ราย
อาการท้องผูก 110 ราย
โรคข้ออักเสบ ปวดตามข้อ 91 ราย
โรคหัวใจ โรค MS (อารมณ์แปรปรวน) 74 ราย
โรคเบาหวาน 56 ราย
โรคริดสีดวงทวาร 27 ราย
โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธ์ของสุภาพสตรี 21 ราย
อาการที่คล้ายโรคโปริโอ มะเร็ง โรคเรื้อน โรคเกี่ยวกับไต ปัสสาวะบ่อย โรคเกี่ยวกับระบบประสาท
และอัมพาต การตายด้าน การหมุนเวียนเลือดไม่ดี 72 ราย

ออฟไลน์ عاش حميدا ومات شهيدا

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 15
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
คำถามที่ถูกถามบ่อย เกี่ยวกับ Oil pulling

ควรจะทำ OP เวลาไหนถึงจะดี?
แพทย์ทางอายุรเวท แนะนำว่าควรจะทำในช่วงเช้า หลังจากแปรงฟัน และท้องว่างอยู่
Dr Karach แนะนำให้ทำช่วงเช้า ตอนท้องว่าง จะให้ดีควรเป็นหลัง 1 ชั่วโมง หลังจากดื่มน้ำเปล่า ชา กาแฟ หรือน้ำใดๆ ในช่วงเช้า แต่ขอให้ทำก่อนอาหารมื้อเช้า หรือ ตอนท้องว่าง ขณะที่รู้สึกไม่ค่อยสบาย สุขภาพร่างกายมีปัญหา ก็ทำได้

ใครบ้างที่ทำได้ ?
ใครๆ ก็ทำได้ อายุ 5 ขวบขึ้นไปก็ฝึกทำได้ สำหรับอายุ 5 ขวบหรือเกินกว่าไม่มาก ให้ใช้น้ำมันเพียง 1 ช้อนชา (5 cc.) ก็พอ ผู้ที่ถอนฟันแล้ว สตรีที่ตั้งครรภ์อยู่ ก็ทำได้

แล้วจะดื่มน้ำหรือทานอาหารได้หลังจาก OP นานเท่าไร?
หลังจากทำ OP แล้วล้างปาก แล้วก็สามารถดื่มน้ำหรือทานอาหารได้เลย ไม่ต้องทิ้งช่วงเวลา

น้ำมันอะไรบ้างที่นำมาใช้ OP ได้?
Dr Karach แนะนำให้ใช้น้ำมันทานตะวัน ส่วนการแพทย์อายุรเวทแต่โบราณ ใช้น้ำมันงาเป็นหลัก ซึ่งน้ำมันทั้งสองชนิดก็ทำงานได้ดีในการช่วยบำบัดสุขภาพ บางท่านว่าน้ำมันงาใช้ได้ดีที่สุด ส่วนน้ำมันอื่นๆ ก็ใช้ได้แล้วแต่ความชอบ ของแต่ละคน เพียงแต่ยังไม่มีรายงานผลการใช้น้ำมันชนิดอื่นๆ มาให้ทราบมากนัก น้ำมันอื่นๆ อาจจะใช้ได้ดีในการนำมาใช้ก็ได้ แต่ยังไม่ได้รับความนิยมที่จะใช้กัน



(หมอแดง แนะนำให้ใช้ น้ำมันมะพร้าว ในการทำ Oil Pulling ซึ่งก่อนหน้านี้ยังไม่มีน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นใช้กันมากนัก และก็กลัวไขมันอิ่มตัวน้ำมันมะพร้าวกันมาก แต่ปัจจุบันนี้ความเชื่อนั้นเปลี่ยนไป)


น้ำมันที่ใช้เพียง 10 cc. มันดูน้อยจัง ใช้ 20 cc. จะได้ไหม?
เมื่อเราทำ OP น้ำมันที่อมในปากนั้นจะต้องรู้สึกบางเบา จางลง มีความรู้สึกคล้ายน้ำ ไม่ใช่ยังรู้สึกว่ายังอมน้ำมันอยู่ ควรจะรู้สึกคล้ายน้ำ เมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้จึงจะเป็นผลดี และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ความมุ่งหมายในการทำ โดยทั่วไปความรู้สึกอย่างนี้จะเกิดขึ้นหลังจากอมไว้ 15-20 นาที แต่ถ้าใช้น้ำมันมากเกินไปมาอม ก็จะต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าที่น้ำมันจะกลายเป็นน้ำสีขาวๆ เราก็คงไม่มีเวลาที่จะมาอมน้ำมันอยู่นานๆ กันแน่
ถ้าหากบ้วนทิ้งออกมาแล้วยังรู้สึกว่ายังคงเป็นน้ำมันอยู่ ก็เป็นเรื่องเสียเปล่า ไม่ค่อยได้ประโยชน์นัก จะไม่ค่อยรู้สึกสดชื่น ไม่ได้ผลสำเร็จตามที่ปรารถนา ถ้าจะใช้มากสักนิดหน่อยก็ไม่เป็นอันตรายใดๆ ไม่เสียหายมากมาย เพียงแต่ใช้เวลานานเสียหน่อย และสำหรับเด็กเราก็ใช้แค่ 5 cc.ก็พอ

ขณะที่ทำ OP อยู่นั้น จะทำอย่างอื่นพร้อมไปด้วยได้หรือไม่?
ไม่ควร ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ควรทำ OP อย่างช้าๆ นั่งในท่าสบายๆ เชยคางขึ้น นึกถึงน้ำมันที่แทรกเข้าไปตามซอกฟัน เข้าไปสัมผัสกับทุกๆ ส่วนของเยื่อบุผนังในช่องปาก ผ่อนคลายอารมณ์และร่างกาย

สำหรับโรคที่เจ็บปวดรุนแรงจนจะต้องผ่าตัด หรือโรคเรื้อรัง จะมีการทำ OP อย่างไร?
โรคที่มีอาการปวดอย่างมากจนถึงขนาดจะต้องผ่าตัดนั้น วิธีการนี้จะช่วยบำบัดได้ภายใน 4 วัน โดยปฏิบัติวันละ 3 ครั้ง
ตอนช่วงท้องว่าง ก่อนอาหารเช้า กลางวัน และเย็น
ส่วนในโรคที่มีอาการเรื้อรังมานานนั้น อาจต้องใช้เวลาเป็นปี หรือมากกว่า แล้วแต่อาการและความหนักหนาของโรคที่เป็นอยู่นั้น เป็นมานานมากแค่ไหนแล้ว อายุของผู้ป่วย อุปนิสัย พฤติกรรมในการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยก็เป็นปัจจัยสำคัญ

จะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้างในการทำ OP?
น้ำมันที่อมยังคงสภาพเป็นน้ำมันอยู่ ไม่มีลักษณะคล้ายน้ำ หรือรู้สึกบางเบา หลังจาก 30 นาที แล้วกับรู้สึก
ถูกดูดซึม และเหลือปริมาณน้อยลง
เหตุที่น้ำมันไม่แปรสภาพไปคล้ายน้ำ ก็เพราะว่ามีน้ำลายน้อย หรือการผลิตน้ำลายออกมาน้อย ในช่องปากแห้ง เป็นมากในกรณีนี้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในตอนเช้า หรือไม่ก็ตอนเย็น
ในสภาวะปกติทั่วไป น้ำมันจะไม่ถูกดูดซึมในปาก สาเหตุนั้นมาจากน้ำลายมีน้อย หรือร่างกายขาดน้ำ ขาดสารเหลว ในกรณีนี้ให้ดื่มน้ำ 2-3 แก้ว แล้วออกเดินสัก 30 – 45 นาที แล้วกลับมาทำ OP
รู้สึกในจมูกถูกปิดกั้น เกิดการสะสมของน้ำมูก ทำให้หายใจไม่ค่อยดีขณะมีน้ำมันอยู่ในปาก
กรณีนี้ให้ล้าง ทำความจมูกให้ดี สั่งน้ำมูกออกให้รู้สึกโล่งจมูกก่อน แล้วจึงทำ OP
ขณะที่อมน้ำมันอยู่ในปาก เมื่อมีน้ำมูกให้ใช้วิธีหายใจแรงหลายๆครั้ง เพื่อให้มีแรงลมดันออกมาทางจมูก
อยากจะจาม หรือไอขณะที่อมน้ำมันอยู่
รู้สึกระคายคอ คันคอทำให้เกิดความรู้สึกรำคาญ อยากจะจามหรือไอขณะที่กำลังอมน้ำมันอยู่ในปาก ให้ค่อยๆ ทำ และให้ผ่อนคลาย ไม่ต้องคิดถึงน้ำมันที่อยู่ในปาก ถ้าจะจามหรือไอ ให้ทำตรงอ่างหรืออะไรรองรับ เพื่อไม่ให้มีการพ่นเป็นสเปร์ยออกมา หรือไม่ก็หากระดาษทิชชูมาปิดปากป้องกันไว้
เสมหะ เสลดในลำคอไหลเข้ามาที่ในปาก ขณะที่อมน้ำมันอยู่
ถ้ามีเสมหะเกิดขึ้นมาเต็มปากเต็มคอ ทำให้ทำ OP ไม่สะดวก ก็ให้บ้วนทั้งน้ำมันและเสมหะออกทิ้งไป และอมน้ำมันใหม่อีกครั้ง
กระตุ้นให้อยากถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ ขณะทำ OP
เมื่อมีกระตุ้นให้เกิดปัสสาวะและถ่ายอุจจาระขณะที่ทำ OP ก็ให้ไปปัสสาวะ อุจจาระได้ระหว่างทำ OP อมน้ำมันไปด้วยให้สบายใจ ไม่ต้องเครียด

จะใช้เวลาสักเท่าไรในการที่จะรักษาโรค?
ระยะเวลาที่จะใช้ในการดูแลรักษาโรคแต่ละโรคนั้น เป็นการยากที่จะกะเกณฑ์ ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย สภาพร่างกายของผู้ป่วยว่าทรุดโทรมขนาดไหน และโรคที่เป็นอยู่หนักหนาขนาดไหน อาหาร อัปนิสัยและพฤติกรรมของตัวผู้ป่วยแต่ละคน
Dr Karach กล่าวว่า “โรคที่เจ็บป่วยเรื้อรังมานานอาจใช้เวลาปีหนึ่ง ขณะที่โรคที่มีอาการปวดจนถึงขนาดจะต้องผ่าตัด อาจใช้เวลาแค่ 2 – 4 วัน ให้ฝึกทำจนกว่าจะรู้สึกแข็งแรงดังเดิม มีความสดชื่น หลับได้ดี รู้สึกเจริญอาหาร ความจำที่ดีกลับคืนมาเหมือนเดิมอีกครั้ง”


ออฟไลน์ عاش حميدا ومات شهيدا

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 15
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
จะมีผลข้างเคียง หรือจะเป็นอะไรบ้างไหมถ้าจะใช้ยาไปพร้อมๆ กันไปด้วย ?โดยปกติทั่วไปจะไม่มีผลข้างเคียง การบำบัดรักษาจะเป็นไปอย่างนิ่มนวล อ่อนโยน ในบางกรณีบางโรค อาจจะมีอาการมากขึ้นมาบ้างนิดหน่อย ก็อย่าไปวิตกกังวล เพราะอาการที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสัญญาณที่ดี
บอกให้เราได้รู้ว่าโรคที่เป็นอยู่นั้นกำลังได้รับการบำบัดอยู่ ให้อดทนหน่อย แต่ถ้าในกรณีที่มีอาการมากขึ้นจนทนไม่ได้ ก็ให้หยุดทำ OP ไปสัก 2-3 วัน หรือจะกินยาเพื่อช่วยระงับอาการและทำ OP ไปด้วยก็ได้
ในกรณีที่ต้องกินยา หรือยังไม่อยากจะหยุดยาทีเดียวเลย ก็ให้กินยาไปด้วยพร้อมๆ กัน แล้วค่อยๆ ลดจำนวนยาลงทีละน้อย แบบค่อยเป็นค่อยไป จนมีความแน่ใจว่าได้ผลดีแล้ว จึงหยุดยาทั้งหมด แล้วทำ OP อย่างเต็มที่เพื่อเป็นการถอนรากถอนโคนของโรคออกไปให้หมด ในกรณีที่เป็นโรคเรื้อรัง เป็นมานาน ต้องกินยาอยู่ ไม่อยากหยุดยา ก็ให้ทำ OP พร้อมๆ กันไป ก็ไม่เกิดผลเสีย

อ้างอิง     Oilpulling.com
บทความแปล โดย
หมอแดง the-arokaya.com



ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #69 เมื่อ: พ.ย. 21, 2009, 02:23 PM »
0
salam

ส่วนใครที่ชอบนอนดึก ก็ก่อนนอน ดื่มน้ำขิง ผสม น้ำผึ้ง อุ่น ๆ หรือ น้ำอุ่นธรรมดากับน้ำผึ้ง หรือถ้าไม่มีอะไรเลย น้ำอุ่นธรรมดา สัก 1 แก้วก็ได้ ดื่นเช้ามาจะได้สดชื่น


วะอะลัยกุมมุสลาม

ขอบคุณท่านนักปราชญ์น้อยมากค่ะสำหรับเคล็ดลับดีๆ

ขอเสริมนะคะ...น้ำผึ้งนี่สุดจะบรรยาสรรพคุณค่ะ...
เคยล้มรถกับน้องชาย ตอนนั้นน้องกลิ้งไปอยู่ที่คูข้างถนน
ข้าน้อยนอนแอ้งแม้งคาบเส้นเหลืองกลางถนน อัลฮัมดุลิลลาฮฺ
ตั้งสติทันก่อนสิบล้อคันนึงจะวิ่งมาใกล้แค่เสี้ยววินาที หลบออกมาทันค่ะ
ตอนนั้นลืมเจ็บ กระเด้งออกจากเส้นเหลืองด้วยสัญชาตญาณ
แต่พอเช็คสภาพ ถลอกไปทั้งแถบค่ะ ไม่เหลือดีเลย
เว้นแค่ใบหน้าเท่านั้นที่รอดมาได้ อัลฮัมดุลิลลาฮฺ
กลับบ้าน(เพราะไม่กล้าไปหาหมอ) พี่ๆน้องๆตกใจกันว่าสภาพขนาดนั้น
มัน(ข้าน้อยกับน้องชาย)ถ่อรถกลับบ้านมาได้อย่างไร ;D
กระบวนการซักฟอกเลยเกิดขึ้น คนที่เรากลัวที่สุด(พ่อ)กลับไม่พูดอะไร
ยื่นน้ำผึ้งมาให้ ถามว่าจะให้พ่อราดให้หรือแกจะราดเอง...
ตอนนั้นส่ายหน้าบอกว่าขอทำเอง...เหอๆ น้องชายลองของก่อนใคร
เห็นสีหน้าน้องชักหวั่นๆ มือสั่นๆไม่กล้าแตะน้ำผึ้งที่ปกติชอบกินนักกินหนา
พ่อบอกว่าอย่่าท่ามากเดี๋ยวจะเสียการ เลยหยิบน้ำผึ้งขึ้นราดแผล
ตรงที่ถลอก(สภาพตอนนั้นไม่เหลืออะไรดีเลยค่ะ) กัดฟันด้วยความแสบถึงทรวง
ไม่กล้าร้องออกมากลัวพี่ๆน้องๆจะสมน้ำหน้าเอา  พ่อบอกว่าน้ำผึ้งจะช่วยล้างแผล
ให้สะอาด ทำให้ไม่เป็นแผลเป็น สำคัญว่าอย่าโดนน้ำ
ข้าน้อยเชื่อหมดใจเลยค่ะว่าน้ำผึ้งล้างแผลให้สะอาดได้
เพราะว่าแสบยิ่งกว่าโดนทิงเจอร์เสียอีกค่ะ...
ต่อจากนั้นก็ตามด้วยเปลือกมังคุดสดๆ บีบน้ำราดลงบนแผลทับรอยน้ำผึ้งนั่นเลยค่ะ
เพราะว่าเปลือกมังคุดจะฝาด ช่วยสมานแผลให้แห้งตกสะเก็ดได้เร็ว
แล้วก็พันแผลไว้(ทุกอย่างนี่ทำเองหมดค่ะ) เพราะว่าหาเรื่องเอง
ก็เลยต้องรับผิดชอบเองค่ะ มีแต่กองเชียร์ แต่ไม่มีใครร่วมแจมค่ะ...
อีกอย่าง กลัวมือคนอื่นจะหนักค่ะ มือเรานี่แหล่ะค่ะกะจังหวะได้พอดี
พอเช้าขึ้นมาลุกไม่ได้ค่ะ เมื่อยขบไปหมดทั้งตัว โดยเฉพาะตรงแผล
จะรู้สึกตึงมากค่ะ...ต้องแข็งใจลุกขึ้นออกมายืดเส้นค่ะ
เพราะถ้านอนอยู่อย่างนั้นแผลจะหายยากและช้าค่ะ...
ก็แกะผ้าพันออกแล้วล้างแผลด้วยน้ำผึ้งอีกค่ะ
แต่คราวนี้เปลี่ยนจากเปลือกมังคุดสด กลายเป็นเปลือกมังคุดแห้ง
ฝนกับบั้นท้าย(ก้น)ของครกตำน้ำพริกค่ะ พอได้ก็เอามาทาบนแผลแล้วปิดไว้
ด้วยผ้าพันแผลอีกรอบ(อันใหม่นะคะ ;D) นั่งทำอย่างนั้นกับน้องชายทุกๆเช้า
แล้วก็ต้องขยันเดินด้วยค่ะ ไม่ถึงสัปดาห์ค่ะ แผลแห้งสนิท ตกสะเก็ด
หายเร็วกว่าที่โรงพยาบาลทำเป็นไหนๆค่ะ เพราะเพื่อนข้าน้อย
เขาก็ล้มรถก่อนข้าน้อยตั้งหลายวัน ยังหายช้ากว่าเลยค่ะ
ทั้งที่แผลของข้าน้อยฉกรรจ์กว่านัก...คือจริงๆแล้ว ผิดที่ข้าน้อยเองค่ะ
ที่ไปล้อเพื่อนคนนั้นเข้า ท้าให้เพื่อนที่ไปล้มรถบาดเจ็บที่ขาและแขนมา
วิ่งแข่งลงบันไดอาคารเรียนกัน(และแน่นอนว่าคนขาดีไม่มีแผลอย่างข้าน้อย
ก็ย่อมชนะอยู่แล้ว แถมนิสัยเสีย หัวเราะเยาะเพื่อนคนนั้นอย่างนึกสนุกอีก
ตามประสาเด็กค่ะ สนุกเอาไว้ก่อน...)

หลังจากนั้นไม่กี่วันโดนเองเลยค่ะ...แถมดันถลอกตรงที่เดียวข้างเดียวกันกับเพื่อน
ที่ตัวเองเคยล้อไว้ด้วยค่ะ...ได้สมน้ำหน้าตัวเองไปหลายวันค่ะ hehe

แต่ก็ อัลฮัมดุลิลลาฮฺ หายเร็วกว่าที่คิดค่ะ...
หลังจากนั้นเด็กข้้างบ้านไปล้มรถมาอีก
ก็มาหาข้าน้อย ให้ข้าน้อยทำแผลให้(ฟรีค่ะ ไม่คิดตังค์ค่ายาค่าทำแผล ใจดีสุดๆ ;D)
ซึ่งข้าน้อยก็ทำให้เหมือนกับที่ทำให้ตัวเองค่ะ แอบโหดบ้างเป็นบางช่วง
ตอนที่เด็กมันดื้อค่ะไม่ยอมให้ล้างแผลง่ายๆค่ะ
(ช่วงนั้นใฝ่ฝันอยากเป็นพยาบาลสุดๆค่ะ แต่พอกินลำใยแล้วท้องเสีย
นอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาลสองสัปดาห์ ความอยากเป็นพยาบาลหาย
เข้ากลียเมฆเลยค่ะ...เหอๆ)
ซึ่งปรากฏว่า แผลของเด็กคนนั้นหายเป็นปกติโดยใช้เวลา
เพียงไม่กี่วันก็วิ่งปร๊อได้แล้วเช่นกันค่ะ...อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...

โชคดีที่พ่อมักจะเก็บเปลือกมังคุดแล้วนำไปตากแห้งเอาไว้
เลยได้นำออกมาใช้เป็นยาสมุนไพรสมานแผล บวกกับน้ำผึ้งป่า
สองอย่างเท่านั้นค่ะ...แต่ถ้าโชคดีตรงกับฤดูของมังคุด
ก็ใช้เปลือกมังคุดสดๆแล้วบีบน้ำจากเปลือกมังคุดลงบนแผลเลยค่ะ
เย็นดีค่ะ ไม่แสบๆคันๆยุบยิบๆเหมือนตอนราดน้ำผึ้ง(ซึ่งเราต้องราดน้ำผึ้งบนแผล
เพื่อขจัดคราบสกปรกก่อนราดน้ำจากเปลือกมังคุดนะคะ)  

อันนี้ประสบการณ์โดยตรงของตัวเองค่ะ รวมทั้งการทำให้ผู้อื่น
มาหลายคนแล้วด้วยค่ะ...ไม่เหลือร่องรอยแผลเป็น
ขนาดคนที่โดนที่หน้า(หน้าไปกรูดกับพื้นถนนมา)ก็หายสนิทค่ะ
ไม่มีแผลเป็น หากทำอย่างที่ข้าน้อยแนะนำไปค่ะ
แต่หากไปหาหมอที่โรงพยาบาลล่ะก็...แผลหายแล้วก็ต้องหายามาทา
รักษาแผลเป็นต่ออีก บางคนไม่หาย(เพราะแผลลึกเกิน)
เลยทิ้งร่องรอยแผลเป็นเอาไว้ บางคนก็หาย

แต่วิธีที่ข้าน้อยเล่าไปนั้น หายสนิทโดยไม่ต้องพึ่งยาอื่นอีกแล้วค่ะ
ไม่มีร่องรอยแผลเป็นด้วยค่ะ เพราะเราสมานด้วยน้ำผึ้งตั้งแต่ตอนที่แผลยังสดๆ
เลือดไหลซิบๆอยู่ค่ะ(ตอนที่เพิ่งโดนมาหมาดๆเลยค่ะ)
ญาติที่เป็นหมอยังยกนิ้วให้เลยค่ะ(แต่ผ้าพันแผลนี่ต้องไปขอญาติที่เป็นหมอ
มานะคะ...เหอๆ)...เรื่องแผลเป็นบนใบหน้า ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น
ข้าน้อยเองก็กลัวแสนกลัว ในตอนแรกก็นึกว่าจะโดนที่หน้าไปด้วยแล้ว
เพราะหน้าชาไปทั้งแถบ อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ไม่โดนค่ะ น้องชายยังบอกเลยค่ะว่า
แปลก เพราะว่าดูสภาพแล้วใบหน้าน่าจะโดนไปด้วย เพราะล้มหัวทิ่มเลยค่ะ
แต่ว่าตอนนั้นได้สติพร้อมกับเคยเรียนมาด้วยเรื่องของการป้องกันตัว
เลยเอามือทั้งสองกุมศีรษะไว้ก่อน มือเลยโดนไปเต็มๆในฐานะอวัยวะ
ป้องกันศีรษะ(ศูนย์บัญชาการ)ค่ะ...เพราะหากหัวฟาดพื้นตรงๆ
ไม่ตายก็มึนไปอีกนานเลยค่ะ...แต่ปรากฏว่าหัวข้าน้อยไม่เป็นไรค่ะ
แค่โน(ปูด)นิดหน่อย ซึ่งน้องชายบอกว่า หัวโนแต่หน้าไม่ได้กรูดกับท้องถนน
เป็นไปได้อย่างไร ข้าน้อยเองก็งงค่ะ...เพราะรู้สึกว่าหน้าเรากรูดไปกับพื้นถนน
พร้อมๆกับมือที่กุมหัวอยู่ด้วยในตอนนั้นค่ะ...ก็อัลฮัมดุลิลลาฮฺค่ะ
ที่รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด เจ็บแค่นั้นถือว่า อัลลอฮฺทรงเมตตามากแล้วค่ะ...
หากเทียบกับชีวิตที่ยังมีอยู่มาจนทุกวันนี้...


เล่าสู่กันฟังค่ะ

...บางครั้งประสบการณ์ก็ไม่สำคัญเท่ามุมมองที่เรามีต่อประสบการณ์ค่ะ...


วัสลามุอะลัยกุมค่ะ


^_____________^


        
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #70 เมื่อ: พ.ย. 21, 2009, 03:13 PM »
0

จากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด
อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า
ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง
หรือเอสโตรเจนสูงซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์
หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง


เนื่องด้วยเหตุนี้เองค่ะ...เลยทำให้ผู้หญิงที่ประจำเดือนใกล้จะมา
ไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าว เพราะจะทำให้รอบเดือนคลาดเคลื่อน
หรือบางครั้งจงใจให้คลาดเคลื่อนก็ดื่มน้ำมะพร้าวค่ะ...
อันนี้ทำมาแล้วค่ะ...ค่อนข้างเห็นผล
ไม่ต้องพึ่งยา ธรรมชาติใกล้ตัวเรานี่เองค่ะ...

อีกทั้ง หากหญิงกำลังตั้งครรภ์อยู่ได้ดื่มน้ำมะพร้าวและเนื้อมะพร้าวอ่อน
บ่อยๆ...อินชาอัลลอฮฺ...ผมของลูกในครรภ์จะดกดำค่ะ...
เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านค่ะ...ไม่รู้ว่าทางการแพทย์เขาว่าอย่างไร
เหมือนกันค่ะ...แต่ว่าพี่สะใภ้ทำอย่างนั้นบ่อยๆค่ะ
เพราะที่บ้านต้นมะพร้าวเยอะ หลานก็ออกมาผมดกดำนะคะ
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะว่าน้ำมะพร้าวหรือกรรมพันธุ์ค่ะ...
เพราะว่าพี่สะใภ้อีกคนก็ทำเช่นกัน แต่หลานอีกคนผมไม่ถึงกับดกดำ
แต่ผมนิ่มสวยค่ะ...



ปล.ขอบคุณคุณismailrao มากเลยค่ะ...
ว่าแต่นอกจากน้ำมันทานตะวันกับน้ำมันงาแล้ว
ไม่รู้ว่าน้ำมันมะพร้าวจะใช้ได้หรือเปล่านะคะ
เพราะว่าน้ำมันมะพร้าวกลิ่นมันหอมดีค่ะ...;D

อีกอย่าง หากอยู่ๆตกใจ เผลอกลืนไปนี่แย่เลยนะคะ... hehe
ผู้หญิง(บางคน)ยิ่งขี้ตกใจอยู่ด้วยค่ะ...ซึ่งหากเผลอกลืนลงไปจริงๆนี่
มันจะเป็นยังไงบ้างคะ เป็นอันตรายมากน้อยแค่ไหนคะ... ::)

ญะซากัลลอฮุคอยรอน


วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^______________^


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ JawhaR

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1303
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #71 เมื่อ: พ.ย. 21, 2009, 03:43 PM »
0
ญาซากัลลอฮ ท่าน ismailrao มากๆนะครับ

เสิดเจอใน ยูทูบ ครับ
พี่น้องลองไปฟังดูนะครับ
ผมอยู่ที่ทำงาน เลยยังไม่ได้ฟังง่ะ

Guide Life -Healthy Guide - Oil Pulling tape 52   โดยหมอแดง

part A
http://www.youtube.com/watch?v=-mzCBwkXusk&feature=related

part B
http://www.youtube.com/watch?v=uvZhOnxgZCE&feature=related
I'm just a Mini Muslim and will try to be   StrongeR. Insha-Allah

ออฟไลน์ reem

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 104
  • ไม่มีโง่ใดที่จะโง่เท่าโง่ที่เคยโง่
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #72 เมื่อ: พ.ย. 21, 2009, 04:01 PM »
0

จากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด
อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า
ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง
หรือเอสโตรเจนสูงซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์
หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง


เนื่องด้วยเหตุนี้เองค่ะ...เลยทำให้ผู้หญิงที่ประจำเดือนใกล้จะมา
ไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าว เพราะจะทำให้รอบเดือนคลาดเคลื่อน
หรือบางครั้งจงใจให้คลาดเคลื่อนก็ดื่มน้ำมะพร้าวค่ะ...
อันนี้ทำมาแล้วค่ะ...ค่อนข้างเห็นผล
ไม่ต้องพึ่งยา ธรรมชาติใกล้ตัวเรานี่เองค่ะ...

อีกทั้ง หากหญิงกำลังตั้งครรภ์อยู่ได้ดื่มน้ำมะพร้าวและเนื้อมะพร้าวอ่อน
บ่อยๆ...อินชาอัลลอฮฺ...ผมของลูกในครรภ์จะดกดำค่ะ...
เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านค่ะ...ไม่รู้ว่าทางการแพทย์เขาว่าอย่างไร
เหมือนกันค่ะ...แต่ว่าพี่สะใภ้ทำอย่างนั้นบ่อยๆค่ะ
เพราะที่บ้านต้นมะพร้าวเยอะ หลานก็ออกมาผมดกดำนะคะ
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะว่าน้ำมะพร้าวหรือกรรมพันธุ์ค่ะ...
เพราะว่าพี่สะใภ้อีกคนก็ทำเช่นกัน แต่หลานอีกคนผมไม่ถึงกับดกดำ
แต่ผมนิ่มสวยค่ะ...



ปล.ขอบคุณคุณismailrao มากเลยค่ะ...
ว่าแต่นอกจากน้ำมันทานตะวันกับน้ำมันงาแล้ว
ไม่รู้ว่าน้ำมันมะพร้าวจะใช้ได้หรือเปล่านะคะ
เพราะว่าน้ำมันมะพร้าวกลิ่นมันหอมดีค่ะ...;D

อีกอย่าง หากอยู่ๆตกใจ เผลอกลืนไปนี่แย่เลยนะคะ... hehe
ผู้หญิง(บางคน)ยิ่งขี้ตกใจอยู่ด้วยค่ะ...ซึ่งหากเผลอกลืนลงไปจริงๆนี่
มันจะเป็นยังไงบ้างคะ เป็นอันตรายมากน้อยแค่ไหนคะ... ::)

ญะซากัลลอฮุคอยรอน


วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^______________^





ดื่มน้ำมะพร้าวจะทำให้คลอดง่ายด้วยค่ะ

ออฟไลน์ JawhaR

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1303
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #73 เมื่อ: พ.ย. 21, 2009, 04:17 PM »
0

จากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด
อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า
ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง
หรือเอสโตรเจนสูงซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์
หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง


ในฐานะที่ผม พอจะรู้เรื่อง โรคเนื้องอกในมดลูก
อะๆ ไม่ใช่มดลูกของผมน่ะ  ;D     เเต่เป็นของมะผมนะคับ
ขอบอกพี่น้องว่า หากในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง
อย่าได้ให้มะของท่านหรือมุสลิมะฮ์ที่เป็นโรคเกี่ยวกับเนื้องอกมดลูกดื่มน้ำมะพร้าวนะครับ



I'm just a Mini Muslim and will try to be   StrongeR. Insha-Allah

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: สูตร(ไม่)ลับสำหรับสุขภาพ
« ตอบกลับ #74 เมื่อ: พ.ย. 22, 2009, 01:01 PM »
0
ไว้เดี๋ยวได้แผลเมื่อไรจะไปให้ก๊ะนาดาทำแผลให้นะ ว่าแต่แผลใจรักษาให้ด้วยป่าวพี่ 555

หวังว่าคงไม่ใช่เล่นบาสแล้วล้มหัวทิ่มมานะโคลงเคลง...เหอๆ
ส่วนหัวใจก็มาหาพี่ได้จ่ะ...เดี๋ยวพี่จะโขลกใบบัวบกเอาไว้รอค่ะ ;D
อกเดาะ อกช้ำ กินระกำผสมแห้วก็มาหาได้จ้า...มียาทุกขนาน
ขาดอยู่แค่ขนานเดียวที่ยังไม่สามารถรักษาได้...ขนานคานจ่ะ...
อันนี้ตัวใครตัวมัน พี่ก็ช่วยไม่ได้... ;D

ปล.บัวบก มีสรรพคุณแก้ช้ำใน รสขมสุดจะบรรยาย
แต่ว่าสรรพคุณดีแท้ มิมีเทียบเทียม... myGreat:

ปล.2 เรื่องดื่มน้ำมะพร้าวช่วงมีประจำเดือนแม่พี่ห้ามตลอดค่ะ
แต่ก็เผลอกินบ่อย ปรากฏว่า มันรู้สึกแปลกๆในท้อง
ท้องไส้ปั่นป่วนนิดหน่อยถึงปานกลาง บางครั้งขนลุก หนาวๆขึ้นมา
แต่บางทีก็ไม่เป็นไรค่ะ ดื่มได้(แต่พี่มักจะเลี่ยงเอาไว้ก่อนค่ะ)
พี่เองก็ไม่รู้ว่าทำไม รู้แต่ว่า ในน้ำมะพร้าวต้องมีอะไรสักอย่างอย่างมิต้องสงสัยเลย...
เอาไว้หาเจอเมือไหร่ อินชาอัลลอฮฺจะเอามาแปะค่ะ...
หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะ ฮอร์โมนเอสโดรเจนหรือเปล่าไม่แน่ใจค่ะ...

แต่ข้อดีอีกข้อของน้ำมะพร้าว นอกจากที่พี่ๆน้อง โดยเฉพาะที่ก๊ะreem
ของโคลงเคลงนำมาบอกกล่าวกันนั้น...
น้ำมะพร้าวยังช่วยแก้พิษได้ด้วยค่ะ...ใครที่เลี้ยงแมวจะรู้คุณสมบัติพิเศษข้อนี้
ของน้ำมะพร้าวดีค่ะ...เพราะแมวพี่เคยโดนยามา พ่อพี่ให้ลองดื่มน้ำมะพร้าวดู
หายค่ะ(แต่ว่ายาที่โดนนั้นต้องไม่ใช่ยาที่มีพิษขั้นรุนแรงนะคะ เพราะตัวที่โดน
ยาที่ค่อนข้างรุนแรง แดดิ้นไปต่อหน้าต่อตาเลยค่ะ กรอกน้ำมะพร้าวแล้ว
ก็ล้างพิษไม่หมดค่ะ) และหากมีคนโดนพิษมา หรือทานเห็ดมีพิษ
ก่อนส่งโรงพยาบาลลองให้ดื่มน้ำมะพร้าวดูก่อนได้นะคะ...
บรรเทาอาการไปล่วงหน้า ถือเป็นการปฐมพยาบาล หากว่าโรงพยาบาล
อยู่ไกลจนเกินไป หรือคิดว่า เสี่ยงแบบห้าสิบห้าสิบ ล้างพิษไปพลางๆค่ะ
ซึ่งก็ไม่แนะนำในรายที่ไม่เสี่ยง เพราะว่านี่เป็นแค่ภูมิปัญญาชาวบ้านเท่านั้นค่ะ...
เมื่อก่อนแถวบ้านพี่เค้าจะทำกัน เพราะโรงพยาบาลอยู่ไกล กว่าจะไปถึงบางที
ยามันก็ส่งพิษขั้นรุนแรงและอาจเสียชีวิตกลางทางน่ะค่ะ...
พี่เองเคยโดนจับกรอกน้ำมะพร้าว เพราะเมื่อก่อนซน ไปเล่นๆกับน้อง
เจอเห็ดหน้าตาสวยๆคิดว่ากินได้ เลยเอามาต้มกินเล่นกัน
ปรากฏว่า มึนและเมาค่ะ...โลกนี้โคลงเคลงๆไปหมด...ดีที่ว่าอยู่ไม่ไกลบ้าน
เดินมึนกลับบ้านมาได้ พ่อรู้เข้าก็โชคดีที่ต้นมะพร้าวอยู่ตรงนั้น
พ่อเลยจับกรอกเสียตอนนั้นเลย...หายมึนไปได้เยอะค่ะ แปลกมาก...
แล้วพาไปเช็คที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว ให้ยาอะไรมาไม่รู้
ก็กินค่ะ...วันนั้นนอนมึนเลย บอกกับตัวเองว่า อะไรสวยๆนี่
ต้องคิดหนักก่อนจะกินมันเข้าไป...โดยเฉพาะเห็ดที่สวยผิดจากเห็ดอื่นๆนี่
จะไม่ขอแตะเลยค่ะ...เข็ดแว้วววววว...   no: no:

ในธรรมชาติยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่มนุษย์เรายังไม่รู้ค่ะ...
บางคนบอกว่าหากไม่มีผู้มารับรองก็ไม่กล้าเสี่ยง
แต่บางคนกล้าที่เสี่ยง เมื่อไม่มีอะไรจะเสี่ยงไปกว่าการเสี่ยง
ต่อความเป็นความตายค่ะ...
เพราะว่าคนสมัยก่อน เขาก็รักษาด้วยยาสมุนไพรกันค่ะ...
บางทียาสมุนไพรอาจจะกลับมารุ่งอีกครั้งก็เป็นได้
เพราะว่า แม้จะได้ผลช้า แต่ว่าผลข้างเคียงน้อยกว่ายาแผนปัจจุบัน...
หนูลองยาอย่างพี่ โดนมาหลายขนานแล้วค่ะ...
บอกได้คำเดียวว่าที่รอดมาได้เพราะ อัลลอฮฺตาอาลาทรงให้รอดค่ะ...
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...

ปล.อีกที...ลองล้างหน้าด้วยน้ำมะพร้าวดูสิคะน้องอันนูร
แล้วจะรู้ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงกับใบหน้าของเราในทางที่ดีขึ้น...
เสียดายที่ที่พี่อยู่ตอนนี้ไม่มีน้ำมะพร้าว เมื่อก่อนเคยทำกับพี่สาวค่ะ...
แต่ว่าทำทุกวันไม่ได้ นอกจากวันที่มีการปีนต้นมะพร้าวของลิง
และของคนเท่านั้นค่ะ...;D

ท่านใดมีข้อมูลเสริมเกี่ยวกับน้ำมะพร้าว นำเสนอแลกเปลี่ยนกันนะคะ


วัสลามุอะลัยกุมค่ะ


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 22, 2009, 01:07 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

 

GoogleTagged