ผู้เขียน หัวข้อ: "อดทนและยำเกรง" เรื่องเล่าจากท่านอิหม่ามอิบนุ ญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์ ปราชญ์ยุคสะลัฟ  (อ่าน 862 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด

"อดทนและยำเกรง" เรื่องเล่าจากท่านอิหม่ามอิบนุ ญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์ ปราชญ์ยุคสะลัฟ โดย อ.อารีฟีน แสงวิมาน


เรื่องเล่าที่ท่านอิหม่ามญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์ ปราชญ์ยุคสะลัฟ ได้ประสบด้วยกับตัวท่านเอง

ท่านอิบนุญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์ ได้เล่าว่า :

ตอนที่ฉันได้อยู่ในมักกะฮ์ช่วงฤดูฮัจญ์ ฉันได้เห็นชายคนหนึ่งที่มาจากเมืองคุรอซาน ได้ป่าวประกาศและพูดว่า

“โอ้ผู้ร่วมทำฮัจญฺทั้งหลาย โอ้ชาวมักกะฮ์ทั้งที่อยู่ในเมืองและชานเมือง ถุงเงินของฉันได้หายไป ซึ่งในถุงนั้นมี 1000 เหรียญทอง ดังนั้นผู้ใดที่นำมาคืนให้แก่ฉัน ก็ขอให้อัลลอฮฺทรงตอบแทนความดีงามและปลดปล่อยเขาให้พ้นจากไฟนรก และเขาก็จะได้รับการตอบแทนผลบุญในวันพิพากษา”

มีชายชราคนหนึ่งจากชาวมักกะฮ์ได้ยืนขึ้น แล้วพูดว่า “โอ้ชาวคุรอซานเอ๊ย บ้านเมืองของเราตอนนี้มีสภาพที่ข้าวยากหมากแพง วันที่ทำฮัจญฺก็มีไม่กี่วัน ช่วงฤดูกาลทำฮัจญฺก็จำกัด และช่องทางในการแสวงหาริสกีก็ถูกปิดกั้น ดังนั้นทรัพย์สินที่หล่นหายไปนี้ อาจจะตกไปอยู่ในมือของผู้ศรัทธาที่เป็นคนยากจนและเป็นชายชราภาพที่เขามีความปรารถนาในคำมั่นสัญญาของท่านที่ว่า หากเขานำทรัพย์สินที่หล่นหายคืนแก่ท่าน ท่านก็มอบสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ หรือทรัพย์สินที่หะล้าลให้แก่เขาบ้าง

ชาวคุรอซาน จึงกล่าวว่า “สินน้ำใจนั้นคืออะไรและเขาจะต้องการเท่าไหร่?”

ชายชราตอบว่า “ต้องการ 100 เหรียญทอง”

แต่ชาวคุรอซานไม่พอใจและกล่าวว่า “ฉันไม่ตกลง แต่ฉันขอมอบหมายเรื่องของเขาไปยังอัลลอฮฺ และฉันจะร้องเรียนกับพระองค์เกี่ยวเรื่องของเขาในวันที่เราจะได้พบกัน เพราะพระองค์ทรงเพียงพอแก่เราแล้วและพระองค์ทรงเป็นผู้ถูกมอบหมายที่ดีที่สุด”

ท่านอิบนุญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์ จึงกล่าวว่า “ความคิดได้ผุดขึ้นมาในหัวใจฉันทันทีว่า ชายชราคนนี้เป็นคนยากจน ที่ได้พบทรัพย์ที่ล่นหายไป และเขาก็ต้องมีความปรารถนาจะได้สินน้ำใจเล็กน้อยนั้น ฉันจึงตามเขาไปจนถึงบ้านของเขา

เรื่องราวก็เป็นดังที่ฉันได้คิดไว้ ก็คือ ชายชราได้เรียกภรรยาของเขาและกล่าวว่า ลุบาบะฮ์เอ๊ย

“คะ โอ้ อะบูฆ็อยยาษ” ภรรยาขานตอบ

ชายชรากล่าวว่า ฉันได้พบกับเจ้าของทรัพย์(หนึ่งพันเรียญทอง)ที่ได้ทำการป่าวประกาศแล้ว แต่เขาไม่ให้สินน้ำใจกับผู้ที่พบทรัพย์นั้นเลย

ฉันพูดกับเขาว่า ท่านจงให้เรา 100 เหรียญทองเถิด แต่เขาปฏิเสธและมอบหมายเรื่องนี้ไปยังอัลลอฮฺ

เธอจะทำอย่างไรดีล่ะ ลุบาบะฮ์เอ๊ย...

หรือว่าจำเป็นแก่ฉันต้องคืนทรัพย์นั้นให้แก่เขา เพราะฉันกลัวพระเจ้าของฉัน และฉันกลัวว่าบาปของฉันจะทบเท่าทวีคูณ

ภรรยาจึงกล่าวว่า “โอ้ ท่านเอ๋ย พวกเราต้องทุกข์ทนกับความยากจนพร้อมกับท่านเป็นระยะเวลา 50 ปีมาแล้วนะ ท่านมีบุตรสาว 4 คน มีน้องสาว 2 คน มีฉัน มีมารดา และมีท่านเป็นคนที่เก้า เราไม่มีแกะและไม่มีสัตว์เลี้ยงเลย ดังนั้นท่านจงเอาทรัพย์สินนั้นทั้งหมดเถิด พวกเราจะได้อิ่มท้องเพราะพวกเราหิว เราต้องการเสื้อผ้าสวมใส่ ซึ่งท่านก็เข้าใจถึงสภาพของพวกเราดี เพื่อว่าอัลลอฮฺจะให้ท่านมีความร่ำรวยหลังจากนี้ และท่านก็ค่อยเอาทรัพย์สินนี้คืนเจ้าของไปหลังจากที่ท่านได้ให้อาหารแก่ครอบครัวแล้ว หรือจะให้เจ้าของทรัพย์ไกล่เกลี่ยหนี้สินติดค้างของท่านนี้ในวันที่กรรมสิทธิ์ครอบครอบเป็นของอัลลอฮฺเท่านั้น

อะบูฆ็อยยาษ ผู้เป็นสามีที่ชราภาพแล้ว ได้กล่าวว่า “จะให้ฉันต้องมาบริโภคสิ่งที่หะรอมหลังจากที่ฉันอายุ 86 ปีแล้วกระนั้นหรือ? การบริโภคสิ่งที่หะรอมนี้มันจะมาเผาผลาญตับไตไส้พุงของฉันด้วยไฟนรกหลังจากที่ฉันได้อดทนกับความยากจนมาตั้งนานแล้วก่อนหน้านี้ ฉันต้องได้รับความพิโรธจากผู้ทรงยิ่งใหญ่เป็นแน่ และฉันก็ใกล้จะเข้ากุบูรแล้ว ดังนั้น จึงไม่ทำแน่นอน ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันจะไม่ทำแบบนั้น”

ท่านอิบนุญะรีรกล่าวว่า “ฉันจึงกลับไป แต่ฉันก็รู้สึกแปลกใจเรื่องของสามีภรรยาคู่นั้น” เมื่อถึงยามเช้าของวันพรุ่งนี้ ฉันได้ยินเจ้าของทรัพย์ได้ป่าวประกาศอีก...

“โอ้ผู้ร่วมทำฮัจญฺทั้งหลาย โอ้ชาวมักกะฮ์ทั้งที่อยู่ในเมืองและชานเมือง ถุงเงินของฉันได้หายไป ซึ่งในถุงนั้นมี 1000 เหรียญทอง ดังนั้นผู้ใดที่นำมาคืนให้แก่ฉัน แน่นอนการตอบแทนความดีงามแก่เขาอยู่ ณ ที่อัลลอฮฺ”

แล้วชายชรา ก็ยืนขึ้นอีก และกล่าวว่า “โอ้ ชายคุรอซานเอ๊ย เมื่อวานฉันได้บอกและแนะนำท่านแล้วว่า บ้านเมืองของเราตอนนี้ สิ่งเพาะปลูกน้อย น้ำนมสัตว์เลี้ยงก็น้อย ดังนั้นท่านจงใจบุญแก่ผู้ที่พบทรัพย์สินของท่านเถิดด้วยการให้สินน้ำใจเพื่อจะได้ไม่ขัดกับหลักการของศาสนา

ฉันได้แนะนำให้ท่านมอบสินน้ำใจแก่เขา 100 เหรียญทอง แต่ท่านปฏิเสธ ดังนั้นหากหากทรัพย์ของท่านตกอยู่ในอยู่มือของผู้ที่มีความเกรงกลัวอัลลอฮฺ ท่านจะมอบสินน้ำใจแก่พวกเขาสัก 10 เหรียญทองแทนจาก 100 เหรียญทองไหม? ซึ่งพวกเขานั้นจะเก็บรักษาไว้อย่างดีและมีความรับผิดชอบต่อทรัพย์สิน(10 เหรียญทอง)นั้น

ชาวเมืองคุรอซานตอบว่า “ฉันไม่ตกลง ทรัพย์สินของฉันนั้น ฉันจะนำไปคิดบัญชีกัน ณ ที่อัลลอฮฺ ฉันจะร้องเรียนต่อพระองค์ในวันที่เราได้พบกัน เพราะพระองค์ทรงเพียงพอแก่เราแล้วและพระองค์ทรงเป็นผู้ถูกมอบหมายที่ดีที่สุด”

ท่านอิบนุญะรีรกล่าวว่า “ผู้คนทั้งหลายต่างกันแยกย้ายกันไป เมื่อถึงยามเช้าพรุ่งนี้ ชาวคุรอซานก็ทำการป่าวประกาศเช่นเดิม”

“โอ้ผู้ร่วมทำฮัจญฺทั้งหลาย โอ้ชาวมักกะฮ์ทั้งที่อยู่ในเมืองและชานเมือง ถุงเงินของฉันได้หายไป ซึ่งในถุงนั้นมี 1000 เหรียญทอง ดังนั้นผู้ใดที่นำมาคืนให้แก่ฉัน แน่นอนการตอบแทนความดีงามแก่เขาอยู่ ณ ที่อัลลอฮฺ”

ชายชราลุกขึ้นยืน และกล่าวว่า “โอ้ ชาวคุรอซานเอ๊ย เมื่อวานฉันได้บอกท่านแล้ว จงมอบสินน้ำใจ 100 เหรียญทองแก่ผู้ที่พบ แต่ท่านปฏิเสธ หลังนั้นขอให้มอบสินน้ำใจ 10 เหรียญทอง ท่านก็ปฏิเสธอีก ดังนั้นหากท่านจะมอบสินน้ำใจเพียงแค่ 1 เหรียญทองเท่านั้นจะได้ไหม?”

เพื่อครึ่งหนึ่งของเหรียญทองเขาจะได้นำมาไปซื้อสิ่งจำเป็นที่เขาต้องการให้แก่คนชราและเด็กๆ และอีกครึ่งหนึ่ง เขาจะนำไปซื้อแกะเพื่อรีดนมเพื่อให้ผู้คนทั้งหลายได้ดื่มและทำเป็นอาชีพหารายได้ อีกทั้งจะนำไปให้ทำอาหารแก่ลูกๆ ได้รับประทาน และเขาทำเพื่ออัลลอฮฺ

ชาวคุรอซาน กล่าวว่า “ฉันไม่ตกลง ฉันจะโอนเรื่องนี้ไปให้อัลลอฮฺทรงจัดการ ฉันจะร้องเรียนต่อพระองค์ในวันที่เราได้พบกันเพราะพระองค์ทรงเพียงพอแก่เราแล้วและพระองค์ทรงเป็นผู้ถูกมอบหมายที่ดีที่สุด”

ชายชราจึงดึงเขาเข้ามาแล้วกล่าวว่า “โอ้ท่านคนนี้ จงเข้ามาหาฉันซิ ฉันจะคืนทรัพย์สิน1000 เหรียญทองนี้แก่ท่านและท่านจงปล่อยให้ฉันได้นอนหลับให้สบายในคืนนี้เถิด เพราะฉันไม่เคยมีความสุขเลยตั้งแต่ได้พบเจอทรัพย์สินนี้”

ท่านอิบนุญะรีร เล่าต่อไปว่า “แล้วชายชราก็นำเจ้าของทรัพย์เดินไปพร้อมกัน ฉันก็ติดตามทั้งสองไปจนกระทั่งเจ้าของทรัพย์ได้เข้าไปในบ้านของชายชรา ดังนั้นชายชราก็ทำการขุดดินและนำมาทรัพย์สินออกมา และกล่าวว่า ท่านจงเอาทรัพย์ของท่านไปซิ และจงวอนขอต่ออัลลอฮฺให้พระองค์ทรงอภัยแก่ฉันและจงขอให้พระองค์ทรงประทานริสกีแห่งความโปรดปรานของพระองค์ให้แก่ฉันด้วย”

ชายคุรอซานจึงหยิบเอาทรัพย์ไปและต้องการจะออกไปจากบ้านของชายชรา ขณะที่เดินออกไปถึงประตูบ้าน ชายคนนั้นก็พูดขึ้นว่า "โอ้ท่านผู้อาวุโส บิดาของฉันเสียชีวิต ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน และบิดาได้ทิ้งมรดกให้แก่ฉันถึง 3000 เหรียญทอง และท่านได้สั่งเสียแก่ฉันว่า เจ้าจงนำเศษหนึ่งส่วนสามออกไปแจกจ่ายแก่ผู้คนที่มีสิทธิ์สมควรได้รับมากที่สุดตามทัศนะของเจ้าเถิด ฉันจึงนำ 1000 เหรียญทองผูกไว้ในถุงนี้เพื่อจะนำไปแจกจ่ายกับผู้ที่มีสิทธิ์ควรได้รับ ดังนั้นฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ตั้งแต่ฉันออกเดินทางจากเมืองคุรอซานจนถึงที่นี่(คือมักกะฮ์) ฉันยังไม่เคยเห็นชายใดที่สมควรจะได้รับเลยนอกจากท่านเท่านั้น ฉะนั้นท่านจงรับทรัพย์นี้ไปเถิด ขออัลลอฮฺทรงประทานจำเริญแก่ท่านในทรัพย์นี้ และขออัลลอฮฺทรงตอบแทนความดีงามของท่านเนื่องจากความซื่อสัตย์และความอดทนต่อความยากจนของท่านนี้” หลังจากนั้นชาวคุรอซานก็ได้จากไปโดยมอบทรัพย์สินนี้ให้กับชายชรา

ชายชราจึงยืนขึ้น แล้วร้องไห้และวิงวอนต่ออัลลอฮฺว่า ขออัลลอฮฺทรงเมตตาแก่เจ้าของทรัพย์สินที่อยู่ในกุบูรของเขาด้วยเถิดและขอพระองค์ทรงประทานความจำเริญแก่บุตรของเขาด้วย

ท่านอิบนุญะรีร เล่าต่อไปว่า ฉันจึงเดินตามหลังชาวคุรอซานไป แต่ชายชราได้เดินตามหลังฉันมาติดๆ แล้วเขาก็เชิญให้ฉันเดินกลับไปที่บ้านของเขา

ชายชรา (คืออะบูฆ้อยยาษ) จึงกล่าวแก่ฉันว่า ท่านจงนั่งซิ เพราะฉันเห็นท่านติดตามฉันมาตั้งแต่วันแรกและก็รู้ถึงเรื่องราวของเราในเมื่อวานที่ผ่านมาจนถึงวันนี้

(ชายชราได้กล่าวแก่ฉันว่า) ฉันได้ยินอะห์มัด บิน ยูนุส อัลยัรบูอีย์ กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านมาลิก กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านนาฟิอฺ กล่าวว่า จากท่านอับดุลลอฮ์ บุตร อุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า “ท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวแก่ท่านอุมัรและท่านอะลีย์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา ว่า เมื่ออัลลอฮฺทรงนำของฝาก(ฮะดียะฮ์)มาให้แก่ท่านทั้งสองโดยท่านทั้งสองมิได้ขอและมิได้มีจิตใจอยากจะได้ ดังนั้นท่านทั้งสองก็จงรับของกำนัลนั้นเถิด อย่าได้ปฏิเสธ เพราะเท่ากับว่าท่านทั้งสองได้ปฏิเสธ(นิอฺมัต)อัลลอฮฺเกี่ยวกับของกำนัลนั้น เนื่องของกำนัลนั้นมาจากอัลลอฮฺและของกำนัลนั้นสำหรับผู้ที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า”

หลังจากนั้นชายชราจึงกล่าวว่า โอ้ ลุบาบะฮ์เอ๊ย และเขาก็เรียกบรรดาลูกสาว(4 คน) เรียกน้องสาวสองคน เรียกภรรยา และแม่ของเขา แล้วชายชราก็นั่นลงและเชิญให้ฉันนั่ง ปรากฏว่าเรามีกัน 10 คน

แล้วชายชราก็ทำการเปิดถุง และกล่าวว่า พวกท่านจงขยายตักของพวกท่านซิ แล้วฉันก็ขยายตักของฉัน แต่พวกนางไม่มีเสื้อที่จะมาปูบนตัก(เพื่อใส่เหรียญทอง)เลย แต่พวกนางจะยื่นมือมารับ ชายชราทำการนับเงิน และแจกให้คนละ 100 เหรียญทอง จึงเหลืออีก 100 เหรียญทอง ชายชราจึงมอบเป็นของกำนัลให้แก่ฉัน

ท่านอิบนุญะรีร กล่าวว่า “หัวใจฉันรู้สึกดีใจจากการที่พวกเขาร่ำรวยมากกว่าการดีใจที่ฉันได้ 100 เหรียญทอง”

เมื่อฉันต้องการจะออกจากบ้านของชายชรานั้น เขาก็กล่าวกับฉันว่า “โอ้พ่อหนุ่มอ๊ย ท่านเป็นผู้มีความจำเริญ(บะร่อกัต) และท่านไม่เห็นอยากจะได้และไม่ได้หวังจะได้ในทรัพย์สินนี้เลย แต่ฉันอยากแนะนำท่านว่า ทรัพย์สินนี้หะล้าล ท่านจงเก็บมันเอาไว้เถิด”

และท่านจงรู้ไว้เถิดว่า ฉันได้ทำการละหมาดซุบห์ด้วยเสื้อผ้าที่เก่าที่ฉันได้สวมใส่อยู่นี้ และฉันก็ทำการถอดมันให้เพื่อลูกสาวของฉันนำไปใส่ละหมาดซุบห์ทีละคนทีละคน

หลังจากนั้นฉันก็ออกไปทำงานจนถึงช่วงเวลาระหว่างซุบห์กับอัสริ แล้วฉันก็กลับมายังครอบครัวพร้อมกับสิ่งที่อัลลอฮฺทรงประทานมาให้จากอินทผาลัมและเศษขนมปังแห้ง หลังจากนั้นฉันก็ถอดเสื้อของฉันเพื่อให้บรรดาลูกสาวของฉันทำการละหมาดซุฮ์ริและอัสริ และในช่วงเวลามัฆริบกับอีชาอฺ ก็ทำเฉกเช่นเดียวกันนี้

และเราก็ไม่ได้อยากปรารถนาในเหรียญทองเหล่านี้เลย แต่ขออัลลอฮฺทรงให้พวกนางได้รับประโยชน์กับสิ่งที่พวกเขาได้รับเอา(เหรียญทองเหล่านั้ัน)มา และขอต่ออัลลอฮฺให้พระองค์ทรงประทานประโยชน์แก่ฉันและแก่ท่านเกี่ยวกับสิ่งที่เราได้รับมา และขออัลลอฮฺทรงเมตตาเจ้าของทรัพย์ที่อยู่ในกุบูร และขออัลลอฮฺทรงเพิ่มพูนผลบุญแก่บุตรของเขาและทรงตอบรับเขาด้วยเถิด

ท่านอิบนุญะรีร อัฏเฏาะบะรีย์ กล่าวต่อไปว่า “แล้วฉันก็กล่าวอำลาเขา พร้อมกับเอา 100 เหรียญทองไป ซึ่งเงิน 100 เหรียญทองนี้ ฉันนำไปใช้เกี่ยวกับการเขียนประพันธ์ทางด้านวิชาการได้ถึง 2 ปี ฉันนำมาใช้ยังชีพ นำมาซื้อกระดาษ นำไปใช้เกี่ยวกับการเดินทางและเป็นค่าจ้าง

16 ปีให้หลัง ฉันจึงเดินทางไปที่มักกะฮ์อีกครั้ง และฉันก็ได้ถามไถ่ถึงชายชราอาวุโสผู้นั้น คำตอบที่ได้ก็คือ ชายชราได้เสียชีวิตไปแล้วไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ภรรยาของเขา มารดาของเขา และน้องสาวอีกสองคนนั้น ก็เสียชีวิตกันหมดแล้วเช่นกัน

แต่คงเหลือบรรดาลูกสาวของชายชรา ฉันจึงถามไถ่เกี่ยวกับพวกนาง ฉันจึงทราบว่าพวกนางได้แต่งงานกับบรรดากษัตริย์และเจ้าเมือง ดังกล่าวก็เพราะว่า เรื่องราวความมีคุณธรรมของบิดาพวกนางได้ขจรไปทั่วทุกสารทิศ

ฉันจึงขอพักกับบรรดาสามีของพวกนาง และทำการเล่าเรื่องราวของบิดาของพวกนางให้พวกเขาได้ฟัง ดังนั้นพวกเขาได้ให้เกียรติฉันอย่างมากและเสมอมาจนกระทั่งอัลลอฮฺทรงให้พวกนางจากโลกดุนยานี้ไป”

กระผมขอจบเรื่องดังกล่าวด้วยคำตรัสของอัลลอฮฺตะอาลา ที่ว่า

ذَلِكُمْ يُوعَظُ بِهِ مَنْ كَانَ يُؤْمِنُ بِاللَّهِ وَالْيَوْمِ الْآخِرِ وَمَنْ يَتَّقِ اللَّهَ يَجْعَلْ لَهُ مَخْرَجًا وَيَرْزُقْهُ مِنْ حَيْثُ لَا يَحْتَسِبُ وَمَنْ يَتَوَكَّلْ عَلَى اللَّهِ فَهُوَ حَسْبُهُ

“ดังกล่าวนั้น ถูกเป็นสิ่งเตือนใจแก่ผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันสุดท้าย และผู้ใดที่ตักวาต่ออัลลอฮฺ พระองค์จะประทานทางออกให้แก่เขาและพระองค์จะทรงประทานริสกีแก่เขาโดยเขาไม่สามารถคณานับได้ และผู้ใดที่มอบหมายต่ออัลลอฮฺ พระองค์ก็ทรงเพียงพอสำหรับเขาแล้ว” [อัฏเฏาะล๊าก: 2-3]

บทเรียนสอนใจจากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ คือ

1. ครอบครัวของชายชราที่ชื่อ อะบูฆิยาษนั้นมีความยากจนอย่างมาก แต่พวกเขามีความอดทน ซึ่งอัลลอฮฺจะไม่ทำให้การตอบแทนความอดทนของพวกเขาสูญเปล่า

2. แม้ลุบาบะฮ์ผู้เป็นภรรยามีความเป็นห่วงลูกๆ และสมาชิกในครอบครัว จึงคิดที่เขาเอาเงินเหรียญทองไปใช้ แต่อะบูฆิยาษมีความเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺอย่างสูง ไม่ยอมบริโภคสิ่งที่หะรอม เนื่องจากมันจะเป็นไฟไปเผาผลาญเนื้อหนังและตัวของพวกเขาที่งอกและเจริญเติบมากับอาหารที่หะรอมเนื่องจากเอาเงินของผู้อื่นไปซื้ออาหาร ซึ่งความเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺนี้ ทำให้ภรรยาก็มีความอดทนและเกรงกลัวไปด้วย

3. ความอดทนและความเกรงกลัวของพวกเขาที่มีต่ออัลลอฮฺนั้น พระองค์จึงประทานทางออกให้โดยที่อัลลอฮฺได้ทรงให้พวกเขามีริสกีที่คาดไม่ถึงมาก่อนหน้า

4. อะบูฆิยาษมิได้มีความยากปรารถนาในเงิน 100 เหรียญทองเพราะตัวเองแต่เพราะเป็นห่วงครอบครัว อะบูฆิยาษคิดว่าเงิน 100 เหรียญทองนั้น อัลลอฮฺทรงประทานให้ เพราะเป็นของกำนัล(ฮะดียะฮ์)ที่เขาไม่ได้ยากได้มาแต่ต้น ดังนั้นสิ่งที่ถูกฮะดียะฮ์ให้โดยที่เรามิได้ขอและยากได้ ย่อมจากอัลลอฮฺที่พระองค์ได้ส่งผ่านมาทางมือของคนอื่น ดังนั้นเราอย่าปฏิเสธของฮะดียะฮ์ที่คนอื่นมอบให้ เพราะเท่ากับได้ปฏิเสธสิ่งนิอฺมัตที่มาจากอัลลอฮฺ ด้วยเหตุนี้ ท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงรับสิ่งที่เป็นฮะดียะฮ์ไม่รับสิ่งที่เป็นศ่อดะเกาะฮ์

5. ทำให้เรารู้ถึงนิอฺมัตอันยิ่งใหญ่ที่อัลลอฮฺตะอาลาได้มอบให้แก่เรา เนื่องจากครอบครัวของอะบูฆิยาษนั้น มีความยากจนอย่างมากแต่พวกเขาไม่ละทิ้งการฏออัตต่ออัลลอฮฺตะอาลา เนื่องจากเสื้อที่พวกเขาจะนำมาสวมใส่ก็ยังไม่ค่อยมี บรรดาลูกสาวจะละหมาดทั้งทีต้องใช้เสื้อผ้าของผู้เป็นบิดามาผลัดเปลี่ยนกันละหมาดจนครบทุกคนและทุกเวลา ส่วนเรานั้น อัลฮัมดุลิลลาฮ์ ไม่ได้ยากจน มีเสื้อผ้าสวมใส่ มีความสะดวกในทุกด้าน ก็ต้องพยายามอะมัลอิบาดะฮ์กันให้ครบถ้วน อินชาอัลลอฮฺ

6. ความมีคุณธรรมของบิดามารดา และบรรดาลูกสาวที่เป็นนักทำอิบาดะฮ์ ทำให้ผู้คนทั้งหลายโดยเฉพาะผู้อยู่ในตำแหน่งระดับสูงต่างให้เกียรติและปรารถนาที่จะได้บรรดาลูกสาวมาเป็นคู่ครอง

ที่มา : https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=2052973354805398&id=100002782610160
// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //