ผู้เขียน หัวข้อ: บทบาทของมุสลิมต่อวงการเวชสำอางค์  (อ่าน 2231 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด

 salam

บทบาทของมุสลิมต่อวงการเวชสำอางค์
Muslim Contribution to Cosmetics


เมืองกอร์โดบา อาณาจักรมุสลิมสเปน อัล-อันดาลุส
เมืองที่ได้ผลิตยอดศัลยแพทย์ของโลกยุคกลาง อัล-ซาฮ์ราวี
(Al-Zahrawi ค.ศ.936-1013) หรือที่โลกตะวันตกรู้จักในนาม อัลบูคาซิส (Albucasis)


อัล-ซาฮ์ราวีได้เขียนตำราแพทย์เล่มสำคัญของโลกยุคกลางเอนไซโกลปิเดีย
ด้านการแพทย์ที่ชื่อ อัล-ตัสรีฟ (Al-Tasreef) ซึ่งมีเนื้อหาทั้งหมด 30 หมวด

ต่อมาหนังสือเล่มนี้ถูกแปลเป็นภาษาละตินและใช้เป็นตำราแพทย์ในคณะแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 12-17
ตำราแพทย์เล่มนี้มีอิทธิพลอย่างสูงต่อผู้แต่งตำราทั้งโลกตะวันออกและยุโรป

ในหมวดที่ 19 ของอัล-ตัสรีฟ มีบทหนึ่งที่อัล-ซาฮ์ราวีได้อุทิศให้กับเรื่องราว
ของเครื่องสำอางค์และเครื่องประทินร่างกาย ถือเป็นตำราชิ้นแรกของโลกมุสลิม
ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้

บทบาทของอัล-ซาฮ์ราวีต่อผลิตภัณฑ์เวชสำอาง (medicated cosmetics)
มีทั้งยาระงับกลิ่นกายและโลชั่นทามือ

เขาได้เขียนอธิบายวิธีย้อมสีผมจากสีทองให้เป็นสีดำ
(แปลกไหม? แสดงว่าเมื่อ 1,000 ปีก่อนคนสมัยนั้นนิยมเปลี่ยนสีผมจากสีทอง
ให้เป็นสีดำ แต่ในสมัยปัจจุบันโลกกลับตาลปัตร เพราะฝรั่งเจริญกว่า
คนเอเชียจึงฮิตย้อมผมสีดำให้เป็นสีทอง ผู้แปล)

นอกจากนี้ยังระบุวิธีการดูแลเส้นผม และบอกแม้กระทั่งวิธียืดผมหยิกให้ตรง
เขายังอธิบายถึงข้อดีของการใช้โลชั่นกันแดด และบอกส่วนผสมของโลชั่นกันแดด
อย่างละเอียด

ส่วนผู้ที่มีปัญหากลิ่นปากเนื่องจากรับประทานหอมใหญ่และกระเทียม
อัล-ซาฮ์ราวีแนะนำให้ใช้ซินนามอน, ลูกจันทร์เทศ, กระวาน เอามาเคี้ยวกับผักชี
อีกวิธีหนึ่งที่อัล-ซาฮ์ราวีระบุว่าเป็นวิธีดับกลิ่นปากคือรับประทานชีสทอด
ในน้ำมันมะกอกกับผงกานพลู


นอกจากนี้ในอัล-ตัสรีฟ อัล-ซาฮ์ราวีได้บอกวิธีการทำให้หมากฝรั่งมีประสิทธิภาพดีขึ้น
และทำความสะอาดฟันให้ขาวขึ้น

เขาจัดให้เครื่องสำอางค์เป็นการแพทย์สาขาหนึ่ง (เรียกว่า อัดวียาต อัล-ซีนาฮ์ )
เขาระบุเรื่องน้ำหอม สมุนไพรกลิ่นหอม และธูปหอม มีทั้งก้านไม้หอมบด
และอัดลงในแม่พิมพ์ ซึ่งบางทีนี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่พัฒนามาเป็นลิปสติก
และก้อนระงับกลิ่นกายของเราในทุกวันนี้ เขายังใช้สารมันที่เรียกว่า อัดฮัน
เพื่อเป็นยาบำบัดโรคและเพื่อความสวยงาม


มีฮะดิษของท่านศาสนทูตมากมายที่กล่าวถึงความสะอาด, การแต่งกาย,
การดูแลเส้นผมและร่างกาย

จากพื้นฐานในเรื่องนี้ทำให้อัล-ซาฮ์ราวีได้อธิบายถึงการดูแลรักษา
และเพิ่มความสวยงามให้เส้นผม ผิวพรรณ ฟัน และส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
ซึ่งทั้งหมดนี้ยังคงอยู่ในขอบเขตของอิสลาม


ในด้านยาและสารที่ใช้ในการบำบัดโรค เขาแนะนำให้ใช้ กาวาลี และ ลาเฟย์ฟี
ในการเยียวยาโรคลมบ้าหมู และใช้ มูธัลลาอาตัต ทำมาจากการบูร
กลิ่นชะมด และน้ำผึ้ง เพื่อบรรเทาอาหารหวัด
ซึ่งก็คล้ายๆ กับ วิคส์วาโปรับ ของยุคปัจจุบัน


ส่วนสเปรย์ฉีดจมูก น้ำยาบ้วนปาก และครีมทามือ ซึ่งถือเป็นเครื่องประทินร่างกาย
ของคนยุคศตวรรษที่ 20 นั้น ความจริงแล้วสิ่งเหล่านี้ใช้กันแพร่หลาย
ที่อัล-อันดาลุส อาณาจักรมุสลิมสเปน เมื่อ 1,000 ปีก่อน
ดังที่ระบุไว้ในหนังสือของอัล-ซาฮ์ราวี


อัล-ซาฮ์ราวียังได้แนะนำให้เก็บเสื้อผ้าไว้ในตู้ที่มีกลิ่นหอม
เพื่ออบให้เสื้อผ้ามีกลิ่นหอมสดชื่นสำหรับผู้สวมใส่ ส่วนในโลกปัจจุบัน
เราก็มีน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มเพื่อทำให้เสื้อผ้ามีกลิ่นหอม


ด้านประเพณีนำกระเช้าดอกไม้ไปเยี่ยมผู้ป่วยในโรงพยาบาลนั้น
ก็มิใช่ประเพณีนิยมสมัยใหม่ เพราะอัล-ซาฮ์ราวีก็ได้สนับสนุนให้ใช้กระเช้าดอกไม้
ในการเยี่ยมไข้มาตั้งแต่เมื่อ 1,000 ปีก่อน


นั่นคืออารยธรรมของชาวมุสลิมสเปน (อัล-อันดาลุส) ซึ่งยุคนั้นที่เมืองกอร์โดบา
มีมัสยิดถึง 600 แห่ง, สถานอาบน้ำสาธารณะ 300 แห่ง, โรงพยาบาล 50 แห่ง,
ห้องสมุดสาธารณะ 70 แห่ง, และถนนหนทางที่มีโคมไฟส่องสว่างทั้งคืน

ซึ่งต่างจากประเทศอื่นๆ ของยุโรปที่ทั้งมืดมิด สกปรก (ที่อาบน้ำสาธารณะมีน้อย
และคนไม่นิยมใช้) และปราศจากการศึกษา

มุสลิมปกครองสเปน 800 ปี (ค.ศ.711-1492) ได้สร้างสรรค์อารยธรรมอันยิ่งใหญ่
ดินแดนสเปนรุ่งเรืองทั้งด้านเศรษฐกิจ, กฎหมายและการปกครอง,
ก้าวหน้าที่สุดด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี,
เป็นอารยธรรมที่ยุโรปทั้งมวลต้องมองดูด้วยความอิจฉา


ปี 1887 Stanley Lane-Poole (ค.ศ.1854-1931)
ได้เขียนคำสดุดีชาวมุสลิมมัวร์ไว้ในหนังสือของเขา ชาวมัวร์แห่งสเปน
(The Story of the Moors in Spain ปี 1886) ความว่า:


เมื่อชาวมัวร์ถูกขับไล่ออกไปจากสเปน ดินแดนแห่งนี้ก็เปล่งแสงขึ้นมาพักหนึ่ง
แต่ก็คล้ายดวงจันทร์ที่ต้องยืมแสงจากผู้อื่น (สเปนอาศัยอารยธรรมของชาวมุสลิมมัวร์ เช่นเดียวกับดวงจันทร์ที่ต้องอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์)

จากนั้นสเปนก็ประสบกับภาวะตกต่ำ และในความมืดมิด
สเปนก็หมอบใต้เงาผู้อื่นนับแต่นั้นมา Stanley Lane Poole


ถนนสายหนึ่งในกอร์โดบา สเปน ได้ตั้งชื่อว่า Calle Albucasis
เพื่อรำลึกถึงอัล-ซาฮ์ราวี (อัลบูคาซิส)

บ้านเลขที่ 6 บนถนนสายนี้ก็ถูกอนุรักษ์ไว้โดยคณะกรรมการส่งเสริม
การท่องเที่ยวสเปน ด้านหน้าของบ้านมีแผ่นป้ายบรอนซ์จารึกไว้
เมื่อเดือนมกราคม 1977 ว่า: นี่คือนิวาสถานของอบุล-กอซิม (อัล-ซาฮ์ราวี)
(This was the house where lived Abul-Qasim).



ที่มา: Muslim Contribution to Cosmetics. Foundation for Science Technology and Civilization (FSTC Limited). 20 May 2003.
http://www.muslimheritage.com/topics/default.cfm?ArticleID=364

แปลโดย:ลานา ฮัมรีล

ปล.ประเด็นในหัวข้อนี้ คนโพสขอแยกออกจากกระทู้
ประวัตินักวิทยาศาสตร์มุสลิมออกมาเพื่อง่ายต่อการค้นคว้าน่ะค่ะ...
เพราะท่าน อัล-ซาฮ์ราวีนั้นเป็นนักวิทยาศาสตร์มุสลิม
ในแขนงวิชาแพทยศาสตร์คนสำคัญคนหนึ่งเลยล่ะค่ะ...

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^_____________^


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ เหรียญ 2 ด้าน

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 753
  • เพศ: ชาย
  • เรียบง่าย แต่ไร้เทียมทาน (จิงๆๆ)
  • Respect: +8
    • ดูรายละเอียด
    • กัมปงดูกู
Re: บทบาทของมุสลิมต่อวงการเวชสำอางค์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ต.ค. 01, 2009, 10:51 PM »
0
ขอบคุณครับ
ชื่อที่เคยใช้ในบอร์ดคือ ahmdduku, الدوكوي, เหรียญ 2 ด้าน

 

GoogleTagged