เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

ขอความกระจ่าง และสนทนา เรื่อง"กอฎอรและกอฎัร"

<< < (21/23) > >>

subson:
“โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์และจากลูกหลานของข้าพระองค์เป็นผู้ดำรงการละหมาด โอ้พระเจ้าของเรา ขอพระองค์ทรงตอบรับการวิงวอนของข้าพระองค์ด้วยเทอญ''14:40       

นี่เป็นอีกตัวอย่างของดูอาที่เป็นโองการอัลกุรอาน


''และพระเจ้าของพวกเจ้าตรัสว่า จงวิงวอนขอต่อข้า ข้าจะตอบรับแก่พวกเจ้า....'' 40:60

''และเมื่อบ่าวของข้าถามเจ้าถึงข้าแล้วก็ (จงตอบเถิดว่า) แท้จริงนั้นอยู่ใกล้ ข้าจะตอบรับคำวิงวอนของผู้ที่วิงวอน เมื่อเขาวิงวอนต่อข้าดังนั้น พวกเขาจงตอบรับข้าเถิด และศรัทธาต่อข้า เพื่อว่าพวกเขาจะได้อยู่ในทางที่ถูกต้อง''2:186

''และพระองค์ทรงตอบรับ (การวิงวอน) ของบรรดาผู้ศรัทธา และพวกเขากระทำความดีทั้งหลาย และพระองค์จะทรงเพิ่มพูนจากความโปรดปรานของพระองค์แก่พวกเขา'' 42:26


จากโองการต่างๆเหล่านี้  ทำให้เรารู้ว่าอัลลอฮจะทรงตอบรับคำดูอาของเรา  ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่าสามารถเปลี่ยนแปลงการกำหนดได้ด้วยดูอา

เพราะว่าชีวิตแต่ละคนนั้นถูกบันทึกไว้ตั้งแต่อยู่ในครร ไม่ว่าจะเป้นการงาน ริสกี และอื่นๆ  และเมื่อเราขอดูอาแล้วพระองค์ตอบรับ  แน่นอนว่า สิ่งที่ถูกบันทึกไว้ตอนอยู่ในครรถูกเปลี่ยนแปลงได้ แต่บันทึก ณ พระองค์นั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง  อันเนื่องจาก พระองค์ทรงรู้แต่เดิมว่า  เราจะขอดูอาอะไร ตอนหนัย แบบหนัย ฯลฯ และพระองค์ก็ทรงบันทึกตามความรอบรู้นั้น (รู้สึกว่าเรื่องนี้ การอธิบายของ อ. al-azhary ในเรื่องริสกีที่ผมถามนั้น เป็นคำตอบนัยๆอยู่ในคำถามนี้แล้ว)

อีกทั้งมีตัวอย่างให้เราเห็นในเรื่องการตอบรับคำดูอา ในโองการดังนี้

''และจงรำลึกถึงเรื่องราวของซันนูน  (นะบียูนุส) เมื่อเขาจากไปด้วยความโกรธพรรคพวกของเขา แล้วเขาคิดว่าเราจะไม่ทำให้เขาได้รับความลำบาก แล้วเขาก็ร้องเรียนท่ามกลางความมืดทึบทะมึนว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากกพระองค์ท่าน มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ท่าน แท้จริงข้าพระองค์เป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้อธรรมทั้งหลาย”  ''21:87

 ''ดังนั้นเราได้ตอบรับการร้องเรียนของเขาและเราได้ช่วยให้เขารอดพ้นจากความทุกข์ระทมและเช่นเดียวกันนี้ เราช่วยบรรดาผู้ศรัทธา ''21:88

''และจงรำลึกถึงเรื่องราวของซะกะรียาเมื่อเขาได้ร้องเรียนพระเจ้าของเขาว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ของพระองค์ทรงอย่าปล่อยให้ข้าพระองค์อยู่อย่างเดียวดาย และพระองค์ท่านเท่านั้นเป็นผู้สืบมรดกอันดียิ่ง”21:89

 ''ดังนั้นเราได้ตอบรับการร้องเรียนแก่เขา และเราได้ประทานบุตรแก่เขาคือยะฮฺยา และเราได้ปรับปรุงแก้ไขภริยาของเขาให้เป็นปกติแก่เขา แท้จริงพวกเขา แข่งขันกันในการทำความดีและพวกเขาวิงวอนเราด้วยความหวังในการลงโทษของเรา และพวกเขาเป็นผู้ถ่อมตัวเกรงกลัวต่อเรา'' 21:90

subson:
พรุ่งนี้ผมไม่อยู่ ไปค่ายที่พังงา รบกวนคุนGoddut นำเสนอต่อไปเลยครับ  ส่วนข้อ4 ที่เหลือนั้นผมไปไม่ถูกจิงๆ 

แต่ผมก็เห็นด้วยและเข้าใจในคำอธิบายที่คุนอธิบาย  ส่วนข้อ5นั้น ผมตอบได้แค่นี้ และขอสรุปอีกทีว่า

พระองค์ทรงรู้แต่เดิมว่าเราจะขอดูอา  และทรงบรรทึกตามความรอบรู้นั้น  ดูอาอาจจะถูกตอบรับ และอาจจะไม่ถูกตอบรับ  เมื่อถูกตอบรับ สิ่งที่ถุกกำหนด ในบันทึกของมลักตอนที่บันทึก ขณะที่เราอยู่ในครรนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ บันทึก ณ พระองค์ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ครับผม  

แล้วจะกลับมาอ่านย้อนหลังนะครับ

as-satuly:

          ความกระจ่างและความถูกต้องต่อความรู้และความเข้าใจ บนเส้นทางที่ถูกกำหนดและหนทางที่เที่ยงตรงสืบไป...วัลลออฮุอะอฺลัม - วัสสลามุอะลัยกุม

Goddut:
ช่วงนี้ ผมไม่มีเวลาเลยนะครับ ( เวลาว่าง )
เพื่อนผมแต่งงาน ต้องช่วยงานจัดเลี้ยง ซึ่งก็ต้องลำบากนิดหน่อย
หากพี่น้องท่านใด มีเรื่องประเด็นเสวนาเชิญ ก่อนเลยนะครับ
แล้วผมจะมาติดตามอ่านเป็นระยะๆ แต่คงยังไม่นำเสนออะไร

เนื่องจากเป็นเรื่องอะกีดะ คงต้องมีการทบทวน และเรียบเรียงถ้อยคำ เพื่อให้เข้าใจง่ายที่สุด เหมาะสมที่สุด จึงต้องใช้เวลามากกว่าการตอบกระทู้อื่นๆ
หวังว่าจะได้มีโอกาส มานำเสนออีก
อินชาอัลลอฮฺ
วัสลาม...

mjehoh:
 salam
คู่สนทนาหลักขอพักมีข้อมูลบางส่วนที่เก็บตกได้ ร่วมเสนอนะครับ

عَنْ أَبِيْ هُرَيْرَةَ رض  قَالَ: خَرَجَ عَلَيْنَا رَسُوْلُ اللهِ  ص  وَنَحْنُ نَتَنَازَعُ فِى الْقَدَرِ فَغَضِبَ حَتَّى أحْمَرَّ وَجْهُهُ حَتَّى كَأَنَّمَا فُقِئَ فِى وَجْنَتَيْهِ الرُّمَّانُ  فَقَالَ: أَبِهَذَاأُرْسِلْتُ إِلَيْكُمْ إِنَّمَاهَلَكَ مَنْ كَانَ قَبْلَكُمْ حِيْنَ تَنَازَعُوْا فِى هَذَاالأَمْرِ عَزَمْتُ عَلَيْكُمْ عَزَمْتُ عَلَيْكُمْ أَلاَّتَنَازَعُوْافِيْهِ    رَوَاهُ التِّرْمِذِي
เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์  (ร.ด.)  ได้กล่าวว่า  :  ท่านร่อซู้ล  ศ้อลฯ  ได้ออกมาหาพวกเราในขณะที่พวกเรากำลังโต้เถียงกันอยู่ในเรื่องกำหนดการของอัลเลาะห์ท่านนบีโกรธจนหน้าของท่านแดง  คล้ายกับมีผลทับทิมฝังอยู่ในแก้มทั้งสองของท่าน  ท่านได้กล่าวว่า  :  ด้วยสิ่งนีหรือที่พวกท่านถูกบัญชา  หรือด้วยสิ่งนี้หรือที่ฉันถูกส่งมายังพวกท่าน  ความจริงบุคคลที่อยู่ในยุคก่อนพวกท่านได้พินาศไปแล้วขณะที่โต้เถียงกันในเรื่องนี้  ฉันขอย้ำกับพวกท่าน  ขอย้ำกับพวกท่านว่า  พวกท่านต้องไม่โต้เถียงกันในเรื่องนี้  บันทึกหะดีษโดยท่านอิหม่ามติรมีซีย์  (จากหนังสือหะดีษซอเฮี๊ยะ โดยท่านอาจารย์ อรุณ  บุญชม)
การนำหะดีษข้างต้นขึ้นมากล่าวนำก็เพื่อให้การพูดคุยกันในเรื่องตามหัวข้อเป็นข้อมูลที่จะให้ความเข้าใจและเป็นกับมุสลิมทั่วไป  ส่วนข้อมูลเชิงลึกหากจะถกเถียงกันเพื่อผลประโยชน์อะไรก็แล้วแต่ก็เป็นความรับผิดชอบของแต่ละคนนะครับ
การเสนอข้อมูลต่อไปนี้ก็เพื่อมีส่วนเสนอความเข้าใจที่ได้รับผ่านเรียนรู้เท่าที่ตนเองพอจะมีความสามารถ  ซึ่งเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ผู้รู้ในอดีตของประเทศไทยได้ถ่ายทอดไว้ 
เราจะพบว่าเรื่องของหลักศรัทธา  “กอฏอ กอดัร”  เกิดกลุ่มที่เข้าใจในเรื่องดังกล่าวขึ้น อย่างน้อยสามกลุ่มคือ
1.   ก๊อดรียะห์
2.   ญับรียะห์
3.   อะห์ลิซซุนะห์ วัลญะมาอะห์

ดังนั้นคงเป็นเรื่องยากที่จะให้ความเข้าใจกับบุคคลที่มีพื้นฐานต่างกัน ในการนำไปสู่ความเข้าใจที่เหมือนกัน   โดยส่วนตัวแล้วเห็นด้วยกับบทสรุปของ  Goddut (ตอบกระทู้ที่ ๖๕)  ที่ยืนยันความคิดเห็นของ binti  และจากการอ้างของ binti (ตอบกระทู้ที่ ๕๙ เกี่ยวกับข้อความที่ว่า - เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องกอฏอกอดัร  ของใครแต่งไม่รู้จำไม่ได้แล้ว  แต่ท่านเปรียบเทียบให้เข้าใจเป็นพื้นฐานว่ากำหนดของอัลลอฮ์กับความสามารถของมนุษย์  เปรียบดั่ง  เราอยู่ในเรือที่แล่นอยู่กลางทะเล (เราไม่ใช่คนขับ) คือ อัลลอฮ์เป็นผุ้กำหนดว่าเรือนั้นจะแล่นไปทิศไหน ที่ใด  เราไม่สามารถรู้และกำหนดเองได้ แต่เรามีอิสระที่จะทำอะไรบนเรือนั้นก็ได้  แต่เราไม่สามารถออกนอกเรือนั้นได้   เพราะอัลลอฮ์กำหนดความสามารถมาให้เราจำกัดเฉพาะในเรือนั้น”   
ขอให้เครดิตกับผู้เรียบเรียงหน่อยนะ ผู้เรียบเรียงคือ อ.ผจญ แสงสว่าง  ผู้อำนวยการโรงเรียนอิสลามศรีอยุธยามูลนิธิ  หนังสือที่ท่านเรียบเรียงนี้ได้รับการตีพิมพ์หลายครั้ง  แต่ที่มีอยู่หนังสือชื่อ  กอฎอ-กอดัร  สภาวะที่ถูกกำหนด  เจตนารมณ์อิสระ  (มุซา แสงสว่าง เขียน)  พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ทางนำ  หน้า ๖  ไม่ปรากฏปีพิมพ์ (แนะนำสำหรับให้อ่านเพิ่มเติมครับ)

จากการนำเสนอที่อ่านมาทั้งหมดแล้วได้รับความรู้เป็นอย่างมากครับ  แต่ก็ไม่พ้นปัญหาที่ท่านศาสดา ศ้อล ฯ  ได้เตือนไว้แล้ว   โดยเฉพาะประเด็นการนำตัวบทมาเป็นหลักฐาน  ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิชาให้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก  และส่วนหนึ่งจากตัวบทที่นำมาทำความเข้าใจในเรื่องนี้หากไม่แยกมิติแห่งความเข้าเป็นสี่มิติดังต่อไปนี้ก็จะพบความขัดแย้งของโองการดังนี้
1.   มิติแห่งความเป็นจริง  (حُكْمُ حَقِيْقِيٌّ)   โองการตัวอย่างในมิตินี้    قُلْ كُلٌّ مِنْ عِنْدِ الله                   

ความสรุป ทุก  ๆ สิ่งนั้นอยู่ที่อัลลอฮ์  ศุบห์ ฯ
เป็นมิติที่ในหัวใจของผู้ศรัทธาจะต้องยอมรับ  ไม่ว่าอะไรมันจะเกิด มันจะไม่เกิด  มันจะดี มันจะร้าย  มันถูกกำหนดไว้แล้ว
2.   มิติแห่งมารยาท  (حُكْمُ أَدْبِيَّةُ)  โองการตัวอย่างในมิตินี้คือ
مَا أَصَابَكَ مِنْ حَسَنَةٍ فَمِنَ اللهِ وَمَا أَصَا بَكَ مِنْ سَيِّئَةٍ فَمِنْ نَفْسِكَ
ความโดยสรุป  อันความดีใด ๆ ที่ประสพแก่เจ้าแน่นอนมาจากอัลลอฮ์  ศุบห์ ฯ  และความชั่วใด  ๆ ที่ประสพกับเจ้าแน่นอนเป็นการมาจากตัวเจ้าเอง
โองการนี้จะขัดแย้งกับโองการในมิติแรกในความหมายตามตัวอักษร  แต่เนื่องจากเป็นโองการที่ต้องเข้าใจตามมิติแห่งมารยาท  อธิบายเพิ่มเติมคือ  โดยมิติแห่งความเป็นจริงเราต้องเชื่อว่า ดีชั่วมาจากอัลลอฮ์  แต่ด้วยมารยาทเราจะไม่พูดอย่างนั้น  เพราะผิดมารยาท   โองการข้างต้นจึงบอกให้เราเข้าใจว่า มารยาทที่มนุษย์จะใช้สื่อสารทำความเข้าใจนั้นต้องระมัดระวัง  มีประโยคธรรมดามากมายที่เราไม่สามารถพูดตามความเป็นจริงได้  เพราะผิดมารยาท เช่น  เราพูดว่า  “เราคลอดจากครรภ์มารดา”  เราไม่พูดว่าเราคลอดจาก...............มารดา  ซึ่งเป็นความจริงแต่ต้องไม่พูดเพราะผิดมารยาท
3.   มิติแห่งบทบัญญัติ  (حُكْمُ شَرْعِيَّةُ)  โองการตัวอย่างในมิตินี้คือ 
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّا يَرَهُ
ความสรุป  ผู้ใดปฏิบัติความดีแม้แต่เท่าผงธุลีเดียว เขาจะได้ประจักษ์  และผู้ใดปฏิบัติความชั่วเพียงเท่าผงธุลีเดียว เขาก็จะได้ประจักษ์
โองการในมิตินี้เพื่อยืนยันว่าความรับผิดชอบในความดีความชั่วเป็นหน้าที่ของมนุษย์  ที่ต้องเรียนรู้ตามข้อกำหนดที่ท่านศาสดาได้วางเป็นบทบัญญัติไว้  และมนุษย์จะได้รับผลตอบแทนตามที่บัญญัติไว้
4.   มิติแห่งปกติวิสัยตามปรากฏบนสภาพของมนุษย์  (حُكْم عَادِيَّةٌ)   โองการตัวอย่างในมิตินี้คือ
لاَيُكَلِّفُ اللهُ نَفْسًا إِلاَّ وُسْعَهَا
ความสรุป อัลลอฮ์จะไม่ให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเว้นแต่ตามสิ่งที่เขาอุตสาหะไว้


ครับทั้งหมดที่เสนอมานั้นเป็นสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดจากนักวิชาการประเทศไทยยุคอดีต  การแบ่งมิติดังกล่าวนำมาจากท่านอาจารย์  สมหวัง  มูเนาวเราะห์  อัลลอฮูยัรฮัม  โดยท่านอาจารย์สรุปว่า “การที่เรานำโองการใดมาพูดในเรื่องใดก็ให้พิจารณาเพื่อสื่อถึงเป้าหมายของโองการว่าเกี่ยวกับมิติใด  และจะเอี๊ยะก๊อดในมิติใด”
ไม่ผิดใช่ไหมครับที่ผมจะพูดว่า  “ที่ผมหายปวดหัวเพราะผมกินยาพาราเซ็ตตามอล”  โดยยึดไปตามมิติ แห่งปกติวิสัย (حُكْمُ عَادِيَّةُ)  แต่มันผิดแน่นอนหากผมยึดตามหลักแห่งความเป็นจริง (حُكْمُ حَقِيْقِيَّةٌ) และมันผิดด้วยหรือถ้าผมจะพูดว่าความชั่วมันมาจากผมเพราะผมถือว่ามันอยู่ในมิติแห่งมารยาท (حُكْمُ أَدْبِيَّةٌ)  โดยไม่ได้ปฏิเสธมิติแห่งความเป็นจริงว่า  ทุก ๆ  สิ่งมาจากอัลลอฮ์ ศุบห์   และที่สุดผมต้องรับผิดชอบความดีความชั่วในฐานะมนุษย์ที่มีสติปัญญาที่พบทางนำแห่งพระเจ้าและต้องปฎิบัติตามมิติแห่งบทบัญญัติ (حُكْمُ شَرْعِيَّةُ)  โดยรับผิดชอบตามบทบัญที่ได้กำหนดไว้  และท้ายสุดผมก็คงไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆทั้งสิ้น ถ้าสิ่งต่าง ๆที่มันเป็นไปทั้งหมด ไม่ได้อยู่วิสัยที่ผมจะเรียนรู้และปฏิบัติได้ ตามมิติแห่งปกติวิสัย  และหวังในสิ่งสุดท้ายคือการให้อภัย และความเมตตาจากพระองค์

อีกความเห็นหนึ่งที่ต้องการคำเสนอแนะเพื่อสู่สัจธรรมแห่งอิสลาม
วัสสลาม

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version