เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม
ขอความกระจ่าง และสนทนา เรื่อง"กอฎอรและกอฎัร"
subson:
โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์และจากลูกหลานของข้าพระองค์เป็นผู้ดำรงการละหมาด โอ้พระเจ้าของเรา ขอพระองค์ทรงตอบรับการวิงวอนของข้าพระองค์ด้วยเทอญ''14:40
นี่เป็นอีกตัวอย่างของดูอาที่เป็นโองการอัลกุรอาน
''และพระเจ้าของพวกเจ้าตรัสว่า จงวิงวอนขอต่อข้า ข้าจะตอบรับแก่พวกเจ้า....'' 40:60
''และเมื่อบ่าวของข้าถามเจ้าถึงข้าแล้วก็ (จงตอบเถิดว่า) แท้จริงนั้นอยู่ใกล้ ข้าจะตอบรับคำวิงวอนของผู้ที่วิงวอน เมื่อเขาวิงวอนต่อข้าดังนั้น พวกเขาจงตอบรับข้าเถิด และศรัทธาต่อข้า เพื่อว่าพวกเขาจะได้อยู่ในทางที่ถูกต้อง''2:186
''และพระองค์ทรงตอบรับ (การวิงวอน) ของบรรดาผู้ศรัทธา และพวกเขากระทำความดีทั้งหลาย และพระองค์จะทรงเพิ่มพูนจากความโปรดปรานของพระองค์แก่พวกเขา'' 42:26
จากโองการต่างๆเหล่านี้ ทำให้เรารู้ว่าอัลลอฮจะทรงตอบรับคำดูอาของเรา ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่าสามารถเปลี่ยนแปลงการกำหนดได้ด้วยดูอา
เพราะว่าชีวิตแต่ละคนนั้นถูกบันทึกไว้ตั้งแต่อยู่ในครร ไม่ว่าจะเป้นการงาน ริสกี และอื่นๆ และเมื่อเราขอดูอาแล้วพระองค์ตอบรับ แน่นอนว่า สิ่งที่ถูกบันทึกไว้ตอนอยู่ในครรถูกเปลี่ยนแปลงได้ แต่บันทึก ณ พระองค์นั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง อันเนื่องจาก พระองค์ทรงรู้แต่เดิมว่า เราจะขอดูอาอะไร ตอนหนัย แบบหนัย ฯลฯ และพระองค์ก็ทรงบันทึกตามความรอบรู้นั้น (รู้สึกว่าเรื่องนี้ การอธิบายของ อ. al-azhary ในเรื่องริสกีที่ผมถามนั้น เป็นคำตอบนัยๆอยู่ในคำถามนี้แล้ว)
อีกทั้งมีตัวอย่างให้เราเห็นในเรื่องการตอบรับคำดูอา ในโองการดังนี้
''และจงรำลึกถึงเรื่องราวของซันนูน (นะบียูนุส) เมื่อเขาจากไปด้วยความโกรธพรรคพวกของเขา แล้วเขาคิดว่าเราจะไม่ทำให้เขาได้รับความลำบาก แล้วเขาก็ร้องเรียนท่ามกลางความมืดทึบทะมึนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากกพระองค์ท่าน มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ท่าน แท้จริงข้าพระองค์เป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้อธรรมทั้งหลาย ''21:87
''ดังนั้นเราได้ตอบรับการร้องเรียนของเขาและเราได้ช่วยให้เขารอดพ้นจากความทุกข์ระทมและเช่นเดียวกันนี้ เราช่วยบรรดาผู้ศรัทธา ''21:88
''และจงรำลึกถึงเรื่องราวของซะกะรียาเมื่อเขาได้ร้องเรียนพระเจ้าของเขาว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ของพระองค์ทรงอย่าปล่อยให้ข้าพระองค์อยู่อย่างเดียวดาย และพระองค์ท่านเท่านั้นเป็นผู้สืบมรดกอันดียิ่ง21:89
''ดังนั้นเราได้ตอบรับการร้องเรียนแก่เขา และเราได้ประทานบุตรแก่เขาคือยะฮฺยา และเราได้ปรับปรุงแก้ไขภริยาของเขาให้เป็นปกติแก่เขา แท้จริงพวกเขา แข่งขันกันในการทำความดีและพวกเขาวิงวอนเราด้วยความหวังในการลงโทษของเรา และพวกเขาเป็นผู้ถ่อมตัวเกรงกลัวต่อเรา'' 21:90
subson:
พรุ่งนี้ผมไม่อยู่ ไปค่ายที่พังงา รบกวนคุนGoddut นำเสนอต่อไปเลยครับ ส่วนข้อ4 ที่เหลือนั้นผมไปไม่ถูกจิงๆ
แต่ผมก็เห็นด้วยและเข้าใจในคำอธิบายที่คุนอธิบาย ส่วนข้อ5นั้น ผมตอบได้แค่นี้ และขอสรุปอีกทีว่า
พระองค์ทรงรู้แต่เดิมว่าเราจะขอดูอา และทรงบรรทึกตามความรอบรู้นั้น ดูอาอาจจะถูกตอบรับ และอาจจะไม่ถูกตอบรับ เมื่อถูกตอบรับ สิ่งที่ถุกกำหนด ในบันทึกของมลักตอนที่บันทึก ขณะที่เราอยู่ในครรนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ บันทึก ณ พระองค์ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ครับผม
แล้วจะกลับมาอ่านย้อนหลังนะครับ
as-satuly:
ความกระจ่างและความถูกต้องต่อความรู้และความเข้าใจ บนเส้นทางที่ถูกกำหนดและหนทางที่เที่ยงตรงสืบไป...วัลลออฮุอะอฺลัม - วัสสลามุอะลัยกุม
Goddut:
ช่วงนี้ ผมไม่มีเวลาเลยนะครับ ( เวลาว่าง )
เพื่อนผมแต่งงาน ต้องช่วยงานจัดเลี้ยง ซึ่งก็ต้องลำบากนิดหน่อย
หากพี่น้องท่านใด มีเรื่องประเด็นเสวนาเชิญ ก่อนเลยนะครับ
แล้วผมจะมาติดตามอ่านเป็นระยะๆ แต่คงยังไม่นำเสนออะไร
เนื่องจากเป็นเรื่องอะกีดะ คงต้องมีการทบทวน และเรียบเรียงถ้อยคำ เพื่อให้เข้าใจง่ายที่สุด เหมาะสมที่สุด จึงต้องใช้เวลามากกว่าการตอบกระทู้อื่นๆ
หวังว่าจะได้มีโอกาส มานำเสนออีก
อินชาอัลลอฮฺ
วัสลาม...
mjehoh:
salam
คู่สนทนาหลักขอพักมีข้อมูลบางส่วนที่เก็บตกได้ ร่วมเสนอนะครับ
عَنْ أَبِيْ هُرَيْرَةَ رض قَالَ: خَرَجَ عَلَيْنَا رَسُوْلُ اللهِ ص وَنَحْنُ نَتَنَازَعُ فِى الْقَدَرِ فَغَضِبَ حَتَّى أحْمَرَّ وَجْهُهُ حَتَّى كَأَنَّمَا فُقِئَ فِى وَجْنَتَيْهِ الرُّمَّانُ فَقَالَ: أَبِهَذَاأُرْسِلْتُ إِلَيْكُمْ إِنَّمَاهَلَكَ مَنْ كَانَ قَبْلَكُمْ حِيْنَ تَنَازَعُوْا فِى هَذَاالأَمْرِ عَزَمْتُ عَلَيْكُمْ عَزَمْتُ عَلَيْكُمْ أَلاَّتَنَازَعُوْافِيْهِ رَوَاهُ التِّرْمِذِي
เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ (ร.ด.) ได้กล่าวว่า : ท่านร่อซู้ล ศ้อลฯ ได้ออกมาหาพวกเราในขณะที่พวกเรากำลังโต้เถียงกันอยู่ในเรื่องกำหนดการของอัลเลาะห์ท่านนบีโกรธจนหน้าของท่านแดง คล้ายกับมีผลทับทิมฝังอยู่ในแก้มทั้งสองของท่าน ท่านได้กล่าวว่า : ด้วยสิ่งนีหรือที่พวกท่านถูกบัญชา หรือด้วยสิ่งนี้หรือที่ฉันถูกส่งมายังพวกท่าน ความจริงบุคคลที่อยู่ในยุคก่อนพวกท่านได้พินาศไปแล้วขณะที่โต้เถียงกันในเรื่องนี้ ฉันขอย้ำกับพวกท่าน ขอย้ำกับพวกท่านว่า พวกท่านต้องไม่โต้เถียงกันในเรื่องนี้ บันทึกหะดีษโดยท่านอิหม่ามติรมีซีย์ (จากหนังสือหะดีษซอเฮี๊ยะ โดยท่านอาจารย์ อรุณ บุญชม)
การนำหะดีษข้างต้นขึ้นมากล่าวนำก็เพื่อให้การพูดคุยกันในเรื่องตามหัวข้อเป็นข้อมูลที่จะให้ความเข้าใจและเป็นกับมุสลิมทั่วไป ส่วนข้อมูลเชิงลึกหากจะถกเถียงกันเพื่อผลประโยชน์อะไรก็แล้วแต่ก็เป็นความรับผิดชอบของแต่ละคนนะครับ
การเสนอข้อมูลต่อไปนี้ก็เพื่อมีส่วนเสนอความเข้าใจที่ได้รับผ่านเรียนรู้เท่าที่ตนเองพอจะมีความสามารถ ซึ่งเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ผู้รู้ในอดีตของประเทศไทยได้ถ่ายทอดไว้
เราจะพบว่าเรื่องของหลักศรัทธา กอฏอ กอดัร เกิดกลุ่มที่เข้าใจในเรื่องดังกล่าวขึ้น อย่างน้อยสามกลุ่มคือ
1. ก๊อดรียะห์
2. ญับรียะห์
3. อะห์ลิซซุนะห์ วัลญะมาอะห์
ดังนั้นคงเป็นเรื่องยากที่จะให้ความเข้าใจกับบุคคลที่มีพื้นฐานต่างกัน ในการนำไปสู่ความเข้าใจที่เหมือนกัน โดยส่วนตัวแล้วเห็นด้วยกับบทสรุปของ Goddut (ตอบกระทู้ที่ ๖๕) ที่ยืนยันความคิดเห็นของ binti และจากการอ้างของ binti (ตอบกระทู้ที่ ๕๙ เกี่ยวกับข้อความที่ว่า - เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องกอฏอกอดัร ของใครแต่งไม่รู้จำไม่ได้แล้ว แต่ท่านเปรียบเทียบให้เข้าใจเป็นพื้นฐานว่ากำหนดของอัลลอฮ์กับความสามารถของมนุษย์ เปรียบดั่ง เราอยู่ในเรือที่แล่นอยู่กลางทะเล (เราไม่ใช่คนขับ) คือ อัลลอฮ์เป็นผุ้กำหนดว่าเรือนั้นจะแล่นไปทิศไหน ที่ใด เราไม่สามารถรู้และกำหนดเองได้ แต่เรามีอิสระที่จะทำอะไรบนเรือนั้นก็ได้ แต่เราไม่สามารถออกนอกเรือนั้นได้ เพราะอัลลอฮ์กำหนดความสามารถมาให้เราจำกัดเฉพาะในเรือนั้น
ขอให้เครดิตกับผู้เรียบเรียงหน่อยนะ ผู้เรียบเรียงคือ อ.ผจญ แสงสว่าง ผู้อำนวยการโรงเรียนอิสลามศรีอยุธยามูลนิธิ หนังสือที่ท่านเรียบเรียงนี้ได้รับการตีพิมพ์หลายครั้ง แต่ที่มีอยู่หนังสือชื่อ กอฎอ-กอดัร สภาวะที่ถูกกำหนด เจตนารมณ์อิสระ (มุซา แสงสว่าง เขียน) พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ทางนำ หน้า ๖ ไม่ปรากฏปีพิมพ์ (แนะนำสำหรับให้อ่านเพิ่มเติมครับ)
จากการนำเสนอที่อ่านมาทั้งหมดแล้วได้รับความรู้เป็นอย่างมากครับ แต่ก็ไม่พ้นปัญหาที่ท่านศาสดา ศ้อล ฯ ได้เตือนไว้แล้ว โดยเฉพาะประเด็นการนำตัวบทมาเป็นหลักฐาน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิชาให้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก และส่วนหนึ่งจากตัวบทที่นำมาทำความเข้าใจในเรื่องนี้หากไม่แยกมิติแห่งความเข้าเป็นสี่มิติดังต่อไปนี้ก็จะพบความขัดแย้งของโองการดังนี้
1. มิติแห่งความเป็นจริง (حُكْمُ حَقِيْقِيٌّ) โองการตัวอย่างในมิตินี้ قُلْ كُلٌّ مِنْ عِنْدِ الله
ความสรุป ทุก ๆ สิ่งนั้นอยู่ที่อัลลอฮ์ ศุบห์ ฯ
เป็นมิติที่ในหัวใจของผู้ศรัทธาจะต้องยอมรับ ไม่ว่าอะไรมันจะเกิด มันจะไม่เกิด มันจะดี มันจะร้าย มันถูกกำหนดไว้แล้ว
2. มิติแห่งมารยาท (حُكْمُ أَدْبِيَّةُ) โองการตัวอย่างในมิตินี้คือ
مَا أَصَابَكَ مِنْ حَسَنَةٍ فَمِنَ اللهِ وَمَا أَصَا بَكَ مِنْ سَيِّئَةٍ فَمِنْ نَفْسِكَ
ความโดยสรุป อันความดีใด ๆ ที่ประสพแก่เจ้าแน่นอนมาจากอัลลอฮ์ ศุบห์ ฯ และความชั่วใด ๆ ที่ประสพกับเจ้าแน่นอนเป็นการมาจากตัวเจ้าเอง
โองการนี้จะขัดแย้งกับโองการในมิติแรกในความหมายตามตัวอักษร แต่เนื่องจากเป็นโองการที่ต้องเข้าใจตามมิติแห่งมารยาท อธิบายเพิ่มเติมคือ โดยมิติแห่งความเป็นจริงเราต้องเชื่อว่า ดีชั่วมาจากอัลลอฮ์ แต่ด้วยมารยาทเราจะไม่พูดอย่างนั้น เพราะผิดมารยาท โองการข้างต้นจึงบอกให้เราเข้าใจว่า มารยาทที่มนุษย์จะใช้สื่อสารทำความเข้าใจนั้นต้องระมัดระวัง มีประโยคธรรมดามากมายที่เราไม่สามารถพูดตามความเป็นจริงได้ เพราะผิดมารยาท เช่น เราพูดว่า เราคลอดจากครรภ์มารดา เราไม่พูดว่าเราคลอดจาก...............มารดา ซึ่งเป็นความจริงแต่ต้องไม่พูดเพราะผิดมารยาท
3. มิติแห่งบทบัญญัติ (حُكْمُ شَرْعِيَّةُ) โองการตัวอย่างในมิตินี้คือ
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّا يَرَهُ
ความสรุป ผู้ใดปฏิบัติความดีแม้แต่เท่าผงธุลีเดียว เขาจะได้ประจักษ์ และผู้ใดปฏิบัติความชั่วเพียงเท่าผงธุลีเดียว เขาก็จะได้ประจักษ์
โองการในมิตินี้เพื่อยืนยันว่าความรับผิดชอบในความดีความชั่วเป็นหน้าที่ของมนุษย์ ที่ต้องเรียนรู้ตามข้อกำหนดที่ท่านศาสดาได้วางเป็นบทบัญญัติไว้ และมนุษย์จะได้รับผลตอบแทนตามที่บัญญัติไว้
4. มิติแห่งปกติวิสัยตามปรากฏบนสภาพของมนุษย์ (حُكْم عَادِيَّةٌ) โองการตัวอย่างในมิตินี้คือ
لاَيُكَلِّفُ اللهُ نَفْسًا إِلاَّ وُسْعَهَا
ความสรุป อัลลอฮ์จะไม่ให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเว้นแต่ตามสิ่งที่เขาอุตสาหะไว้
ครับทั้งหมดที่เสนอมานั้นเป็นสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดจากนักวิชาการประเทศไทยยุคอดีต การแบ่งมิติดังกล่าวนำมาจากท่านอาจารย์ สมหวัง มูเนาวเราะห์ อัลลอฮูยัรฮัม โดยท่านอาจารย์สรุปว่า การที่เรานำโองการใดมาพูดในเรื่องใดก็ให้พิจารณาเพื่อสื่อถึงเป้าหมายของโองการว่าเกี่ยวกับมิติใด และจะเอี๊ยะก๊อดในมิติใด
ไม่ผิดใช่ไหมครับที่ผมจะพูดว่า ที่ผมหายปวดหัวเพราะผมกินยาพาราเซ็ตตามอล โดยยึดไปตามมิติ แห่งปกติวิสัย (حُكْمُ عَادِيَّةُ) แต่มันผิดแน่นอนหากผมยึดตามหลักแห่งความเป็นจริง (حُكْمُ حَقِيْقِيَّةٌ) และมันผิดด้วยหรือถ้าผมจะพูดว่าความชั่วมันมาจากผมเพราะผมถือว่ามันอยู่ในมิติแห่งมารยาท (حُكْمُ أَدْبِيَّةٌ) โดยไม่ได้ปฏิเสธมิติแห่งความเป็นจริงว่า ทุก ๆ สิ่งมาจากอัลลอฮ์ ศุบห์ และที่สุดผมต้องรับผิดชอบความดีความชั่วในฐานะมนุษย์ที่มีสติปัญญาที่พบทางนำแห่งพระเจ้าและต้องปฎิบัติตามมิติแห่งบทบัญญัติ (حُكْمُ شَرْعِيَّةُ) โดยรับผิดชอบตามบทบัญที่ได้กำหนดไว้ และท้ายสุดผมก็คงไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆทั้งสิ้น ถ้าสิ่งต่าง ๆที่มันเป็นไปทั้งหมด ไม่ได้อยู่วิสัยที่ผมจะเรียนรู้และปฏิบัติได้ ตามมิติแห่งปกติวิสัย และหวังในสิ่งสุดท้ายคือการให้อภัย และความเมตตาจากพระองค์
อีกความเห็นหนึ่งที่ต้องการคำเสนอแนะเพื่อสู่สัจธรรมแห่งอิสลาม
วัสสลาม
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version