ผู้เขียน หัวข้อ: ขอความกระจ่าง และสนทนา เรื่อง"กอฎอรและกอฎัร"  (อ่าน 15593 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
ตัวอย่างของบังอัล อธิบาย ได้ค่อนข้าง เข้าใจง่าย จริงๆ
และนั่นแหละ คือส่วนที่เรียกว่า การกำหนด ที่รู้มาแต่เดิม

^^

subson

  • บุคคลทั่วไป
ผมขอต่อแล้วกันนะ เอาเป็นว่าพี่น้องท่านอื่นๆเข้าใจกันแล้ว (ส่วนตัวผม  เด๋วผมถามทีหลัง  หลังจากอธิบายความเข้าใจของผมเสร็จ ประมานอีก3 คห. )

ผมมาอธิบายต่อว่า ทำไมผมถึงกล่าวว่าเรามีความสามารถทั้งๆที่เคยบอกว่า คนเราไม่มีความสามารถทำอะไรได้ถ้าอัลลอฮไม่ประสงค์

จากข้อมูลนี้ครับ “และบรรดาผู้ที่ศรัทธาและประกอบสิ่งที่ดีทั้งหลายนั้นเราไม่บังคับชีวิตใด นอกจากที่ชีวิตนั้นมีความสามารถเท่านั้น….”7:42

“ดังนั้นจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด เท่าที่พวกเจ้ามีความสามารถ...”64:16

จากตัวอย่างโองการนี้ ทำให้รู้ว่ามนุษย์เรานั้นมีความสามารถบางอย่างที่ถูกอนุมัติไว้แล้ว ตามนัยะของโองการ

โดยเฉพาะโองการที่ 6:6 มีใจความว่า”พวกเขามิได้เห็นดอกหรือว่า กี่ประชาชาติมาแล้วที่เราได้ทำลายมาก่อนหน้าพวกเขา ซึ่งเราได้ให้พวกเขามีอำนาจและความสามารถในแผ่นดิน ซึ่งสิ่งที่เรามิได้ให้มีแก่พวกเจ้า และเราได้ส่งฝนมายังพวกเขาอย่างมากมาย และเราได้ให้มีแม่น้ำหลายสายไหลอยู่เบื้องล่างของพวกเขา แล้วเราก็ทำลายพวกเขาเสีย เนื่องด้วยบรรดาความผิดของพวกเขา และเราได้ให้มีขึ้นหลังจากพวกเขาซึ่งประชาชาติอื่น”    ก็คืออัลลอฮได้ให้ความสามารถและอำนาจ(บางอย่าง)กับประชาชาตินั่นเอง

ผมจึงสรุปจากโองการนี้ว่า  มนุษย์มีความสามารถที่จะเลือก  ตั้งใจ มุ่งมั่น แล้วทำตามที่ตัวเองได้เลือกเฟ้นไว้ แต่ความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับความประสงค์หรือการอนุมัติของพระองค์

สอดคล้องกับคำอธิบาย ของคุนGoddutที่ว่า   "เรานั้นมีความสามารถของเราเอง ตามแต่ที่พระองค์นั้นทรงประสงค์เท่านั้น"    

จากคำสรุปชุดก่อน กับชุดนี้ ไม่ได้ขัดแย้งกันเอง แต่อย่างได เพียงแต่อยู่คนละขั้นตอน  ก่อนหน้านี้อยู่ขั้นตอนที่1 (อนุมัติ  ไม่อนุมัติ)  ขณะที่ครั้งนี้  อยู่ขั้นตอน2 (อนุมัติอะไรไปแล้ว)   และ  ขั้นตอน3 ทำอย่างไรกับสิ่งที่ได้รับการอนุมัติ    อินชาอัลลอฮ  จะจับมาโยงด้วยคำอธิบายในครั้งต่อไป      พร้อมน้อมรับคำแนะนำ

ปล. เข้ากระทู้นี้รู้สึกเหมือนเป็นเด็กอนุบาลอีกครั้ง  ทนๆหน่อยนะครับครู      ญาซากัลลอฮ
[/i]     ขอตัวไปสะสางบางอย่างที่ยังไม่เสร็จ(สักที)

ออฟไลน์ มาลิกกุ๊กกิ๊ก

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 451
  • เพศ: ชาย
  • คนความรู้น้อย
  • Respect: +4
    • ดูรายละเอียด
มาฃาอัลลอฮฺ

เรื่องนี้ก็ยัง...

subson

  • บุคคลทั่วไป
ต่อครับต่อ

"....พวกท่านจะไม่ถูกตอบแทน เว้นแต่สิ่งที่พวกท่านขวนขวายไว้เท่านั้น" 10:52

“นั่นคือ กลุ่มชนที่ล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้ ก็ย่อมเป็นของพวกเขา และสิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายไว้ก็ย่อมเป็นของพวกเจ้าและพวกเจ้าจะไม่ถูกไต่สวน ถึงสิ่งที่เขาเหล่านั้นปฏิบัติกัน” 2:141

”… และพวกเจ้าจงอย่าละเมิด (ขอบเขตแห่งบัญญัติของพระองค์ ) แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบบรรดาผู้ละเมิด”5:87

“ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี  และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขา ที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้”16:97

จากตัวอย่างโองการข้างต้นเห็นได้ว่า อัลลอฮไม่ปรารถนาให้เราทำเลว อัลลอฮต้องการให้เราทำแต่สิ่งดีๆ 
สิ่งที่ไม่ดีที่เราเลือก เราเลือกเอง ทำเอง โดยอัลลอฮ(ซบ.)ไม่ได้บังคับ หรือดลใจให้เลือก และอัลลอฮได้ห้ามไว้ในอัลกุรอานแล้ว   อีกทั้งได้เตือนสำทับว่าถ้าเลือกทำชั่วต้องรับผิดชอบนะ 

สอดคล้องกับคำอธิบายของคุนGoddut ที่ว่า "การงานทุกอย่างนั้น ล้วนเป็นอนุมัติจากพระองค์ทั้งสิ้น แต่มิได้หมายความว่า คนทำเลวนั้น พระองค์ทรงให้เขาทำเลว "
 
  “ผู้ใดที่นำความดีมา เขาก็จะได้รับสิบเท่าของความดีนั้น และผู้ใดนำความชั่วมาเขาจะไม่ถูกตอบแทน นอกจากเท่าความชั่วนั้นเท่านั้น และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรม”6:160


และ คำกล่าวที่ว่า "ดีมาจากอัลลอฮ ชั่วมาจาเรา"    ที่มาจากโองการ4:79 "ความดีใด ๆ ที่ประสบแก่เจ้านั้นมาจากอัลลอฮฺ(เนื่องจากปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงแนะนำไว้)และความชั่วใด ๆ ที่ประสบแก่เจ้านั้นมาจากตัวของเจ้าเอง(เนื่องจากฝ่าฝืนคำแนะนำของพระองค์)  เมื่อเราโยงกับโองการทั้งหมด ผมเห็นว่า คำว่า"ชั่วมาจากเรา" นั้นคือ  ชั่วมาจากการเลือกของเรา เราเลือกเอง โดยไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ ในการเลือก  แต่ไม่ได้แปลว่า ความชั่ว สำเร็จได้เพราะเรา  สำเร็จหรือไม่สำเร็จขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพระองค์ แต่ไม่ใช่พระองคืบังคับหรือดลใจแต่อย่างใด       

“และโดยแน่นอน มันได้ทำให้หมู่ชนจำนวนมากของพวกเจ้าหลงทาง ทำไมพวกเจ้าจึงไม่ใช้สติปัญญาใคร่ครวญเล่า?”36:62

”…. และพระองค์จะทรงลงโทษแก่บรรดาผู้ไม่ใช้สติปัญญา”
10:100

ดังนั้นพวกเรามาใช้สติปัญญาที่ถูกอนุมัติไว้แล้ว ให้เป็นประโยชน์ เลือกห่างความชั่ว  เลือกทำแต่สิ่งดีๆ นะครับ  อินชาอัลลอฮ.

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
 salam

พอกลับไปอ่านในสิ่งที่คุณสนเขียนมาทั้งหมดอีกรอบในกระทู้นี้
ทำให้นึกถึงกระทู้สองกระทู้ข้างล่างนี้ขึ้นมาค่ะ
เลยขออนุญาตแปะลิงก์นะคะ ไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน
แต่คิดว่าค่อนข้างกระจ่่างใจอยู่ไม่น้อยเช่นกันค่ะ
โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายของคุณสนตามคห.ข้างบน
ที่เกี่ยวกับเรื่องสติปัญญาซึ่งอาจโยงไปถึงการศึกษาหาความรู้น่ะค่ะ

http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=4778.0

http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=1751.msg14309#msg14309

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^___________^


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 29, 2009, 01:40 AM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
ถูกต้องครับ

ดุอา คือ อาวุธ ของมุมิน ตามที่ผมได้เคยเสนอไปแล้วว่า "มันจะต่อสู้กับ กำหนดของอัลลอฮฺ จนถึงวันกิยามะ"

subson

  • บุคคลทั่วไป
ทีนี้มาดูต่อว่า คนที่พิการกับคนที่ไม่พิการจะเท่าเทียมกันอย่างไร ในมุมมองของผม    ก่อนอื่นต้องย้อนไปดูโองการต่างๆดังนี้

“มนุษย์คิดหรือว่า พวกเขาจะถูกทอดทิ้งเพียงแต่พวกเขากล่าวว่าเราศรัทธา และพวกเขาจะไม่ถูกทดสอบ กระนั้นหรือ?” 29:2

“แน่นอนยิ่งพวกเจ้าจะถูกทดสอบ ในทรัพย์สมบัติของพวกเจ้าและตัวของพวกเจ้า…”3:186

”ทุกชีวิตย่อมลิ้มรสความตาย และเราจะทดสอบพวกเจ้าด้วยด้วยเคราะห์กรรมและความโปรดปราน  และพวกเจ้าจะต้องกลับไปหาเราอย่างแน่นอน”21:35

จากโองการนี้เห็นได้ว่ามนุษย์ทุกคนต้องถูกทดสอบ แต่อาจจะต่างกันที่รูปแบบ  และการทดสอบไม่ได้มีเฉพาะ การทดสอบด้วยเคราะห์กรรมอย่างเดียว   ความโปรดปรานก็ถือเป็นการทดสอบได้เช่นกัน  เมื่ออัลลอฮฺ ทรงทดสอบมนุษย์ด้วยการประทานความโปรดปราน พระองค์ทรงให้เกียรติแก่เขาด้วยความมั่งมีและความสะดวกสบาย และทรงให้เขามีความสุขสำราญในโลกนี้ด้วยการ มีเกียรติ มีอำนาจ เขาก็จะกล่าวว่า พระเจ้าของฉันทรงประทานความดีต่าง ๆ แก่ฉัน ซึ่งก็เป็นการเหมาะสมดีแล้ว แต่เขาหารู้ไม่ว่า การทดสอบแก่เขานี้ก็เพื่อจะดูว่าเขาจะเป็นผู้ขอบคุณหรือทรยศต่อพระองค์     

อีกทั้งมีโองการมายืนยันเรื่องนี้คือโองการที่มีใจความว่า“และพระองค์นั้นคือผู้ที่ทรงให้พวกเจ้าเป็นผู้สืบแทนในแผ่นดิน และได้ทรงเทิดบางคนของพวกเจ้าเหนือกว่าอีกบางคนหลายขั้น เพื่อที่พระองค์จะทรงทดสอบพวกเจ้าในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่พวกเจ้า แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้น เป็นผู้รวดเร็วในการลงโทษและแท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตา”6:165

แต่กระนั้นก็ตามได้ระบุไว้อีกโองการว่า “…ไม่มีชีวิตใดจะถูกบังคับนอกจากเท่าที่ชีวิตนั้นมีกำลังความสามารถเท่านั้น... “2:233

“ อัลลอฮ์จะไม่ทรงบังคับชีวิตหนึ่งชีวิตใดนอกจากตามความสามารถของชีวิตนั้นเท่านั้น ชีวิตนั้นจะได้รับการตอบแทนดีในสิ่งที่เขาได้แสวงหาไว้ และชีวิตนั้นจะได้รับการลงโทษในสิ่งชั่วที่เขาได้แสวงหาไว้…”2:286

ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า แต่ละคนจะได้รับการทดสอบตามความสามารถของตน  โดยมีโองการ 48:17 เป็นตัวอย่าง  ( คือคนตาบอดคนพิการและคนป่วยจะไม่คิดโทษและเป็นบาปในการที่ไม่ได้ออกไปร่วมทำสงครามเพราะเหตุขัดข้องดังกล่าวและผู้ใดเชื่อฟังและปฏิบัติตามข้อใข้ของอัลลอฮ.และรซูลของพระองค์เขาจะได้รับการตอบแทนด้วยสวนสวรรค์ส่วนผู้ใดหลีกเลี่ยงจากการทำญิฮาดโดยปราศจากข้อขัดแย้งอัลลอฮ.ก็จะลงโทษเขาทั้งโลกดุนยาและโลกอาคิเราะฮ)

อีกอย่างอัลลอฮ นั้นไม่ได้พิจารณาที่รูปร่างหน้าตา ถึงเขาจะพิการแต่ถ้าเขามีความศรัทธา มีอีหม่าน สุดท้ายก็อาจจะได้เข้าสวรรค์เหมือนๆกับคนอื่นที่สมบูรณ์ ซึ่งคนสมบูรณ์บางคนตกนรกด้วยซ้ำ



เสริมอีกนิด “….โชคร้ายของพวกท่านอยู่ที่อัลลอฮ์ ยิ่งกว่านั้นพวกท่านเป็นหมู่ชนที่ถูกทดสอบ”27:47
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 18, 2009, 09:09 PM โดย สับสน »

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
ตรงนี้ ความเห็น ของคุณสับสน ผมถือว่า ถูกต้องในสิ่งที่ผมได้ยกตัวอย่างไป 50%  ( 1 ใน 2 ข้อ )
ส่วนความเห็นเก่าๆ ที่คุณสับสน เสนอไปนั้น เหมือนกับผมอยู่แล้ว ในข้อของการมีความสามารถ

ประเด็นข้อ 4 ที่ผมแยกออกมา 2 ประเด็น มีดังนี้ได้ว่า
1. พวกเขานั้นเลือกของเขาเอง โดยมาจากพระองค์ที่ทรงกำหนดรากฐานของมันมาแต่เดิม แต่พวกเขานั้นไม่ตระหนักถึงมัน
2. พวกเขานั้นถูกเลือกบททดสอบด้วยพระองค์ ซึ่งเท่าที่พวกเขานั้นมีความสามารถ โดยไม่มากกว่านั้น หรือน้อยกว่านั้น

ดังนั้น ตามความเห็นของคุณ สับสน ด้านบนนั้น ก็เคลียร์โจทย์ที่เป็นคำตอบ ข้อ 2 ได้แล้ว
ส่วนอีกข้อ ( ข้อ 1 ) นั้น จะเป็นตัวชี้ไปยังข้อต่อไป ซึ่งผมถือว่า หากคุณสับสน อธิบายได้ดี
แล้ว ข้อที่ 5 ก็คงเป็นเพียงข้อสุดท้าย แล้ว ที่จะอธิบายเรื่อง กอฎอกอดัร ได้สมบูรณ์ ได้ในระดับหนึ่ง ที่พอจะดะวะพี่น้องที่ยังไม่เข้าใจ และ กาเฟร อีกด้วย
และผมนั้นจะขอเฝ้าดูอยู่ห่างๆ นะครับ เชิญ ต่อได้เลย...
อินชาอัลลอฮฺ
วัสลาม...

subson

  • บุคคลทั่วไป
ดูเหมือนว่าผมไม่เข้าใจคำถาม  หรือผมไม่รู้(ไม่มีข้อมูล)   แต่ผมขอดำน้ำไปก่อน   boulay:


“ไม่มีเคราะห์กรรมอันใดเกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ และไม่มีแม้แต่ในตัวของพวกเจ้าเอง เว้นแต่ได้มีไว้ในบันทึกก่อนที่เราจะบังเกิดมันขึ้นมา แท้จริงนั่นมันเป็นการง่ายสำหรับอัลลอฮ” 57:22

“และเจ้ามิได้อยู่ในเรื่องหนึ่งเรื่องใด และเจ้ามิได้อ่านบางส่วนจากมันในอัลกุรอาน และพวกท่านมิได้กระทำการใดๆ เว้นแต่เราได้เป็นพยานแก่พวกท่าน ในขณะที่พวกท่านกำลังง่วงอยู่ในเรื่องนั้น และจะไม่รอดพ้นจากพระเจ้าของเจ้า (การกระทำใด ๆ) ที่มีน้ำหนักเท่าธุลี ทั้งในแผ่นดินและในชั้นฟ้า และที่เล็กกว่านั้นและที่ใหญ่กว่านั้นเว้นแต่อยู่ในบันทึกอันชัดแจ้งทั้งสิ้น”10:61

“ไม่มีเคราะห์กรรมอันใดเกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ และไม่มีแม้แต่ในตัวของพวกเจ้าเอง เว้นแต่ได้มีไว้ในบันทึกก่อนที่เราจะบังเกิดมันขึ้นมา แท้จริงนั่นมันเป็นการง่ายสำหรับอัลลอฮ”57:22

“พระองค์ทรงรู้จักพวกเจ้าดียิ่ง เมื่อครั้งบังเกิดพวกเจ้าจากแผ่นดิน และเมื่อครั้งพวกเจ้าเป็นทารกอยู่ในครรภ์ของมารดาของพวกเจ้า...”53:32

 จากโองการเหล่านี้ คงเพียงพอที่จะสรุปว่า พระองค์ทรงรู้ดีว่า เราจะเลือกสิ่งใด เมื่อเราเกิดมาบนโลกนี้ ก่อนที่เราจะเกิดมาด้วยซ้ำ    (ด้วยความรอบรู้ของพระองค์)



''ดังนั้นบรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา (มุฮัมมัด) จงระวังตัวเถิดว่า เคราะห์กรรมจะเกิดขึ้นแก่พวกเขา หรือว่าการลงโทษอันเจ็บปวดจะเกิดขึ้นแก่พวกเขาเช่นกัน’’24:63

''และเคราะห์กรรมอันใดที่ประสบแก่พวกเจ้า ก็เนื่องด้วยน้ำมือของพวกเจ้าได้ขวนขวายได้ และพระองค์ทรงอภัย (ความผิดให้) มากต่อมากแล้ว''42:30


“...และหากเคราะห์กรรมประสบแก่พวกเขา เนื่องจากน้ำมือของพวกเขาได้ประกอบเอาไว้ ดังนั้นแน่นอนมนุษย์นั้นเป็นผู้เนรคุณเสมอ”42:48

“ความดีใด ๆ ที่ประสบแก่เจ้านั้นมาจากอัลลอฮฺ(เนื่องจากปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงแนะนำไว้)และความชั่วใด ๆ ที่ประสบแก่เจ้านั้นมาจากตัวของเจ้าเอง( เนื่องจากฝ่าฝืนคำแนะนำของพระองค์)”4:79

จากโองการเหล่านี้ ก็พอจะอธิบายได้ว่า เคราะกรรมบางอย่างที่เราเจอนั้นก็เพราะว่า เราได้เลือกฝ่าฝืนบทบัญญัติ  (เราเลือกที่จะฝ่าฝืนเอง โดยไม่มีใครบังคับ และไม่ใช่การดลใจ)



(แต่เคราะกรรมนั้นก็มีข้อดีบางอย่างเช่น คือได้ทำให้บางคนสำนึกผิด อีกทั้งแยกระหว่างผ็ศรัทธากับไม่ศรัทธา)

และขอทิ้งท้ายด้วยโองการ

“จงดูเถิด ! เราได้ทำให้บางคนในหมู่พวกเขาดีเด่นกว่าอีกบางคนอย่างไร?  และแน่นอนปรโลกนั้นมีฐานะยิ่งใหญ่กว่าหลายชั้น และยิ่งใหญ่กว่าในทางดีเด่น “17:21

‘’และจงอย่าปรารถนาในสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงให้แก่บางคนในหมู่พวกเจ้าเหนือกว่าอีกบางคน สำหรับผู้ชายนั้นมีส่วนได้รับจากสิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้ และสำหรับหญิงนั้นก็มีส่วนได้รับจากสิ่งที่พวกนางได้ขวนขวายไว้ และพวกเจ้าจงขอต่ออัลลอฮฺเถิด จากความกรุณาของพระองค์แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง’’ 4:32

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
เรื่องที่คุณสับสน กล่าวก็เป็นเรื่องที่หมายถึง กำหนดของอัลลอฮฺ
แต่กำหนดของอัลลอฮฺ อย่างที่เคยกล่าวนั้น ผมพยายาม แยกให้เป็นสองประเด็นในเรื่องของ บุคคลที่พิการ อันจะได้จาก พิการ แต่กำเนิด หรือ พิการ ในวัยต่างๆ
ตรงนี้ ผมพยายาม จะชี้ให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ ที่เป็นผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงเมตตา และผู้ทรงยุติธรรม
คำถามคือ พระองค์นั้น ทรงยุติธรรมอย่างไร ที่ทำให้ คนบางคนนั้นพิการ

คำตอบที่คุณสับสนได้ตอบไปนั้น ถือว่าดีทีเดียว ในเรื่องความทรงรอบรู้ของพระองค์
ซึ่งอธิบายได้อย่างง่ายๆ คือ พระองค์นั้นทรงรู้ อยู่ก่อนแล้ว
แล้วพระองค์จะให้บททดสอบแก่เขา โดยทรงรู้อยู่แล้วว่า เขาจะผ่านพ้นมันไปได้
อีกนัยนึง ก็หมายความว่า สิ่งที่ไม่ประสบแก่เขา ก็หมายถึง เขานั้นอาจจะผ่านมันไปไม่ได้ ( วัลลอฮฺอะลัม )
หมายถึง บุคคลหนึ่ง หากพิการ แล้วตายในสภาพมุสลิม เขาคือผู้ชนะ แต่ไม่แน่ว่าหากเขานั้น ไม่พิการ เขาก็อาจจะตายในสภาพกาเฟร ก็เป็นได้ ( วัลลอฮฺอะลัม )

ส่วน สิ่งที่สอง ที่ผมกำลังอยากจะให้ คุณสับสน นั้นช่วยอธิบายก็คือ
ความหมายของ การเกิดขึ้นของมัน โดยผมให้นิยามมาว่า
พวกเขานั้นเลือกของเขาเอง โดยมาจากพระองค์ที่ทรงกำหนดรากฐานของมันมาแต่เดิม แต่พวกเขานั้นไม่ตระหนักถึงมัน

ตรงนี้ นั้นหมายถึง การที่เขาได้เลือก อย่างไร มีหลักฐาน ในความเชื่อของมันเอง ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ความสมบูรณ์ของอัลกรุอาน และความเมตตาของอัลลอฮฺ รวมทั้งความยุติธรรมนั้น มีมากเพียงไร
คำตอบของมัน ก็มาจากอัลกรุอาน และ หลักวิทยาศาสตร์ เบื้องต้น ที่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

จากที่คุณสับสน อธิบายว่า ....
เคราะกรรมบางอย่างที่เราเจอนั้นก็เพราะว่า เราได้เลือกฝ่าฝืนบทบัญญัติ  (เราเลือกที่จะฝ่าฝืนเอง โดยไม่มีใครบังคับ และไม่ใช่การดลใจ)
ซึ่งตรงนี้ แหละเป็นเครื่องยืนยันว่า มนุษย์นั้น มีความสามารถ และทางเลือกของเขา ที่จะปฏิบัติในขั้นต้นได้

จากที่ เรายกตัวอย่างว่า "เมื่อเป็นไข้ ให้กินยา" หากใครไม่กินยาก็อาจจะไม่หาย
เพราะนั้นคือสิ่งที่อัลลอฮฺนั้นทรงกำหนดไว้แต่เดิม เป็นสมการของมัน ตามหลักฐานดังกล่าวว่า
"พระองค์จะไม่ทรงให้โรคใดๆ มา โดยไม่มียารักษา ยกเว้นโรคชรา"
ดังนั้นการเกิดโรค หรือการเกิดทุกสรรพสิ่งนั้น ก็เป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ ที่ถูกกำหนดไว้โดยพระองค์แล้ว

เราสามารถตอบความพิการได้สองแบบ ในกรณีข้างต้น คือ
1. พิการแต่กำเนิด
2. พิการในวาระต่างๆ

1. การพิการแต่กำเนิดนั้น มีอยู่หลายปัจจัย การแต่งงาน ในวัยที่ไม่เหมาะสม หรือ ตั้งครรภ์แล้วมิได้ดูแลเอาใจใส่ต่อมัน รวมทั้งการแต่งงานในเครือญาติ โดยเฉพาะพี่น้องนั้น ถูกกล่าวไว้ในบทบัญญัติแล้ว
เมื่อมีการฝ่าฝืนเกิดขึ้น จึงได้รับผลตามที่พระองค์นั้นทรงกำหนดไว้แล้ว แน่นอนมันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติข้อห้ามต่างๆ ที่มีอยู่

2. พิการในวาระต่างๆ อันได้แก่ พิการแขนขา จากอุบัติเหตุ หรือ จากโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งได้ถูกกล่าวเตือนไว้อีกเช่นกัน
หากเรามาพิจารณา จะเห็นว่า การพักผ่อนก็ดี การกินอยู่ก็ดีนั้น ล้วนมีแนวทางทั้งสิ้น จากอัลกรุอาน และ ท่านนบี เช่น การรับประทานเนื้อสัตว์ การรับประทานอาหารทะเล
จากกระทู้ที่เราเคยคุยกันว่า สัตว์ทะเลนั้นทานได้ แต่ไม่ใช่หมายถึงปลาน้ำจืด ที่มีพยาธิ ซึ่งแน่นอนเป็นภัยต่อเรา ดังนั้นบางคนจึงเจ็บไข้ได้ป่วยจากการรับประทานปลาน้ำจืดดิบๆ เป็นต้น
อีกเช่นกันว่า การกระทำต่างๆ นั้น เมื่อฝ่าฝืน ในคำเตือน หรือสั่งห้ามของมันแล้ว ก็จึงบังเกิดผลตามมา

สรุป ทั้งสอง ว่า เหตุใด เราจึงเรียกว่า ความเมตตา และยุติธรรม
มันหมายถึงว่า ความเมตตา ของพระองค์นั้น หมายถึง ความเมตตาต่อทุกสิ่งในดุนยาทั้งหมด ไม่มียกเว้น ใครทำได้ถูกกำหนดที่พระองค์ทรงตั้งไว้ หรือใครฝ่าฝืนจึงต้องได้รับผลของมัน ทันทีในโลกนี้ ( เรื่องดุนยา )
เช่น คนมุสลิม ชอบกินเนื้อ จนบางคนกลายเป็นโรคไต แต่คนกาเฟร กินผักผลไม้ ก็เลยมีอายุยืน ( ท่านนบีนั้นไม่ได้ทานเนื้อสัตว์เป็นประจำ และท่านนั้นไม่ชอบของร้อน ๆ ตามฮะดิสที่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน )
หรือ คนมุสลิมชอบกินนอนไม่ทำงาน ก็จน กลับกัน คนกาเฟรขยันทำงาน ก็รวย  ( อิสลามให้เรานั้นทำงาน ตามวลีที่ว่า "จงทำงานเหมือนที่จะไม่ตาย แต่จงทำอิบาดะเหมือนจะตายวันพรุ่งนี้" )
หรือ คนมุสลิมไม่ออกกำลังกาย ก็เลยอ้วน ไม่แข็งแรง แต่คนกาเฟร ออกกำลังกาย ก็เลยแข็งแรง  ( ท่านนบีนั้นส่งเสริมการออกกำลังกาย ตามแนวทางของเราคือ มวยปล้ำ ขี่ม้า และยิงธนู )

นี่แหละ คือความเมตตา และ ความยุติธรรม ที่ ไม่เลือกปฏิบัติ จากการที่พวกเขาเหล่านั้นได้ทำในสิ่งที่เหมาะสม และสมควรตามกำหนด ที่พระองค์นั้นได้ทรงแนะแนวทางไว้ให้แล้วนั่นเอง

วัลลอฮฺอะลัม

มาถึงข้อสุดท้ายผมคิดว่าจะทำให้เราเข้าใจเรื่องกำหนดของอัลลอฮฺจนสามารถอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจได้อย่างกระจ่าง คำถามมีอยู่ว่า
ข้อที่ 5. การขอดุอา สามารถเปลี่ยนแปลง อนาคต ของเราได้ หรือไม่ ? หากได้ สิ่งนั้นจะเกี่ยวพันกับ กำหนดของพระองค์เช่นไร ?
( คำตอบอาจจะกว้าง แต่เชื่อว่าจะสรุปที่เดียวกัน )
วัสลาม...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 19, 2009, 10:11 PM โดย Goddut »

subson

  • บุคคลทั่วไป
“โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์และจากลูกหลานของข้าพระองค์เป็นผู้ดำรงการละหมาด โอ้พระเจ้าของเรา ขอพระองค์ทรงตอบรับการวิงวอนของข้าพระองค์ด้วยเทอญ''14:40       

นี่เป็นอีกตัวอย่างของดูอาที่เป็นโองการอัลกุรอาน


''และพระเจ้าของพวกเจ้าตรัสว่า จงวิงวอนขอต่อข้า ข้าจะตอบรับแก่พวกเจ้า....'' 40:60

''และเมื่อบ่าวของข้าถามเจ้าถึงข้าแล้วก็ (จงตอบเถิดว่า) แท้จริงนั้นอยู่ใกล้ ข้าจะตอบรับคำวิงวอนของผู้ที่วิงวอน เมื่อเขาวิงวอนต่อข้าดังนั้น พวกเขาจงตอบรับข้าเถิด และศรัทธาต่อข้า เพื่อว่าพวกเขาจะได้อยู่ในทางที่ถูกต้อง''2:186

''และพระองค์ทรงตอบรับ (การวิงวอน) ของบรรดาผู้ศรัทธา และพวกเขากระทำความดีทั้งหลาย และพระองค์จะทรงเพิ่มพูนจากความโปรดปรานของพระองค์แก่พวกเขา'' 42:26


จากโองการต่างๆเหล่านี้  ทำให้เรารู้ว่าอัลลอฮจะทรงตอบรับคำดูอาของเรา  ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่าสามารถเปลี่ยนแปลงการกำหนดได้ด้วยดูอา

เพราะว่าชีวิตแต่ละคนนั้นถูกบันทึกไว้ตั้งแต่อยู่ในครร ไม่ว่าจะเป้นการงาน ริสกี และอื่นๆ  และเมื่อเราขอดูอาแล้วพระองค์ตอบรับ  แน่นอนว่า สิ่งที่ถูกบันทึกไว้ตอนอยู่ในครรถูกเปลี่ยนแปลงได้ แต่บันทึก ณ พระองค์นั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง  อันเนื่องจาก พระองค์ทรงรู้แต่เดิมว่า  เราจะขอดูอาอะไร ตอนหนัย แบบหนัย ฯลฯ และพระองค์ก็ทรงบันทึกตามความรอบรู้นั้น (รู้สึกว่าเรื่องนี้ การอธิบายของ อ. al-azhary ในเรื่องริสกีที่ผมถามนั้น เป็นคำตอบนัยๆอยู่ในคำถามนี้แล้ว)

อีกทั้งมีตัวอย่างให้เราเห็นในเรื่องการตอบรับคำดูอา ในโองการดังนี้

''และจงรำลึกถึงเรื่องราวของซันนูน  (นะบียูนุส) เมื่อเขาจากไปด้วยความโกรธพรรคพวกของเขา แล้วเขาคิดว่าเราจะไม่ทำให้เขาได้รับความลำบาก แล้วเขาก็ร้องเรียนท่ามกลางความมืดทึบทะมึนว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากกพระองค์ท่าน มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ท่าน แท้จริงข้าพระองค์เป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้อธรรมทั้งหลาย”  ''21:87

 ''ดังนั้นเราได้ตอบรับการร้องเรียนของเขาและเราได้ช่วยให้เขารอดพ้นจากความทุกข์ระทมและเช่นเดียวกันนี้ เราช่วยบรรดาผู้ศรัทธา ''21:88

''และจงรำลึกถึงเรื่องราวของซะกะรียาเมื่อเขาได้ร้องเรียนพระเจ้าของเขาว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ของพระองค์ทรงอย่าปล่อยให้ข้าพระองค์อยู่อย่างเดียวดาย และพระองค์ท่านเท่านั้นเป็นผู้สืบมรดกอันดียิ่ง”21:89

 ''ดังนั้นเราได้ตอบรับการร้องเรียนแก่เขา และเราได้ประทานบุตรแก่เขาคือยะฮฺยา และเราได้ปรับปรุงแก้ไขภริยาของเขาให้เป็นปกติแก่เขา แท้จริงพวกเขา แข่งขันกันในการทำความดีและพวกเขาวิงวอนเราด้วยความหวังในการลงโทษของเรา และพวกเขาเป็นผู้ถ่อมตัวเกรงกลัวต่อเรา'' 21:90
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 19, 2009, 11:12 PM โดย สับสน »

subson

  • บุคคลทั่วไป
พรุ่งนี้ผมไม่อยู่ ไปค่ายที่พังงา รบกวนคุนGoddut นำเสนอต่อไปเลยครับ  ส่วนข้อ4 ที่เหลือนั้นผมไปไม่ถูกจิงๆ 

แต่ผมก็เห็นด้วยและเข้าใจในคำอธิบายที่คุนอธิบาย  ส่วนข้อ5นั้น ผมตอบได้แค่นี้ และขอสรุปอีกทีว่า

พระองค์ทรงรู้แต่เดิมว่าเราจะขอดูอา  และทรงบรรทึกตามความรอบรู้นั้น  ดูอาอาจจะถูกตอบรับ และอาจจะไม่ถูกตอบรับ  เมื่อถูกตอบรับ สิ่งที่ถุกกำหนด ในบันทึกของมลักตอนที่บันทึก ขณะที่เราอยู่ในครรนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ บันทึก ณ พระองค์ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ครับผม  

แล้วจะกลับมาอ่านย้อนหลังนะครับ

ออฟไลน์ as-satuly

  • พลังแห่งการศรัทธา
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 997
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +10
    • ดูรายละเอียด

          ความกระจ่างและความถูกต้องต่อความรู้และความเข้าใจ บนเส้นทางที่ถูกกำหนดและหนทางที่เที่ยงตรงสืบไป...วัลลออฮุอะอฺลัม - วัสสลามุอะลัยกุม

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
ช่วงนี้ ผมไม่มีเวลาเลยนะครับ ( เวลาว่าง )
เพื่อนผมแต่งงาน ต้องช่วยงานจัดเลี้ยง ซึ่งก็ต้องลำบากนิดหน่อย
หากพี่น้องท่านใด มีเรื่องประเด็นเสวนาเชิญ ก่อนเลยนะครับ
แล้วผมจะมาติดตามอ่านเป็นระยะๆ แต่คงยังไม่นำเสนออะไร

เนื่องจากเป็นเรื่องอะกีดะ คงต้องมีการทบทวน และเรียบเรียงถ้อยคำ เพื่อให้เข้าใจง่ายที่สุด เหมาะสมที่สุด จึงต้องใช้เวลามากกว่าการตอบกระทู้อื่นๆ
หวังว่าจะได้มีโอกาส มานำเสนออีก
อินชาอัลลอฮฺ
วัสลาม...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 22, 2009, 04:41 AM โดย Goddut »

ออฟไลน์ mjehoh

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 45
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 salam
คู่สนทนาหลักขอพักมีข้อมูลบางส่วนที่เก็บตกได้ ร่วมเสนอนะครับ

عَنْ أَبِيْ هُرَيْرَةَ رض  قَالَ: خَرَجَ عَلَيْنَا رَسُوْلُ اللهِ  ص  وَنَحْنُ نَتَنَازَعُ فِى الْقَدَرِ فَغَضِبَ حَتَّى أحْمَرَّ وَجْهُهُ حَتَّى كَأَنَّمَا فُقِئَ فِى وَجْنَتَيْهِ الرُّمَّانُ  فَقَالَ: أَبِهَذَاأُرْسِلْتُ إِلَيْكُمْ إِنَّمَاهَلَكَ مَنْ كَانَ قَبْلَكُمْ حِيْنَ تَنَازَعُوْا فِى هَذَاالأَمْرِ عَزَمْتُ عَلَيْكُمْ عَزَمْتُ عَلَيْكُمْ أَلاَّتَنَازَعُوْافِيْهِ    رَوَاهُ التِّرْمِذِي
เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์  (ร.ด.)  ได้กล่าวว่า  :  ท่านร่อซู้ล  ศ้อลฯ  ได้ออกมาหาพวกเราในขณะที่พวกเรากำลังโต้เถียงกันอยู่ในเรื่องกำหนดการของอัลเลาะห์ท่านนบีโกรธจนหน้าของท่านแดง  คล้ายกับมีผลทับทิมฝังอยู่ในแก้มทั้งสองของท่าน  ท่านได้กล่าวว่า  :  ด้วยสิ่งนีหรือที่พวกท่านถูกบัญชา  หรือด้วยสิ่งนี้หรือที่ฉันถูกส่งมายังพวกท่าน  ความจริงบุคคลที่อยู่ในยุคก่อนพวกท่านได้พินาศไปแล้วขณะที่โต้เถียงกันในเรื่องนี้  ฉันขอย้ำกับพวกท่าน  ขอย้ำกับพวกท่านว่า  พวกท่านต้องไม่โต้เถียงกันในเรื่องนี้  บันทึกหะดีษโดยท่านอิหม่ามติรมีซีย์  (จากหนังสือหะดีษซอเฮี๊ยะ โดยท่านอาจารย์ อรุณ  บุญชม)
การนำหะดีษข้างต้นขึ้นมากล่าวนำก็เพื่อให้การพูดคุยกันในเรื่องตามหัวข้อเป็นข้อมูลที่จะให้ความเข้าใจและเป็นกับมุสลิมทั่วไป  ส่วนข้อมูลเชิงลึกหากจะถกเถียงกันเพื่อผลประโยชน์อะไรก็แล้วแต่ก็เป็นความรับผิดชอบของแต่ละคนนะครับ
การเสนอข้อมูลต่อไปนี้ก็เพื่อมีส่วนเสนอความเข้าใจที่ได้รับผ่านเรียนรู้เท่าที่ตนเองพอจะมีความสามารถ  ซึ่งเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ผู้รู้ในอดีตของประเทศไทยได้ถ่ายทอดไว้ 
เราจะพบว่าเรื่องของหลักศรัทธา  “กอฏอ กอดัร”  เกิดกลุ่มที่เข้าใจในเรื่องดังกล่าวขึ้น อย่างน้อยสามกลุ่มคือ
1.   ก๊อดรียะห์
2.   ญับรียะห์
3.   อะห์ลิซซุนะห์ วัลญะมาอะห์

ดังนั้นคงเป็นเรื่องยากที่จะให้ความเข้าใจกับบุคคลที่มีพื้นฐานต่างกัน ในการนำไปสู่ความเข้าใจที่เหมือนกัน   โดยส่วนตัวแล้วเห็นด้วยกับบทสรุปของ  Goddut (ตอบกระทู้ที่ ๖๕)  ที่ยืนยันความคิดเห็นของ binti  และจากการอ้างของ binti (ตอบกระทู้ที่ ๕๙ เกี่ยวกับข้อความที่ว่า - เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องกอฏอกอดัร  ของใครแต่งไม่รู้จำไม่ได้แล้ว  แต่ท่านเปรียบเทียบให้เข้าใจเป็นพื้นฐานว่ากำหนดของอัลลอฮ์กับความสามารถของมนุษย์  เปรียบดั่ง  เราอยู่ในเรือที่แล่นอยู่กลางทะเล (เราไม่ใช่คนขับ) คือ อัลลอฮ์เป็นผุ้กำหนดว่าเรือนั้นจะแล่นไปทิศไหน ที่ใด  เราไม่สามารถรู้และกำหนดเองได้ แต่เรามีอิสระที่จะทำอะไรบนเรือนั้นก็ได้  แต่เราไม่สามารถออกนอกเรือนั้นได้   เพราะอัลลอฮ์กำหนดความสามารถมาให้เราจำกัดเฉพาะในเรือนั้น”   
ขอให้เครดิตกับผู้เรียบเรียงหน่อยนะ ผู้เรียบเรียงคือ อ.ผจญ แสงสว่าง  ผู้อำนวยการโรงเรียนอิสลามศรีอยุธยามูลนิธิ  หนังสือที่ท่านเรียบเรียงนี้ได้รับการตีพิมพ์หลายครั้ง  แต่ที่มีอยู่หนังสือชื่อ  กอฎอ-กอดัร  สภาวะที่ถูกกำหนด  เจตนารมณ์อิสระ  (มุซา แสงสว่าง เขียน)  พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ทางนำ  หน้า ๖  ไม่ปรากฏปีพิมพ์ (แนะนำสำหรับให้อ่านเพิ่มเติมครับ)

จากการนำเสนอที่อ่านมาทั้งหมดแล้วได้รับความรู้เป็นอย่างมากครับ  แต่ก็ไม่พ้นปัญหาที่ท่านศาสดา ศ้อล ฯ  ได้เตือนไว้แล้ว   โดยเฉพาะประเด็นการนำตัวบทมาเป็นหลักฐาน  ซึ่งเป็นสิ่งที่นักวิชาให้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก  และส่วนหนึ่งจากตัวบทที่นำมาทำความเข้าใจในเรื่องนี้หากไม่แยกมิติแห่งความเข้าเป็นสี่มิติดังต่อไปนี้ก็จะพบความขัดแย้งของโองการดังนี้
1.   มิติแห่งความเป็นจริง  (حُكْمُ حَقِيْقِيٌّ)   โองการตัวอย่างในมิตินี้    قُلْ كُلٌّ مِنْ عِنْدِ الله                   

ความสรุป ทุก  ๆ สิ่งนั้นอยู่ที่อัลลอฮ์  ศุบห์ ฯ
เป็นมิติที่ในหัวใจของผู้ศรัทธาจะต้องยอมรับ  ไม่ว่าอะไรมันจะเกิด มันจะไม่เกิด  มันจะดี มันจะร้าย  มันถูกกำหนดไว้แล้ว
2.   มิติแห่งมารยาท  (حُكْمُ أَدْبِيَّةُ)  โองการตัวอย่างในมิตินี้คือ
مَا أَصَابَكَ مِنْ حَسَنَةٍ فَمِنَ اللهِ وَمَا أَصَا بَكَ مِنْ سَيِّئَةٍ فَمِنْ نَفْسِكَ
ความโดยสรุป  อันความดีใด ๆ ที่ประสพแก่เจ้าแน่นอนมาจากอัลลอฮ์  ศุบห์ ฯ  และความชั่วใด  ๆ ที่ประสพกับเจ้าแน่นอนเป็นการมาจากตัวเจ้าเอง
โองการนี้จะขัดแย้งกับโองการในมิติแรกในความหมายตามตัวอักษร  แต่เนื่องจากเป็นโองการที่ต้องเข้าใจตามมิติแห่งมารยาท  อธิบายเพิ่มเติมคือ  โดยมิติแห่งความเป็นจริงเราต้องเชื่อว่า ดีชั่วมาจากอัลลอฮ์  แต่ด้วยมารยาทเราจะไม่พูดอย่างนั้น  เพราะผิดมารยาท   โองการข้างต้นจึงบอกให้เราเข้าใจว่า มารยาทที่มนุษย์จะใช้สื่อสารทำความเข้าใจนั้นต้องระมัดระวัง  มีประโยคธรรมดามากมายที่เราไม่สามารถพูดตามความเป็นจริงได้  เพราะผิดมารยาท เช่น  เราพูดว่า  “เราคลอดจากครรภ์มารดา”  เราไม่พูดว่าเราคลอดจาก...............มารดา  ซึ่งเป็นความจริงแต่ต้องไม่พูดเพราะผิดมารยาท
3.   มิติแห่งบทบัญญัติ  (حُكْمُ شَرْعِيَّةُ)  โองการตัวอย่างในมิตินี้คือ 
فَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًايَرَهُ وَمَنْ يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّا يَرَهُ
ความสรุป  ผู้ใดปฏิบัติความดีแม้แต่เท่าผงธุลีเดียว เขาจะได้ประจักษ์  และผู้ใดปฏิบัติความชั่วเพียงเท่าผงธุลีเดียว เขาก็จะได้ประจักษ์
โองการในมิตินี้เพื่อยืนยันว่าความรับผิดชอบในความดีความชั่วเป็นหน้าที่ของมนุษย์  ที่ต้องเรียนรู้ตามข้อกำหนดที่ท่านศาสดาได้วางเป็นบทบัญญัติไว้  และมนุษย์จะได้รับผลตอบแทนตามที่บัญญัติไว้
4.   มิติแห่งปกติวิสัยตามปรากฏบนสภาพของมนุษย์  (حُكْم عَادِيَّةٌ)   โองการตัวอย่างในมิตินี้คือ
لاَيُكَلِّفُ اللهُ نَفْسًا إِلاَّ وُسْعَهَا
ความสรุป อัลลอฮ์จะไม่ให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเว้นแต่ตามสิ่งที่เขาอุตสาหะไว้


ครับทั้งหมดที่เสนอมานั้นเป็นสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดจากนักวิชาการประเทศไทยยุคอดีต  การแบ่งมิติดังกล่าวนำมาจากท่านอาจารย์  สมหวัง  มูเนาวเราะห์  อัลลอฮูยัรฮัม  โดยท่านอาจารย์สรุปว่า “การที่เรานำโองการใดมาพูดในเรื่องใดก็ให้พิจารณาเพื่อสื่อถึงเป้าหมายของโองการว่าเกี่ยวกับมิติใด  และจะเอี๊ยะก๊อดในมิติใด”
ไม่ผิดใช่ไหมครับที่ผมจะพูดว่า  “ที่ผมหายปวดหัวเพราะผมกินยาพาราเซ็ตตามอล”  โดยยึดไปตามมิติ แห่งปกติวิสัย (حُكْمُ عَادِيَّةُ)  แต่มันผิดแน่นอนหากผมยึดตามหลักแห่งความเป็นจริง (حُكْمُ حَقِيْقِيَّةٌ) และมันผิดด้วยหรือถ้าผมจะพูดว่าความชั่วมันมาจากผมเพราะผมถือว่ามันอยู่ในมิติแห่งมารยาท (حُكْمُ أَدْبِيَّةٌ)  โดยไม่ได้ปฏิเสธมิติแห่งความเป็นจริงว่า  ทุก ๆ  สิ่งมาจากอัลลอฮ์ ศุบห์   และที่สุดผมต้องรับผิดชอบความดีความชั่วในฐานะมนุษย์ที่มีสติปัญญาที่พบทางนำแห่งพระเจ้าและต้องปฎิบัติตามมิติแห่งบทบัญญัติ (حُكْمُ شَرْعِيَّةُ)  โดยรับผิดชอบตามบทบัญที่ได้กำหนดไว้  และท้ายสุดผมก็คงไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆทั้งสิ้น ถ้าสิ่งต่าง ๆที่มันเป็นไปทั้งหมด ไม่ได้อยู่วิสัยที่ผมจะเรียนรู้และปฏิบัติได้ ตามมิติแห่งปกติวิสัย  และหวังในสิ่งสุดท้ายคือการให้อภัย และความเมตตาจากพระองค์

อีกความเห็นหนึ่งที่ต้องการคำเสนอแนะเพื่อสู่สัจธรรมแห่งอิสลาม
วัสสลาม

 

GoogleTagged