ผมก็อยากได้คำตอบเคลียร์ๆ เหมือนกัน แต่สำหรับผม ก็เหมือนขนมไหว้พระจันทร์ กระยาสาตร เขาไม่ได้ทำไหว้เจ้า เจาไม่ได้ทำบูชาใคร แต่ทำอาหารที่ไม่มี เนื้อ ถ้ากินไม่ได้ ก็ไม่ต้องกิน ขนมเปี๊ยะ ขนมอะไรกันล่ะ
เคยอ่านเจอของอาจารย์บรรจงว่า
ถาม:
อัสลามุอาลัยกุม ผมมีคำถามอีกแล้วครับเรื่องนี้เกี่ยวกับอาหารเจ ผมอยากทราบว่ามุสลิมเราสามารถทานอาหารเจได้หรือไม่ถ้าเรามั่นใจแล้วว่าไม่มีส่วนผสมของสิ่งฮะรอม กระทะ หม้อ เครื่องมือต่างๆไม่ได้ผ่านการใช้งานจากอาหารฮะรอม
เนื่องจากพื้นที่ที่ผมอยู่มุสลิยังมีน้อยบางครั้งก็ไปซื้ออาหารเจมากินเพราะคิดว่าถ้าไม่มีสิ่งฮะรอมปนเปื้อนก็ไม่น่าเป็นอะไรประกอบกับอาจารย์ก็บอกว่าขนมไหว้พระจันทร์กินได้ด้วยผมก็ค่อนข้างมั่นใจ
แต่พอดีวันนี้ไปเจอเว็บนึงบอกว่า อาหารเจกินไม่ได้เนื่องจากเป็นอาหารในเทศกาลทางศาสนา(ทั้งๆที่ก็ไม่ได้เอาไปไหว้อะไร)ผมเลยสังสัยมากครับ ถ้าว่ากันแบบนี้แล้วขนมไหว้พระจันทร์ก็กินไม่ได้สิครับ อย่างนั้นกระยาสารทก็ด้วย ขนมที่มีในบางเทศกาลก็กินไม่ได้อีก
สรุปว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่ครับ รบกวนด้วยนะครับ
ตอบ:
วะอะลัยกุมสะลามครับ
ข้อพิจารณาผมมีอย่างนี้ครับ
1) เรื่องฮะลาลและฮะรอมนั้นอัลลอฮฺเป็นคนกำหนด ถ้าสิ่งใดที่ไม่มีระบุไว้ว่าเป็นที่ต้องห้าม ก็ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะมาบอกว่าเป็นที่ต้องห้ามครับ
2) อาหารที่ถูกนำไปไหว้เจ้าเท่านั้นครับที่เป็นที่ต้องห้าม ถ้าไม่ได้นำไปไหว้ก็ไม่เป็นที่ต้องห้าม ถ้าจะเหมาหมดก็วุ่นวายครับ ถ้าจะเหมาเอาส้มที่คนจีนเอาไปไหว้เจ้ามาเป็นตัวกำหนดว่าส้มทั้งหมดเป็นที่ต้องห้าม เราก็คงไม่ได้กินส้มกัน คนจีนถือว่าส้มเป็นผลไม้มงคลและเวลาจะไหว้เจ้าก็ใช้ 4 ลูก คนจึนจะเชื่ออย่างนั้นก็เป็นเรื่องของคนจีน เรากินส้มก็เพราะว่ามันไม่เป็นที่ต้องห้าม เจตนามันต่างกันครับ
3) ถ้าคุณตกอยู่ในสภาวะคับขัน ไม่มีอะไรจะกินจริงๆ อย่าว่าแต่อาหารเจเลยครับ หมูก็กินได้
4) ถ้าคุณสงสัยและไม่สบายใจ หากเลี่ยงได้ คุณก็อย่าไปกิน ก็สิ้นเรื่องครับ
ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณครับ แต่ก่อนกินอย่าลืมกล่าวบิสมิลละฮฺก็แล้วกันนะครับ
- - - - - - - -
http://www.thaimuslimshop.com/webboard/viewthread.php?tid=1617
ถาม:
อัสลามุอาลัยกุม ผมมีคำถามอีกแล้วครับเรื่องนี้เกี่ยวกับอาหารเจ ผมอยากทราบว่ามุสลิมเราสามารถทานอาหารเจได้หรือไม่ถ้าเรามั่นใจแล้วว่าไม่มีส่วนผสมของสิ่งฮะรอม กระทะ หม้อ เครื่องมือต่างๆไม่ได้ผ่านการใช้งานจากอาหารฮะรอม
เนื่องจากพื้นที่ที่ผมอยู่มุสลิยังมีน้อยบางครั้งก็ไปซื้ออาหารเจมากินเพราะคิดว่าถ้าไม่มีสิ่งฮะรอมปนเปื้อนก็ไม่น่าเป็นอะไรประกอบกับอาจารย์ก็บอกว่าขนมไหว้พระจันทร์กินได้ด้วยผมก็ค่อนข้างมั่นใจ
แต่พอดีวันนี้ไปเจอเว็บนึงบอกว่า อาหารเจกินไม่ได้เนื่องจากเป็นอาหารในเทศกาลทางศาสนา(ทั้งๆที่ก็ไม่ได้เอาไปไหว้อะไร)ผมเลยสังสัยมากครับ ถ้าว่ากันแบบนี้แล้วขนมไหว้พระจันทร์ก็กินไม่ได้สิครับ อย่างนั้นกระยาสารทก็ด้วย ขนมที่มีในบางเทศกาลก็กินไม่ได้อีก
สรุปว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่ครับ รบกวนด้วยนะครับ
ตอบ:
วะอะลัยกุมสะลามครับ
ข้อพิจารณาผมมีอย่างนี้ครับ
1) เรื่องฮะลาลและฮะรอมนั้นอัลลอฮฺเป็นคนกำหนด ถ้าสิ่งใดที่ไม่มีระบุไว้ว่าเป็นที่ต้องห้าม ก็ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะมาบอกว่าเป็นที่ต้องห้ามครับ
2) อาหารที่ถูกนำไปไหว้เจ้าเท่านั้นครับที่เป็นที่ต้องห้าม ถ้าไม่ได้นำไปไหว้ก็ไม่เป็นที่ต้องห้าม ถ้าจะเหมาหมดก็วุ่นวายครับ ถ้าจะเหมาเอาส้มที่คนจีนเอาไปไหว้เจ้ามาเป็นตัวกำหนดว่าส้มทั้งหมดเป็นที่ต้องห้าม เราก็คงไม่ได้กินส้มกัน คนจีนถือว่าส้มเป็นผลไม้มงคลและเวลาจะไหว้เจ้าก็ใช้ 4 ลูก คนจึนจะเชื่ออย่างนั้นก็เป็นเรื่องของคนจีน เรากินส้มก็เพราะว่ามันไม่เป็นที่ต้องห้าม เจตนามันต่างกันครับ
3) ถ้าคุณตกอยู่ในสภาวะคับขัน ไม่มีอะไรจะกินจริงๆ อย่าว่าแต่อาหารเจเลยครับ หมูก็กินได้
4) ถ้าคุณสงสัยและไม่สบายใจ หากเลี่ยงได้ คุณก็อย่าไปกิน ก็สิ้นเรื่องครับ
ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณครับ แต่ก่อนกินอย่าลืมกล่าวบิสมิลละฮฺก็แล้วกันนะครับ
- - - - - - - -
http://www.thaimuslimshop.com/webboard/viewthread.php?tid=1617
เห็นด้วยกับข้างบน
มังสวิรัติ ก็จะมีไข่ได้ แต่แค่ไม่มีเนื้อสัตว์เท่านั้น ซึ่งอาหารเจนั้นแตกต่าง
ผู้ค้า ตามร้านถ้าเขาขายเฉพาะเทศกาลเจ ส่วนใหญ่จะนำกะทะสำหรับทำอาหารเจมาปรุง ส่วนกะทะที่เคยทำอาหารอื่นก็เก็บไป
ส่วนร้านอาหารที่เราทานได้ ก็จะเป็น ร้านอาหารเจที่ดีคือ ร้านอาหารเจ ที่เป็นเจตลอดปี ไม่มีหน้าเทศกาล
เพราะร้านเหล่านั้น จะไม่มีเนื้อสัตว์ตลอดปีอยู่แล้ว ( รวมทั้งไข่ และเนย นม )
อนึ่งประเพณีกินเจในปัจจุบันได้คลาดเคลื่อนไปอย่างมาก เช่นในเทศกาลกินเจเหล่านี้
ในอดีตที่เคยมีอยู่ เป็นเทศกาลที่ผู้รับประทานเจจะต้องถือศีลไปด้วย เช่นศีล 5 ศีล 8 หรือศีลอื่นๆด้วยกัน
เปรียบเสมือนเดือนรอมฎอนของเราก็ว่าได้ ซึ่งเขาเรียกว่า "ถือศีลกินเจ" หรือ "คนกินเจไม่พูดปด" เป็นต้น
แต่ในปัจจุบันนั้น อาหารเจ ถูกบัญญัติ เป็นอาหารชนิดหนึ่ง ซึ่งหมายถึง อาหารประเภท พืชผักผลไม้
หรือ อาหารเจ นั้นเป็น อาหารประเภทชีวจิต นั่นเอง...
อาหารเจ ที่จริงจะไม่ปรุงด้วยของที่เหม็น หรือฉุน เช่น กระเทียม หอม ซึ่งนั่นในอิสลามถือว่าเป็นของที่มักโระห์เมื่อรับประทานเข้าไปจะทำให้มีกลิ่นเช่นกัน
และการรับประทานอาหารเจ หรืออาหารชีวจิตนั้น ก็ยังสามารถช่วยในการดูแลรักษาร่างกายของบุคคลที่เป็นโรคได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังมีประโยชน์ต่อร่างกายจากการปรุงอาหารกับวัตถุดิบเหล่านี้มากมาย
สรุปแล้ว อาหารเจ ก็คือ อาหารชีวจิต แต่ที่ถูกเรียกต่างไปนั้นก็เพราะเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารนั้นจะไม่มี เนื้อนมไข่ เข้ามาเจอปน
รวมทั้งป้ายของอาหารเจ ก็จะทำให้ผู้ค้ารู้ว่า พวกเขา(ที่ทานเจ) ก็สามารถเข้าร้านนี้ได้ ซึ่งไม่มีผลอะไรกับทางด้านศาสนา
วัลลอฮฺอะลัม
วัสลาม...
มีประสบการณ์บางอย่างอยากจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ...
เพราะข้าน้อยทำงานอยู่ในเขตและสถานการณ์ไม่เป็นใจให้กินอาหาร
ที่ทำด้วยมุสลิมได้...
มีตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นนะคะ...
ในเวลาพักเที่ยงระหว่างวันทำงานนั้น รอบๆบริเวณนั้นไม่มีร้านมุสลิม
มีแต่เซเว่น แล้วเซเว่นค่ะ และใกล้ๆนั้นมีร้านเจ(ซึ่งเป็นร้านทีี่จะทำอาหารเจ
เฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น) กับอีกร้านนึง เป็นร้านเวจเจ็ตทาเรียน(Vegetarian)
ซึ่งเป็นร้านของคนที่กินแต่ผัก และเจ้าของร้านเป็นพวกกินผักมาตลอด
ไม่ได้กินเฉพาะเทศกาล...เมื่อสืบสาวราวเรื่องได้แล้วก็เดินเข้าไปในร้านvegetarian
ซึ่งเมื่อก่อนลูกค้าเข้าร้านเขาน้อยมาก และส่วนใหญ่ที่เข้าไปกินก็เป็นพวกฝรั่ง
เราคนไทยหลายคนยังมีความเชื่อกันอยู่ว่า คนจีนเท่านั้นที่กินเจ
แต่ใครจะรู้ว่า ฝรั่งอย่างมากมายนั้นเป็นพวกกินแต่ผัก ฝรั่งที่กินผัก
ไม่ได้เกิดมาจากความเชื่อของศาสนาเป็นที่ตั้ง แต่เขาชอบกินผัก
เพราะมันคืออาหารชีวจิต มีประโยชน์ ย่อยง่าย คนที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินอาหาร
จะเป็นผลดีมากหากเลือกกินแต่ผัก และงดเนื้อสัตว์ซึ่งย่อยยาก
จึงเห็นแต่พวกฝรั่งเข้าไปนั่งกินกัน...จนเกิดคำถาม เลยถามเจ้าของร้าน
เจ้าของร้านบอกว่า เขาทำร้านนี้ขึ้นมาเพื่อคนกินผัก คนชอบผัก
และต้องการจะลบภาพพจน์ของคำว่า อาหารเจไม่อร่อยออกไปจากความคิด
ของคนส่วนใหญ่ให้ได้ ร้านพี่ไม่ใช่ร้านอาหารเจ แต่เป็นร้านของคนกินแต่ผัก
ใครไม่กินเนื้อหรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ ก็เข้ามากินร้านพี่ได้ เพราะในนี้ไม่มีอะไร
ที่เกี่ยวกับสัตว์ มันมีแต่ผักล้วนๆ...นี่คืออุดมการณ์ของร้านพี่ ซึ่งก็คือ ร้านขายอาหาร
ที่ทำจากผักล้วนๆ...ซึ่งไม่เกี่ยวกับเทศกาลถือศีลกินเจอะไร...
เพราะพี่จะทำมันไปตลอด น้องจึงเห็นฝรั่งเข้าร้านพี่เยอะกว่า
คนจีนหรือญี่ปุ่น...และน้องไม่ใช่มุสลิมคนแรกที่เข้าร้านพี่
และมุสลิมก็มักจะถามพี่เกี่ยวกับกรรมวิธีในการทำ เครื่องมือในการทำ
จนพี่รู้ว่ามุสลิมจะไม่กินอาหารที่มีส่วนผสมของหมูและเนื้อสัตว์
ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าด้วยมุสลิม...ดังนั้นภาชนะทุกอย่างจึงถูกเพ่งเล็งด้วย
และของพี่ไม่มีอะไรที่เปื้อนเนื้อ เพราะที่พี่ไม่กินเนื้อ
มันเกิดจากความรู้สึกสงสารสัตว์ ไม่กล้ากินมัน พี่กินมันไม่ลง
แล้วจะให้พี่เอาเนื้อมันมาหั่นบนเขียงของพี่ เอามีดลงบนเนื้อหนังของมันได้อย่างไร
พี่เขาจึงพยายามคิดค้นเมนูผักให้อร่อย
และบอกว่า พี่จะเลือกทุกอย่างที่ไม่มีเนื้อสัตว์หรือมาจากสัตว์เลย
เพราะพี่คือพวกไม่กินสัตว์ ดังนั้น นมก็ต้องเป็นนมถั่วเหลือง
น้ำมันก็ต้องเป็นน้ำมันพืช ซอสก็ต้องซอสที่ทำมาจากถั่วเหลือง
และพี่ไม่ทำเมนูไข่ ลูกค้าจะสั่งเมนูไข่ไม่ได้...อะไรที่เกี่ยวกับสัตว์
พี่ไม่ยุ่ง...และอาหารของพี่เขาอร่อยค่ะ จากปกติไม่ชอบกินผัก
ก็ชอบกินผัก และกินผักได้หลากหลายมากขึ้นเรื่อยๆ...
ยังเคยถามเลยว่า อาหารพี่ผ่านการไหว้เจ้ารึเปล่าคะ...
เขาก็บอกว่าไม่นะ พี่ทำอาหารขายไม่ได้ทำไว้บูชาสิ่งใด...
ก็อยากให้คนกินมีสุขภาพดี มีความสุข ไม่เบียดเบียนสัตว์ผู้น่าสงสาร...
ก็เลยมานั่งถามว่า...เราจะกินผักในร้านนี้ไม่ได้อย่างไร
ในเมื่อยังหาอะไรที่มาห้ามตามหลักศาสนาไม่ได้
และหากเลือกได้ ทำไมเราจะไม่เลือกกินของคนศาสนาเดียวกัน
แต่ในเมื่อตอนนี้ มันมีตัวเลือกแค่นี้ และแค่นี้ที่ได้เลือกก็ถือว่าอัลลอฮฺเมตตาแล้ว
ก็ไปกินอาหารที่นั่นนะคะ...เพราะไม่อาจอดอาหารได้
เนื่องจากร่างกายต้องการสารอาหารในการที่จะสู้รบการงานที่ทำ
หากเรากินอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ร่างกายของเราต้องทรุดโทรมลง อัลลอฮฺคงไม่ประสงค์ให้เราต้องยุ่งยาก
ต่อการใช้ชีวิตขนาดน้ันหรอกค่ะ...
พระองค์ให้ทางเลือกแก่เราเสมอ และเราก็คิดเสมอว่า
ต้องการทางเลือกที่ดีที่สุดที่สามารถเลือกได้ ณ ตอนนั้น...
ก็แล้วแต่ใครจะตัดสินเลือกสิ่งใด เพราะสุดท้าย ทุกการตัดสินใจ
จะได้รับการตัดสินในวันพิพากษาน่ะค่ะ...
แล้วที่น่าสลดและอยากให้พี่น้องมุสลิมเราตระหนักอีกสักนิดนึง
ก็คือ...
ข้าน้อยเคยมีประสบการณ์ร้ายแรงถึงขั้นเกือบเอาชีวิตไม่รอด
กับการกินอาหารของพี่น้องมุสลิมเราร้านนึงมา
เพราะเชื่อว่า มุสลิมด้วยกัน อะล้าลและปลอดภัยชัวร์
แรกๆคิดว่าเป็นเพราะตัวเองธาตุอ่อน กินอะไรนิดหน่อย
ก็ท้องร่วง แต่เพราะกินบ่อยและกินร้านนั้นประจำ
จนวันนึงก็ซื้ออาหารจากร้านนั้นมากินเหมือนปกติ
แต่คืนนั้นไม่ปกติ เพราะว่าทั้งอาเจียนทั้งท้องเสียชนิดฉับพลัน
เกือบหมดแรงและเกือบหมดลมในคืนนั้น...
ตอนนั้นได้แต่นึกถึงอัลลอฮฺ ขอให้เรารอดพ้นความทุกข์ทรมานนี้
ไปได้...และเพื่อนก็เข้ามาช่วยเพราะก่อนหน้านั้นคิดถึงพ่อกับแม่
กลัวว่าจะตายไปโดยไม่ได้ได้ยินเสียงของท่านทั้งสอง
และพยายามกดโทรศัพท์หาท่าน...บอกท่่านคร่าวๆตามแรง
ที่ยังพอเหลืออยู่...
พ่อกับแม่ก็เลยโทรไปหาเพื่อนสนิทของข้าน้อย เพื่อนมาหา
แล้วช่วยเหลือ...อัลฮัมดุลิลลาฮฺ รอดมาได้...
แล้วเพื่อนก็ถามหาสาเหตุว่า ทำไม ไปกินอะไรมา
ก็เลยเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนเลยบอกว่า ร้านนั้นเขาทำไม่สะอาด
ไปกินทำไม ทำไมไม่สังเกตดูว่าข้าวของ ผักและเนื้อสัตว์
ของเขาเก็บไว้ยังไง เห็นๆอยู่ว่าเขาไม่จัดการมันให้สะอาด
หนูก็วิ่งเพ่นพ่านไปมา แล้วนี่ซื้อมากินบ่อยแค่ไหน
เลยบอกเพื่อนไปว่า แทบทุกวัน เพื่อนเลยบอกว่า...
งั้นไม่แปลกที่หมอบอกว่า อาหารเป็นพิษ และพิษนั้นก็สะสม
ในร่างกายมาจนถึงสภาพที่ร่างกายมันต้านไม่ไหว
เลยเกิดอาการเฉียบพลัน...
หลังจากนั้นเลยเลิกกินอาหารร้านนั้นไปเลย
และเลิกกินอาหารตามสั่งที่ดูแล้วไม่ได้มาตรฐาน
ด้านควาสะอาดด้วย ไม่ว่าจะเป็นร้านมุสลิมหรือไม่ก็ตาม
เพราะเจ้าของร้านไม่รับผิดชอบเราเลย...
เขาไม่คิดเผื่อเราเลยว่า เราอาจจะตายได้ด้วยอาหารของเขา
แน่นอนว่าเนื้อนั้นอะล้าล คนทำก็อะล้าล กรรมวิธีก็อะล้าล
เพราะคนทำอะล้าล แต่ที่ร้านมุสลิมร้านนั้นพลาดครั้งยิ่งใหญ่
ก็คือ เขาไม่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า
เขาเลือกผักที่ไม่ปลอดสารพิษมาปรุงอาหาร
เขาไม่เก็บผักและของให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ...
และเขาไม่รักษาความสะอาด ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานของ
งานทุกอย่าง...
และเราคนซื้อก็ผิดพลาดที่ไม่ดูให้ดี ไม่เลือกให้ดี
ในสิ่งที่ดีก็มีสิ่งที่ดีกว่าเสมอ...
เพื่อนยังแนะนำเลยว่าให้ไปแจ้งความเอาเรื่องกับเขาได้
เพราะทำเราเกือบตาย...
แต่ข้าน้อยไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะเราเองก็ผิด
ผิดที่ไม่ดูให้ดี ทั้งๆที่เรายังมีสิทธิ์เลือกอย่างอื่นได้อยู่...
และเชื่อว่า อัลลอฮฺเห็นทุกอย่าง เลยมอบหมายให้พระองค์
เพราะก็ไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นว่าใช่ร้านนั้นเป็นต้นเหตุ
ให้เราทรุดเกือบตายหรือเปล่า...มันเอาแน่ชัดลงไปไม่ได้...
แต่หลังจากหายเป็นปกติแล้วเดินผ่านไปทางร้านนั้น
ก็เห็นร้านนั้นปิดตัวลงไปแล้ว ปิดตัวไปโดยที่ข้าน้อยไม่ได้
พบเจอเขาอีกเลยหลังจากที่ท้องเสียข้ันรุนแรง
และเขาก็ไม่เคยรู้เลยว่าข้าน้อยท้องร่วงขั้นรุนแรง
แน่นอนว่าเจ้าของร้านกับข้าน้อยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
คุยกันดีมาตลอด และเขาก็ใจดีกับข้าน้อยในหลายๆเรื่อง...
แต่เราก็ต้องแยกแยะระหว่างความสัมพันธ์ด้านอื่น
กับด้านการงานหรือกิจการที่เขาทำ...
เพราะตอนนั้นรู้สึกว่าไม่อยากให้ใครต้องมาประสบพบเจอกับ
เหตุการณ์ร้ายๆอย่างตัวเองอีก...แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
จะไปพูดกับเจ้าของร้านอย่างไรให้ละมุนละไมที่สุด
ให้เขาใส่ใจลูกค้ามากกว่านี้อีกหน่อยอย่างไรดี...
แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูด...เพราะเขาปิดร้านไปก่อน...
ซึ่งมารู้ภายหลังว่าเขามีปัญหาครอบครัวและปัญหาหลายอย่าง
รุมเร้า ลูกค้าหาย ไปไม่รอด เลยต้องปิดร้านไป...
ก็ให้นึกไปถึงอัลลอฮฺ
พระองค์ทรงอำนาจสิทธิ์ขาดในทุกกิจการเสมอ...
และทรงเป็นผู้ที่เราจะมอบหมายทุกอย่างได้อย่างดี...
ซึ่งข้าน้อยเป็นคนนึงที่จะให้เกียรติกับทุกคนที่ปฏิบัติดี
คิดดีต่อคนอื่น...
แม้คนๆนั้นมิใช่คนที่เป็นมุสลิมเหมือนกับข้าน้อย...
และสามารถเป็นมิตรกับทุกคนได้ ตราบเท่าที่เขา
ยังไม่ประกาศศึกกับข้าน้อยในด้านศาสนา...
เพราะเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนในโลกนี้คือลูกหลานของนบีอาดัม
บรรพบุรุษของข้าน้อย...เราสามารถรักและเมตตาเขาได้
เอ็นดูเขาได้ และขอดุอาฮฺให้อัลลอฮฺนำทางเขาได้...
สามารถทำสิ่งดีๆให้กับเขาได้...
แน่นอนว่า มุสลิมเป็นพี่น้องร่วมศาสนาของข้าน้อย
แต่ก็ไม่เคยลืมว่า มนุษย์คนอื่นๆก็เป็นพี่น้องร่วมโลกของข้าน้อย
เช่นกัน...อัลลอฮฺสร้างพวกเขามาเหมือนกัน...
ซึ่งการอยู่ร่วมกันระหว่างเรากับเขานั้นย่อมมีขอบเขต
และความเหมาะสม...ซึ่งเราต้องศึกษาขอบเขตนั้น
มิใช่เลือกที่จะไม่คบหากับเขา เพียงเพราะเขาไม่เหมือนเรา
เพราะเราอาจจะพลาดบางอย่างในชีวิตไป
เนื่องจากเพื่อนรักของข้าน้อยกลับเนื้อกลับตัวเข้ารับอิสลาม
เพราะเราเปิดใจคบหาเขา ไม่ได้รังเกียจเขา
อธิบายความเป็นเราให้เขาฟัง...และขอดุอาฮฺจากอัลลอฮฺ
ให้นำทางเขาอยู่เสมอๆ...ก็อัลฮัมดุลิลลาฮฺค่ะ...
ตอนนี้อัลลอฮฺนำทางเขามาไกลจากแต่ก่อนมาก...
เขาปฏิเสธทุกอย่างที่เขาเคยสักการะมาได้แล้ว
เหลือแค่การศึกษาอิสลามให้ถ่องแท้เท่านั้น
และนั่นคือหน้าที่ของสามีของเขาที่จะคอยประคับประคองเขา
และเป็นหน้าที่ของข้าน้อยในฐานะเพื่อน
และพ่ีน้องร่วมศาสนาที่ต้องช่วยเหลือเขา...
และที่ได้รับข่าวดีอีกอย่างก็คือ ยายซึ่งเป็นแม่ของพี่สาว
เจ้าของร้้านเจที่ว่าก็กำลังศึกษาอิสลาม เพราะสนใจอิสลาม
และตั้งใจจะเข้ารับอิสลาม เลยขอคำแนะนำจากข้าน้อย
อยู่เป็นประจำเวลาที่ข้าน้อยไปที่ร้าน...
บอกว่าท่านอายุมากขนาดนี้แล้วจะต้องคลุมฮิญาบอีกรึเปล่า
ข้าน้อยเลยบอกว่า คงต้องคลุมค่ะยาย และบอกซ้ำด้วยว่า
หากยายได้คลุมฮิญาบแล้วยายจะรู้สึกว่า มันคืออาภรณ์
ที่มีเกียรติ...เหมือนที่หนูรู้สึก...
ในชีวิตเรามีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ตลอด
เราอาจไม่คาดคิดว่า ยายอายุ 70+มีความคิด
จะเปลี่ยนศาสนา เปลี่ยนแปลงตัวเองจากสิ่งที่เคยชิน
มาตลอด...เพราะยายเป็นคนนึงที่ชอบศึกษาหาความรู้
แม้แต่คอมพิวเตอร์ ยายก็ยังใช้เป็น เล่นเนตเป็น
แถมยังเชตได้ด้วย...เล่นเฟสก็ได้...เลยรู้จักมีเพื่อนเป็นมุสลิม
ในหลายๆประเทศ ยังไปมาหาสู่ต่อกัน ยายไม่เคยหยุด
ที่จะเรียนรู้ และก็สนใจอิสลาม เลยขอคำแนะนำจากข้าน้อย
ที่ท่านเริ่มสนิทใจกล้าเปิดอกคุยเรื่องส่วนตัวได้ในระดับหนึ่ง...
ก็ได้แต่ขอดุอาฮฺจากอัลลอฮฺให้เปิดทางนำให้ยาย...
ท่านรอซู้ล ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ช่วยประชาชาติของท่านมาเป็นล้านๆคนให้เข้าใจอิสลาม
ให้เข้ามาอยู่ในร่มเงาอิสลามได้ ท่านเป็นความเมตตา
จากอัลลอฮฺที่มีมายังดุนยานี้...
เราที่เกิดมาเป็นมุสลิม ช่วงชีวิตนึง เราก็น่าจะทำตามท่าน
เพื่อช่วยให้ลูกหลานนบีอาดัมได้กลับเนื้อกลับตัว
สู่แนวทางของอัลลอฮฺให้ได้บ้างแม้จะสักคนหรือสองคน...
หรือแม้แต่ไปสะกิดใจเขาสักนิดก็ยังดี...
การหนีเขาหรือรังเกียจพวกเขาย่อมไม่อาจทำให้เรา
ทำหน้าที่นั้นได้สำเร็จฉันใด กำแพงแห่งความเกลียดชังนั้น
ก็จะเป็นตัวขวางกั้นเรากับเขาไม่ให้พบเจอกันได้ฉันนั้น...
เพราะกีี่มากคนแล้วที่เคยเป็นศัตรูกับอิสลาม ต่อต้านอิสลาม
แล้วท้ายที่สุดก็เข้ารับอิสลาม ยอมจำนนท์ต่ออัลลอฮฺ
ด้วยหัวใจนอบน้อม...ด้วยเหตุแห่งความรู้สึกที่ได้รับรู้ได้ถึง
ความรักความเมตตาจากอัลลอฮฺ...และรับรู้ถึงความหวังดี
ปรารถนาดีของท่านนบีมุฮัมหมัด ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม
ที่มีต่อเราประชาชาติในยุคสุดท้ายนี้...
วัสลามค่ะ