ผู้เขียน หัวข้อ: บิดอะห์จริงหรือ  (อ่าน 5281 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ผู้ก่อการดี

  • บุคคลทั่วไป
บิดอะห์จริงหรือ
« เมื่อ: พ.ค. 08, 2007, 11:03 PM »
0

คืออย่างนี้ครับผมไปอ่านเจอเลยอยากถามอาจารย์หน่อยครับว่าการสลามหลังละหมาดเสร็จแล้วเป็นบิดอะห์หรือเปล่า...


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 21, 2009, 05:49 AM โดย al-azhary »

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
Re: บิดอะห์จริงหรือ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ม.ค. 21, 2009, 05:54 AM »
0
بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم

اَلْحَمْدُ للهِ رَبِّ الْعَالَمِيْنَ وَ الصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ عَلىَ سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍ وَعَليَ آلِهِ وَصَحْبِهِ أَجْمَعِيْنَ ،،، وَبعْدُ ؛

การจับมือซึ่งกันและกันหลังจากเสร็จสิ้นจากละหมาดนั้น  อยู่ในแง่ของฮุกุ่มมุบาห์และเป็นการชอบให้กระทำ(มุสตะฮับ)  แต่ผู้จับมือไม่สมควรเชื่อว่า  การจับมือหลังละหมาดเสร็จนั้น  เป็น(องค์ประกอบ)ส่วนหนึ่งที่ทำให้ละหมาดสมบูรณ์หรือเป็นสุนัตของละหมาดที่ได้รายงาน(เจาะจง)มาจากท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

บรรดาอุลามาอ์ที่กล่าวว่า  ชอบให้กระทำ(มุสตะฮับ) นั้น  พวกเขามักจะกล่าวหลักฐานจากหะดิษที่รายงานโดยท่านอัลบุคอรีย์  จากท่านอบีญุฮัยฟะฮ์  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ   ซึ่งเขากล่าวว่า

خَرَجَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وآله وسلم بِالْهَاجِرَةِ إِلَى الْبَطْحَاءِ ، فَتَوَضَّأَ ، ثُمَّ صَلَّى الظُّهْرَ رَكْعَتَيْنِ وَالْعَصْرَ رَكْعَتَيْنِ وَبَيْنَ يَدَيْهِ عَنَزَةٌ ، وَقَـامَ النَّاسُ فَجَعَلُوا يَأْخُذُونَ يَدَيْهِ فَيَمْسَحُونَ بِهَا وُجُوهَهُمْ قَـالَ أبـو جحيفة : فَأَخَذْتُ بِيَدِهِ فَوَضَعْتُهَا عَلَى وَجْهِي ، فَإِذَا هِيَ أَبْرَدُ مِنَ الثَّلْجِ وَأَطْيَبُ رَائِحَةً مِنَ الْمِسْكِ

"ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้ออกไปยังอัลบัฏฮาอ์ (ซึ่งเป็นสถานหนึ่งที่อยู่นอกเขตมักกะฮ์)ในช่วงที่ร้อนระอุ(หลังจากเที่ยงวันแล้ว)  ดังนั้น  ท่านนบีได้อาบน้ำละหมาด  จากนั้น  ท่านได้ทำการละหมาด(รวม)ซุฮริและอัสริอย่างละสองร่อกะอัต  โดยที่เบื้องหน้าของท่านมีไม้เท้า(ครึ่งหอกปักอยู่) และ(เมื่อละหมาดเสร็จแล้ว)บรรดาผู้คนก็ได้ยืนขึ้นและพวกเขาก็ได้จับสองมือของท่านนบี  แล้วนำสองมือของท่านนบีมาลูบที่ใบหน้าของพวกเขา  ท่านอบูญุฮัยฟะฮ์  กล่าวว่า  ฉันได้จับมือของท่านนบี  แล้วนำมาวางบนใบหน้าของฉัน  ทันใดนั้น  มือของท่านนบีเย็นยิ่งกว่าหิมะและหอมยิ่งกว่าน้ำหอมชะมดเชียง" รายงานโดยบุคอรีย์ (3553)

ท่านอัลมุฮิบ อัลฏ๊อบรีย์ (เสียชีวิตปี ฮ.ศ. 694)  ได้กล่าวว่า "ดังกล่าวนับว่าเป็นสิ่งที่คุ้นเคยกัน  เพราะบรรดาผู้คนได้กระทำการจับมือหลังจากเสร็จสิ้นจากบรรดาละหมาดญะมาอะฮ์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในละหมาดอัสริและมัฆริบ  หากการกระทำดังกล่าวนั้นพร้อมด้วยเจตนาอันดีงาม  ความมีศิริมงคล  ความรักใคร่กลมเกลียวกัน  และอื่น ๆ "

ท่านอิมามอันนะวาวีย์  ได้เลือกเฟ้นทัศนะนี้ไว้ในหนังสือ  อัลมัจญ์มั๊วะของท่านว่า "การจับมือซึ่งกันและกันกับผู้ที่อยู่พร้อมกับเขาก่อนจากละหมาดนั้นเป็นสิ่งที่มุบาห์(อนุญาตให้กระทำได้) และการจับมือกับผู้ที่อยู่พร้อมกับเขาก่อนละหมาดนั้น  ถือว่าเป็นสุนัต"   และท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัลอัซการ ว่า "ท่านพึงรู้เถิดว่า  การจับมือในขณะที่พบกันนั้นเป็น ซุนนะฮ์  แต่สิ่งที่บรรดามนุษย์ได้กระทำกันเป็นประจำหลังจากละหมาดอัสริและอีชาอ์นั้น  ไม่มีหลักฐานจากศาสนา(เจาะจง)เกี่ยวกับด้านนี้  แต่(หากกระทำ)ก็ไม่เป็นไร  เพราะรากฐานเดิมเกี่ยวกับจับมือนั้น เป็นซุนนะฮ์  และการที่พวกเขาได้ทำการจับมือเป็นประจำในบางโอกาส  และละเลยในบางโอกาสหรือส่วนมากนั้น  ก็ไม่ทำให้บางส่วนจากสิ่งดังกล่าว  ออกจากหลักการจับมือที่มีรากฐานจากศาสนา"   และได้ถูกถ่ายทอดทัศนะของท่านอิบนุอับดุสลาม ว่า  การจับมือหลังละหมาดอัสริและมัฆริบนั้น  เป็นบิดอะฮ์ที่มุบาห์ (อนุญาตให้กระทำได้)" มัจญฺมั๊วะอฺ 2/452

สำหรับทัศนะของอุลามาอ์บางส่วนที่กล่าวว่า  มักโระฮ์(คือกระทำก็ได้หากไม่ทำย่อมดีกว่า)ในการจับมือซึ่งกันและกันถัดจากเสร็จสิ้นการละหมาดนั้น  เนื่องจากพวกเขาพิจารณาว่า   การกระทำอย่างนั้นเป็นประจำ  บางครั้งทำให้คนที่ไม่รู้  คิดว่า  สิ่งดังกล่าวเป็น(องค์ประกอบ)ส่วนที่ทำให้ละหมาดสมบูรณ์หรือเป็นซุนนะฮ์ที่ได้รายงาน(เจาะจง)มาจากท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  และทั้งที่พวกเขากล่าวว่า  เป็นมักโระฮ์  แต่พวกเขาได้ระบุทัศนะเอาไว้ -  ตามที่ท่านอิบนุอะลานได้ถ่ายทอดจากหนังสือ อัลมิรกอฮ์  -  ว่า  เมื่อมุสลิมคนหนึ่งได้ยื่นมือมายังเขาเพื่อจะจับมือ  ดังนั้น  ไม่สมควรหลีกเลี่ยงด้วยการดึงมือออกไป  เนื่องจากจะส่งผลให้เกิดการทำลายน้ำใจและความรู้สึกของบรรดามุสลิมีน  และการป้องกันสิ่งดังกล่าว  ย่อมอยู่ก่อน  การรักษาไว้ซึ่งมารยาทในการห่างไกลจากสิ่งที่มักโระฮ์ตามทัศนะของพวกเขา  เนื่องจากหลักการที่ถูกกำหนดไว้ตามหลักศาสนาคือ   การป้องกันผลเสียย่อมอยู่ก่อนการนำมาซึ่งผลประโยชน์

ตามครรลองสิ่งดังกล่าว  การจับมือซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติไว้ตามหลักฐานของศาสนาอันมีเกียรติ   และการจับมือหลังจากละหมาดนั้น  ย่อมไม่ทำให้ออกจากบทบัญญัติดังกล่าว  ดังนั้น  การจับมือหลังละหมาด  จึงเป็นสิ่งที่มุบาห์(อนุญาตให้กระทำได้) หรือเป็นสิ่งที่สุนัตให้กระทำ  ตามทัศนะหนึ่งของอุลามาอ์และตามทัศนะการแจกแจงของอิมามอันนะวาวีย์เกี่ยวกับสิ่งดังกล่าว   พร้อมกับต้องตระหนักว่า  การจับมือนั้นไม่ใช่เป็น(องค์ประกอบ)ที่ทำให้ละหมาดสมบูรณ์และไม่ใช่เป็นซุนนะฮ์(เจาะจง)ที่ถูกถ่ายทอดมาจากท่านนบี  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ว่าท่านได้กระทำเป็นประจำ  และข้อตระหนักนี้  ได้ถูกถ่ายทอดมาจากทัศนะของผู้ที่กล่าวว่า  มักโระฮ์  ดังนั้น  การที่เป็นมักโระฮ์ตามทัศนะของพวกเขา   เนื่องจากเกี่ยวกับการเชื่อมั่น(ว่าเป็นซุนนะฮ์นบีที่ได้เจาะจงเอาไว้ ) ไม่ใช่  เกี่ยวกับรากฐาน(ของศาสนา)ในเรื่องของการจับมือ   ดังนั้น  จำเป็นต่อผู้ที่มีทัศนะว่ามักโระฮ์  สมควรที่จะต้องรักษาไว้ซึ่งนัยยะความหมายอันนี้  และให้รักษามารยาทของการคิลาฟ(การขัดแย้งในเชิงทัศนะ)เกี่ยวกับประเด็นนี้ด้วย   และสมควรห่างไกลจากการสร้างฟิตนะฮ์   สร้างความแตกแยก  สร้างความรังเกียจระหว่างพี่น้องมุสลิมีน  ด้วยการที่เขาไม่จับมือกับผู้ละหมาดที่ได้ยืนมือมายังเขาหลังจากเสร็จสิ้นละหมาดแล้ว   และเขาจงรู้ไว้เถิดว่า  ความมีน้ำใจ   การสร้างความคุ้นเคย  และสมัครสมานสามัคคี  เป็นที่รักยิ่งไปยังอัลเลาะฮ์  ตะอาลา  มากกว่าการห่างไกลการกระทำอันมักโระฮ์ตามทัศนะของอุลามาอ์บางส่วน  ซึ่งในขณะเดียวก็มีอุลามาอ์ผู้ทรงความรู้จากพวกเขา  ก็ได้มีทัศนะว่าเป็นที่อนุญาต(มะบาห์) หรือชอบให้กระทำ(มุสตะฮับ) สถาบันฟัตวาแห่งประเทศอียิปต์

وَاللهُ سُبْحَانَهُ وَتَعَاليَ أعْلىَ وَأَعْلَمُ
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

 

GoogleTagged