salam
จากเวบ
www.alisuasaming.comคำถาม
อยากให้ช่วยอธิบายเกี่ยวกับฮุก่มการเดินทางและค้างคืนของผู้หญิง ค่ะ ว่าต้องมีมะหรอมหรือไม่อย่างไร กำหนดระยะทางไว้หรือไม่ ขอหลักฐานที่ชัดเจนด้วยค่ะ
อยากให้ช่วยยกหลักฐานที่เกี่ยวกับการสุหญูดของมุสลิมะห์ปิดหน้าค่ะ เคยทราบมาว่า มีฮะดิษที่ท่านนบีคลุมร่างกายหมดทำการละหมาดแต่นบีก็ยังเปิดบริเวณหน้าผากไว้ มีฮะดีษนี้หรือไม่ แต่เป็นที่น่าเชื่อถือได้หรือไม่ค่ะ
อยากทราบความหมายของอายะฮกุรอ่านที่อัลลอฮสั่งใช้ให้ มุสลีมะห์อยู่ในบ้าน " และจงอยู่ในบ้านเรือนของพวกเธอและอย่าได้โอ้อวดความงามของพวกเธอเช่นการโอ้อวดความงาม(ของพวกสตรี)แห่งความงมงายในยุคก่อน "(อัลอะหซาบ:33) อยากทราบว่า การทำงานนอกบ้านของมุสลีมะห มีความจำเป็นหรือไม่ ถือเป็นความผิดหรือไม่ ถ้ามุสลีมะห์ คนนั้นไม่ได้มีความเดือดร้อนในด้านการเงิน หากไม่ได้ออกไปทำงาน มุสลีมะห์ คนนั้นจำเป็นที่จะต้องอยู่ในบ้านมากกว่าหรือไม่ ช่วยยกหลักฐานสนับสนุนด้วยค่ะ
ยาซากิลลาฮุคอยรอน
คำตอบ
الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وبعد...؛
1.ในซ่อฮีฮฺ อัลบุคอรีย์ มีหะดีษระบุว่า :
لاتُسَافِرِالْمَرْأَةُ ﺋﻼ ﺋﺔَ أَيَّامٍ إلامع ذِىْ مَحْرَمٍ
สตรีอย่าได้เดินทางเป็นเวลา 3 วันนอกจากพร้อมกับผู้ที่เป็นมะฮฺร็อมฺ (ญาติที่ห้ามแต่งงานด้วย)
และในซ่อฮีฮฺ มุสลิม มีหะดีษระบุว่า :
لاَتَحِلُّ لاِمْرَأَةٍ تُؤمِنُ بِاللهِ وَاليَوْمِ الآخِرِتُسَافِرُمَسِيْرَةَ ﺋﻼثِ لَيَالٍ إلاومَعَهَاذُوْ مَحْرَمٍ
ไม่อนุมัติสำหรับสตรีที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันสุดท้ายที่นางจะเดินทางในระยะทาง 3 คืน นอกจากว่ามีผู้ที่เป็นมะฮฺร็อมอยู่พร้อมกับนาง ในบางกระแสรายงานระบุระยะเวลาในการเดินทางว่า 1 วัน 1 คืน (รายงานโดยมาลิก, อัลบุคอรีย์, มุสลิม, อบูดาวูด, อัตติรมิซีย์และอิบนุมาญะฮฺจากอบีฮุรอยเราะฮฺ) ในบางกระแสรายงานระบุว่า ระยะทาง 2 วัน (รายงานโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม จากอบี สะอีด) ก็มี
นักวิชาการอธิบายว่า : การรายงานที่แตกต่างกันเป็นไปตามความแตกต่างของบรรดาผู้ถามและคำถามของพวกเขา จึงมีคำตอบจากท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) แตกต่างกันไป นอกจากว่าท่านอิหม่ามอบีฮะนีฟะฮฺ (ร.ฮ.) ได้ให้น้ำหนักกับหะดีษที่รายงานจากท่านอิบนุ อุมัร (ร.ฎ.) ซึ่งระบุระยะเวลาการเดินทาง 3 คืน และท่านมีความเห็นว่า ไม่ต้องพิจารณาเรื่องของมะฮฺร็อมนอกจากในการเดินทางไกลที่มีระยะทางให้ละหมาดย่อได้ อันเป็นริวายะฮฺ (การรายงาน) หนึ่งจากท่านอิหม่ามอะฮฺหมัด (ร.ฮ.) และบรรดาหะดีษเหล่านี้ครอบคลุมการเดินทางทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางที่วาญิบ เช่น เดินทางเพื่อไปเยี่ยมเยือน (ซิยาเราะฮฺ) การค้าขายหรือการแสวงหาความรู้ เป็นต้น
และนักวิชาการฟิกฮฺได้มีทัศนะเกี่ยวกับเรื่องการเดินทางของสตรีเอาไว้ดังนี้
1.ส่วนหนึ่งยึดตามนัยปรากฏชัด (ซฺอฮิรฺ) ของบรรดาหะดีษที่ถูกระบุมา และถือว่าเป็นที่ต้องห้ามในการเดินทางของสตรีที่ไม่มีมะฮฺร็อมร่วมเดินทางไปด้วยโดยไม่มีข้อยกเว้น แม้กระทั่งการเดินทางไปประกอบฟัรฎูฮัจญ์ก็ตาม
2.ส่วนหนึ่งยกเว้นสตรีผู้สูงอายุที่ไม่มีปัญหาในเรื่องอารมณ์ทางเพศ ดังมีการถ่ายทอดจากท่านอัลกอฎีย์ อบุลวะลีด อัลบาญีย์ จากนักวิชาการสังกัดมัซฮับมาลิกียะฮฺ
3.ส่วนหนึ่งยกเว้นเอาไว้ในกรณีที่สตรีผู้นั้นเดินทางไปพร้อมกับเหล่าสตรีด้วยกัน ซึ่งไว้เนื้อเชื่อใจได้ หรือเดินทางไปพร้อมกับมุสลิมะฮฺที่เป็นเสรีชนที่เชื่อถือได้เพียงคนเดียวก็พอ
4.ส่วนหนึ่งพิจารณาถึงความปลอดภัยของเส้นทาง ทัศนะนี้ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ (ร.ฮ.) เลือกเอาไว้ และท่านอัลกะรอบีซีย์ได้ถ่ายทอดจากอิหม่ามอัชชาฟิอีย์ (ร.ฮ.) ในเรื่องการทำฮัจญ์สุนัต ท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร (ร.ฮ.) กล่าวว่า : ที่มัชฮู๊ร (รู้กันดี) ในหมู่นักวิชาการสังกัดมัซฮับอัชชาฟิอีย์ คือ กำหนดเงื่อนไขว่าต้องมีสามีหรือมะฮฺร็อม หรือกลุ่มสตรีที่เชื่อถือได้ร่วมเดินทางไปด้วย ในคำกล่าวหนึ่งระบุว่า มีสตรีมุสลิมะฮฺที่เชื่อถือได้เพียงคนเดียวก็พอ ในอีกคำกล่าว (เกาว์ลุน) หนึ่งที่อัลกะรอบีซีย์รายงานเอาไว้และเป็นทัศนะที่ถูกต้องในอัลมุฮัซซับ ระบุว่า : นางเดินทางคนเดียวได้เมื่อเส้นทางมีความปลอดภัย
เมื่อปรากฏว่าประเด็นเหล่านี้ถูกกล่าวถึงในเรื่องการเดินทางเพื่อประกอบพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮฺ ก็สมควรถือเป็นมาตรฐานในข้อชี้ขาดสำหรับการเดินทางทั้งหมด ดังที่นักวิชาการบางท่านได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในเรื่องดังกล่าว (ฟัตฮุ้ลบารีย์ เล่มที่ 4 หน้า 447) สำนักพิมพ์มุสตอฟา อัลฮะละบีย์)
และส่วนหนึ่งจากหลักฐานที่บ่งชี้ว่าอนุญาตให้สตรีเดินทางได้โดยไม่มีมะฮฺร็อมขณะที่มีความปลอดภัยในเส้นทางและมีบรรดาสตรีที่เชื่อถือร่วมเดินทางไปด้วย คือ หะดีษที่อิหม่ามอัลบุคอรีย์ รายงานว่า
ท่านอุมัร (ร.ฎ.) ได้อนุญาตแก่บรรดาภริยาของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ในการประกอบพิธีฮัจญ์ครั้งสุดท้ายของท่าน โดยส่งท่านอุสมาน อิบนุ อัฟฟานและท่านอับดุรเราะฮฺมานไปพร้อมกับพวกนาง ซึ่งท่านอุมัรท่านอุสมาน, ท่านอับดุรเราะฮฺมานและเหล่าภริยาของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เห็นพ้องกันถึงสิ่งดังกล่าว และไม่มีซอฮาบะฮฺท่านอื่นใดคัดค้านพวกนางในเรื่องดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นอิจญมาอฺ นักวิชาการได้พิจารณาว่า การเดินทางในอดีตกับการเดินทางในปัจจุบันมีความแตกต่างกัน ซึ่งการเดินทางในปัจจุบันเป็นการเดินทางโดยอาศัยเครื่องมือในการขนย้ายผู้โดยสารเป็นหมู่คณะและมีความปลอดภัยในการเดินทาง (สรุปความจากฟะตาวา มุอาซิเราะฮฺ ; ดร.ยูซุฟ อัลก็อรฎอวีย์ เล่มที่ 1 หน้า 351-353)
2.ตามมัซฮับอัชชาฟิอีย์ ถือว่าจำเป็นต้องเปิดเผยในส่วนของหน้าผากขณะทำการก้มสุหญูดโดยไม่มีสิ่งปิดกั้น (กิตาบ อัลมัจญ์มูอฺ ชัรฮุ้ลมุฮัซซับ ; อันนะวาวีย์ เล่มที่ 3 หน้า 399-400) ดังนั้นหากมุสลิมะฮฺปิดหน้าในส่วนของหน้าผากของนางก็ถือว่าการสุหญูดใช้ไม่ได้ แต่ถ้านางปิดเฉพาะส่วนล่างของใบหน้าและเปิดส่วนของหน้าผากก็ถือว่าใช้ได้ ส่วนหะดีษที่ถามมายังไม่พบครับ!
3.อายะฮฺที่ 33 จากซูเราะฮฺอัลอะฮฺซ๊าบฺนั้น โต้ตอบกับบรรดาภริยาของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ซึ่งถึงแม้ว่าจะโต้ตอบกับพวกนางแต่บุคคลอื่นจากเหล่ามุสลิมะฮฺก็เข้าอยู่ในความหมายของการโต้ตอบนั้นด้วย ทั้งนี้เพราะหลักนิติธรรมอิสลามได้มีคำสั่งใช้ให้พวกนางประจำอยู่ในบ้านของพวกนาง และไม่ออกจากบ้านของพวกนางนอกจากมีความจำเป็น (อัตตัฟซีร อัลมุนีร ; ดร.วะฮฺบะฮฺ อัซซุฮัยลีย์ เล่มที่ 22 หน้า 13)
การที่มุสลิมะฮฺประจำอยู่ในบ้านเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกนาง แต่ก็มิได้หมายความว่า สตรีมุสลิมะฮฺไม่สามารถออกจากบ้านของพวกนางโดยปิดตัวจากโลกภายนอกตลอดชีวิต ทั้งนี้อายะฮฺที่ 32 จากซูเราะฮฺอัลอะฮฺซาบฺ ระบุว่า : โอ้บรรดาสตรี (ภรรยา) ของนบีเอ๋ย พวกเธอไม่เหมือนกับผู้หนึ่งผู้ใดจากบรรดาสตรีทั้งหลาย นั่นหมายความว่า สำหรับบรรดาสตรีผู้เป็นภริยาของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) นั้นมีความเป็นพิเศษ (الخُصُوْصِيَّةُ) ซึ่งสตรีอื่นไม่มี และพวกนางมีกฎระเบียบในการวางตัวเข้มงวดกว่าสตรีโดยทั่วไป
ทั้ง ๆ ที่เป็นเช่นนี้ อายะฮฺที่ 33 ก็มิได้ห้ามมิให้ท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร.ฎ.) จากการออกสู่สมรภูมิอูฐ เพื่อเรียกร้องสิ่งที่พระนางเชื่อว่าเป็นสิ่งถูกต้องในเรื่องทางการเมือง และพร้อมกับนางก็มีบรรดาซ่อฮาบะฮฺชั้นอาวุโสและอีก 2 ท่านที่ถูกเสนอให้ดำรงตำแหน่งค่อลีฟะฮฺ และเป็น 2 ท่านจากเหล่าบุคคลที่ถูกแจ้งข่าวดีในการได้รับสวนสวรรค์ และสิ่งที่ถูกรายงานมาว่าท่านหญิงเสียใจต่อท่าทีดังกล่าว ก็มิใช่เป็นเพราะการออกจากบ้านของท่านหญิงไม่ถูกต้องตามหลักศาสนบัญญัติ แต่เป็นเพราะความเห็นของท่านหญิงในเรื่องการเมืองเป็นสิ่งที่ห่างไกลจากการเตาฟีก
และถ้าเรายึดถือความเห็นของนักวิชาการฝ่ายที่ระบุว่าอายะฮฺนี้ครอบคลุมสตรีทั้งหมด นั่นก็มิได้หมายความต้องกักพวกนางเอาไว้ในบ้านโดยมิให้ออกจากบ้าน เพราะการกักตัวดังกล่าวนี้เป็นบทลงโทษสำหรับสตรีที่ประพฤติผิดประเวณี ดังปรากฏในอายะฮฺที่ 15 จากซูเราะฮฺอันนิซาอฺ (ฟะตาวา มุอาซิเราะฮฺ ; ดร.ยูซุฟ อัลก็อรฎอวีย์ เล่มที่ 3 หน้า 285-286)
ส่วนกรณีการทำงานของสตรีนอกบ้านนั้น นักวิชาการระบุว่า การทำงานเป็นสิทธิสำหรับมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นชายหรือเป็นหญิง ยิ่งไปกว่านั้นยังถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการทำงานเป็นสื่อของการดำรงชีวิต และทั้งชายหญิงย่อมมีสิทธิในการทำงานในด้านที่มีความเหมาะสม นักวิชาการระบุว่า : การออกนอกบ้านของสตรีเพื่อทำงานนั้นถูกตั้งเงื่อนไขว่าต้องไม่มีความบกพร่องในหน้าที่ภารกิจพื้นฐาน ซึ่งคือบ้านนั่นเอง และต้องได้รับการยินยอมจากสามีของนาง และนางจำต้องระวังรักษากฎระเบียบในด้านมารยาทเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างเพศ (สรุปความจากอะฮฺซะนุ้ลกะลาม ฟิลฟะตาวา วัลอะฮฺกาม ; ชัยค์ อะฎียะฮฺ ศ็อคร์ เล่มที่ 3 หน้า 336-340)
ดร.ยูซุฟ อัลก็อรฎอวีย์ก็มีความเห็นว่าอนุญาตให้สตรีทำงานนอกบ้านได้ ซึ่งบางทีก็อาจจะเป็นเรื่องที่ส่งเสริม หรือบางทีก็เป็นสิ่งจำเป็นเมื่อนางจำต้องทำงาน อาทิเช่น การที่นางเป็นสตรีหม้าย หรือถูกหย่า และไม่มีแหล่งรายได้ และผู้เลี้ยงดู แต่การทำงานของนางก็มีเงื่อนไขอยู่หลายประการ อาทิเช่น งานที่นางจะทำนั้นต้องเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับหลักศาสนบัญญัติ กล่าวคือ ไม่ใช่สิ่งต้องห้ามหรืออาจจะนำไปสู่การประพฤติผิดสิ่งต้องห้าม เช่น เป็นคนรับใช้ชายโสด, เป็นเลขาฯพิเศษของชายผู้เป็นผู้จัดการที่จำต้องอยู่กัน 2 ต่อสองในขณะทำงาน หรือเป็นนักเต้นรำ เป็นต้น และนางจะต้องมีความเคร่งครัดในมารยาทของสตรีมุสลิมะฮฺเมื่อออกจากบ้านทั้งเรื่องเครื่องแต่งกาย, การเดิน, คำพูดและอากัปกริยา เป็นต้น (ฟะตาวา มุอาซิเราะฮฺ ; ดร.ยูซุฟ อัลก็อรฎอวีย์ เล่มที่ 2 หน้า 303-306
والله أعلم بالصواب