วะอะลัยกุมมุสลาม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุบัลกิส

สำหรับเรื่องลงจากคาน อันนี้เราแหลงกันมาเนิ่นนานแล้ว
เพราะหากให้พูดอย่างจริงจัง การลงจากคาน ก็หมายถึงการแต่งงาน
ซึ่งสำหรับพ่ี การแต่งงาน หมายถึงการสร้างครอบครัวใหม่
ที่มีเราและใครอีกคนที่จะมาร่วมชีวิตด้วย มันจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก
แต่มันเป็นเรื่องใหญ่และปัญหาใหญ่ระดับโลก

เพราะมนุษย์ย่อมต้องมีครอบครัว ถ้าถามว่า พี่คิดเรื่องแต่งงานตั้งแต่เมื่อไหร่
จำได้ว่า ตั้งแต่อนุบาลโน่นแหน่ะ เพราะว่าเล่นขายของกับเพื่อน
ก็มักสมมติให้ตัวเองเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูก มีแต่งชุดเจ้าสาวเข้าพิธีเสร็จสรรพ

แต่เราคิดแค่นั้น เราไม่ได้คิดมากกว่านั้น เราไม่รู้ว่าแต่งงานแล้ว
ต้องยังไง รู้แค่ว่า ผู้หญิงต้องเป็นแม่ ผู้ชายต้องเป็นพ่อ...แล้วก็มีลูก
พี่เคยแกล้งเล่นเป็นชาวต่างชาติ ทำเป็นพูดอะไรก็ไม่รู้เมื่อตอนเด็กๆด้วยซ้ำ
และเมื่อได้เรียนฟัรดูอีน ก็ทำให้ความคิดเรื่องแต่งงานมันเปลี่ยนไป
เราเริ่มคิดมากกว่านั้น พี่มักพูดมักถามพ่อถามแม่บ่อยๆเรื่องนี้
ถามตั้งแต่ยังอยู่มัธยมต้นด้วยซ้ำว่าทำไมคนเราต้องแต่งงาน
แต่งไปเพื่ออะไร พอดูหนังดูละคร เราก็เห็นว่า อ้อ คนรักกัน
ก็ต้องแต่งงานกัน แล้วก็ถามต่ออีกว่า พ่อกับแม่รักกันยังไง
มันเป็นอย่างนั้นมาตลอด เพราะหากจะถามใครสักคน
พี่คนนึงที่เลือกจะถามจากพ่อแม่ เพราะว่า เราคือคนในครอบครัว
และท่่านผ่านในสิ่งที่เราต้องการคำตอบมาแล้ว...
พอโตมาอีก ก็เห็นมากับตาว่าคนรักกันก็ไม่ได้แต่งงานกันเยอะแยะ
แล้วคนที่เขาแต่งงานกัน เขาแต่งกันเพราะอะไร รักอย่างเดียวจริงหรือ

เคยปรึกษาพ่อ ว่าหากเราอยากแต่งงานกับคนแบบนั้นแบบนี้
พ่อจะว่ายังไง ดีมั้ย แล้วจะมีคนแบบนั้นในโลกนี้มั้ย
พ่อก็แนะนำมาว่า ไม่ว่าเราจะอยากได้ใครมาเป็นคู่ชีวิต
สิ่งที่เราคิดและทำได้ตอนนี้คือ
หากเราอยากได้คนดี เราต้องสร้างความดี
หากเราอยากได้คนมีอีหม่าน เราต้องสร้างอีหม่าน
หากเราอยากได้คนรวย เราต้องสร้างทรัพย์สมบัติ สร้างฐานะ
หากเราอยากได้คนมีความรู้ คนเก่ง คนฉลาด เราต้องสร้างความรู้
สร้างความเก่ง สร้างความฉลาด
หากเราอยากได้คนขยันทำมาหากิน เราก็ต้องสร้างความขยัน
หากเราอยากได้คนหล่อ คนหน้าตาดี เราต้องหันมามองตัวเรา
ว่าเรามีมันแค่ไหน
เพราะพ่อบอกว่า คนดีย่อมคู่กับคนดี คนไม่ดีย่อมคู่กับคนไม่ดี
คนมันต้องเข้ากันได้ และไปด้วยกันได้ มันถึงจะอยู่กันเป็นคู่ได้
หากเข้ากันไม่ได้ แม้จะพยายามที่จะอยู่ด้วยกันยังไง สุดท้ายก็ต้องเลิกร้างกันไป...
รูปกายภายนอกเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงยาก แต่อะไรที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรง
ที่จะพยายามสร้าง ก็จงสร้าง แล้วดุอาฮฺขอต่อผู้ให้
อินชาอัลลอฮฺ...เราจะได้หรือไม่ คู่ชีวิตเราจะเป็นใครไม่สำคัญ
เท่าเราพยายามที่จะเป็นคู่ชีวิตของคนที่เราอยากจะได้มาเป็นคู่ชีวิตสักแค่ไหน...
เพราะอัลลอฮฺจะตอบแทนเราตามที่พระองค์ทรงประสงค์
คู่รัก บางครั้งก็ไม่อาจเป็นคู่ชีวิต เป็นคู่คิดของเราได้เสมอไป...

และเพราะคิดเรื่องแต่งงานมาตลอด ชีวิตที่ผ่านมาเลยต้องนอนบนคาน
อย่างสบายอุรา เพราะว่า ตะวักกัล มอบหมายไปยังอัลลอฮฺ
ตั้งแต่วันที่พ่อบอกพ่อสอน แม่เตือนมาแล้ว
เมื่อถึงเวลา มันจะมาเอง พี่เชื่ออย่างนั้น
และพี่เชื่อว่า คู่ครองคือของขวัญ
เราอาจจะตั้งหวังเอาไว้อย่่างหนึ่ง แต่อาจจะได้อีกอย่างหนึ่ง
แต่มันก็สิ้นสุดลงที่ ตะวักกัล
และหลายๆครั้งที่มองสาวญี่ปุ่นที่แต่งงานกับมุสลิม
พี่ทึ่งในตัวเขาเหล่านั้น เพราะนั่นหมายถึงว่า เขาต้องเริ่มใหม่
เขาต้องทิ้งบางสิ่งบางอย่างลง และทำให้รู้สึกว่า
อะไรหนอที่ทำให้เธอเชื่อใจและไว้วางใจในการตัดสินใจ
จะแต่งงานกับชาวต่างชาติ ต่างศาสนา ต่่่างวัฒนธรรมได้...
และก็มีอีกมากมายหลายคนที่พบเจอในชีวิต ที่ล้อเล่นกับความรัก
จนเจ็บหนัก เพราะรักทำพิษ
บางคนยอมขอผู้หญิงคนหนึ่งเป็นแฟน เอาภาษามาล่อ
บอกว่าหากได้เขาเป็นแฟน เธอจะใช้ชีวิตในดินแดนที่เขาเป็นเจ้าของประเทศ
เป็นเจ้าของภาษาอย่างสบาย เธอจะมีคนคอยช่วยเหลือทั้งเรื่องภาษา
และเรื่องชีวิต คอยห่วงใย คอยเป็นที่ปรึกษา ไม่เหงา
และเธอจะเก่งในเรื่องของภาษานำหน้าคนอื่นๆได้เป็นแน่แท้
แค่มีแฟนเป็นเจ้าของประเทศ หากไม่พอใจก็เลิกได้...
ไม่ขาดทุนแต่อย่างใด พอใจกันทั้งสองฝ่าย ตกลง โอเคไหม...
มันเป็นอย่างนั้นก็มี...
ซึ่งก็มีบางคนที่บอกปฏิเสธคำเชิญดังกล่าวออกไป
เพราะเชื่อว่่า ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ และได้มาฟรีๆ
ไม่มีอะไรแพงกว่าของฟรี เธอเชื่ออย่่างนั้นของเธอ
เธอเลือกจะเดินคนเดียว กินข้าวคนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียว
หิ้วของหนักๆคนเดียว เที่ยวคนเดียว ร้องไห้คนเดียว
ซ่อมโน่นซ่อมนี่คนเดียว นอนคนเดียว แต่ก็ไม่เปล่าเปลี่ยวหัวใจ
เพราะว่าคนที่เธอรักมีมากมาย พ่อแม่ พี่น้อง ผองเพื่อนและครูบาอาจารย์
และก็มีเรื่องให้ต้องทำอีกมากมายเพื่อคนที่รัก เพื่อครอบครัวเธอ
ที่เธอมีอยูู่และมีมาแต่กำเนิด ส่วนเรื่องครอบครัวใหม่ที่อยากจะสร้างเอง
คิดว่า วันนึงมันคงมาถึงเอง...เธอไม่ได้มองว่าสิ่งที่เธอคิดมันถูกต้องแล้ว
แต่มันเป็นสิ่งที่เธอ(นักศึกษาต่างแดนคนนึง)คิด
และที่เธอปฏิเสธก็ไม่ใช่ว่าระแวงหรือไม่ไว้ใจฝ่ายตรงข้าม
เธอแค่ไม่ไว้ใจตนเอง....ไม่เชื่อใจตัวเองว่า เธอจะแบกอะไรเกินตัวได้อีก
สำหรับเวลานั้นๆ เพราะที่แบกก็ว่ามากเกินกำลังสำหรับเธออยู่แล้ว
หากรับมาเพิ่มอีก เธอต้องล้มลงไม่เป็นท่าแน่...
มันเลยเป็นที่มาของการใช้ชีวิตบนคานของคนที่เดินทางมาเรียนต่างแดน
ส่วนชีวิตจะแขวนอยู่บนนั้นต่อไปจนถึงเมื่อไหร่ อินชาอัลลอฮฺ
...จบบรรยายเรื่องคานซ้ากกกกกกกกที...
ไม่ไหวจะเคลียร์งิ...
ปล.อยากบอกสาวๆว่า บ่าวๆเขาอาจจะไม่ได้ต้องการแค่อยากดูแลเรา
ห่วงใยเราอย่างแท้จริงก็ได้ หากเขาแค่มาขอเราเป็นแฟน
โดยที่ไม่ได้ยกสินสอดทองหมั้นมาหาพ่อแม่เราที่บ้าน
มาทำความรู้จักกับครอบครัวเรา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
ที่หล่อหลอมเรามา...

คำว่า "รัก" ใครๆก็พูดกันได้ตั้งแต่เพิ่งหัดพูด
แต่ใครจะทำได้อย่างที่บอกว่ารัก หรือให้สมกับความหมายของคำว่า "รัก"
(แปะไว้เตือนใจตนเองด้วยงิ เผื่อวันใดเผลอใจ จนลืมด้วยจ้าาาาาา)
ป.ลิงอีกที...กระแสของการเป็นแฟนไปวันๆ เบื่อกันก็เลิกนั้นบูมมากมาย
จนกลายเป็นวัฒนธรรมของบางประเทศไปแล้วค่ะ

ส่วนใครที่รักกัน และอยากมาเรียนที่ญี่ปุ่น ก็สามารถทำเรื่องทำราว
ให้ถูกต้องได้ ด้วยการแต่งงานแล้วมาเรียน มาใช้ชีวิต
มาแชชีวิตด้วยกันได้สบายค่ะ
ฟันธงได้ว่า ที่ญี่ปุ่นไม่มีปัญหา ไม่มีใครมองเป็นของแปลก
หรือมองคนที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว แต่มานั่งเรียนอยู่กับเด็กๆ
เพราะว่า เพื่อนหลายๆคน มีครอบครัว มีลูกต้องเลี้ยง
อายุสามสิบปลายๆ ก็มานั่งเรียนปริญญาตรี(ไม่แน่ใจว่าใบที่เท่าไหร่)
กับเราอยู่เลยค่ะ... น่านับถือในความมุมานะ และความใฝ่รู้ด้วยซ้ำไปค่ะ
ส่วนใครที่ยังไม่มี แต่อยากมาเรียน ก็นอนบนคาน ปลอดภัยสุดๆค่ะ

หรือหากจะลงจากคานระหว่่างเรียน ก็ไม่แปลกอีกเช่นกันค่ะ
กรณีนี้มีเยอะ เพราะว่าเพื่อนอีกคนเพิ่งกลับไปแต่งงานที่ประเทศตนเอง
ไปหมาด ๆเองค่ะ แล้วกลับมาเรียนต่อ....
คิดว่า ความรักไม่มีอุปสรรคต่อการเรียนรู้ หากทำให้มันถูกต้อง
สบายใจระหว่างรักกันค่ะ

เรื่องเล่าจากแดนปลาดิบ(ยาวเนอะ/ยาวประจำ / ยาวสม่ำเสมอ)

วัสลามค่ะ