ภาษาคือสิ่งสำคัญค่ะ โดยเฉพาะภาษาอาหาร
ซึ่งคำแรกและอักษรตัวแรก(ตัวคันจิ)ของญี่ปุ่นที่เราจำเป็นต้องรู้จัก
และอ่านออกก็คือ ตัวหมู(บุตะ)ค่ะ ตัวข้างล่างนี้เลยค่ะ
หน้าตาตัวคันจิ(อักษร)ของตัวหมูในภาษาญี่ปุ่นเป็นฉะนี้ค่ะ

ตัวที่สองคือตัว "เหล้า สุรา ของมึนเมา"ทั้งหลาย
ไม่ว่าจะอยู่ในบรรจุภัณฑ์ชนิดใด หรือถูกแปรสภาพไปเป็นอะไรก็ตาม
หากเจอตัวคันจิ(อักษร)ตัวนี้ปรากฏอยู่ตรงส่วนใดส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ชิ้นนั้น
ฟังธงได้เลยค่ะว่า มีเหล้าและของมึนเมาเป็นส่วนผสม
ซึ่งตัวอักษรตัวนี้อ่านว่า "สาเก"ค่ะ หน้าตาของตัวสาเกในภาษาญี่ปุ่น
เป็นฉะนี้แลค่ะ

ซึ่งปกตินั้น ป้ายฉลากของผลิตภัณฑ์ของญี่ปุ่นจะเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนค่ะ
เราจึงจำเป็นต้องอ่านฉลากคำบรรยายของส่วนผสมในสิ่งที่เรากำลังจะซื้อ
ให้แน่ใจว่าไม่มีส่วนผสมของหมูหรือเหล้า และที่สำคัญนอกจากหมูแล้ว
ยังมีส่วนที่ทำจากหมู ไม่ว่าจะแฮม ไส้กรอก แม้กระทั่งขนมขบเคี้ยว
ก็เช่นกันค่ะ แต่ในฉลากนั้นจะเขียนรายละเอียดของส่วนประกอบในซอง
เอาไว้หมดค่ะ อย่างในน้ำจิ้มของขนมขบเคี้ยวต่างๆก็จะมีวงเล็บว่่า
มีส่วนผสมของหมูอยู่หรือเปล่า ซึ่งหากมีตัวอักษรข้างต้นอยู่ตามฉลาก
นั่นก็หมายความว่ามีสิ่งปนเปื้อน(ฮาราม)สำหรับมุสลิมค่ะ...
และขนมปังที่วางขายทั่วไป ก็ใช่ว่าจะรับประทานได้ทุกชนิดค่ะ
เพราะบางอย่างทำจากไขมันจากสัตว์หรือหมู และขนมทอดกรอบด้วยก็เช่นกันค่ะ
จะมีบอกว่า ทำจากน้ำมันจากพืชหรือน้ำมันจากสัตว์ หรือแป้งที่ทำนั้น
เป็นแป้งที้มีส่วนผสมของสัตว์ด้วยหรือไม่ เพราะถึงแม้ไม่ใช่ส่วนผสมที่มาจากหมู
หากเป็นส่วนผสมที่มาจากสัตว์ เนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะป็นไก่ เนื้อวัวที่อิสลาม
อนุญาตให้ทานได้ หากแต่ในประเทศญี่ปุ่นนั้น สัตว์ทั้วไปไม่ได้ผ่านการเชือด
ด้วยมุสลิม ดังนั้นหากขนมหรือผลิตภัณฑ์ที่วางขายโดยทั่วไปเราจึงต้องเช็ค
ให้แน่ใจว่่าไม่มีส่วนผสมจากของต้องห้ามตามหลักศาสนาด้วยค่ะ
ซึ่งตอนมาอยู่ใหม่ๆ ข้าน้อยเองก็ไม่รู้เรื่องอะไร พูดภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ได้ค่ะ
แต่รุ่นพี่ชาวอินโดฯเจอเข้าเขาก็ใจดี ให้กระดาษที่เป็นตัวอักษรในภาษาญี่ปุ่น
ซึ่งเป็นส่วนประกอบในอาหารที่อิสลามไม่สามารถทานได้
ให้ข้าน้อยพกติดตัวเพื่อเทียบตัวอักษรในฉลากสินค้า
เวลาเลือกซื้อของตามร้านญี่ปุ่นค่ะ...ตอนนั้นเราไม่รู้ว่ามันคืออะไรบ้าง
เพราะว่าอ่านไม่ออก แต่ก็เทียบตัวอักษรในยามออกไปซื้อของทุกครั้งค่ะ
ซึ่งรุ่นพี่คนนั้นกับรุ่นพี่คนไทยแต่นับถือศาสนาพุทธพาไปเลือกซื้อด้วยกัน...
และยังสามารถนำกระดาษแผ่นนั้นไปก็อปปี้ส่งให้เพื่อนชาวอาหรับ
ซึ่งเขานั้นไม่ทันได้คิดถึงจุดนี้ ตัวข้าน้อยเองก็คิดไม่ถึงด้วยเช่นกัน
หากว่ารุ่นพี่ชาวอินโดฯไม่มาแนะนำให้น่ะค่ะ...แถมยังแนะนำเกี่ยวกับ
ชีวิตมุสลิมในญี่ปุ่นให้ข้าน้อยฟังโดยมีรุ่นพี่คนไทยช่วยเป็นล่ามให้อีกที
ในตอนนั้น...หากว่าไม่ได้รุ่นพ่ีทั้งสองคนนั้นช่วยเหลือ
ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าจะรอดหรือร่อแร่ นี่คือความเมตตาของอัลลอฮฺ
ซุบฮานาฮุวะตาอาลา...
ข้าน้อยจึงอยากนำเสนอตรงจุดนี้ เผื่อว่าในอนาคตจะมีมุสลิมไทยเรา
คนใดต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น เพราะตัวข้าน้อยนั้น
ตอนมาแรกๆไม่รู้อะไรเลย ไม่มีคนแนะนำ เพราะคนรู้จักที่เป็นมุสลิม
ที่เคยมาอาศัยอยู่ที่นี่ก็ไม่มี มีแค่คนเดียว แต่ก็อยู่กันคนละเมือง
และเขาก็มาแค่ระยะสั้นๆ เลยให้คำแนะนำในเชิงลึกไม่ได้นัก
และทั้งโรงเรียนก็มีแค่ข้าน้อยที่เป็นมุสลิมไทย ภาษาเราก็ไม่ได้
สื่อสารกับใครก็ไม่ได้ค่ะ...แต่ด้วยความเอื้ออาทรจากพี่น้องมุสลิม
จากประเทศอื่นๆพร้อมทั้งคนไทย เลยทำให้ผ่านชีวิตในเมืองหลวงอย่าง
โตเกียวมาได้...ซึ่งนับว่าหนึ่งปีครึ่งสำหรับที่โตเกียวนั้นคือบททดสอบ
จากอัลลอฮฺ ที่ตัวข้าน้อยเอง ณ ตอนนั้น ไม่สนใจใฝ่รู้เรื่องศาสนามากนัก
เพราะต้องวิ่งตามความรู้ในดุนยา วิ่งตามบททดสอบของห้องสอบในดุนยา
ทำทุกอย่างเพื่อให้ผ่านบททดสอบของมนุษย์ ที่ออกข้อสอบอันแสนหฤโหด
สำหรับต่างชาติที่ไม่รู้ภาษาของเขามากนัก เช้าเรียนหลักภาษาญี่ปุ่น
เย็นเรียนฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ในคอร์สภาษาญี่ปุ่น เพื่อใช้สอบเข้า
มหาวิทยาลัยในประเทศเขา จนไม่มีเวลาแม้จะหันมองอัลกุรอาน
ไม่มีเวลาทบทวนหรือใคร่ครวญถึงบททดสอบของอัลลอฮฺที่ตนกำลังประสบอยู่
จมดิ่งอยู่ตรงก้นเหวนั้นอยู่เนิ่นนานค่ะ เพราะเราคิดว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้น
มันถูกต้องแล้ว ไปเรียนภาษาได้เพียงหกเดือนก็ต้องสอบรอบแรก
ผลสอบออกมาอยากร้องไห้ ทำไม่ได้เลย...แต่นั่นทำให้เรารู้ว่าเราต้องพยายาม
อีกเท่าไหร่ จากที่เคยคิดว่าตัวเองนั้นใช้ได้แล้วจากบ้านเกิดเมืองนอน...
กลับไม่เหลืออะไรให้ภูมิใจอีกเลย ตัวนั้นหดเหลือไม่ถึงนิ้ว
อาจารย์ที่สอนเขาจะไม่รอเรา เพราะยึดคนส่วนมาก
เราจึงต้องวิ่งถี่ ซอยถี่กว่าคนอื่นๆ ไม่มีวันหยุดสำหรับครึ่งปีให้หลัง
เพราะหนึ่งปีก่อนหน้านั้นมัวแต่เที่ยวเหลวไหลไปวันๆค่ะ...
สับสนหลงทางอยู่หลายๆครั้งค่ะ แต่ก็ยังไม่สำนึกถึงบททดสอบที่แท้จริงของอัลลอฮฺ
มัวแต่ทำเพื่อบททดสอบในห้องสอบของมนุษย์ค่ะ...
ก็ว่าบททดสอบของมนุษย์นั้นโหดจนเราไม่ได้หลับไม่ได้นอนแล้ว
หากแต่บททดสอบของอัลลอฮฺนั้นยิ่งใหญ่จนทำให้เราต้องนอนร้องไห้
กับการเลือกทางเดินในชีวิตไม่ได้ ตกอยู่ในสถานการณ์
เดินหน้าไม่ได้ ถอยหลังไม่ได้ ราวกับถูกสาปเป็นหินค่ะ...
ตอนนั้นเดินทางไปสอบทั่วทิศ จากเหนือ กลาง ตะวันตก
และหากไม่ได้ในสามภาคที่ว่า ก็ตั้งใจว่าจะลงใต้...
บอกกับตัวเองว่าข้างหน้าไม่รู้จะเป็นยังไง แต่หากสอบติดที่ไหนที่แรก
ตนจะเลือกอยู่ที่นั่น เพราะนั่นหมายความว่า สี่ปีที่เหลือเราต้องอยู่ตรงนั้น
เราต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น หากไม่ได้เลย ก็จะไปสอบที่ใต้
หากไม่ได้ที่ใต้ก็จะขออยู่โตเกียวต่อไป(เพราะอยากได้ประสบการณ์หลากหลาย
จึงอยากไปใช้ชีวิตที่เมืองอื่นน่ะค่ะ)...
ปรากฏว่าที่ที่สอบติดที่แรก อยู่ในเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น ที่นี่มีแต่วัดวาอาราม
ของญ่ีปุ่นทั้งนั้นค่ะ...เป็นเมืองท่องเที่ยว...
ซึ่งสอบติดมหาลัยที่ไม่มีแม้แต่คนไทยหรือไม่มีประวัติว่าคนไทย
เคยเรียนมาก่อน ไม่มีแม้แต่มุสลิมหรือไม่เคยมีประวัติว่ามุสลิมเคยเรียนมาก่อน
ชื่อเสียงของมหาลัยก็แสนจะธรรมดาๆ
เพราะเลือกสอบตามที่อาจารย์โรงเรียนภาษาแนะนำมา
ตอนนั้นคิดหนักว่าจะเอายังไง จะทำอย่างที่เคยเหนียตเอาไว้หรือเปล่า
หรือจะผิดคำพูดของตัวเองแล้วเรียนมหาลัยดังๆในโตเกียวดีกว่า...
แต่นึกขึ้นมาได้ว่า นั่นอาจเป็นพระประสงค์ของอัลลอฮฺ
เพราะเราได้เหนียตเอาไว้อย่างหนักแน่นว่าหากติดที่ใดที่แรกจะเรียนที่นั่น...
โดยไม่เคยคิดว่าจะติดที่นี่(ที่ที่เรียนอยู่)เลยด้วยซ้ำไปค่ะ...
แต่ด้วยความที่ต้องไปเผชิญหน้ากับอะไรก็ไม่รู้ตามลำพัง เพื่อนผองก็ได้ที่อื่นกัน
ไม่มีเพื่อนไปเรียนด้วย ไม่มีมุสลิม ไม่มีคนไทย เลยทำให้รู้สึกหวั่นไหว
พร้อมกับความกลัวเข้าจู่โจม แต่ด้วยไม่อยากผิดคำพูด
ก็เลยตัดสินใจมาเรียนที่นี่...ที่ที่เราคิดว่าไม่มีอะไรน่่าสนใจ
แต่ที่นี่ให้เราทุกอย่าง ชื่อเสียง ความอบอุ่น ความปลอดภัย ผองเพื่อน
ความมีไมตรี...แล้วที่สำคัญ ทำให้เขารู้จักคำว่ามุสลิมตัวเป็นๆ...
ทำให้เราเรียนรู้อะไรมากขึ้น มองเห็นโลกในอีกมุมนึงที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ไม่เคยใช้มาก่อน ได้ทำอะไรอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
และที่สำคัญทำให้รักประเทศชาติ รักศาสนามากขึ้นกว่าแต่ก่อน...
พลิกชีวิตของผู้หญิงคนนึงไปตลอดกาลเลยล่ะค่ะ...
ทำให้รู้ว่ามุอัลลัฟที่เราเจอนั้น เขายิ่งกว่าเราอีก เราที่เกิดมาเป็นอิสลามตั้งแต่เกิด
ยังเทียบกับหัวใจของมุอัลลัฟไม่ได้ เพราะมุอัลลัฟที่นี่นั้น
เขาเข้ารับอิสลามด้วยจิตใจที่ศรัทธาอย่างแท้จริง
มิใช่เพราะชาติกำเนิดของพ่อแม่ เขาต้องผ่านกระแสต่อต้านต่างๆมากมาย
ท่ามกลางส่ิงแวดล้อมที่แทบไม่มีมุสลิม กว่าจะได้ศาสนาอิสลามมาเป็นทางนำ
แต่ตัวเรานั้นเจอปัญหายังไม่ถึงครึ่งนึงที่เขาเหล่านั้นเจอ
ก็โวยวายร้องไห้ ท้อแท้สิ้นหวังกับบททดสอบของอัลลอฮฺ
กว่าจะเห็นแสงสว่างตรงปากอุโมงก์ก็เมื่อเจอภัยพิบัติต่างๆนาๆ
ที่ไม่ว่าจะหนีไปตรงไหน ก็เจอที่นั่น...อัลฮัมดุลลิลลาฮฺ
ไม่ว่าข้างหน้าจะต้องเจอกับบททดสอบอะไรอีกนั้น
สำหรับวันนี้คิดว่า แสงแห่งความหวังและแสงแห่งศรัทธาเท่านั้นที่จะช่วยเราได้
ไม่ว่าเราจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นใดก็ตาม
และมันคงถึงเวลาที่จะเดินไปหาแสงสว่างตรงปากอุโมงก็นั้นเสียที...
มนุษย์ทุกคนล้วนต้องเจอกับบททดสอบ
อยู่ที่เราจะผ่านบททดสอบนั้นไปได้อย่างไรและในสภาพไหน...
ปล.หวังว่าบทความที่กล่าวมาข้างต้น จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย
สำหรับผู้ที่ตั้งใจจะมาญี่ปุ่น หรือสนใจจะมาที่นี่...
ไม่ว่าท่านจะมาด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม
สิ่งหนึ่งที่อยากฝากก็คือ...
...ถ้าเรายอมรับแสงสว่างและความอบอุ่น
...เราต้องยอมรับฟ้าร้องและฟ้าแลบด้วย
แล้วจะพยายามนำข่าวสารของมุอัลลัฟในประเทศญี่ปุ่นมาฝากกันนะคะ
อินชาอัลลอฮฺ
วัสลามุอะลัยกุมค่ะ
^__________^