เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม
YOUTH AND MORALS:คุณธรรมนำชีวิต
nada-yoru:
Tweet
salam
ขออนุญาตนำเนื้อหาจากหนังสือเก่าๆเล่มนึงมาฝากไว้ในเวบนะคะ
เผื่อวันใดที่หนังสือเล่มนี้หายไปหรือลืมเอาไว้ที่ไหน
จะได้กลับมาทวนเนื้อหาในเวบนี้ได้
เพราะคิดว่าคงไม่มีวางขายในปัจจุบันแล้วน่ะค่ะหรือถ้ามีก็คงหายากน่าดู
เสียดายเนื้อหาค่ะ เลยกะจะพิมพ์เนื้อหาลงในเวบเพื่อเก็บเอาไว้
และอาจจะยังประโยชน์แก่ผู้ที่เข้ามาอ่านบ้างไม่มากก็น้อย
และขอใช้กระทู้นี้เพื่อแลกเปลี่ยนบทความและปรัชญาเกี่ยวกับคุณธรรมนำชีวิต
จากผู้รู้ท่านอื่นๆด้วยน่ะค่ะ...
วัสลามุอะลัยกุมวะเราะมาตุลลอฮฺวะบารอกาตุ
loveit: loveit: loveit:
ส้มโชกุน:
salam
รออ่านอยุ่น่ะค่ะ.....
nada-yoru:
ชื่อหนังสือ : คุณธรรมนำชีวิต
Title :Youth and Morals
ผู้เขียน : ซัยยิด มุจตาบา มุซาวี ลารี
Writer : Sayyid Mujtaba Musavi Lari
ผู้แปล : ดร.กิติมา อมรทัต
Translator : Dr.Kitima Amoradhat
ผู้จัดพิมพ์ : อัล-หุดา
Publisher : Al-Huda
จำนวนพิมพ์ : 2,000เล่ม
Circulation : 2,000 Copies
วันที่จัดพิมพ์ : 25 พฤษภาคม 2536
Date of Publishing : 25 May 1993
loveit: loveit: loveit:
"คุณค่าแห่งมิตรภาพ"
ความรักคือความรู้สึกตามธรรมชาติของมนุษย์อย่างหนึ่ง
เหตุนี้เราเองจึงเห็นว่า คนทุกคนจะถูกดึงดูดโดยพลังภายในอย่างหนึ่ง
ไปสู่สมาชิกคนอื่นๆที่อยู่ในประเภทเดียวกัน
ดังนั้น ความต้องการอันเป็นสัญชาตญาณนี้ต้องได้รับการสนองตอบ
และทุกคนต้องสร้างความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องกับบุคคลหรือกลุ่มคนบางกลุ่ม
หรือบางคนเพื่อให้ได้รับประโยชน์ทางสังคมจากความสัมพันธ์เช่นนี้
ความรักคือรากฐานของความมั่นคงปลอดภัยและความสุขสบาย
ความรักเป็นความต้องการด้านจิตใจที่ให้ความรื่นรมย์ที่สุด
ซึ่งเกิดขึ้นในกาลเวลา ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดมีค่าไปยิ่งกว่าความรักอีกแล้ว
ความทุกข์ความปวดร้าวอันเกิดจากการสูญเสียผู้เป็นที่รักนั้น
เป็นความทุกข์ที่หนักที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์
จิตใจคนเราย่อมต้องการได้อาศัยพักพิงอยู่ในจิตใจของคนอื่นๆ
มิฉะนั้นเราจะถูกฉีกทึ้งด้วยน้ำมือของความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัย
และความวิตกกังวล เลยกลายเป็นเหยื่อแห่งความบีบคั้นของโลกเราเอง
ในเรืื่องนี้มีปราชญ์ผู้หนึ่งกล่าวไว้ว่า
ความลับของความสุขนั้นอยู่ในการรักษาความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง
กับโลกของเราไว้แทนที่จะสร้างความยุ่งเหยิงขึ้น
ผู้ที่ไม่สามารถรักมนุษย์ได้ย่อมไม่สามารถมีชีวิตอยู่โดยไร้กังวล
และม่ันคงปลอดภัยได้
สิ่งผูกพันที่สามารถนำเอาส่วนประกอบต่างๆของสังคมมาอยู่รวมกัน
ได้ดีที่สุดก็คือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากความรู้สึกที่จริงใจและความรักที่แท้จริง
ความกลมกลืนที่มีอยู่ระหว่างคนสองคนคือสิ่งที่จะทำให้เขารวมกันได้
ในโลกแห่งความรักและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
จากสิ่งนี้เองก็จะเกิดความผาสุกตลอดกาลขึ้น
แต่กระนั้นเพื่อที่จะทำให้ความผาสุกเช่นนั้นดำรงอยู่ได้
คนเราควรจะปัดความแตกต่างกันออกไปเสียและสร้างความปรองดองต่อกัน
ขึ้นในเรื่องบางอย่างที่ควรจะทำได้
มิตรภาพที่มีค่าที่สุดก็คือมิตรภาพซึ่งมิได้ตั้งอยู่บนผลประโยชน์ส่วนตัว
แต่คู่เคียงไปกับความรู้สึกในความเป็นพี่น้องกันและสามารถให้ความพึงพอใจ
แก่ดวงวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งต้องการความรักความสุขสบายได้
คนที่แสดงตนว่าเป็นมิตรที่ซื่อสัตย์ไม่ควรที่จะยอมให้สิ่งใด
มาทำให้ความรูสึกที่มีต่อมิตรของเขาสั่นสะเทือนไปได้
อันที่จริงเขาควรพยายามที่จะปลดเปลื้องความเสียหายและความปวดร้าว
ซึ่งมีอยู่ในหัวใจของเพื่อนออกไปเสียและชี้ให้เพื่อนได้แลเห็น
อุทยานแห่งความรักและการปลอบใจ
ผู้ที่ร้องขอความรักจากผู้อื่นควรมีความสามารถที่จะให้สิ่งที่มีอยู่
ในความรู้สึกของตนแก่ผู้อื่นได้ก่อน
นักปราชญ์ผู้หนึ่งกล่าวไว้ว่า
ชีวิตของเรานั้นเป็นเหมือนแผ่นดินที่เต็มไปด้วยขุนเขา
เมื่อใดก็ตามที่ใครคนหนึ่งส่งเสียงออกมา
ก็จะได้ยินเสียงนั้นสะท้อนกลับมาหาตัวเอง
ผู้ที่มีดวงใจเต็มไปด้วยความรักผู้อื่นย่อมได้รับความรักจากผู้อื่นเช่นเดียวกัน
เป็นความจริงที่ว่า ชีวิตด้านวัตถุของเราขึ้นอยู่กับการแลกเปลี่ยน
เราไม่ต้องกล่าวว่า ชีวิตด้านจิตวิญญาณของเราต้องขึ้นอยู่กับพื้นฐานเช่นเดียวกัน
แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่เราจะหวังว่าจะได้รับความซื่อสัตย์จากผู้อื่น
โดยที่เราเองไม่ซื่อสัตย์ต่อเขา
และเราจะขอความรักจากผู้อื่ืนได้อย่างไรโดยที่เราไม่รักคนอืื่นก่อน
ความสัมพันธ์กับผู้อื่นย่อมมีอันตรายอย่างยิ่งหากว่ามิได้ตั้งอยู่บนความรัก
และความซื่อสัตย์ของทั้งสองฝ่าย
ถ้าฝันร้ายแห่งความหน้าไหว้หลังหลอกเข้าครอบคลุมหัวใจและชีวิตของมนุษย์
ถ้าการประจบประแจงมาแทนที่ความซื่อสัตย์และมิตรภาพ
ความกลมกลืนกันและความเห็นอกเห็นใจกันก็ย่อมจะอ่อนแอลง
แล้วความร่วมมือกันก็ย่อมหมดไปจากสังคม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเราหลายคนได้เคยพบคนอื่นๆที่ไม่เคยมีความรัก
หรือความรู้สึกที่แท้จริงอยู่ในหัวใจของเขา
คนเหล่านี้ซ่อนเร้นตัวตนที่แท้จริงอยู่เบื้องหลังหน้ากากแห่งความรัก
แต่ก็มีอยู่บ่อยๆที่เราสามารถมองออกไปพ้นหน้ากากซึ่งปกปิดความเป็นจริง
และความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเขาไว้ได้
เป็นผลให้ความสัมพันธ์ที่เรามีต่อเขาสามารถทำลายหน้ากากเช่นนั้นลงไปได้
ที่จริงนั้นรากเหง้าประการหนึ่งของความสุขและวิธีพัฒนาจิตใจอย่างได้ผลก็คือ
...การมีมิตรที่แท้จริงกับผู้ที่มีความเที่ยงธรรม...
ทั้งนี้ก็เพราะความคิดของบุคคลย่อมพัฒนาไปภายใต้ร่มเงาแห่งความสัมพันธ์เช่นนี้
ซึ่งจะทำให้จิตใจขึ้นถึงระดับความศรัทธาแก่กล้าและมาตรฐานอันดีเลิศได้
เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นที่เราต้องตรวจสอบผู้ที่เราคบเป็นมิตรให้รอบคอบเสียก่อน
เราจะผิดอย่างไม่น่าให้อภัยเลย ถ้าเราจะสร้างมิตรภาพกับผู้ใด
ที่เรายังไม่พิสูจน์เสียก่อน...
ความสัมพันธ์ในทางลบย่อมเป็นอันตรายต่อความสุขของมนุษย์
...มีต่อค่ะ...
as-satuly:
--- อ้างจาก: nada-yoru ที่ ต.ค. 14, 2009, 08:39 PM ---
และขอใช้กระทู้นี้เพื่อแลกเปลี่ยนบทความและปรัชญาเกี่ยวกับคุณธรรมนำชีวิต
--- End quote ---
ญะซากิลลาฮฺ...รออ่านอยู่เช่นกัน และอยากให้พระนาง "nada-yoru" นั้น ได้ทำการพิมพ์และนำเสนอแบบจากหน้าปกแรกถึงปกหลังเลยยิ่งดีไปใหญ่(หากหนังสือเล่มดังกล่าวนี้ไม่มีการพิมพ์ต่อแล้วหรือว่าหาซื้อยากเกินไป) เผื่อว่า จะได้มีการรวบรวม หรือทำเป็นเอกสารที่ดีมีคุณค่าต่อไป และอีกทั้งเพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้อีกด้านที่(น่าจะ)ตรงกับเจตนรมณ์ของผู้เขียนหนังสือเล่มดังกล่าวนี้ด้วย เพื่อคุณธรรมนำชีวิตจะได้ยังประโยชน์แก่พวกเราทั้งหลายสืบไป...วัลลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลามุอะลัยกุม
nada-yoru:
"อิสลามเรียกร้องให้มีการมองโลกในแง่ดีและความไว้วางใจกัน"
อิสลามได้สร้างรากฐานไว้ในบรรดาผู้ศรัทธา
ด้วยการทำให้หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยศรัทธา
ด้วยประการฉะนี้ ศาสนาของเราจึงนำผู้ถือศาสนา
ไปสู่ความสุขสบายและความมั่นคง
พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวว่า
ท่านศาสดา ซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมผู้มีเกียรตินั้น
มีความเชื่อใจคนอื่นมากเสียจนพวกตีสองหน้าพากันวิพากย์วิจารณ์ท่าน
อิสลามสั่งให้มุสลิมไว้วางใจกันและกันและให้คิดเอาว่าผู้อื่นมีเจตนาดี
เพราะฉะนั้น อิสลามจึงไม่อนุญาตให้ผู้ใดถือว่าการกระทำของมุสลิม
เป็นไปในทางชั่วช้าเลวทรามโดยไม่มีหลักฐานพยานที่เหมาะสม
ต่อการคิดไปเช่นนั้น
ท่านศาสดา ซอลลอลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
จงคาดหมายสิ่งที่ดีจากพี่น้องของท่าน นอกจากว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
ซึ่งทำให้ท่านคิดไปเป็นอย่างอื่น และจงอย่าคิดว่าถ้อยคำของเขาเลวทราม
ในเมืื่อยังมีทางที่มันจะเป็นถ้อยคำที่ดีได้ (ญามิ อัส-สะอาดาต,เล่ม2,หน้า28)
เมื่อคนเราไว้วางใจซึ่งกันและกันก็ย่อมเพิ่มความรักที่มีต่อกันและกันให้มากขึ้น
และนำเอาความกลมเกลียวกันมาสู่ชีวิตของเขา
บรรดาท่านผู้นำของมุสลิมได้แสดงให้เห็นความสำคัญของการไว้ใจกัน
ไว้หลายประการด้วยกัน
ท่านอิม่ามอลี(อ.)ได้กล่่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า
เขาผู้ที่ไว้วางใจผู้อื่นย่อมได้รับความรักจากผู้อื่น
(ฆุรอร อัล-ฮิกัม)
ดร.มัรดินก็ได้กล่าวว่า
เมื่อคุณสร้างมิตรภาพกับใคร จงพยายามมองแต่ส่วนดีของเขา
แล้วก็จงพยายามสะสมลักษณะดีๆที่คุณพบในตัวเขาไว้ในความสำนึกของคุณ
ถ้าคุณสามารถจำคำแนะนำนี้ไว้ในใจได้ คุณก็จะมีชีวิตที่ดีและน่าพอใจ
และจะได้พบว่าทุกคนก็ต่างเอาด้านดีและด้านที่มีเมตตาของเขา
มาแสดงให้คุณเห็นและจะพยายามเอาชนะใจของคุณให้เป็นมิตรกับเขา
(พิโรซี ฟีกรฺ-ภาษาเปอร์เซีย)
เป็นไปได้ด้วยว่าการดูโลกในแง่ดีและความไว้วางใจย่อมมีผลต่อความคิด
และการกระทำของผู้ที่ถูกชักจูงไปในทางที่ผิด
สรุปได้ว่า ความไว้วางใจและการดูโลกในแง่ดีนั้นก่อให้เกิดรากฐาน
สำหรับการพ้นทุกข์ของบุคคลเช่นกัน
ครั้งหนึ่งท่านอิม่ามอลี(อ.)ได้กล่าวว่า
ความไว้วางใจย่อมช่วยชีวิตเขาผู้หมกมุ่นอยู่ในความบาป
ดร.เดล คาร์เนกีก็เล่าว่า
เมื่อเร็วๆนี้ผมได้พบผู้จัดการสัมปทานภัตตาคารผู้หนึ่ง
กลุ่มภัตตาคารกลุ่มนี้มีชื่อว่า งานที่ทรงเกียรติ ในภัตตาคารเหล่านี้
ซึ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อปี1885 พนักงานไม่เคยส่งใบเก็บเงินแก่ลูกค้าเลย
แต่ลูกค้าจะสั่งสิ่งที่เขาต้องการกิน พอกินเสร็จแล้วเขาก็จะคำนวณเงิน
และเอาไปจ่ายให้คนเก็บเงินโดยไม่มีปัญหาใดๆเลย
ผมพูดกับผู้จัดการคนนั้นว่า คุณคงมีผู้ตรวจตราอยู่ลับๆซีนะ?
คุณจะไว้ใจลูกค้าทุกคนน่ะไม่ได้หรอก เขาก็ตอบว่า
เปล่าเลย เราไม่ได้คอยดูลูกค้าของเราลับๆหรอกครับ
แต่เราก็ยังรู้ว่าวิธีของเรานั้นเหมาะสมดี มิฉะนั้นแล้วเราคงไม่เจริญก้าวหน้า
ได้หรอกในระหว่่างห้าสิบปีหลังนี้
ลูกค้าของภัตตาคารนี้รู้สึกว่าเขาได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติ
ทฤษฎีนี้มาจากความคิดที่ว่าทั้งคนจน คนรวย หัวขโมยและขอทาน
ต่างก็ล้วนพยายามกระทำดีในเมื่อมีผู้คาดหมายว่าเขาจะต้องทำดี
มร.หลุยส์ นักจิตวิทยาสังคมผู้หนึ่งกล่าวว่า
ถ้าท่านคบกับคนนิสัยไม่ดี จิตใจไม่มั่นคงและกำลังพยายามนำเขา
ไปสู่ความดีและความมั่นคง ก็จงพยายามทำให้เขารู้สึกว่าท่านไว้ใจเขา
จงปฏิบัติต่อเขาเหมือนกับคนที่มีเกียรติและน่านับถือ
ท่านจะพบว่าเขาจะพยายามรักษาความไว้วางใจที่คุณมีต่อเขาไว้
เป็นผลให้เขาพยายามทำตัวให้สมกับความไว้วางใจของคุณ
เพื่อพิสูจน์ว่าเขามีค่าเช่นนั้น
(จากหนังสือ วิธีการเอาชนะใจเพื่อน)
ดร.กิลเบต โรเบน เขียนไว้ว่า
จงไว้ใจเด็กๆเถิด ผมหมายความว่า จงปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนกับว่า
เขาไม่เคยทำอะไรผิดเลย หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ จงลบอดีตของเขาเสีย
และให้อภัยแก่การกระทำของเขา จงพยายามมอบหมายหน้าที่สำคัญๆ
ให้แก่คนที่ประพฤติตัวไม่ดี คนเหล่านั้นก็จะมีความประพฤติดีขึ้น
พร้อมกับงานใหม่ๆทุกอย่างที่ท่านมอบให้เขาทำ
ท่านจะเห็นว่าเขามีคุณสมบัติดีขึ้นเพื่อให้เหมาะกับงานที่ท่านมอบให้
การจำกัดอุปสรรคที่มีอยู่ในการแก้ไขผู้ใดให้ดีขึ้นนั้น
อาจทำได้ด้วยการกระทำดีและไว้ใจผู้นั้น
จากนี้เราอาจกล่าวได้ว่าการกระทำที่ไม่พึงปรารถนาส่วนมากนั้น
เป็นแค่เพียงปฏิกริยาที่มีมาเพื่อจะเติมช่องว่างในชีวิตของส่วนบุคคลให้เต็มเท่านั้น
เซอร์ยาลบินท์ มักจะแนะให้ไว้ใจมอบเงินไว้แก่เด็กๆที่มีนิสัยขี้ขโมย
และให้งานซึ่งเหมาะสมกับความสามารถของคนที่เกียจคร้านทำ
ความไว้วางใจทำให้คนเรามีความสบายใจ
ท่านอิม่ามอลี(อ.)ได้กล่าวไว้ว่า
ความไว้วางใจคือการปลอบโยนจิตใจและทำให้ความศรัทธามั่นคงขึ้น
(ฆุรอร อัล-ฮิกัม,หน้า376)
ดร.มัรดินกล่าวว่า
ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ชีวิตดูงดงามในสายตาของเราหรือลดความทุกข์ของเรา
ให้น้อยลงและปูทางความสำเร็จได้ดีเหมือนการมองโลกในแง่ดีและความไว้วางใจ
เพราะฉะนั้น จงระวังความคิดที่เป็นภัยเช่นเดียวกับที่ท่านระวังโรคร้าย
และผลอันเต็มไปด้วยอันตรายของมัน
จงเปิดใจให้แก่ความคิดในทางที่ดี แล้วท่านจะเห็นว่าท่านสามารถช่วยตัวเอง
จากความคิดร้ายที่มีอยู่ได้ง่ายเพียงไร
(พิโรซี ฟิกรฺ)
เป็นความจำเป็นที่มุสลิมจะต้องปฏิบัติดีต่อกันและกันในวิธีที่จะไม่ทำให้เกิด
ความประสงค์ร้ายขึ้นในสังคมของเขา
ในเรื่องนี้ท่านอิม่ามอลี(อ.)มักแนะนำให้มุสลิมคิดในทางที่ดีในเรื่องของกันและกัน
และมิให้กระทำในแบบที่จะทำให้ผู้อื่นไม่ไว้ใจเรา
ท่านยังได้แนะนำด้วยว่า เราควรจะหลีกเลี่ยงเสียจากความระแวงสงสัยกัน
ท่านได้กล่าวว่า
เขาผู้ซึ่งมีความหวังในตัวท่านได้ให้ความไว้วางใจของเขาแก่ท่าน
เพราะฉะนั้น อย่าทำให้เขาผิดหวังเลย
(ฆุรอร อัล-ฮิกัม,หน้า680)
ท่านอิม่ามอลี(อ.)ได้กล่าวถึงจุดที่คนเราจะใช้ตัดสินการให้เหตุผล
แก่การคิดถึงผู้อื่นไว้ดังนี้
ความคาดหวังของคนเราคือตาชั่งสำหรับเหตุผลของเขา
และความประพฤติของเขาคือประจักษ์พยานที่ซื่อสัตย์ที่สุด
ในเรื่องความจริงแท้ของเขา
(ฆุรอร อัล-ฮิกัม,หน้า474)
เนื่องจากว่าคนที่มีความคาดหมายในทางไม่ดีต่อผู้อื่นนั้น
ขาดความสามารถที่จะหาเหตุผลได้ตามหลักตรรกวิทยา
ท่านอิม่ามอลี(อ.)จึงถือว่า การไม่คิดไปในทางร้ายของมุสลิม
คือสัญญาณแห่งพลังทางจิตวิญญาณของเขา ท่านได้กล่าวว่า
ผู้ที่ปฏิเสธไม่ยอมคิดในทางร้ายต่อพี่น้องของเขาย่อมเป็นผู้มีเหตุผลที่ดี
และหัวใจของเขาจะสงบสุข
(ฆุรอร อัล-ฮิกัม,หน้า676)
ซามูเอล สไมล์กล่าวว่า
ได้มีการพิสูจน์แล้วว่าผู้มีนิสัยและจิตใจที่เข้มแข็งย่อมมีความสุข
และมีความหวังในชีวิต เขามองดูทุกคนและทุกสิ่งด้วยความไว้วางใจและสบายใจ
คนฉลาดแลเห็นดวงอาทิตย์อันแจ่มใสอยู่เหนือเมฆทุกก้อนไป
และย่อมรู้ว่าเบื้องหลังความทุกข์ทรมานทุกอย่างนั้นย่อมมีความสุข
ที่เขาใฝ่ฝันถึงอยู่ คนเหล่านี้ย่อมได้พบพลังใหม่ทุกครั้งเมื่อเขาได้รับ
ความเดือดร้อนด้วยปัญหาใหม่ๆ และพบความหวังอยู่ในความเศร้าโศก
หมดหวังทุกอันไป ผู้ที่มีนิสัยเช่นนั้นย่อมมีความสุขที่แท้จริง
และนับว่าเป็นคนโชคดี
แสงแห่งความสุขจะเจิดจ้าอยู่ในดวงตาของเขา
และเราจะเห็นว่าเขายิ้มแย้มอยู่เสมอ ดวงใจของคนชนิดนี้จะส่องประกายแวววาว
เหมือนดวงดาวและเขาจะมองดูทุกสิ่งด้วยดวงตาที่มีความเข้าใจ
และด้วยสีสันที่ปรารถนา
ท่านอิม่ามซอดิก(อ.)ถือว่าการคาดหมายในสิ่งดีนั้นเป็นสิทธิ์อย่างหนึ่ง
ที่มุสลิมพึงมีต่อกันและกัน
ในบรรดาสิทธิที่ผู้มีศรัทธาผู้หนึ่งมีต่อผู้มีศรัทธาอีกผู้หนึ่งนั้นก็คือ
การไม่ระแวงสงสัยเขา
(อุซูล อัล-กาฟี,เล่ม1,หน้า394)
อันที่จริงนั้นสิ่งที่สามารถทำให้คนเรามีการมองโลกในแง่ดี
และมีความไว้วางใจได้มากที่สุดก็คือความศรัทธานั่นเอง
ถ้าหากว่าประชาชาติทั้งมวลเป็นชนชาติเดียวกับผู้ที่มีศรัทธาในอัลลอฮฺ
ในศาสดาของพระองค์และในวันพิพากษาครั้งสุดท้ายแล้วไซร้
ก็จะเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะไว้ใจซึ่งกันและกัน
การขาดศรัทธาในหมู่ผู้คนก็คือสาเหตุที่ทำให้มีความระแวงแพร่หลายอยู่ในสังคม
ผู้มีศรัทธาซึ่งหัวใจของเขามีความสุขด้วยความเชื่อมั่นและไว้วางพระทัย
ในอัลลอฮฺย่อมสามารถพึ่งพิงอาศัยพลังอันไม่มีจำกัดนั้นได้
เมื่อเขาได้รับความเดือดร้อนจากความอ่อนแอของเขา
เขาจะหาที่พึ่งในอัลลอฮฺในระหว่างที่เขาตกระกำลำบาก
สิ่งนี้จะฝึกฝนดวงวิญญาณของเขาและมีผลกระทบต่อศีลธรรมของเขาอย่างลึกซึ้ง
...ยังมีต่ออีกค่ะ...
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version