เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

YOUTH AND MORALS:คุณธรรมนำชีวิต

(1/3) > >>

nada-yoru:
Tweet

 salam

     ขออนุญาตนำเนื้อหาจากหนังสือเก่าๆเล่มนึงมาฝากไว้ในเวบนะคะ
เผื่อวันใดที่หนังสือเล่มนี้หายไปหรือลืมเอาไว้ที่ไหน
จะได้กลับมาทวนเนื้อหาในเวบนี้ได้
เพราะคิดว่าคงไม่มีวางขายในปัจจุบันแล้วน่ะค่ะหรือถ้ามีก็คงหายากน่าดู
เสียดายเนื้อหาค่ะ เลยกะจะพิมพ์เนื้อหาลงในเวบเพื่อเก็บเอาไว้
และอาจจะยังประโยชน์แก่ผู้ที่เข้ามาอ่านบ้างไม่มากก็น้อย
และขอใช้กระทู้นี้เพื่อแลกเปลี่ยนบทความและปรัชญาเกี่ยวกับคุณธรรมนำชีวิต
จากผู้รู้ท่านอื่นๆด้วยน่ะค่ะ...

วัสลามุอะลัยกุมวะเราะมาตุลลอฮฺวะบารอกาตุ

             
                loveit: loveit: loveit:

ส้มโชกุน:
 salam


รออ่านอยุ่น่ะค่ะ.....

nada-yoru:
                        ชื่อหนังสือ              : คุณธรรมนำชีวิต
                        Title                      :Youth and Morals
                            
                         ผู้เขียน                  : ซัยยิด มุจตาบา มุซาวี ลารี
                         Writer                   : Sayyid Mujtaba Musavi Lari
                            
                          ผู้แปล                   :  ดร.กิติมา อมรทัต
                          Translator             : Dr.Kitima  Amoradhat

                          ผู้จัดพิมพ์              : อัล-หุดา
                          Publisher              : Al-Huda

                          จำนวนพิมพ์          : 2,000เล่ม
                          Circulation            : 2,000 Copies

                         วันที่จัดพิมพ์           : 25 พฤษภาคม 2536
                          Date of Publishing  : 25 May 1993

                              
                                    loveit: loveit: loveit:


"คุณค่าแห่งมิตรภาพ"

   ความรักคือความรู้สึกตามธรรมชาติของมนุษย์อย่างหนึ่ง
เหตุนี้เราเองจึงเห็นว่า คนทุกคนจะถูกดึงดูดโดยพลังภายในอย่างหนึ่ง
ไปสู่สมาชิกคนอื่นๆที่อยู่ในประเภทเดียวกัน

ดังนั้น ความต้องการอันเป็นสัญชาตญาณนี้ต้องได้รับการสนองตอบ
และทุกคนต้องสร้างความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องกับบุคคลหรือกลุ่มคนบางกลุ่ม
หรือบางคนเพื่อให้ได้รับประโยชน์ทางสังคมจากความสัมพันธ์เช่นนี้

ความรักคือรากฐานของความมั่นคงปลอดภัยและความสุขสบาย

ความรักเป็นความต้องการด้านจิตใจที่ให้ความรื่นรมย์ที่สุด

ซึ่งเกิดขึ้นในกาลเวลา ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดมีค่าไปยิ่งกว่าความรักอีกแล้ว

      ความทุกข์ความปวดร้าวอันเกิดจากการสูญเสียผู้เป็นที่รักนั้น
เป็นความทุกข์ที่หนักที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์

จิตใจคนเราย่อมต้องการได้อาศัยพักพิงอยู่ในจิตใจของคนอื่นๆ
มิฉะนั้นเราจะถูกฉีกทึ้งด้วยน้ำมือของความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัย
และความวิตกกังวล เลยกลายเป็นเหยื่อแห่งความบีบคั้นของโลกเราเอง

ในเรืื่องนี้มีปราชญ์ผู้หนึ่งกล่าวไว้ว่า

“ความลับของความสุขนั้นอยู่ในการรักษาความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง
กับโลกของเราไว้แทนที่จะสร้างความยุ่งเหยิงขึ้น
ผู้ที่ไม่สามารถรักมนุษย์ได้ย่อมไม่สามารถมีชีวิตอยู่โดยไร้กังวล
และม่ันคงปลอดภัยได้”

      สิ่งผูกพันที่สามารถนำเอาส่วนประกอบต่างๆของสังคมมาอยู่รวมกัน
ได้ดีที่สุดก็คือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากความรู้สึกที่จริงใจและความรักที่แท้จริง
ความกลมกลืนที่มีอยู่ระหว่างคนสองคนคือสิ่งที่จะทำให้เขารวมกันได้
ในโลกแห่งความรักและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
จากสิ่งนี้เองก็จะเกิดความผาสุกตลอดกาลขึ้น

แต่กระนั้นเพื่อที่จะทำให้ความผาสุกเช่นนั้นดำรงอยู่ได้
คนเราควรจะปัดความแตกต่างกันออกไปเสียและสร้างความปรองดองต่อกัน
ขึ้นในเรื่องบางอย่างที่ควรจะทำได้


      มิตรภาพที่มีค่าที่สุดก็คือมิตรภาพซึ่งมิได้ตั้งอยู่บนผลประโยชน์ส่วนตัว
แต่คู่เคียงไปกับความรู้สึกในความเป็นพี่น้องกันและสามารถให้ความพึงพอใจ
แก่ดวงวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งต้องการความรักความสุขสบายได้

คนที่แสดงตนว่าเป็นมิตรที่ซื่อสัตย์ไม่ควรที่จะยอมให้สิ่งใด
มาทำให้ความรูสึกที่มีต่อมิตรของเขาสั่นสะเทือนไปได้

อันที่จริงเขาควรพยายามที่จะปลดเปลื้องความเสียหายและความปวดร้าว
ซึ่งมีอยู่ในหัวใจของเพื่อนออกไปเสียและชี้ให้เพื่อนได้แลเห็น
อุทยานแห่งความรักและการปลอบใจ

ผู้ที่ร้องขอความรักจากผู้อื่นควรมีความสามารถที่จะให้สิ่งที่มีอยู่
ในความรู้สึกของตนแก่ผู้อื่นได้ก่อน

นักปราชญ์ผู้หนึ่งกล่าวไว้ว่า

“ชีวิตของเรานั้นเป็นเหมือนแผ่นดินที่เต็มไปด้วยขุนเขา”

เมื่อใดก็ตามที่ใครคนหนึ่งส่งเสียงออกมา
ก็จะได้ยินเสียงนั้นสะท้อนกลับมาหาตัวเอง
ผู้ที่มีดวงใจเต็มไปด้วยความรักผู้อื่นย่อมได้รับความรักจากผู้อื่นเช่นเดียวกัน

เป็นความจริงที่ว่า ชีวิตด้านวัตถุของเราขึ้นอยู่กับการแลกเปลี่ยน
เราไม่ต้องกล่าวว่า ชีวิตด้านจิตวิญญาณของเราต้องขึ้นอยู่กับพื้นฐานเช่นเดียวกัน

แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่เราจะหวังว่าจะได้รับความซื่อสัตย์จากผู้อื่น
โดยที่เราเองไม่ซื่อสัตย์ต่อเขา

และเราจะขอความรักจากผู้อื่ืนได้อย่างไรโดยที่เราไม่รักคนอืื่นก่อน


    ความสัมพันธ์กับผู้อื่นย่อมมีอันตรายอย่างยิ่งหากว่ามิได้ตั้งอยู่บนความรัก
และความซื่อสัตย์ของทั้งสองฝ่าย

ถ้าฝันร้ายแห่งความหน้าไหว้หลังหลอกเข้าครอบคลุมหัวใจและชีวิตของมนุษย์
ถ้าการประจบประแจงมาแทนที่ความซื่อสัตย์และมิตรภาพ
ความกลมกลืนกันและความเห็นอกเห็นใจกันก็ย่อมจะอ่อนแอลง
แล้วความร่วมมือกันก็ย่อมหมดไปจากสังคม


     ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเราหลายคนได้เคยพบคนอื่นๆที่ไม่เคยมีความรัก
หรือความรู้สึกที่แท้จริงอยู่ในหัวใจของเขา
คนเหล่านี้ซ่อนเร้นตัวตนที่แท้จริงอยู่เบื้องหลังหน้ากากแห่งความรัก
แต่ก็มีอยู่บ่อยๆที่เราสามารถมองออกไปพ้นหน้ากากซึ่งปกปิดความเป็นจริง
และความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเขาไว้ได้
เป็นผลให้ความสัมพันธ์ที่เรามีต่อเขาสามารถทำลายหน้ากากเช่นนั้นลงไปได้


     ที่จริงนั้นรากเหง้าประการหนึ่งของความสุขและวิธีพัฒนาจิตใจอย่างได้ผลก็คือ

...การมีมิตรที่แท้จริงกับผู้ที่มีความเที่ยงธรรม...

ทั้งนี้ก็เพราะความคิดของบุคคลย่อมพัฒนาไปภายใต้ร่มเงาแห่งความสัมพันธ์เช่นนี้
ซึ่งจะทำให้จิตใจขึ้นถึงระดับความศรัทธาแก่กล้าและมาตรฐานอันดีเลิศได้

เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นที่เราต้องตรวจสอบผู้ที่เราคบเป็นมิตรให้รอบคอบเสียก่อน
เราจะผิดอย่างไม่น่าให้อภัยเลย ถ้าเราจะสร้างมิตรภาพกับผู้ใด
ที่เรายังไม่พิสูจน์เสียก่อน...
ความสัมพันธ์ในทางลบย่อมเป็นอันตรายต่อความสุขของมนุษย์


...มีต่อค่ะ...


as-satuly:

--- อ้างจาก: nada-yoru ที่ ต.ค. 14, 2009, 08:39 PM ---
และขอใช้กระทู้นี้เพื่อแลกเปลี่ยนบทความและปรัชญาเกี่ยวกับคุณธรรมนำชีวิต


--- End quote ---

          ญะซากิลลาฮฺ...รออ่านอยู่เช่นกัน และอยากให้พระนาง "nada-yoru" นั้น ได้ทำการพิมพ์และนำเสนอแบบจากหน้าปกแรกถึงปกหลังเลยยิ่งดีไปใหญ่(หากหนังสือเล่มดังกล่าวนี้ไม่มีการพิมพ์ต่อแล้วหรือว่าหาซื้อยากเกินไป) เผื่อว่า จะได้มีการรวบรวม หรือทำเป็นเอกสารที่ดีมีคุณค่าต่อไป และอีกทั้งเพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้อีกด้านที่(น่าจะ)ตรงกับเจตนรมณ์ของผู้เขียนหนังสือเล่มดังกล่าวนี้ด้วย เพื่อคุณธรรมนำชีวิตจะได้ยังประโยชน์แก่พวกเราทั้งหลายสืบไป...วัลลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลามุอะลัยกุม

nada-yoru:
"อิสลามเรียกร้องให้มีการมองโลกในแง่ดีและความไว้วางใจกัน"


     อิสลามได้สร้างรากฐานไว้ในบรรดาผู้ศรัทธา
ด้วยการทำให้หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยศรัทธา

ด้วยประการฉะนี้ ศาสนาของเราจึงนำผู้ถือศาสนา
ไปสู่ความสุขสบายและความมั่นคง

พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวว่า
ท่านศาสดา ซอลลอลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมผู้มีเกียรตินั้น
มีความเชื่อใจคนอื่นมากเสียจนพวกตีสองหน้าพากันวิพากย์วิจารณ์ท่าน


    อิสลามสั่งให้มุสลิมไว้วางใจกันและกันและให้คิดเอาว่าผู้อื่นมีเจตนาดี

เพราะฉะนั้น อิสลามจึงไม่อนุญาตให้ผู้ใดถือว่าการกระทำของมุสลิม
เป็นไปในทางชั่วช้าเลวทรามโดยไม่มีหลักฐานพยานที่เหมาะสม
ต่อการคิดไปเช่นนั้น

ท่านศาสดา ซอลลอลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

“จงคาดหมายสิ่งที่ดีจากพี่น้องของท่าน นอกจากว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
ซึ่งทำให้ท่านคิดไปเป็นอย่างอื่น และจงอย่าคิดว่าถ้อยคำของเขาเลวทราม
ในเมืื่อยังมีทางที่มันจะเป็นถ้อยคำที่ดีได้”                                         (ญามิ อัส-สะอาดาต,เล่ม2,หน้า28)



   เมื่อคนเราไว้วางใจซึ่งกันและกันก็ย่อมเพิ่มความรักที่มีต่อกันและกันให้มากขึ้น
และนำเอาความกลมเกลียวกันมาสู่ชีวิตของเขา

บรรดาท่านผู้นำของมุสลิมได้แสดงให้เห็นความสำคัญของการไว้ใจกัน
ไว้หลายประการด้วยกัน

ท่านอิม่ามอลี(อ.)ได้กล่่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า

“เขาผู้ที่ไว้วางใจผู้อื่นย่อมได้รับความรักจากผู้อื่น”
                                                                                       (ฆุรอร อัล-ฮิกัม)

ดร.มัรดินก็ได้กล่าวว่า

“เมื่อคุณสร้างมิตรภาพกับใคร จงพยายามมองแต่ส่วนดีของเขา
แล้วก็จงพยายามสะสมลักษณะดีๆที่คุณพบในตัวเขาไว้ในความสำนึกของคุณ
ถ้าคุณสามารถจำคำแนะนำนี้ไว้ในใจได้ คุณก็จะมีชีวิตที่ดีและน่าพอใจ
และจะได้พบว่าทุกคนก็ต่างเอาด้านดีและด้านที่มีเมตตาของเขา
มาแสดงให้คุณเห็นและจะพยายามเอาชนะใจของคุณให้เป็นมิตรกับเขา”
                                                                    (พิโรซี ฟีกรฺ-ภาษาเปอร์เซีย)

 
    เป็นไปได้ด้วยว่าการดูโลกในแง่ดีและความไว้วางใจย่อมมีผลต่อความคิด
และการกระทำของผู้ที่ถูกชักจูงไปในทางที่ผิด

สรุปได้ว่า ความไว้วางใจและการดูโลกในแง่ดีนั้นก่อให้เกิดรากฐาน
สำหรับการพ้นทุกข์ของบุคคลเช่นกัน

   ครั้งหนึ่งท่านอิม่ามอลี(อ.)ได้กล่าวว่า

“ความไว้วางใจย่อมช่วยชีวิตเขาผู้หมกมุ่นอยู่ในความบาป”

ดร.เดล คาร์เนกีก็เล่าว่า

“เมื่อเร็วๆนี้ผมได้พบผู้จัดการสัมปทานภัตตาคารผู้หนึ่ง
กลุ่มภัตตาคารกลุ่มนี้มีชื่อว่า “งานที่ทรงเกียรติ” ในภัตตาคารเหล่านี้
ซึ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อปี1885 พนักงานไม่เคยส่งใบเก็บเงินแก่ลูกค้าเลย
แต่ลูกค้าจะสั่งสิ่งที่เขาต้องการกิน พอกินเสร็จแล้วเขาก็จะคำนวณเงิน
และเอาไปจ่ายให้คนเก็บเงินโดยไม่มีปัญหาใดๆเลย

ผมพูดกับผู้จัดการคนนั้นว่า “คุณคงมีผู้ตรวจตราอยู่ลับๆซีนะ?
คุณจะไว้ใจลูกค้าทุกคนน่ะไม่ได้หรอก” เขาก็ตอบว่า

“เปล่าเลย เราไม่ได้คอยดูลูกค้าของเราลับๆหรอกครับ
แต่เราก็ยังรู้ว่าวิธีของเรานั้นเหมาะสมดี มิฉะนั้นแล้วเราคงไม่เจริญก้าวหน้า
ได้หรอกในระหว่่างห้าสิบปีหลังนี้”
ลูกค้าของภัตตาคารนี้รู้สึกว่าเขาได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติ
ทฤษฎีนี้มาจากความคิดที่ว่าทั้งคนจน คนรวย หัวขโมยและขอทาน
ต่างก็ล้วนพยายามกระทำดีในเมื่อมีผู้คาดหมายว่าเขาจะต้องทำดี”


มร.หลุยส์ นักจิตวิทยาสังคมผู้หนึ่งกล่าวว่า

“ถ้าท่านคบกับคนนิสัยไม่ดี จิตใจไม่มั่นคงและกำลังพยายามนำเขา
ไปสู่ความดีและความมั่นคง ก็จงพยายามทำให้เขารู้สึกว่าท่านไว้ใจเขา
จงปฏิบัติต่อเขาเหมือนกับคนที่มีเกียรติและน่านับถือ
ท่านจะพบว่าเขาจะพยายามรักษาความไว้วางใจที่คุณมีต่อเขาไว้
เป็นผลให้เขาพยายามทำตัวให้สมกับความไว้วางใจของคุณ
เพื่อพิสูจน์ว่าเขามีค่าเช่นนั้น”                                          
                                                           (จากหนังสือ วิธีการเอาชนะใจเพื่อน)


ดร.กิลเบต โรเบน เขียนไว้ว่า

“จงไว้ใจเด็กๆเถิด ผมหมายความว่า จงปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนกับว่า
เขาไม่เคยทำอะไรผิดเลย หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ จงลบอดีตของเขาเสีย
และให้อภัยแก่การกระทำของเขา จงพยายามมอบหมายหน้าที่สำคัญๆ
ให้แก่คนที่ประพฤติตัวไม่ดี คนเหล่านั้นก็จะมีความประพฤติดีขึ้น
พร้อมกับงานใหม่ๆทุกอย่างที่ท่านมอบให้เขาทำ

ท่านจะเห็นว่าเขามีคุณสมบัติดีขึ้นเพื่อให้เหมาะกับงานที่ท่านมอบให้
การจำกัดอุปสรรคที่มีอยู่ในการแก้ไขผู้ใดให้ดีขึ้นนั้น
อาจทำได้ด้วยการกระทำดีและไว้ใจผู้นั้น

จากนี้เราอาจกล่าวได้ว่าการกระทำที่ไม่พึงปรารถนาส่วนมากนั้น
เป็นแค่เพียงปฏิกริยาที่มีมาเพื่อจะเติมช่องว่างในชีวิตของส่วนบุคคลให้เต็มเท่านั้น”


เซอร์ยาลบินท์ มักจะแนะให้ไว้ใจมอบเงินไว้แก่เด็กๆที่มีนิสัยขี้ขโมย
และให้งานซึ่งเหมาะสมกับความสามารถของคนที่เกียจคร้านทำ

ความไว้วางใจทำให้คนเรามีความสบายใจ


ท่านอิม่ามอลี(อ.)ได้กล่าวไว้ว่า

“ความไว้วางใจคือการปลอบโยนจิตใจและทำให้ความศรัทธามั่นคงขึ้น”
                                                             (ฆุรอร อัล-ฮิกัม,หน้า376)



ดร.มัรดินกล่าวว่า

“ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ชีวิตดูงดงามในสายตาของเราหรือลดความทุกข์ของเรา
ให้น้อยลงและปูทางความสำเร็จได้ดีเหมือนการมองโลกในแง่ดีและความไว้วางใจ

เพราะฉะนั้น จงระวังความคิดที่เป็นภัยเช่นเดียวกับที่ท่านระวังโรคร้าย
และผลอันเต็มไปด้วยอันตรายของมัน

จงเปิดใจให้แก่ความคิดในทางที่ดี แล้วท่านจะเห็นว่าท่านสามารถช่วยตัวเอง
จากความคิดร้ายที่มีอยู่ได้ง่ายเพียงไร”                                                                      
                                                                                      (พิโรซี ฟิกรฺ)



เป็นความจำเป็นที่มุสลิมจะต้องปฏิบัติดีต่อกันและกันในวิธีที่จะไม่ทำให้เกิด
ความประสงค์ร้ายขึ้นในสังคมของเขา

ในเรื่องนี้ท่านอิม่ามอลี(อ.)มักแนะนำให้มุสลิมคิดในทางที่ดีในเรื่องของกันและกัน
และมิให้กระทำในแบบที่จะทำให้ผู้อื่นไม่ไว้ใจเรา

ท่านยังได้แนะนำด้วยว่า เราควรจะหลีกเลี่ยงเสียจากความระแวงสงสัยกัน
ท่านได้กล่าวว่า

“เขาผู้ซึ่งมีความหวังในตัวท่านได้ให้ความไว้วางใจของเขาแก่ท่าน
เพราะฉะนั้น อย่าทำให้เขาผิดหวังเลย”                                                        
                                                                                 (ฆุรอร อัล-ฮิกัม,หน้า680)


ท่านอิม่ามอลี(อ.)ได้กล่าวถึงจุดที่คนเราจะใช้ตัดสินการให้เหตุผล
แก่การคิดถึงผู้อื่นไว้ดังนี้

“ความคาดหวังของคนเราคือตาชั่งสำหรับเหตุผลของเขา
และความประพฤติของเขาคือประจักษ์พยานที่ซื่อสัตย์ที่สุด
ในเรื่องความจริงแท้ของเขา”                                                      
                                                                 (ฆุรอร อัล-ฮิกัม,หน้า474)



     เนื่องจากว่าคนที่มีความคาดหมายในทางไม่ดีต่อผู้อื่นนั้น
ขาดความสามารถที่จะหาเหตุผลได้ตามหลักตรรกวิทยา

ท่านอิม่ามอลี(อ.)จึงถือว่า การไม่คิดไปในทางร้ายของมุสลิม
คือสัญญาณแห่งพลังทางจิตวิญญาณของเขา ท่านได้กล่าวว่า

“ผู้ที่ปฏิเสธไม่ยอมคิดในทางร้ายต่อพี่น้องของเขาย่อมเป็นผู้มีเหตุผลที่ดี
และหัวใจของเขาจะสงบสุข”                                                        
                                                                                 (ฆุรอร อัล-ฮิกัม,หน้า676)

ซามูเอล สไมล์กล่าวว่า

“ได้มีการพิสูจน์แล้วว่าผู้มีนิสัยและจิตใจที่เข้มแข็งย่อมมีความสุข
และมีความหวังในชีวิต เขามองดูทุกคนและทุกสิ่งด้วยความไว้วางใจและสบายใจ

คนฉลาดแลเห็นดวงอาทิตย์อันแจ่มใสอยู่เหนือเมฆทุกก้อนไป
และย่อมรู้ว่าเบื้องหลังความทุกข์ทรมานทุกอย่างนั้นย่อมมีความสุข
ที่เขาใฝ่ฝันถึงอยู่ คนเหล่านี้ย่อมได้พบพลังใหม่ทุกครั้งเมื่อเขาได้รับ
ความเดือดร้อนด้วยปัญหาใหม่ๆ และพบความหวังอยู่ในความเศร้าโศก
หมดหวังทุกอันไป ผู้ที่มีนิสัยเช่นนั้นย่อมมีความสุขที่แท้จริง
และนับว่าเป็นคนโชคดี

แสงแห่งความสุขจะเจิดจ้าอยู่ในดวงตาของเขา
และเราจะเห็นว่าเขายิ้มแย้มอยู่เสมอ ดวงใจของคนชนิดนี้จะส่องประกายแวววาว
เหมือนดวงดาวและเขาจะมองดูทุกสิ่งด้วยดวงตาที่มีความเข้าใจ
และด้วยสีสันที่ปรารถนา”

ท่านอิม่ามซอดิก(อ.)ถือว่าการคาดหมายในสิ่งดีนั้นเป็นสิทธิ์อย่างหนึ่ง
ที่มุสลิมพึงมีต่อกันและกัน

“ในบรรดาสิทธิที่ผู้มีศรัทธาผู้หนึ่งมีต่อผู้มีศรัทธาอีกผู้หนึ่งนั้นก็คือ
การไม่ระแวงสงสัยเขา”                                                
                                                              (อุซูล อัล-กาฟี,เล่ม1,หน้า394)



อันที่จริงนั้นสิ่งที่สามารถทำให้คนเรามีการมองโลกในแง่ดี
และมีความไว้วางใจได้มากที่สุดก็คือความศรัทธานั่นเอง

ถ้าหากว่าประชาชาติทั้งมวลเป็นชนชาติเดียวกับผู้ที่มีศรัทธาในอัลลอฮฺ
ในศาสดาของพระองค์และในวันพิพากษาครั้งสุดท้ายแล้วไซร้
ก็จะเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะไว้ใจซึ่งกันและกัน

การขาดศรัทธาในหมู่ผู้คนก็คือสาเหตุที่ทำให้มีความระแวงแพร่หลายอยู่ในสังคม
ผู้มีศรัทธาซึ่งหัวใจของเขามีความสุขด้วยความเชื่อมั่นและไว้วางพระทัย
ในอัลลอฮฺย่อมสามารถพึ่งพิงอาศัยพลังอันไม่มีจำกัดนั้นได้
เมื่อเขาได้รับความเดือดร้อนจากความอ่อนแอของเขา

เขาจะหาที่พึ่งในอัลลอฮฺในระหว่างที่เขาตกระกำลำบาก

สิ่งนี้จะฝึกฝนดวงวิญญาณของเขาและมีผลกระทบต่อศีลธรรมของเขาอย่างลึกซึ้ง


...ยังมีต่ออีกค่ะ...


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version