เสวนาเชิงวิชาการ > สนทนาศาสนธรรม

YOUTH AND MORALS:คุณธรรมนำชีวิต

<< < (2/3) > >>

nada-yoru:

--- อ้างจาก: soraya ที่ ต.ค. 14, 2009, 08:58 PM --- salam


รออ่านอยุ่น่ะค่ะ.....

--- End quote ---

วะอาลัยกุมมุสลามค่ะ

ชื่นใจจังค่ะ... ;D
ค่อยมีแรงพิมพ์ขึ้นมาอีกโขเลยค่ะ... loveit:




--- อ้างจาก: as-satuly ที่ ต.ค. 14, 2009, 09:10 PM ---
--- อ้างจาก: nada-yoru ที่ ต.ค. 14, 2009, 08:39 PM ---
และขอใช้กระทู้นี้เพื่อแลกเปลี่ยนบทความและปรัชญาเกี่ยวกับคุณธรรมนำชีวิต


--- End quote ---

          ญะซากิลลาฮฺ...รออ่านอยู่เช่นกัน และอยากให้พระนาง "nada-yoru" นั้น
ได้ทำการพิมพ์และนำเสนอแบบจากหน้าปกแรกถึงปกหลังเลยยิ่งดีไปใหญ่
(หากหนังสือเล่มดังกล่าวนี้ไม่มีการพิมพ์ต่อแล้วหรือว่าหาซื้อยากเกินไป)
เผื่อว่า จะได้มีการรวบรวม หรือทำเป็นเอกสารที่ดีมีคุณค่าต่อไป
และอีกทั้งเพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้อีกด้านที่(น่าจะ)ตรงกับเจตนรมณ์
ของผู้เขียนหนังสือเล่มดังกล่าวนี้ด้วย
เพื่อคุณธรรมนำชีวิตจะได้ยังประโยชน์แก่พวกเราทั้งหลายสืบไป...
วัลลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลามุอะลัยกุม

--- End quote ---


อินชาอัลลอฮฺ ตอนแรกกะจะเอาแค่เนื้อหาที่ตัวเองประทับใจมาลง ;D
แต่อ่านอย่างนี้แล้วก็ทำให้คิดได้เพิ่มขึ้น...เป็นความคิดที่ดีเลยค่ะ
เรื่องการรวบรวมพิมพ์เผยแพร่ต่อไป...
ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยจะค่อยๆทยอยพิมพ์เอามาแปะเรื่อยๆนะคะ...

จริงๆหนังสือเล่มนี้นั้น พ่อของข้าน้อยยัดเยียด(หรือเปล่าชักลืม)ให้
ตอนมาอยู่ในต่่างแดน แถมบอกส่งท้ายว่า ปีนึงอ่านได้ครั้งนึงก็เยี่ยมแล้ว...
ตอนเอามาสองปีแรกไม่แลเลยค่ะ วางไว้ที่สูงๆ เดินผ่านไปมาทุกวัน...
ไม่เคยสนใจจะแหงนหน้าขึ้นไปมองเลยค่ะ...ฝุ่นเกาะเต็ม...
เลยว่าจะเอามาปัดฝุ่นเสียทีค่ะ...
จึงทำให้รู้ว่าปรัชญาที่พ่อเอามาใช้สอนเรามันมีอยู่ในหนังสือเล่มนี้ด้วยนี่เองค่ะ...

ปล...เรียกข้าน้อยว่าพระนางเลยหรือท่าน... oh:
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ...

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^__________^

nada-yoru:
 salam

                                    "การมองโลกในแง่ดี"

ความไว้วางใจและความสงบในใจ


   ในชีวิตที่ไม่แน่นอนนั้น มนุษย์ต้องการความมั่นคงมากกว่าสิ่งใด
ผู้ที่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้บรรลุถึงจุดหมายโดยไม่มีอาวุธคือความมั่นคงนั้น
ย่อมจะต้องประสบความล้มเหลวและความพ่ายแพ้

อันที่จริงนั้นเมื่อความรับผิดชอบของคนเราเพิ่มขึ้น
ความจำเป็นที่จะต้องมีความมั่นคงและแน่นอนก็เพิ่มขึ้นด้วย

ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องเรียนรู้ถึงวิธีหลีกเลี่ยง
ความวิกตกกังวลและวิธีแสวงหาความมั่นคงและแน่นอนมาใส่ตัว

   การดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติ อำนาจ ชื่อเสียงและผลกำไร
ด้านวัตถุอื่นๆนั้นเป็นเพียงสิ่งเท็จสิ่งปลอม
ความพยายามที่ใช้ไปในทางนี้จะเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
เนื่องจากว่าความสุขของมนุษย์นั้นอยู่ในดวงจิตของเขาเอง
เมื่อธารแห่งความทุกข์ฝังลึกอยู่ในหัวใจของเขา
เจ้าชายแห่งความศรัทธา ซอลลอลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่่า

....ยารักษานั้นอยู่ภายในดวงวิญญาณของมนุษย์เอง...

ดังนั้นเราจึงไม่สามารถพบสิ่งที่มีประสิทธิภาพจากอิทธิพลภายนอก
ได้เหมือนกับสิ่งที่มีอยู่ในดวงวิญญาณของมนุษย์เอง

เพราะเหตุว่าอิทธิพลภายนอกนั้นเป็นของชั่วคราว
จึงเป็นไปไม่ได้ที่มันจะนำมนุษย์ไปสู่ความพึงพอใจอย่างสมบูรณ์


   อพิคเตตัสกล่าวว่า

“เราต้องบอกให้มนุษย์รู้ว่าเขาไม่สามารถพบความสุขและความโชคดี
อยู่ในที่ที่เขาแสวงหาเพื่อตัวเองอย่างตามบุญตามกรรมได้
ความสุขที่แท้จริงน้ั้นมิได้อยู่ในอำนาจและความสามารถ

ทั้งมิราดและอกลูอิสต่างก็เป็นคนที่มีความทุกข์ทั้งๆที่มีอำนาจอยู่มากมาย
ในทำนองเดียวกัน ความสุขมิได้อยู่ที่ความร่ำรวยและเงินทองจำนวนมาก

ตัวอย่างเช่น โครอีสัสมิได้มีความสุขทั้งๆที่เขาร่ำรวยมีทรัพย์สมบัติมหาศาล
เราจะหาความสุขจากอำนาจการปกครองหรืออำนาจทางการเมืองก็มิได้อีกเช่นกัน
กษัตริย์โรมันต่างก็ไม่มีความสุขทั้งๆที่มีอำนาจมากมายใหญ่หลวง

   “แท้จริงแล้วเรามิได้หาความสุขได้ด้วยการมีสิ่งต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นนี้
รวมกันเสียด้วยซ้ำไป ใครๆก็รู้ดีว่านิโร แซนด์เนปาลและอฆัมนินนั้น
ต้องร้องไห้อยู่เรื่อยไปเพราะพวกเขาเป็นเหมือนของเล่น
ที่อยู่ในมือของความโชคร้าย แต่กระนั้นคนเหล่านี้ก็มีทั้งความร่ำรวย อำนาจ
และชื่อเสียง เพราะฉะนั้นมนุษย์ต้องแสวงหาความสุขที่แท้จริง
จากดวงวิญญาณและจิตสำนึกของเขาเอง”



   เราต้องยอมรับว่าในธรรมชาตินั้นมีปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้อีกมากมาย
การท่ีมีเครื่องจักรกลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นไม่เป็นการเพียงพอ
ที่จะทำให้ชีวิตที่ไร้กังวลได้ เครืื่องจักรกลเหล่านี้มิใช่แต่เพียงไม่สามารถ
ลดจำนวนความทุกข์ในโลกลงได้เท่าน้ัน แต่ยังนำปัญหา
และความไม่แน่นอนใหม่ๆมาให้มนุษย์อีกมากมายด้วย

   เพราะฉะน้ัน เพื่อที่จะปลดปล่อยตัวเราเองให้พ้นจากความทุกข์ของชีวิต
ซึ่งมีอยู่ตลอดไปและเพ่ือจะให้พ้นจากเมฆหมอกดำมืด
ซึ่งทำให้ดวงวิญญาณของเรามืดมนไป เราจึงจำต้องมีความนึกคิด
ที่ได้รับการนำทางอย่างถูกต้องเสียโดยเร็ว ความนึกคิดนั้นสามารถหาความสุข
มาให้มนุษย์ได้ในทำนองเดียวกับที่สามารถนำเอาความก้าวหน้าหลายๆอย่าง
ในชีวิตทางด้านวัตถุมาให้

ตรงนี้เองที่พลังแห่งความคิดจะปรากฏออกมาอย่างชัดเจนและแสดงอิทธิพล
อันน่าพิศวงซึ่งมีต่อชีวิตมนุษย์ออกมาให้เห็น


   การมีความนึกคิดที่โปร่งใสนั้นเปรียบได้ดังกระแสน้ำที่ไหลลิ่ว
ซึ่งพัดพาให้มนุษย์ไปสู่ระดับที่ดีเลิศได้มากกว่าผลกำไรทางวัตถุ
จะทำได้ด้วยการนำเขาไปสู่โลกใหม่ที่กว้างขวาง

การคิดที่ถูกต้องเที่ยงธรรมจะป้องกันคนท่ีเฉลียวฉลาดมิให้กลายเป็นของเล่น
ในมือของคนรวยได้

ผู้ที่มีความสามารถในการคิดและทำความคิดของเขาให้เจริญเติบโต
จนกลายเป็นศูนย์กลางของชีวิตความเป็นอยู่ของตน ย่อมสามารถยืนหยัด
อย่างมั่นคงได้เมื่อยามที่มีอันตรายเกิดขึ้นแก่เขาด้วยการใช้ทัศนะที่กว้างไกล


   เพื่อที่จะคุ้มครองตัวเรามิให้ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ต่างๆ
และเพื่อจะป้องกันตัวเราเองจากการละเลยไม่สนใจรวมทั้งการเห็นสิ่งใดจนเกินจริง
เราก็ต้องสร้างตาชั่งแห่งความคิดขึ้นให้ตัวเราสำหรับใช้พิจารณาพฤติกรรม
และความประพฤติของเรา

ดังน้ันก็จะนำทางเราให้อยู่ในแนวความคิดที่ถูกต้อง
ซึ่งจะทำให้เรามีพลังจิตสามารถเอาชนะความวิตกกังวลได้

   นักวิชาการชั้นนำชาวตะวันตกคนหนึ่งกล่าวว่า

“บางทีเราไม่สามารถเลือกบุคคลที่มีความประพฤติและมีวิธีคิดเหมือนกับของเราได้
แต่เรามีอิสระที่จะเลือกความคิดของเราเอง
เราเป็นผู้พิพากษาความนึกคิดของเราเอง เราอาจเลือกเอาสิ่งที่เราถือว่าเหมาะสม
สาเหตุและอิทธิพลจากภายนอกนั้นมิใช่ส่วนหนึ่งของเรา
จนเราจะยอมให้มันมาควบคุมและบีบบังคับให้เราคิดไปในทางนั้นๆได้

เพราะฉะนั้นเราต้องเลือกแนวความคิดที่ถูกต้องและตัดแนวความคิดที่ไม่ดี
ออกไปเสีย ดวงวิญญาณของเราจะถูกนำไปยังแนวทางความคิดของเรา
หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ความคิดของเราย่อมนำเราไปในลักษณะใดๆที่มันต้องการ

เหตุนี้เราจึงไม่ควรปล่อยให้ตัวเรายึดถือความคิดอันชั่วร้ายใดๆไว้
หรือยอมให้สิ่งที่เราไม่พอใจมาครอบครองความคิดของเราไว้
เพราะความคิดเช่นนั้นจะจับเราไว้และทำให้เรากลายเป็นเหยื่อ
ของควาทุกข์นานาประการ เราต้องดิ้นรนต่อสู้ไปให้บรรลุถึงความสมบูรณ์
ความหวังอันดีงามที่สุดและจุดหมายอันมีเกียรติที่สุด
เนื่องจากว่าความลับแห่งความสำเร็จและความสุขนั้นมีอยู่ในการคิดอันเที่ยงธรรม”


มีต่อค่ะ



nada-yoru:


ผลของการมองโลกในแง่ดี


   ในทำนองเดียวกับที่ระบบร่างกายถูกโรคภัยไข้เจ็บต่างๆมารบกวน
ความสอดคล้องกลมกลืนแห่งความคิด ซึ่งมีอยู่ในความคิดนึกของคนๆหนึ่ง
ก็ถูกรบกวนด้วยปัจจัยต่างๆโดยสันดานอันชั่วร้าย ทั้งๆที่ความนึกคิดนั้นมีอำนาจ
แต่ก็ไม่อาจเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อความประพฤติของคนๆนั้นได้

เพราะฉะนั้นมนุษย์จะรู้สึกเป็นสุขได้ก็แต่เพียงเมื่อเขามีความประพฤติที่ดี
และสอดคล้องกับความคิด ความประพฤติและความกระตือรือร้นของเขาเท่านั้น
จึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่จะต้องกำจัดรากเหง้าแห่งสันดาน
ที่จะทำให้ความสุขสบายของเขาต้องแปดเปื้อนออกไปเสีย


   ปัจจัยสองอย่างซึ่งช่วยให้เกิดความคิดที่กลมกลืนก็คือการเห็นโลกในแง่ดี
กับทัศนะที่ดีต่อชีวิตและสิ่งอื่นๆ

การมองโลกในด้านดีและการคาดหมายที่ดีต่อคนอื่นๆที่อยู่รอบๆตัว
ก็คือเครื่องประกันถึงความสุขสำราญของบรรดาผู้ที่อยู่ท่ามกลางมนุษย์

สิ่งที่ตรงข้ามกับการมองโลกในแง่ดีก็คือการมองโลกในแง่ร้าย
และการคิดในทางร้ายต่อผู้อื่น ซึ่งจะทำให้ความสามรถในการคิดอย่างเที่ยงธรรม
หยุดชงักลงไปและความสามารถที่จะเคลื่อนไปสู่ความสมบูรณ์พร้อมก็ลดลงไป

เราอาจกล่าวถึงการมองโลกในแง่ดีให้ดีที่สุดได้ว่าเป็นเสมือนแสงสว่างในความมืด
ซึ่งจะขยายกว้างขึ้นในขณะที่อาณาเขตแห่งการคิดขยายออก

ด้วยการมองโลกในด้านดีนี้ความรักความเมตตาปรานีจะเกิดขึ้นในตัวมนุษย์
จึงทำให้เกิดการพัฒนาใหม่ๆขึ้นในทัศนะที่เก่ียวกับชีวิตของผู้นั้น
ทำให้มนุษย์สามารถแลเห็นสีสันที่สดสวยยิ่งขึ้นในชีวิตได้

ดังนั้นจึงทำให้เขามีความสามารถที่จะสังเกตดูผู้คนทั้งหลายในทัศนะใหม่
และมีพลังที่จะตัดสินคนแต่ละคนได้อย่างเท่าเทียมกันและอย่างยุติธรรม

ความทุกข์ทรมานของคนที่มองโลกในแง่ดีจะหายไปและความหวังของเขา
จะเพิ่มขึ้นในขณะที่เขาสามารถรักษาความสัมพันธ์ทางกายและทางใจ
กับส่วนประกอบต่่างๆในสังคมไว้ได้อย่างดีที่สุด


   ไม่มีปัจจัยใดที่สามารถลดจำนวนปัญหาในชีวิตของมนุษย์ลงได้
เหมือนกับการมองโลกในด้านดี เราจะเห็นร่องรอยแห่งความสุขบนใบหน้า
ของผู้มองโลกในแง่ดีได้ชัดเจนกว่า มิใช่แต่เพียงในขณะที่เขามี
ความพึงพอใจเท่านั้นแต่ตลอดชีวิตของเขาทั้งในสถานการณ์ที่ดีและเลว
รัศมีแห่งความสุขจะเปล่งออกมาจากดวงวิญญาณอันเป็นสุข
ของผู้ที่มองโลกในแง่ดีอยู่ตลอดเวลา


   เรามีความจำเป็นที่จะต้องได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น
และการที่จะให้มีความไว้วางใจกันระหว่างบุคคลต่างๆ
จำเป็นที่จะต้องให้การมองโลกให้แง่ดีกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขา

นี่คือเรื่องที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อความสุขของส่วนบุคคลและสังคม
ความไว้วางใจกันในระหว่างสมาชิกของสังคมใดๆนั้น
ย่อมเป็นปัจจัยสำคัญของความเจริญก้าวหน้าของสังคมนั้น

เรื่องตรงกันข้ามก็เป็นความจริงเช่นเดียวกันคือ ความไม่ไว้ใจกัน
ย่อมเป็นปัจจัยที่ก่อความพินาศล่มจมในอนาคตของสังคมได้

การสื่อสารระหว่่างส่วนประกอบต่างๆในสังคมของการเห็นโลกในแง่ดี
ก็คือความสอดคล้องกลมกลืนกัน ความร่วมมือและความไว้วางใจกัน

ยิ่งกว่านั้นความสงบสุขในเรื่องชีวิตสังคมจะมีแต่เพียงเมื่อความสัมพันธ์
ระหว่างสมาชิกของชีวิตนั้นเป็นไปด้วยความรักใคร่ปรองดองกัน
และมีความไว้วางใจและความคาดหมายที่ดีต่อกันและกัน


   นักวิชาการผู้หนึ่งในด้านนี้กล่าวว่า

“การคาดหมายที่ดีนั้นเป็นลักษณะของความเชื่อ
ไม่มีสิ่งใดจะสัมฤทธิ์ผลได้หากไม่มีความเชื่อและความหวัง”


   เมื่อความไว้วางใจผู้อื่นเพิ่มขึ้น ความไว้วางใจในตัวเองก็ย่อมจะเพิ่มขึ้นด้วย
นี่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในสังคมทุกแห่ง

โดยไม่มีข้อยกเว้น ในเรื่องน้ีเราไม่ควรมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่า
มีความแตกต่างอย่างมากอยู่ระหว่างการมองโลกในแง่ดี
กับการไว้ใจผู้อื่นกับความเชื่อใครอย่างรวดเร็วและไม่มีเหตุผล

ความไว้วางใจมิได้หมายความว่า มุสลิมจะยอมตนแก่ผู้ที่เขาไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง
หรือเชื่อฟังโดยมิได้สอบสวนหาความเป็นจริงและตรวจตรา
สิ่งที่ผู้นั้นพูดให้ดีเสียก่อน

ในทำนองเดียวกัน เราไม่อาจจะถือว่าผู้กระทำความผิด
และความอยุติธรรมโดยเปิดเผยนั้นควรที่เราจะไว้ใจได้

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ความไว้วางใจย่อมมีข้อยกเว้น
ไม่รวมเอาสมาชิกบางคนของสังคมเข้าไว้ด้วยในสภาพบางอย่าง

อันที่จริงนั้น บุคคลที่มีความไว้วางใจย่อมต้องทำการตรวจสอบ
และศึกษาเสียก่อนทุกๆอย่างก่อนที่จะสรุปลงไป

เพราะฉะนั้น การกระทำของเขาจึงขึ้นอยู่กับความระมัดระวัง
และการสอบสวนตรวจตราให้รอบคอบ


วัลลอฮุอะลัม


 

Bangmud:
 salam
อ่านแล้วสงสัยว่าจะเป็นนักวิชาการชีอะฮฺเป็นผู้เขียน(ไม่รู้แน่นะครับ)
แต่การเรียกอิหม่ามอะลีย์และอิหม่ามอัศศอดิกรวมทั้งการอ้างหนังสือ อุศูลอัลกาฟี ผมเคยฟังมาว่าเป็นหนังสือชีอะฮฺไม่ใช่หรือครับ
ถ้าผมเข้าใจผิด ขอมะอัฟอย่างแรง
ใครรู้จริงช่วยบอกที
แชมัด

nada-yoru:

--- อ้างจาก: Bangmud ที่ ต.ค. 17, 2009, 10:09 PM --- salam
อ่านแล้วสงสัยว่าจะเป็นนักวิชาการชีอะฮฺเป็นผู้เขียน(ไม่รู้แน่นะครับ)
แต่การเรียกอิหม่ามอะลีย์และอิหม่ามอัศศอดิกรวมทั้งการอ้างหนังสือ อุศูลอัลกาฟี ผมเคยฟังมาว่าเป็นหนังสือชีอะฮฺไม่ใช่หรือครับ
ถ้าผมเข้าใจผิด ขอมะอัฟอย่างแรง
ใครรู้จริงช่วยบอกที
แชมัด

--- End quote ---

วะอะลัยกุมมุสลามค่ะ

อันตัวข้าน้อยนั้นไม่รู้เช่นกันค่ะว่าเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นของแนวทางใด
เพราะเป็นของพ่อของข้าน้อยเอง...ซึ่งพ่อข้าน้อยนั้น
ท่านอยู่ในสังกัดมัซฮับ แต่ท่านอาจจะศึกษาแนวทางอื่นร่วมด้วย
ก็อาจจะเป็นได้...ข้าน้อยเป็นเพียงลูกสาวที่ไม่ค่อยเอาไหน
เลยไม่ทราบว่าพ่อคิดอ่านอย่างไรกับเรื่องนี้เช่นกันค่ะ...
แต่อ่านแล้วมันทำให้จิตใจสงบ
และเป็นหนังสือเก่าจนไม่แน่ใจว่่าอาจจะไม่มีวางจำหน่ายแล้ว
เลยอยากเผยแผ่ หากไม่เหมาะสมยังไง โปรดชี้แนะด้วยนะคะ

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^____________^



นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version