ผู้เขียน หัวข้อ: และแล้วก็เป็นปัญหา(ตอนปัญหาการทำเมาลิด)  (อ่าน 2093 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ anti-bid'ah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 839
  • ไม่รู้ อย่าเสือกชี้
  • Respect: +29
    • ดูรายละเอียด

 salam


ปัญหาการทำเมาลิด
โดย อ.ปราโมทย์ ศรีอุทัย

                        حُسْنُ الْمَقْصِدِ فِىْ عَمَلِ الْمَوْلِـدِ
นี่คือ  ชื่อหนังสือที่ท่านอัส-สะยูฏีย์ (สิ้นชีวิตปี ฮ.ศ.  911)   นักวิชาการผู้ได้ชื่อว่าเป็น  “มุจญตะฮิด”  ท่านสุดท้ายได้เขียนขึ้น   เพื่อสนับสนุนแนวคิดการทำเมาลิดหรือพิธีกรรมเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ว่าเป็นเรื่องดีงามควรปฏิบัติหรืออีกนัยหนึ่ง  เป็น  “บิดอะฮ์ หะสะนะฮ์” ...
หนังสือนี้  ถูกบรรจุอยู่ในเล่มที่  1  หน้า  292-305  ของหนังสือชุดรวมเล่มการตอบปัญหาของท่านอัส-สะยูฏีย์ที่มีชื่อว่า  “อัล-หาวีย์ ลิ้ล ฟะตาวีย์” ...
เช่นเดียวกันกับท่านเช็คมุหัมมัด บิน อะละวีย์ อัล-มักกีย์ นักวิชาการชาวอฺรับยุคหลังท่านหนึ่งที่ได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง มีความหนาประมาณ  40  หน้า,   ในหนังสือเล่มนี้ ท่านเช็คมุหัมมัด บิน อะละวีย์ ได้อ้าง  “เหตุผล”  รวม  21  ประการเพื่อยืนยันว่า  การจัดงานฉลองวันเกิดของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม  เป็นสิ่งที่ชอบและควรปฏิบัติ ...
เช่นเดียวกับท่านหัจญีซิรอญุดดีน อับบาส แห่งอินโดนีเซีย  ที่ได้เขียนหนังสือรวมเล่มชื่อ  “มัสอะละฮ์ อูกามา”  ซึ่งในหนังสือดังกล่าว ท่านหัจญีซิรอญุดดีน ก็ได้อ้าง  “เหตุผล”  มากมายหลายประการมาสนับสนุนการทำเมาลิด  ซึ่งเราจะหาอ่านได้จากฉบับคำแปลที่ชื่อว่า  “ข้อโต้แย้งปัญหาศาสนา”   ของท่านอาจารย์อับดุลการีม  วันแอเลาะ ..  เล่มที่  1  หน้า  98-125 ...
                  .....ฯลฯ .....
แต่,  จากหนังสือที่ได้เอ่ยชื่อมาเหล่านี้   ที่ผมเห็นว่า  “เข้าท่า”  ที่สุด  และเป็น  “วิชาการ”  ที่สุดก็คือ  หนังสือ  “حسن المقصد فى عمل المولد”  ของท่านอัส-สะยูฏีย์ที่ผมระบุชื่อมาข้างต้น ...
ส่วนหนังสืออีก  2  เล่มที่เหลือ  หรือหนังสืออื่นๆที่เขียนขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการทำเมาลิด  ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องของการอ้าง  “เหตุผล” (มิใช่หลักฐาน) มาสนับสนุนเรื่องนี้ ..  ซึ่งแน่ละ,  จะไปค้นหา  “หลักฐาน”  เรื่องการทำเมาลิดที่ไหนมาอ้างอิงได้ ?, ..  ในเมื่อพิธีกรรมเมาลิดนี้   ถูกก่อกำเนิดขึ้นมาในประเทศอียิปต์ประมาณปี ฮ.ศ.  362   .. (คือหลังจากท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้ตายไปแล้วตั้ง  352  ปี) ..  โดยสุลฏอนอัล-มุอิซ ลิดีนิลลาฮ์  แห่งวงศ์ฟาฏิมียะฮ์ ซึ่งเป็น  “กษัตริย์ชีอะฮ์”  ที่ปกครองประเทศอียิปต์ในยุคนั้นเป็นผู้ริเริ่มขึ้นมา  ด้วยเหตุผลที่นักประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า  เพื่อ  “หวังผลแห่งการปกครอง” ..   อันเป็นเรื่องของการเมือง ...
สำหรับผู้ที่ประสงค์จะศึกษาหาความเข้าใจ --- ด้วยใจเป็นธรรม --- เกี่ยวกับเรื่องพิธีกรรมเมาลิดว่า เป็นเรื่องที่ควรปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ? นั้น ..   ก่อนอื่น ก็ให้ท่านลองถามตัวเองดูก่อนว่า   เรื่องการจัดงานเมาลิดเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ที่นิยมจัดกันเป็นพิเศษในประเทศไทยนั้น  เป็นปัญหาขัดแย้ง ใช่หรือไม่ ? ...
ถ้าท่านตอบว่าใช่,   ผมก็มองไม่เห็นประโยชน์ใดๆเลยที่ท่านจะไปยึดติดกับ  “เหตุผล”  อันมากมายที่ผู้เขียนหนังสือส่งเสริมให้ทำเมาลิดบางคน (หรือแทบจะทุกคน) อ้างขึ้นมา เพื่อสนับสนุนเรื่องการทำเมาลิด ..   ตราบใดก็ตามที่ท่านผู้เขียนหนังสือเหล่านั้น ยังไม่สามารถหาสิ่งที่เรียกกันว่า  “หลักฐาน”มายืนยันแนวคิดของตนได้ ...   
ทั้งนี้  ก็เพราะในมุมตรงข้ามกับผู้ส่งเสริมการทำเมาลิด  เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีนักวิชาการ --- ทั้งในอดีตและปัจจุบัน --- จำนวนมากที่คัดค้านเรื่องการทำเมาลิด !    และพวกเขาก็มี  “เหตุผล”  ของพวกเขา   มาหักล้างเหตุผลของฝ่ายสนับสนุนได้เช่นเดียวกัน ...

การ  “หักล้าง”  กันด้วยเหตุและผล  มิใช่เป็น  “ทางออกที่ถูกต้อง”  ของการแก้ไขปัญหาขัดแย้งตามหลักการและบทบัญญัติศาสนา ..ไม่ว่าในเรื่องการทำเมาลิดหรือเรื่องอะไรก็ตาม ...   
ถ้าอย่างนั้น  อะไรเล่าคือ  “ทางออกที่ถูกต้องในเรื่องนี้ ? ...
แน่นอน,  คำตอบก็คือ การกลับไปหากิตาบุลลอฮ์ และซุนนะฮ์ของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ---  ดังคำบัญชาของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.  ---  คือสิ่งเดียวที่จะแก้ปัญหาขัดแย้งของศาสนาได้ สำหรับผู้ที่  “มีอีหม่านต่ออัลลออ์ และวันอาคิเราะฮ์” ..  ดังคำกล่าวของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. อีกเช่นกัน ...
ประวัติศาสตร์อิสลามเคยบันทึกไว้ (แม้จะด้วยสายรายงานที่ค่อนข้างอ่อน) ว่า   เมื่อตอนที่ท่านศาสดาสิ้นชีพนั้น  บรรดาเศาะหาบะฮ์ต่างก็ขัดแย้งกันในเรื่องสถานที่ฝังศพของท่าน,   บางคนบอกว่า ให้นำท่านไปฝังที่นครมักกะฮ์,   บางคนบอกว่า ให้ฝังท่านที่กุบูรฺบะเกี๊ยะอฺในนครมะดีนะฮ์ร่วมกับบรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่าน,   บางคนบอกว่า ให้นำท่านไปฝังที่บัยตุ้ลมักดิซที่นครเยรูซาเล็ม -- (จากหนังสือ  “ตั๊วะห์ฟะตุ้ล อะห์วะซีย์”  เล่มที่  4  หน้า  98) -- โดยแต่ละฝ่ายต่างก็อ้าง  “เหตุผล”  ที่น่าเชื่อถือ  มาสนับสนุนทัศนะของตนด้วยกันทั้งสิ้น ...   
แน่ละ หากจะตัดสินข้อขัดแย้งในครั้งนั้นตาม  “เหตุผล”  ของแต่ละฝ่าย  ก็ยากที่จะหาข้อยุติให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้ ...
จนกระทั่งเมื่อท่านอบูบักรฺ  ร.ฎ.  ได้อ้าง  “ซุนนะฮ์”  ในเรื่องนี้ ..  อันได้แก่คำสั่งของท่านศาสดาเองที่ว่า ...  مَاقُبِضَ نَبِىٌّ إِلاَّ دُفِنَ حَيْثُ يُقْبَضُ   ... “ผู้เป็นนบีย์นั้น ตายที่ไหนให้ฝังที่นั่น” ..   (ดังการบันทึกของท่านอัต-ติรฺมีซีย์ จากท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร.ฎ. หะดีษที่  1018,    และท่านอิบนุมาญะฮ์ จากท่านอิบนุ อับบาส ร.ฎ.  หะดีษที่  1628  ซึ่งสำนวนข้างต้นเป็นสำนวนจากการบันทึกของท่านอิบนุ มาญะฮ์)  ข้อขัดแย้งต่างๆในเรื่องนี้จึงยุติลงด้วยดี  เพราะ “ซุนนะฮ์” ของท่านนบีย์  ที่พวกเขา – บรรดาเศาะหาบะฮ์ – ต่างก็เคารพเทิดทูนและพร้อมที่จะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดตลอดเวลา ...
แล้วพวกเราล่ะ !  พร้อมที่จะปฏิบัติตามและยอมรับซุนนะฮ์เป็นตัวตัดสินปัญหาขัดแย้ง ..  เหมือนบรรดาเศาะหาบะฮ์เหล่านั้นแล้วหรือยัง ? ...
ถ้าเราจะพิจารณาพฤติการณ์ของมุสลิมเราในส่วนที่เกี่ยวข้องกับท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ---  ในแง่ของการให้ความสำคัญ,  ให้ความรัก,  ให้เกียรติต่อท่าน --- ในทางปฏิบัติเท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้   ก็จะแบ่งออกเป็น  2  ลักษณะคือ ... 
(1).  การให้ให้ความสำคัญ,  ความรัก,  และให้เกียรติใน  “ตัว”  ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม,   และ “วิธีการ”  แสดงความรักและการให้เกียรติใน ตัวท่าน ...
(2).  การให้ความสำคัญกับ  “วันเกิด” ..    และ   “วิธีการ”  แสดงการให้เกียรติวันเกิดของท่าน ...
ทั้ง  2  ประการนี้  ตามหลักการแล้วไม่เหมือนกัน,   แต่คนส่วนใหญ่กลับมองเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ...
สำหรับข้อแรก  คือความรักใน  “ตัว”   ท่านนบีย์นั้น ข้อนี้ไม่มีความขัดแย้งใดๆไม่ว่าจากมุสลิมกลุ่มซุนหนี่,  ชีอะฮ์,  หรือกลุ่มไหนว่า   เป็นเป็นบทบัญญัติที่จำเป็นสำหรับมุสลิมผู้มีอีหม่านทุกคน จะต้องรักและให้เกียรติในตัวท่าน,  ใช่เพียงแต่แค่นั้น  แต่จะต้องรักท่านให้มากกว่ารักตัวเอง,  มากกว่ารักพ่อแม่หรือลูกๆของตัวเอง,  และมากกว่ารักมนุษย์ทุกคนในโลกด้วยซ้ำไป ...
ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวว่า ...

                 لاَيُؤْمِنُ أَحَدُكُمْ حَتَّى أَكُوْنَ أَحَبَّ إِلَيْهِ مِنْ وَالِدِهِ وَوَلَدِهِ وَالنَّاسِ أَجْمَعِيْنَ

“คนใดจากพวกท่านจะยังไม่ศรัทธา  จนกว่าฉัน (หมายถึงท่านนบีย์) จะเป็นที่รักของเขายิ่งกว่าพ่อแม่ของเขา,  ลูกๆของเขา,  และยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งมวล” ..
(บันทึกโดยท่านบุคอรีย์  หะดีษที่  15,   และท่านมุสลิม  หะดีษที่  70/44)
ประเด็นต่อมาก็คือ  เมื่อเรารักท่านนบีย์แล้ว   “วิธีการ”  ที่จะแสดงออกถึงความรักและให้เกียรติในตัวท่านตามบทบัญญัติล่ะ   เราจะต้องปฏิบัติอย่างไร ? ...
เรื่องนี้  พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.  ได้ทรงกำชับไว้ในอัล-กุรฺอ่านหลายต่อหลายโองการ  อาทิเช่น ...
                                      مَنْ يُّطِعِ الرَّسُوْلَ  فَقَدْ أَطَاعَ اللَّـهَ
     
“ผู้ใดที่เคารพเชื่อฟังรอซู้ล   แน่นอน เขาเคารพเชื่อฟังอัลลอฮ์ด้วย”
(จากซูเราะฮ์  อัน-นิซาอ์   อายะฮ์ที่  80)
หรือจากโองการที่ว่า ...

                             وَمآ أَتَاكُمُ الرَّسُوْلُ فَخُذُوْهُ  وَمَا نَهَاكُمْ عَنْهُ فَانْتَهُوْا

“และสิ่งใดที่รอซู้ลนำมาให้พวกสูเจ้า  ก็จงรับไปปฏิบัติ,   และสิ่งใดที่รอซู้ลห้ามพวกสูเจ้า  ก็จงยุติ” ..
      (จากซูเราะฮ์  อัล-หัชร์   โองการที่  7)
หรือจากโองการที่ว่า ...

            قُلْ إِنْ كُنْتُمْ تُحِبُّوْنَ اللَّـهَ  فَاتَّبِعُوْنِىْ  يُحْبِبْكُمُ اللَّـهُ وَيَغْفِرْلَكُمْ ذُنُوْبَكُمْ 

“จงบอกเถิด (โอ้ มุหัมมัด) ว่า  หากพวกสูเจ้ารักอัลลอฮ์  ก็จงปฏิบัติตามฉัน  แล้วอัลลอฮ์ก็จะรักพวกสูเจ้า  และพระองค์จะอภัยโทษแก่พวกสูเจ้า” ..
(จากซูเราะฮ์ อาลิ อิมรอน   โองการที่  30)
หรือจากโองการที่ว่า ...

              فَلْيَحْذَرِالَّذِيْنَ يُخَالِفُوْنَ عَنْ أَمْرِهِ أَنْ تُصِيْبَهُمْ فِتْنَةٌ أَوْ يُصِيْبَهُمْ عَذَابٌ أَلِيْمٌ

“ดังนั้น  บรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา (มุหัมมัด)   พึงระวังเคราะห์ร้ายจะบังเกิดกับพวกเขา,  หรือการลงโทษทัณฑ์อันเจ็บปวดจะประสบต่อพวกเขา” ...
      (จากซูเราะฮ์ อัน-นูรฺ   โองการที่  63)
หรือจากโองการที่ว่า ...

   فَإِنْ تَنَازَعْتُمْ فِىْ شَيْءٍ فَرُدُّوْهُ إِلَى اللَّـهِ وَالرَّسُوْلِ إِنْ كُنْتُمْ تُؤْمِنُوْنَ بِاللَّـهِ وَالْيَوْمِ اْلآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيْلاً

“แล้วเมื่อพวกสูเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด  ดังนั้น จงนำมันกลับไปหาอัลลอฮ์ (คือคัมภีร์อัล-กุรฺอ่าน) และรอซู้ล (คือ ตัวท่านศาสดาเองหรือซุนนะฮ์ของท่าน)  หากพวกสูเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันอาคิเราะฮ์จริง,   นั่นคือ สิ่งที่ดีที่สุด และเป็นการกลับ (คือทางออก)ที่ดีที่สุดด้วย” ...
   (จากซูเราะฮ์ อัน-นิซาอ์   โองการที่  59) ...   
หรือจากหะดีษของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมเองที่กล่าวว่า ..

         مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ فَسَيَرَى اخْتِلاَفاً كَثِيْرًا  فعَلَيْكُمْ بِسُنَّتِىْ وَسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِيْنَ الْمَهْدِيِّيْنَ مِنْ بَعْدِىْ عَضُّوْا عَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ  ....

“พวกท่านคนใดที่ยังมีชีวิตอยู่   ต่อไปเขาก็จะได้เห็นความขัดแย้งเกิดขึ้นอย่างมากมาย   ดังนั้น หน้าที่ของพวกท่านก็คือ การปฏิบัติตามซุนนะฮ์ของฉัน, และซุนนะฮ์ของคอลีฟะฮ์ผู้ปราดเปรื่องและทรงคุณธรรมหลังจากฉัน,   จงกัดมัน (ซุนนะฮ์ของฉันและซุนนะฮ์ของคอลีฟะฮ์ของฉัน) ให้แน่นด้วยฟันกราม ..... ”
มีไหม .. หลักฐานที่ว่า ให้เราปฏิบัติตามทัศนะของใครก็ได้เมื่อเกิดขัดแย้ง ? ..   หลักฐานต่างๆเหล่านี้  ไม่ใช่หลักฐานเรื่องความรักและให้เกียรติ  “วันเกิด”  ท่านศาสดา   แต่เป็นหลักฐานเรื่องความรักและการให้เกียรติ  “ตัว”  ท่านศาสดาเองโดยปราศจากข้อขัดแย้งจากนักวิชาการท่านใดทั้งสิ้น ...
สำหรับ  “วิธีการ”  แสดงความรักและให้เกียรติ  “ตัว”  ท่านศาสดาดังหลักฐานข้างต้นนั้น  ตัวอย่างที่ดีที่สุดของสิ่งที่กล่าวมานี้ทั้งหมด  ก็คือพฤติการณ์ของบรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่านศาสดาเองในอดีต ...
  การแสดงออกถึงความรักที่มีต่อ  “ตัว”  ท่านศาสดาตามแบบฉบับของบรรดาเศาะหาบะฮ์ก็คือ  การปฏิบัติตามท่าน,  เชื่อฟังท่าน,  กระทำตามคำสั่งของท่าน, ละเว้นข้อห้ามของท่าน,  ฟื้นฟูซุนนะฮ์ของท่านทั้งที่ลับและที่แจ้ง,  เผยแผ่สารของท่าน,  เสียสละเพื่อท่านและเพื่อสิ่งเหล่านี้ทั้งกาย  วาจา  และใจ,  และหันกลับไปหา  “ซุนนะฮ์”  ของท่านเมื่อยามเกิดความขัดแย้งในระหว่างพวกเขา และต้องการจะยุติมัน... ซึ่งการกระทำสิ่งต่างๆดังกล่าวข้างต้นนี้ได้   พวกท่านจะปฏิบัติมัน เท่าที่พวกท่านสามารถและโอกาสอำนวยให้  โดยไม่ได้จำกัดเวลา,  ไม่จำกัดสถานที่,  และไม่ได้กำหนดรูปแบบใดๆขึ้นมาเองโดยพลการ ...
ส่วนวิธีการแสดงความรักหรือให้เกียรติท่านด้วยรูปแบบ  “ประจบสอพลอ”  ดังที่นิยมปฏิบัติกันในปัจจุบัน ..  อย่างเช่น   การยืนขึ้นเพื่อเป็นการให้เกียรติเมื่อเห็นท่าน ... ปรากฏว่า ในกรณีนี้  เป็นสิ่งที่ท่านศาสดารังเกียจจนบรรดาเศาะหาบะฮ์  “แหยง”  และไม่กล้าปฏิบัติต่อท่าน  ดังรายละเอียดที่ผมจะเขียนชี้แจงในตอนหลัง  อินชาอัลลอฮ์
ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าพวกเขาจะมีความรักในตัวท่านศาสดามากมายสักเพียงใดก็ตาม    แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่า  จะมีเศาะหาบะฮ์ท่านใดแสดงออกถึงความรักและให้เกียรติท่าน ด้วยการจัดงานเฉลิมฉลองวันเกิดให้แก่ท่านเสียใหญ่โตอย่างที่เรียกกันว่า  “การทำเมาลิด”  เหมือนพวกเราบางคนในปัจจุบัน ...
ส่วนการให้ความสำคัญต่อ  “วันเกิด”  ของท่านศาสดา  ด้วยการจัดงานเมาลิดหรือพิธีกรรมเฉลิมฉลองวันเกิดของท่าน,  เมื่อพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า  ทั้ง   “เป้าหมาย”  และ “วิธีการ”  ของมัน   แตกต่างกับ  “เป้าหมาย”  และ  “วิธีการ”  แสดงความรักใน “ตัว”  ท่านดังที่กล่าวมาแล้ว ... 
ทั้งนี้  เพราะการจัดงานเมาลิด ถือเป็นพิธีกรรม  “ใหม่”  ที่ถูกริเริ่มขึ้นมาหลังจากปี ฮ.ศ.  362,    โดยมี  “เป้าหมาย”  เพื่อให้ความสำคัญและให้เกียรติกับกับ  “วันเกิด”  ของท่านนบีย์, ..   แถมยังมี  “วิธีการ”  และ “รูปแบบ”  การให้เกียรติเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะตัว    ซึ่งเท่าที่เห็นทำกันมาก็คือหากมีการจัดกันที่บ้าน   ก็จะมีการร่วมกันอ่านหนังสือ “บัรฺซันญีย์”  หรือ  “บุรฺดะฮ์” .. อันเป็นบทร้อยกรองบรรยายถึงชีวประวัติของท่าน ..  และเมื่อถึงตอนที่กล่าวถึงการกำเนิดของท่านนบีย์  ทุกคนก็จะลุกขึ้นยืนพร้อมๆกัน  นัยว่าเพื่อให้เกียรติท่าน (แถมบางคนยังเชื่อว่า ท่านนบีย์จะมาร่วมปรากฏตัวและสัมผัสมือกับพวกเขาในขณะนั้นด้วย  หลายคนจึงยืนในลักษณะแบมือออกเพื่อรับการ  “สัมผัสมือ”  กับท่านนบีย์)  ... และหลังจากการอ่านดุอาที่ถูกรัอยกรองขึ้นอย่างไพเราะเพราะพริ้งและยืดยาวจบลง    ก็จะมีการร่วมรับประทานอาหารกันเป็นการส่งท้าย, ...  แถมในบางท้องที่เมื่อเสร็จพิธีเมาลิดแล้ว ยังมีการแจก  “จาด”  คือของชำร่วยอันเป็นขนมต่างๆที่ถูกใส่ในหม้อหรือถังน้ำใบเล็กๆหุ้มด้วยกระดาษแก้วสวยงาม  ให้ผู้มาร่วมงานเมาลิดได้ถือติดไม้ติดมือกลับไปฝากลูกหลานที่บ้านอีกต่างหาก ..
ต่อมา  การทำเมาลิดด้วยวิธีการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว  ก็ได้ขยายตัวออกไปในบางท้องที่ด้วยการจัดให้มีพิธีกรรมเมาลิดและอ่านหนังสือบัรฺซันญีย์ใน  “ทุกๆงานเลี้ยง” ที่จัดขึ้น ..  ไม่ใช่เฉพาะในวันเกิดท่านนบีย์เพียงอย่างเดียว   แต่ยังแพร่ระบาดและครอบคลุมไปถึงงานแต่งงาน,  การทำอะกีเกาะฮ์,  การขึ้นบ้านใหม่  และไม่เว้นแม้แต่ในการทำบุญ (??) บ้านคนตาย   โดยที่นอกจากจะไม่มีเสียงคัดค้านใดๆแล้ว  ยังได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจากผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น  “ท่านผู้รู้”  ในท้องที่เป็นอย่างดีอีกด้วย ...
ที่กล่าวมานี้  คือรูปแบบการทำเมาลิด ที่จัดขึ้นในประเทศไทย, --- โดยเฉพาะในภาคใต้ ---   เข้าใจว่า ในต่างประเทศ  แม้แต่ประเทศอียิปต์อันเป็นต้นกำเนิดของงานเมาลิดเอง  ก็คงจะไม่มีการอ่านหนังสือบัรฺซันญีย์,  หรือการแจกจาด,  หรือการเดิน  “กิน” งานเมาลิดวันละ  4-5  บ้านหรือมากกว่านั้น ..  อย่างในประเทศไทยแน่ๆ ... 
การให้เกียรติและให้ความสำคัญกับ  “วันเกิด”  ของท่านนบีย์ด้วยวิธีการ ดังกล่าว  ถือเป็นรูปแบบที่มุสลิมยุคแรกอันถือว่าเป็นยุคที่เลอเลิศที่สุด  คือ ยุคของท่านศาสดาเอง,  ยุคของเศาะหาบะฮ์,  ยุคของตาบิอีน,  ยุคของตาบิอิตตาบิอีน หรือยุคหลังจากนั้นมาอีกร่วมร้อยกว่าปี ไม่เคยมีใครรู้จัก  “วิธีการ” แสดงความรักต่อตัวท่านนบีย์หรือต่อวันเกิดของท่านนบีย์ ในรูปแบบนี้มาก่อนเลย ..  ด้วยมติเอกฉันท์ของนักวิชาการ ...
ด้วยเหตุนี้  จึงมิใช่เรื่องแปลกที่มีนักวิชาการจำนวนมากคัดค้านพิธีกรรมเมาลิดและมองว่า  การทำเมาลิด ถือว่าเป็น  “อุตริกรรม”  หรือเป็น  “บิดอะฮ์ที่ต้องห้าม” ..   
การคัดค้านดังกล่าว  มิใช่เพิ่งจะมีขึ้นในยุคหลังๆนี้เท่านั้น  แต่ปรากฏว่ามีขึ้นตั้งแต่มีการริเริ่มพิธีกรรมเมาลิดในประเทศอียิปต์ยุคแรกด้วยซ้ำไป ...  ดังที่ผู้เขียนประวัติงานเมาลิดแทบทุกท่าน   ต่างก็ได้บันทึกเอาไว้ว่า  พิธีกรรมเมาลิดในประเทศอียิปต์อันเป็นแหล่งกำเนิด  ต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายครั้ง  กว่าผู้ที่นิยมในพิธีกรรมดังกล่าวนี้ จะพยายามอนุรักษ์มันไว้อย่างสุดความสามารถ  แล้วสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันในที่สุด ...
หากจะมีการอ้างว่า ...  งานเมาลิดที่จัดขึ้นมิใช่มีเป้าหมายเพื่อให้เกียรติวันเกิดของท่านศาสดาเป็นการเฉพาะหรอก    แต่เป้าหมายจริงๆก็เพื่อเป็นการแสดงความรักและให้เกียรติตัวท่านศาสดานั่นแหละ ..    เพียงแต่มา  “กำหนด”  จัดงานแสดงความรักขึ้นในวันที่ตรงกับวันเกิดของท่านเท่านั้น  เพราะถือว่า วันเกิดของท่านเป็นวันที่มุสลิมทุกคนควรจะปลาบปลื้มยินดีในความโปรดปรานที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงให้ท่านศาสดาถือกำเนิดมาในวันนั้น ..   และสิ่งที่มีการปฏิบัติกันในงานเมาลิด ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ศาสนาส่งเสริมทั้งสิ้น  อาทิเช่น การเลี้ยงอาหาร,  การอ่านหนังสือชีวประวัติของท่าน,  การอ่านอัล-กุรฺอ่าน,  การซิกรุ้ลลอฮ์  เป็นต้น ...
ก็ขอเรียนว่า   ข้ออ้างดังกล่าวนี้แหละ จะยิ่ง  “ตอกย้ำ”  ความเป็น  “บิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ”  อันเป็นเรื่องต้องห้ามของงานเมาลิดให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ...

จริงอยู่,  ความรักและการให้เกียรติท่านนบีย์ เป็นสิ่งที่ดี   และสิ่งที่มีการปฏิบัติกันในงานเมาลิดดังที่กล่าวมานั้นโดยหลักการทั่วไป ก็เป็นสิ่งที่ดีและเป็นเรื่องที่ศาสนาส่งเสริม    แต่เราต้องไม่ลืมว่า  สิ่ง “ดี” ใดๆที่จะถือว่าป็นสิ่งที่ดี  ก็ต่อเมื่อเราปฏิบัติให้ถูกต้องตามกาลเทศะของมันด้วย ...
หากปฏิบัติให้ผิดกาลเทศะเมื่อไร   สิ่ง  “ดีๆ”  ก็อาจจะกลายเป็น  “สิ่งไม่ดี”  ได้เช่นเดียวกัน ...
และดังได้กล่าวมาแล้วในหน้าที่  6  ว่า  การแสดงออกถึงความรักและการให้เกียรติท่านศาสดาตามแบบฉบับที่ถูกต้องของบรรดาเศาะหาบะฮ์นั้น  หลักใหญ่ของมันก็คือ การ  “ปฏิบัติตามและฟื้นฟูซุนนะฮ์ของท่าน”  อย่างเคร่งครัดเท่าที่สามารถและโอกาสอำนวยให้  โดยพวกท่านจะไม่เคยไปกำหนดเวลา,   กำหนดสถานที่,  หรือกำหนดรูปแบบใดๆเพื่อแสดงความรักท่านศาสดาขึ้นมาเองโดยพลการอย่างพวกเราเลย ...
ท่านเช็คอะลีย์ มะห์ฟูศ  ได้กล่าวไว้ในหนังสือ  “อัล-อิบดาอฺ ฟี มะฎอรฺ อัล-อิบติดาอฺ”  ของท่าน   หน้าที่  281  ว่า ...

     فَإِنَّ السَّلَفَ الصَّالِحَ  لَمْ يَكُنْ لَهُمْ عَادَةً بِتَخْصِيْصِ يَوْمٍ أَوْ لَيْلَةٍ بِالْعِبَادَاتِ  إِلاَّ إِذَا ثَبَتَ ذَلِكَ عَنِ النَّبِىِّ عَلَيْهِ الصَّلاَةُ وَالسَّلاَمَ وَصَحَابَتِهِ الْكِرَامِ  فَجَاءَ بَعْدَهُمْ هَؤُلاَءِ وَعَكَسُواالْحَالَ ....

   “บรรดาบรรพชนผู้ทรงคุณธรรมยุคแรกๆนั้น  ปกติแล้วพวกเขาจะไม่เคยไป  “กำหนด”  วันไหนหรือคืนไหนเพื่อทำอิบาดะฮ์ใดๆเป็นพิเศษเลย   นอกจากจะมีหลักฐาน  “กำหนด”  ชัดเจนมาจากท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมหรือจากเศาะหาบะฮ์ผู้ทรงเกียรติของท่านเท่านั้น ..   แล้วต่อมา ชนยุคหลังจากพวกท่านก็ได้มาเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์ดังกล่าว (โดยการกำหนดวันเวลา,  สถานที่  หรือรูปแบบในการทำอิบาดะฮ์หรือทำความดีใดๆกันเองโดยพลการ) ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 18, 2009, 05:52 PM โดย anti-bid'ah »
رَبَّنَا فَاغْفِرْ لَنَا ذُنُوبَنَا وَكَفِّرْ عَنَّا سَيِّئَاتِنَا وَتَوَفَّنَا مَعَ الْأَبْرَارِ

ออฟไลน์ anti-bid'ah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 839
  • ไม่รู้ อย่าเสือกชี้
  • Respect: +29
    • ดูรายละเอียด
Re: และแล้วก็เป็นปัญหา(ตอนปัญหาการทำเมาลิด)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ต.ค. 18, 2009, 05:54 PM »
0
ต่อคับ

สรุปแล้ว   การทำ  “สิ่งดี”  ตามหลักการศาสนา   จึงตั้งอยู่บนพื้นฐาน  2  ประการคือ ...
   1.  ทำสิ่งดีนั้นให้ถูกกาลเทศะของมัน ...
   2.  อย่าไปกำหนดเวลา,  สถานที่,  หรือรูปแบบการทำความดีใดๆเอาเองโดยพลการ  หากศาสนามิได้กำหนดสิ่งดังกล่าวเอาไว้ในการทำความดีนั้นๆ ...
   หากขาดพื้นฐานประการใดประการหนึ่งจาก  2  ประการนี้   การกระทำสิ่งดีนั้นก็อาจจะส่ง  “ผลลัพธ์”  ในด้านตรงข้ามไปก็ได้ ....
   ความจริง  “ตัวอย่างเปรียบเทียบ”  เกี่ยวกับเรื่องนี้  ก็เคยมีให้เห็นมากมาย ...  แม้กระทั่งหลักฐานที่มาจากตัวท่านศาสดาเอง ...
ตัวอย่างเช่น ...
1.  วันศุกร์ คือวันที่ประเสริฐที่สุดในรอบสัปดาห์,   การถือศีลอด ก็เป็นอิบาดะฮ์ที่สำคัญและเป็นหนึ่งจากรุก่นอิสลามทั้งห้า ...
แต่ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม   กลับ  “ห้าม”  จากการ “กำหนด”  เอาวันศุกร์ โดยเฉพาะ เป็นวันถือศีลอด ? ...
การทำสิ่งดี ..  ในเวลาที่ดี ..  ทำไมจึงเป็นเรื่องต้องห้ามด้วย ? ... 

2.  การอ่านอัล-กุรฺอ่าน เป็นงานที่ดีที่สุด,   การรุกั๊วะอฺและการสุญูดในการนมาซ ก็เป็นอิริยาบถที่ดีที่สุดในขณะนมาซ ...
แต่ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม  กลับ  “ห้าม”  จากการอ่านอัล-กุรฺอ่าน  ไม่ว่าซูเราะฮ์ใด .. ในขณะรุกั๊วะอฺและขณะสุญูด ? ...
การทำสิ่งดี ..  ในเวลาที่ดี .. ในอิริยาบถที่ดี  ทำไมจึงเป็นเรื่องต้องห้ามด้วย ? ...

3.  มัสญิดทุกๆมัสญิดในโลกนี้ เป็นสถานที่ดีเลิศที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำอิบาดะฮ์ต่อพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.  และการทำอิบาดะฮ์ก็เป็นเรื่องดีที่ไม่มีข้อขัดแย้ง ...
แต่ท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม   กลับ  “ห้าม”  เดินทางโดยมี  “เป้าหมาย”  เพื่อไปทำอิบาดะฮ์ในมัสญิดใดๆเป็นการเฉพาะ ..    ยกเว้น  3  มัสญิด  คือมัสญิดหะรอมที่มักกะฮ์,  มัสญิดนะบะวีย์ที่มะดีนะฮ์,  และมัสญิดอัล-อักซอที่เยรูซาเล็ม ? ...
การทำสิ่งดี  คือไปนมาซในมัสญิด   ทำไมจึงเป็นเรื่องต้องห้ามด้วย ? ...

4.  การกล่าวสล่ามให้แก่ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม เป็นบทบัญญัติที่มุสลิมทุกคนพึงปฏิบัติเสมอเท่าที่โอกาสจะอำนวยให้โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่ ..
แล้วเหตุใด  ท่านอิบนุ อุมัรฺ ร.ฎ.  จึงกล่าวห้ามปรามชายผู้หนึ่งที่กล่าวสล่ามให้แก่ท่านนบีย์   เพียงเพราะเขาไป  “กำหนด”  การให้สล่ามดังกล่าวร่วมกับการกล่าวสรรเสริญพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. หลังจากการจาม ...
ชายผู้นั้น  มิได้ละทิ้งการกล่าว   اَلْحَمْدُ لِلَّـهِ   หลังจากการจามแต่อย่างใด  เขาเพียงแต่เพิ่ม  “สิ่งดี”  คือ การกล่าวสล่ามให้แก่ท่านนบีย์เข้าไปด้วยเท่านั้น ...
การกล่าวสล่ามแก่ท่านนบีย์  เป็นสิ่งต้องห้ามด้วยหรือ ? ...

5.  การร่วมกันกล่าว  “ซิกรุ้ลลอฮ์”  ในมัสญิดหรือในสถานที่เหมาะสมใดๆ เป็นสิ่งดีที่ท่านศาสดากล่าวสนับสนุน    และท่านกล่าวรับรองว่า  ผู้ที่ร่วมกันซิกรุ้ลลอฮ์ดังกล่าวจะได้รับความเมตตาจากพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ.  ...     
   แต่ทำไม  ท่านอิบนุ มัสอูด ร.ฎ.  จึงได้กล่าว  “ตำหนิ”  และประณามกลุ่มชนที่ “ร่วมกัน”   กล่าวซิกรุ้ลลอฮ์ในมัสญิดแห่งหนึ่ง ว่า เป็นพวกที่ทำอุตริกรรมของศาสนา  ดังการบันทึกของท่าน อัด-ดาริมีย์ในหนังสือ  “อัส-สุนัน”  ของท่าน  เล่มที่  1  หน้า  79  หรือหะดีษที่  204, ...
   กลุ่มชนเหล่านั้น  ทำผิดอะไรหรือในเมื่อสิ่งที่พวกเขากระทำก็เป็นสิ่งดี คือ     การร่วมกันซิกรุลลอฮ์ในมัสญิด .. ตามที่ท่านนบีย์ส่งเสริมให้ทำ,   เพียงแต่พวกเขาได้  “กำหนด”  รูปแบบการซิกรุ้ลลอฮ์ของพวกเขาให้แตกต่างจากผู้อื่นไปบ้างเท่านั้น ? ...
   ตัวอย่างต่างๆที่กล่าวมานี้  แสดงให้เห็นว่า   การทำ  “สิ่งดี”  ที่ศาสนาอนุญาตให้เราทำได้โดยทั่วๆไปนั้น   ถ้าเรามา  “กำหนด”  เวลา,  สถานที่,  หรือรูปแบบการทำสิ่งดีเหล่านั้นเอาเองโดยพลการก็ดี, ..    หรือทำสิ่งดีผิดกาลเทศะก็ดี   ถือว่า เป็นเรื่องต้องห้ามหรืออย่างน้อยก็เป็นเรื่อง  “ไม่สมควร”  ในมุมมองของเศาะหาบะฮ์และบรรพชนยุคแรกของอิสลาม ...
   
ดังนั้น  การ  “กำหนด”  เอาวันที่ตรงกับวันเกิดของท่านนบีย์  เพื่อเป็นวันแสดงออกถึงความรักและให้เกียรติท่านเป็นพิเศษเฉพาะวัน,  ทั้งๆที่ศาสนามิได้กำหนดให้มีการแสดงความรักท่านนบีย์เป็นพิเศษ  “เฉพาะ”  ในวันนี้เอาไว้, .. ( และตามปกติ  ในวันที่อื่นจากวันนี้  เราเคยรักและให้เกียรติท่านด้วยการปฏิบัติตามซุนนะฮ์ของท่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ?) ..  จึงน่าจะจัดเป็นเรื่อง  “ต้องห้าม”  หรืออย่างน้อยก็ไม่ถูกต้องตามหลักการ  ในลักษณะเดียวกันกับตัวอย่างข้างต้นเหล่านั้น ...
ก็มาถึงประเด็นที่สอง  คือ  การให้ความสำคัญกับ  “วันเกิด”  ของท่านศาสดา  และ  “วิธีการ”  แสดงออกถึงความรักท่านในวันคล้ายวันเกิดของท่านด้วยการทำพิธีเมาลิดนั้น เป็นบทบัญญัติและมีหลักฐานหรือไม่อย่างไร ? ....
สมมุติว่า  ถ้าการให้ความสำคัญกับวันเกิดของท่านเป็นบทบัญญัติและมีหลักฐาน  ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่า   แล้ว  “วิธีการ”  ให้ความสำคัญกับวันเกิดของท่านนบีย์นั้น  เคยมี  “แบบอย่าง” จากซุนนะฮ์มาหรือไม่ ? ...

นี่คือ สิ่งที่เราจะต้องพิจารณาและใคร่ครวญด้วยใจเป็นธรรม ...   

ถ้าปรากฏว่า  เคยมีหลักฐานและแบบอย่างจากท่านนบีย์มาว่า  ท่านเคยปฏิบัติอย่างไรเป็นพิเศษในการให้ความสำคัญและให้เกียรติกับวันที่ตรงกับวันเกิดของท่าน   ก็แสดงว่า  “ซุนนะฮ์”  ที่เรา -- มุสลิมที่มีอีหม่าน – ทุกคนสมควรจะยึดถือและนำมาปฏิบัติในวันตรงกับวันเกิดของท่านนบีย์ก็คือ  แบบอย่างดังที่ปรากฏเป็น  “ซุนนะฮ์”  จากหลักฐานนั้น ...
นี่คือ  การกลับไปหา  “ซุนนะฮ์”  เมื่อเกิดความขัดแย้ง ..  ตามที่พระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้ทรงบัญชาไว้ ...   
สำหรับหนังสือ   “حسن المقصد فى عمل المولد” ของท่านอัส-สะยูฏีย์ ที่ผมกล่าวถึงข้างต้นนั้น  นอกเหนือไปจากการอ้างเหตุผลที่สนับสนุนให้มีการทำเมาลิดเหมือนกับหนังสืออื่นๆในแนวเดียวกันนี้แล้ว  ท่านยังได้รวบรวมทัศนะที่  “อิง”  หลักวิชาการของนักวิชาการบางท่าน   อาทิเช่น ท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์,   ท่านอบูอับดุลลาฮ์ อิบนุล หาจญ์,  รวมทั้งทัศนะส่วนตัวของท่านเอง เป็นต้น   มาสนับสนุนเรื่องการทำเมาลิด  ซึ่งจากการสรุปเนื้อหาเชิงวิชาการทั้งหมดจากหนังสือดังกล่าว  ก็พอจะได้ข้อสรุปว่า ....
1.  การทำเมาลิด  เป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ (การอุตริที่ดี) ...
2.  การทำเมาลิด  มี  أَصْلٌ   คือ ที่มาอันเป็นพื้นฐานหรือหลักฐานที่อ้างอิงได้ตามหลักการศาสนา ...
ต่อไปนี้คือรายละเอียดเกี่ยวกับ  2  ประเด็นข้างต้น ...

(1).  การทำเมาลิด เป็นบิดอะฮ์ หะสะนะฮ์
   ท่านอัส-สะยูฏีย์  ได้กล่าวไว้ในหนังสือ  “อัล-หาวีย์ ลิ้ล ฟะตาวีย”   เล่มที่  1  หน้า  292  ในการตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องการทำเมาลิดว่า ...
     
 وَالْجَوَابُ عِنْدِىْ  :  أَنَّ أَصْلَ عَمَلِ الْمَوْلِدِ الَّذِىْ هُوَ اجْتِمَاعُ النَّاسِ وَقِرَاءَةُ مَاتَيَسَّرَمِنَ الْقُرْآنِ وَرِوَايَةُ اْلأَخْبَارِالْوَارِدَةِ فِىْ مَبْدَأِ أَمْرِ النَّبِىِّ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ  وَمَا وَقَعَ فِىْ مَوْلِدِهِ مِنَ اْلآيَاتِ،  ثُمَّ يُمَدُّ لَهُمْ سِمَاطٌ يَأْكُلُوْنَهُ وَيَنْصَرِفُوْنَ مِنْ غَيْرِ زِيَادَةٍ عَلَى ذَلِكَ هُوَ مِنَ الْبِدَعِ الْحَسَنَةِ الَّتِىْ يُثَابُ عَلَيْهَا صَاحِبُهَا،  لِمَا فِيْهِ مِنْ تَعْظِيْمِ قَدْرِ النَّبِىِّ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ،  وَإِظْهَارِ الْفَرَحِ وَاْلإسْتِبْشَارِ بِمَوْلِدِهِ الشَّرِيْفِ ...                                                                                   

   “คำตอบตามทัศนะของฉันก็คือ  :  พื้นฐานของงานเมาลิด อันได้แก่การที่ประชาชนมาชุมนุมกัน,  มีการอ่านอัล-กุรฺอ่าน,  มีการอ่านชีวประวัติที่รายงานมาของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมและเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในวันถือกำเนิดของท่าน   หลังจากนั้น ก็มีการเลี้ยงอาหารกันแล้วแยกย้ายกันกลับ โดยไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น  ถือว่า เป็นหนึ่งจากบิดอะฮ์ที่ดี ซึ่งผู้กระทำจะได้รับผลบุญ   ทั้งนี้เพราะงานเมาลิดเป็นการยกย่องให้เกียรติต่อสถานภาพของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม และเป็นการแสดงออกถึงความปลาบปลื้มยินดีต่อวันเกิดของท่าน” ...
   ท่านอบู ชามะฮ์ ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านอิหม่ามนะวะวีย์  (มีชีวิตระหว่างปี ฮ.ศ. 599-665)  ก็ได้กล่าวไว้ในหนังสือ  اَلْبَاعِثُ عَلَى إِنْكَارِالْبِدَعِ وَالْحَوَادِثِ  ..  หน้า  95 ว่า   การทำเมาลิดเป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์   คล้ายๆกับคำพูดของท่านอัส-สะยูฏีย์ข้างต้น   ซึ่งผู้ที่ไม่มีหนังสือของท่านอบู ชามะฮ์  ก็สามารถจะหาดูคำกล่าวของท่านได้จากหนังสือ  “อิอานะฮ์ อัฏ-ฏอลิบีน”  เล่มที่  3  หน้า  364  ในตอนที่กล่าวถึงงานวะลีมะฮ์ ...

   ข้อโต้แย้ง
   คำกล่าวของท่านอัส-สะยูฏีย์และท่านอบู ชามะฮ์ที่ว่า  “การทำเมาลิด เป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์” ...   ถ้าหากหมายถึงความหมายบิดอะฮ์ ตามหลักภาษา  (بِدْعَةٌ لُغَوْيَّةٌ)   ประเด็นนี้ คงไม่มีความขัดแย้งใดๆ    เพราะเป็นความหมายที่ตรงต่อความเป็นจริงตามหลักภาษาที่ว่า  การทำเมาลิดเป็น บิดอะฮ์      เนื่องจากมันเป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่งจะบังเกิดขึ้นหลังจากปี ฮ.ศ. 362  มาแล้ว, ..   และที่เรียกว่า หะสะนะฮ์ (ดี)  ก็เพราะมันเป็นเรื่องดีในความรู้สึกของผู้กระทำและบุคคลทั่วๆไป (แม้กระทั่งผมเอง)    เนื่องจากเป็นการแสดงออกถึงความรักและให้เกียรติท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม  , .. ซึ่งเมื่อรวมความแล้วจึงเรียกการทำเมาลิด ตามหลักภาษา  ว่า  เป็น  “บิดอะฮ์หะสะนะฮ์”  หรือ การริเริ่มกระทำสิ่งใหม่ที่ดี (ตามความรู้สึกของผู้กระทำและประชาชนทั่วๆไป) ...
   แต่ถ้าความหมายของคำว่า  “บิดอะฮ์ หะสะนะฮ์”  ของท่านในที่นี้  หมายถึง  “บิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ”  (بِدْعَةٌ شَرْعِيَّةٌ .. ซึ่งดูแนวโน้มก็น่าจะเป็นอย่างนี้  เพราะท่านกล่าวว่า ผู้ที่กระทำเมาลิดจะได้รับผลบุญตอบแทน) ...  ประเด็นนี้  มิใช่เพียงผมเท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย  แต่นักวิชาการจำนวนมาก ก็ไม่เห็นด้วยเช่นเดียวกัน ...   

ทั้งนี้ เพราะความเชื่อที่ว่า   “มี บิดอะฮ์ หะสะนะฮ์ ในบทบัญญัติ”  จะไปค้านและขัดแย้งกับหลายๆอย่างดังต่อไปนี้ ...
1.  ค้านกับความหมายของ  “บิดอะฮ์ ชัรฺอียะฮ์”  หรือบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ ตามคำนิยามของนักวิชาการอุศูลุลฟิกฮ์ (ซึ่งผมยังไม่เคยเจอนักวิชาการท่านใดคัดค้านคำนิยามของบิดอะฮ์ที่จะถึงต่อไปว่า ไม่ถูกต้อง) ...
2.  ค้านกับคำอธิบายความหมายบิดอะฮ์ของท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ และท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-ฮัยตะมีย์   สองนักวิชาการหะดีษและฟิกฮ์ซึ่งได้รับการยอมรับที่สุดแห่งมัษฮับชาฟิอีย์  ...
3.  ค้านกับคำกล่าวของท่านอับดุลลอฮ์ บิน อุมัรฺ ร.ฎ.
4.  ค้านกับหะดีษที่ถูกต้องของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ...
   รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวข้างต้น  มีคำอธิบายดังต่อไปนี้ ...
(1).  ความเชื่อที่ว่า  “มีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือบิดอะฮ์ดีในบทบัญญัติ”   ค้านกับคำนิยามและความหมายของ  “บิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ หรืออุตริกรรมอันเป็นเรื่องต้องห้าม”   ที่นักวิชาการอุศูลุลฟิกฮ์ ได้กำหนดเอาไว้ว่า  หมายถึง ...

         مَاتَرَكَهُ رَسُوْلُ اللَّـهِ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَعَ قِيَامِ الْمُقْتَضِىْ  وَانْتِفَاءِ الْمَانِعِ فَفِعْلُهُ بَعْدَهُ هُوَ الْبِدْعَةُ  وَتَرْكُهُ هٌوَ السُّنَّةُ ...
    
“สิ่งใดก็ตามที่ท่านศาสดาไม่ได้กระทำ  ทั้งๆที่ .. 1.  มีประเด็นส่งเสริมแล้วว่าควรทำ (ตั้งแต่ในสมัยของท่านมาแล้ว),    และ .. 2. ไม่มีอุปสรรคใดๆจะมาขัดขวางท่านจากการกระทำสิ่งนั้น ...
ดังนั้น การกระทำสิ่งนั้นในภายหลังถือว่า เป็นบิดอะฮ์,   และการไม่กระทำสิ่งนั้น  ก็คือซุนนะฮ์” ...
คำนิยามดังกล่าวนี้  ไม่ใช่นักวิชาการอุศูลุลฟิกฮ์นั่งเทียนเขียน !  แต่เป็นคำนิยามที่ได้ผ่านการกลั่นกรองและวิเคราะห์มาอย่างละเอียดในทุกแง่ทุกมุมจาก   “เหตุการณ์จริง”  ที่เคยเกิดขึ้นในสมัยของท่านศาสดา ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม และสมัยเศาะหาบะฮ์ของท่าน ... ซึ่งถือว่าเป็นคำนิยามของคำว่า  “บิดอะฮ์ ชัรฺอียะฮ์”  หรือบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ ที่ตรงประเด็นที่สุด  และได้รับการยอมรับมากที่สุด ...
ซึ่งเมื่อเราพิจารณาดูที่มาที่ไปของพิธีกรรมเมาลิดแล้ว  ก็จะเห็นได้ว่า จัดอยู่ในความหมายของ  “บิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ”  ตามคำนิยามข้างต้นทุกประการ    คือ เป็นสิ่งที่ท่านศาสดาหรือบรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่าน ---  หรือแม้แต่ตาบิอีน หรืออิหม่ามทั้งสี่  หรือประชาชนในยุคที่ท่านศาสดารับรองว่า เป็นยุคที่ดีเลิศที่สุด --- ไม่เคยกระทำ ..   ทั้งๆที่มีประเด็นส่งเสริมเต็มเปี่ยม  คือเป็นการแสดงออกถึงความรักและการให้เกียรติต่อท่านศาสดาซึ่งตรงกับความรู้สึกของมุสลิมที่มีอีหม่านทุกคน ...  และก็ไม่มีอุปสรรคใดๆจะมาขัดขวางพวกท่านเหล่านั้นจากการจัดงานเฉลิมฉลองวันเกิดให้ท่านศาสดาด้วยในยุคนั้น ...
โดยนัยนี้  การไม่อุตริจัดงานเมาลิดขึ้นมา  จึงถือว่า เป็นการปฏิบัติตามซุนนะฮ์,   ส่วนผู้ที่อุตริจัดงานเมาลิด จึงเป็นผู้ทำบิดอะฮ์    เพราะไม่รักษากติกาของรัฐธรรมนูญ  เอ๊ย,  กติกาของความหมายบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ ที่นักวิชาการได้ร่างคำนิยามของมันขึ้นมาเอง ..  (แหม ! พูดเหมือนท่านนายกทักษิณเปี๊ยบเลย) ...

เอาเถิด,  ท่านศาสดาไม่ส่งเสริมหรือชี้แนะให้มีการจัดงานเมาลิดเฉลิมฉลองวันเกิดของท่าน  เหตุผลข้อนี้ เราพอจะมองออก,    แต่ หลังจากท่านสิ้นชีพไปแล้วและสมมุติว่า หากว่าการทำเมาลิด คือสิ่งดีที่ถูกท่านศาสดาปล่อยวางไว้เพราะมีอุปสรรค (คือความถ่อมตัวจึงไม่ส่งเสริมให้ใครจัดงานวันเกิดเพื่อท่าน)) ..  เสมือนการที่ท่านต้องปล่อยวางการรวบรวมอัล-กุรฺอ่านเป็นเล่มเพราะมีอุปสรรค  (คือ การประทานวะห์ยุยังไม่สิ้นสุดจนกว่าท่านจะสิ้นชีวิต) ..  และท่านอบูบักรฺ ร.ฎ. ก็มาจัดการรวบรวมขึ้นหลังจากท่านตายไปแล้ว, ..  หรือการที่ท่านต้องปล่อยวางการนมาซตะรอเวี๊ยะห์ในลักษณะญะมาอะฮ์ไว้ เพราะมีอุปสรรค (คือกลัวมันจะกลายเป็นฟัรฺฎู) ..   จนท่านอุมัรฺ ร.ฎ. ต้องมารวมประชาชนให้นมาซญะมาอะฮ์ตะรอเวี๊ยะห์หลังจากการสิ้นชีวิตของท่าน  เป็นต้น ..
ในเรื่องของการจัดงานเมาลิดเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดให้ท่านก็เช่นเดียวกัน ..
เมื่อท่านศาสดาตายไปแล้ว  อุปสรรคขัดขวางการจัดงานเมาลิด (คือเกรงว่าความถ่อมตัวจะทำให้ท่านศาสดาขัดขวางมัน) ก็ย่อมหมดสิ้นตามไปด้วย ...
 แล้วทำไม บรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่าน,  บรรดาตาบิอีน,  หรือแม้กระทั่งบรรดาอิหม่ามทั้งสี่ท่านในยุคหลังๆ จึงไม่มีผู้ใดคิด  “ริเริ่ม”  การจัดงานเฉลิมฉลองวันเกิดให้ท่านศาสดา ...   เหมือนดังที่ท่านอบู บัก ร.ฎ. ได้ริเริ่มรวบรวมอัล-กุรฺอ่านให้เป็นรูปเล่มที่สมบูรณ์ขึ้นมา,  หรือดังที่ท่านอุมัรฺ อิบนุล ค็อฏฏอบ ร.ฎ. ได้รื้อฟื้นให้ประชาชนกลับมาทำนมาซตะรอเวี๊ยะฮ์ร่วมกันอีก หลังจากการสิ้นชีวิตของท่านศาสดา ? ...
นี่คือ  ปริศนาที่เราจะต้องตีให้แตก ....
    ประชาชนในยุคที่ดีเลิศเหล่านั้น  รักและให้เกียรติท่านศาสดาน้อยกว่าพวกเราอย่างนั้นหรือ ?
    พวกเขาจำวันเกิดท่านศาสดาไม่ได้ หรือไม่อยากจะให้เกียรติต่อวันเกิดของท่านเลยหรือ ?
    พวกเขามีภารกิจมากเกินไปจนไม่มีเวลา  “แม้เพียงแค่วันเดียว”  ที่จะสละมันเพื่อจะให้เกียรติท่านศาสดาในวันนั้นเชียวหรือ ?
    พวกเขาขี้เกียจที่จะจัดงานฉลองวันเกิดให้ท่านหรือ ?
   พวกเขายากจนและไม่มีทุนทรัพย์มากพอที่จัดงานฉลองวันเกิดของท่านอย่างพวกเราหรือ ?
.....ฯลฯ .....
   
แน่นอน,   ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านทุกท่าน คงจะให้คำตอบได้ตรงกันว่า   ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น  ไม่ใช่เหตุผลที่จะเป็นอุปสรรคต่อการจัดงานเมาลิดของประชาชนในยุคที่ดีเลิศเหล่านั้น (ถ้าพวกท่านเห็นว่ามันเป็นเรื่องดีเหมือนมุมมองของพวกเราในปัจจุบัน) ..
ถ้าอย่างนั้น  อะไรเล่าคือ  “เหตุผลที่แท้จริง”   ที่ขัดขวางพวกท่านจากการจัดงานเมาลิดเพื่อฉลองวันเกิดให้แก่ท่านศาสดาเยี่ยงการจัดของพวกเรา  ? ..
ตามทัศนะส่วนตัวของผม (ไม่ได้พูดลอยๆ  แต่ผมมีหลักฐาน)  มองว่า  สาเหตุที่บรรดาเศาะหาบะฮ์และประชาชนยุคหลังที่ถูกรับรองจากท่านศาสดาว่า เป็นผู้ที่มีคุณธรรมเลอเลิศที่สุด  ไม่เคยคิดจัดงานเมาลิดเพื่อฉลองวันเกิดให้ท่านศาสดา  น่าจะมาจากสาเหตุ  3  ประการด้วยกัน คือ ...
1.  เพราะพวกท่านเห็นว่าการจัดงานเมาลิด  เป็นการ  “ลอกเลียนแบบ”  การจัดงานวันคริสต์มาสของพวกคริสเตียน  ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านศาสดาที่พวกเขารัก ห้ามปราม ..
   ท่านศาสดา ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า ...

                                                مَنْ تَشَبَّهَ بِقَوْمٍ  فَهُوَ مِنْهُمْ

“ผู้ใดที่เลียนแบบชนกลุ่มใด  เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของชนกลุ่มนั้นด้วย”
(บันทึกโดย  ท่านอบู ดาวูด  หะดีษที่  4031,     ท่านอะห์มัด  เล่มที่  2  หน้า  50,   และท่านอิบนุ อบีย์ชัยบะฮ์  เล่มที่  4  หน้า  575  โดยรายงานมาจากท่านอิบนุอุมัรฺ ร.ฎ.) 
2.  เพราะพวกท่านเห็นว่า “ซุนนะฮ์”  ของท่านศาสดาในการ  “ให้ความสำคัญ”กับวันเกิดของท่านก็คือ การ  “อดอาหาร”  ด้วยการ  “ถือศีลอด”  ในวันนั้น ..  (หมายถึง  “วันจันทร์”  ซึ่งถือว่าเป็นวันเกิดตัวจริงเสียงจริงของท่านนบีย์) ...
ท่านอบู เกาะตาดะฮ์ ร.ฎ.  ได้รายงานมาว่า ...

       أَنَّ رَسُوْلَ اللَّـهِ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ  سُئِلَ عَنْ صَوْمِ اْلإِثْنَيْنِ  فَقَالَ  :  فِيْهِ وُلِدْتُ  وَفِيْهِ اُنْزِلَ عَلَىَّ ...

   “ท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม   เคยถูกถามถึงเรื่องการ   “ถือศีลอด”  ในวันจันทร์   ท่านตอบว่า ..  วันจันทร์ คือวันเกิดของฉัน,   และวันจันทร์ คือวันที่อัล-กุรฺอ่านถูกประทานมาให้แก่ฉัน” ...
         (บันทึกโดย  ท่านมุสลิม  หะดีษที่  198/1162) .
3.  เพราะพวกท่านรู้ดีว่า  ท่านศาสดา  “รังเกียจ”  พฤติกรรมการให้เกียรติท่านในลักษณะฉาบฉวย คล้ายๆการประจบสอพลอ  แทนการปฏิบัติตามซุนนะฮ์ของท่าน ...
   ท่านอนัส บิน มาลิก ร.ฎ.  เศาะหาบะฮ์ผู้ใกล้ชิดท่านศาสดาที่สุดท่านหนึ่งกล่าวว่า

      مَا كَانَ فِى الدُّنْيَا شَخْصٌّ أَحَبَّ إِلَيْهِمْ رُؤْيَةً مِنْ رَسُوْلِ اللَّـهِ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ،  وَكَانُوْا إِذَا رَأَوْهُ لَمْ يَقُوْمُوْا لَهُ لِمَا كَانُوْا يَعْلَمُوْنَ مِنْ كَرَاهِيَتِهِ لِذَلِكَ ..

“ไม่มีอีกแล้วในโลกนี้  บุคคลที่พวกเขา (เศาะหาบะฮ์) อยากจะเจอหน้ายิ่งไปกว่าท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม,   แต่เมื่อพวกเขาเจอท่าน  พวกเขาไม่เคยยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติท่านเลย   เนื่องจากพวกเขารู้ว่า ท่านรังเกียจพฤติการณ์อย่างนี้” ..”
   (บันทึกโดย  ท่านบุคอรีย์ในหนังสือ  “อัล-อะดับ อัล-มุฟร็อด”   หะดีษที่  946,   ท่านอัต-ติรฺมีซีย์  หะดีษที่  2754,    ท่านอัฏ-เฏาะหาวีย์ในหนังสือ  “มุชกิล อัล-อาษารฺ”  หะดีษที่  1276,    ท่านอะห์มัด  เล่มที่  3  หน้า  132) ...
رَبَّنَا فَاغْفِرْ لَنَا ذُنُوبَنَا وَكَفِّرْ عَنَّا سَيِّئَاتِنَا وَتَوَفَّنَا مَعَ الْأَبْرَارِ

ออฟไลน์ anti-bid'ah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 839
  • ไม่รู้ อย่าเสือกชี้
  • Respect: +29
    • ดูรายละเอียด
Re: และแล้วก็เป็นปัญหา(ตอนปัญหาการทำเมาลิด)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ต.ค. 18, 2009, 05:56 PM »
0
ต่อคับ

แค่การยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติ  ท่านนบีย์ก็ยัง  “รังเกียจ”  จนบรรดาเศาะหาบะฮ์ไม่กล้าปฏิบัติ,   แล้วการจัดงานเมาลิดเพื่อฉลองวันเกิดให้แก่ท่าน ซึ่งมัน  “เว่อร์” และเอิกเกริกกว่าการยืนให้เกียรติหลายร้อยเท่า   คิดหรือว่า หากเศาะหาบะฮ์ท่านใดคิดจัดมันขึ้นมาในขณะนั้น  ท่านนบีย์จะปลื้มใจและภูมิใจสุดๆกับความรักความภักดีที่มีผู้หยิบยื่นให้ท่านในลักษณะนั้น ? ...
   สิ่งใดที่ท่านศาสดารังเกียจ (ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใดก็ตาม)  สมควรแล้วหรือที่มุสลิมที่อ้างว่า  “รักและให้เกียรติ”  ท่าน  จะดึงดันกระทำสิ่งนั้น  เพียงเพราะยึดมั่นอยู่กับความคิดของตนเองฝ่ายเดียวว่ามัน  “เป็นเรื่องดี”..   โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของตัวท่านนบีย์เอง ? ...   
   การเฉลิมฉลองวันเกิดท่านนบีย์ด้วยการจัดงานเมาลิด  ไม่มีผู้ใดกล่าวว่าเป็นเรื่องไม่ดี, ..  เหมือนๆกับการยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติท่านศาสดา  ไม่มีเศาะหาบะฮ์ท่านใดมองว่า เป็นเรื่องไม่ดี ...
   แต่ปัญหามิได้อยู่ที่ว่า มันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี ! ..  ทว่า,  เมื่อมันเป็นสิ่งที่ท่านศาสดารังเกียจ  พวกเขาจึงงดเว้นที่จะยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติท่าน ..  ทั้งๆที่ตามเนื้อหาของหะดีษแล้ว  บ่งบอกความรู้สึกว่า พวกเขาต้องการยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติเมื่อเห็นท่าน ...
   
ผมเคยคิด,  และจะยังยืนยันความคิดตามประสาคนโง่อย่างผมอยู่เสมอและตลอดไปว่า   มุสลิมที่มีอีหม่านจริงๆนั้น   จะต้องรักในสิ่งที่ท่านนบีย์รัก  และจะต้องรังเกียจในสิ่งที่ท่านนบีย์รังเกียจ ...
   อ่านหะดีษของท่านอนัส บิน มาลิก ร.ฎ. ข้างต้น ซ้ำกันหลายๆเที่ยว .. พร้อมกับใช้สมองของท่านใคร่ครวญไปด้วย    แล้วบางที ท่านอาจจะมีดวงตาเห็นธรรมก็ได้ ..
   (สำหรับข้ออ้างของนักวิชาการหลายท่านที่อ้างว่า  มีหลักฐานว่าท่านศาสดาเคยใช้ให้เศาะหาบะฮ์กลุ่มหนึ่งของท่าน  “ยืนให้เกียรติ”  แก่ท่าน สะอฺด์ (สะอัด) บิน มุอาซ ร.ฎ. นั้น  เป็นเรื่องของความเข้าใจผิดในเจตนารมณ์ของหลักฐาน  ดังที่ผมจะอธิบายข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ในตอนหลัง  อินชาอัลลอฮ์) ...

   (2).  ความเชื่อที่ว่า  “มีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือบิดอะฮ์ดี ในบทบัญญัติ”  ค้านกับคำอธิบายของท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ และท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-ฮัยษะมีย์ สองนักวิชาการดังแห่งมัษฮับชาฟิอีย์ ...
   
ท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์  ได้กล่าวในหนังสือ  “ฟัตหุ้ลบารีย์”  เล่มที่  13  หน้า  253  ว่า ..

     فَالْبِدْعَةُ فِىْ عُرْفِ الشَّرْعِ  مَذْمُوْمَةٌ !   بِخِلاَفِ اللُّغَةِ  فَإِنَّ كُلَّ شَىْءٍ أُحْدِثَ عَلَى غَيْرِ مِثَالٍ سَابِقٍ  يُسَمَّى بِدْعَةً،  سَوَاءٌ كَانَ مَحْمُوْدًا أَوْ مَذْمُوْمًا ...

   “ดังนั้น  ความหมายของบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ (ทั้งหมด) จึงเป็นสิ่งที่ถูกประณาม,   ต่างกับความหมายบิดอะฮ์ตามหลักภาษา, ..   เพราะทุกๆสิ่งที่ถูกริเริ่มขึ้นมาโดยไม่มีแบบอย่างมาก่อน  จะถูกเรียกว่า บิดอะฮ์ (ตามหลักภาษา) ทั้งสิ้น   ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องเลว” ...
   คำอธิบายนี้  ชัดเจนจนแทบจะไม่ต้องขยายความใดๆเพิ่มเติมอีกแล้ว ... 
   
ส่วนท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-ฮัยตะมีย์  ก็ได้กล่าวอธิบายไว้ในหนังสือ  “อัล-ฟะตาวีย์”  ของท่าน  ดังการอ้างอิงในหนังสือ  “อัล-อิบดาอฺ ฟี มะฎอรฺ อัล-อิบติดาอฺ”  หน้า  39  ว่า ...

     فَإِنَّ الْبِدْعَةَ الشَّرْعِيَّةَ ضَلاَلَةٌ !  كَمَاقَالَ رَسُوْلُ اللَّـهِ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ،   وَمَنْ قَسَّمَهَا مِنَ الْعُلَمَاءِ إِلَى حَسَنٍ وَغَيْرِحَسَنٍ  فَإِنَّمَا قَسَّمَ الْبِدْعَةَ اللُّغَوِيَّةَ،   وَمَنْ قَالَ : كُلُّ بِدْعَةٍ ضَلاَلَةٌ ..  فَمَعْنَاهُ الْبِدْعَةُ الشَّرْعِيَّةُ ...                                                                           

“แน่นอน  สิ่งบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ (ทุกอย่าง) เป็นความหลงผิด ! ดังคำกล่าวของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, ..  นักวิชาการท่านใดที่แบ่งมันออกเป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือไม่ใช่บิดอะฮ์หะสะนะฮ์  ก็เป็นเพียงการแบ่งมันตามหลักภาษาเท่านั้น ..  และผู้ใดที่กล่าวว่า  ทุกๆบิดอะฮ์ เป็นความหลงผิด   ความหมายของเขาก็คือ  หมายถึงบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ” ...
   จะต้องให้อธิบายซ้ำอีกไหมครับ กับคำกล่าวของท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-ฮัยตะมีย์ข้างต้นนี้ ? ...
   คำกล่าวของท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-ฮัยตะมีย์   ถือว่า เป็นคำอธิบายที่ตรงประเด็นที่สุดในการจำแนกความเข้าใจอันสับสน --  แม้กระทั่งจากผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นนักวิชาการ --  ระหว่าง  “บิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ และบิดอะฮ์ตามหลักภาษา” ..  จึงสมควรจะต้องจดจำคำกล่าวนี้ให้ขึ้นใจ  เพื่อความเข้าใจอันถูกต้องในเรื่องนี้ตลอดไป ...
   
(3).  ความเชื่อที่ว่า  “มีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือบิดอะฮ์ดี ในบทบัญญัติ”  ค้านกับคำกล่าวของท่านอิบนุ อุมัรฺ ร.ฎ. ..
ทั้งนี้  เพราะท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุอุมัรฺ ร.ฎ.  เศาะหาบะฮ์ผู้เคร่งครัดในซุนนะฮ์ที่สุดท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า ...

                             كُلُّ بِدْعَةٍ ضَلاَلَةٌ،  وَإِنْ رَآهَـا النَّاسُ حَسَنَةً ...

“ทุกๆบิดอะฮ์  คือความหลงผิด,   แม้มนุษย์จะเห็นว่า มันเป็นสิ่งดีก็ตาม”
(บันทึกโดย  ท่านอัล-บัยฮะกีย์ในหนังสือ  “المدخل إلى السنن الكبرى”  หมายเลข  191,   ท่านมุหัมมัด บิน นัศรฺ ในหนังสือ  “السنة”  หน้า  24,    และท่านอัล-ลาลิกาอีย์ในหนังสือ  “شَرْحُ اُصُوْلِ اعْتِقَادِ أَهْلِ السُّنَّةِ”  เล่มที่  1  หน้า  92) ...
คำว่า  “ทุกๆบิดอะฮ์ คือความหลงผิด”  ตามคำกล่าวของท่านอิบนุ อุมัรฺ ร.ฎ. ในที่นี้  หมายถึงบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติโดยปราศจากข้อสงสัย, ..  และคำกล่าวของท่านตอนหลังที่ว่า  “แม้มนุษย์จะเห็นว่า มันเป็นสิ่งดีก็ตาม”   แสดงว่า ท่านปฏิเสธและไม่ยอมรับว่า มีบิดอะฮ์ดีในบทบัญญัติอย่างเด็ดขาด ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งดีในมุมมองมนุษย์อย่างไรก็ตาม ...
(4).  ความเชื่อที่ว่า  “มีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือบิดอะฮ์ดี ในบทบัญญัติ”  ค้านกับหะดีษของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ...
ข้อนี้ ถือเป็น  “ตัวชี้ขาด”  ความผิดพลาดทั้งมวลของผู้ที่เข้าใจว่า  มีบิดอะฮ์ดีตามบทบัญญัติศาสนา  ทั้งนี้ เพราะท่านศาสดาได้เคยกล่าวไว้ในหลายๆวาระว่า ...

                                                كُلُّ بِدْعَةٍ ضَلاَ لَةٌ

“ทุกๆบิดอะฮ์  คือความหลงผิด” ...
และท่านยังเคยกล่าวเอาไว้อีกว่า ...

                                         إِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ اْلأُمُوْرِ،   فَإِنَّهَا ضَلاَلةَ ٌ!

“พวกท่านพึงระวังตนเองจาก สิ่งทั้งหลายที่ถูกอุตริขึ้นมาใหม่ (ในศาสนา)  เพราะว่า มันคือความหลงผิด” ...
            .....ฯลฯ .....
ท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม  มิได้ถูกส่งมาเพื่อสอน  “ภาษา”  แก่ผู้ใด,   แต่ท่านถูกส่งมา  เพื่อสอน  “บทบัญญัติศาสนา”  ของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. แก่มนุษยชาติทั้งมวล ...
เมื่อท่านกล่าวเตือนอุมมะฮ์ของท่านว่า  “ทุกๆบิดอะฮ์ คือความหลงผิด”  ท่านจึงย่อมหมายถึงสิ่งบิดอะฮ์  “ตามบทบัญญัติ”, ..  มิใช่บิดอะฮ์  “ตามหลักภาษา”  แน่นอน
และก็ไม่เคยมีรายงานหะดีษมาแม้แต่บทเดียวว่า  ท่านศาสดาจะเคยกล่าวยกย่องชมเชยสิ่งใดที่ถูกอุตริขึ้นมาใหม่ในศาสนาของท่านว่า  เป็นสิ่งที่ดี ! ...
ดังนั้น  ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใดก็ตาม  ก็จะไม่พบคำว่า  “มีบิดอะฮ์ดี”  ในบทบัญญัติ  นอกจากทั้งหมด จะเป็น  “บิดอะฮ์ต้องห้าม”  เพียงสถานเดียว ...
คำว่า  “บิดอะฮ์ดี”  ที่มีกล่าวกันแพร่หลายมิใช่อื่นใด   แต่เป็นเพียงศัพท์เทคนิคตามหลักภาษาที่ใช้เรียกสิ่งดีๆ -- (ตาม  “มุมมอง”  ของมนุษย์, ..  ต่อสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นใหม่, ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางโลกหรือทางศาสนา) -- ว่าเป็น  บิดอะฮ์ดี (คือ การริเริ่ม,  การประดิษฐ์สิ่งใหม่ที่ดี) ..  แค่นั้นเอง ...

สรุปแล้ว  ผู้ใดก็ตาม, --  จะเป็นนักวิชาการระดับไหนก็ตาม --  ที่กล่าวในลักษณะว่า มีบิดอะฮ์ดีหรือบิดอะฮ์หะสะนะฮ์อยู่ในบทบัญญัติ   ก็พึงรู้เถิดว่า เขากำลัง  “สับสน"” กับความหมายของบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติและความหมายบิดอะฮ์ตามหลักภาษา ...
และผู้ใดก็ตามที่กล่าวว่า  “มีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ (บิดอะฮ์ดี)ในบทบัญญัติ”   หากจะมองเพียงว่า  คำพูดของเขาไปค้านกับคำนิยามของคำว่า  “บิดอะฮ์ ชัรฺอียะฮ์”   ตามหลักวิชาอุศูลุลฟิกฮ์,   หรือไปค้านกับคำพูดของท่านอิบนุ หะญัรฺ ทั้งสองท่าน,   หรือไปค้านกับคำพูดของท่านอิบนุ อุมัรฺ ร.ฎ.ที่กล่าวมาข้างต้น  ..  เพียงแค่นั้น  ก็คงไม่สู้กระไรนักหรอก ...
ที่สำคัญ  คำพูดของเขาดังกล่าวไป  “คัดค้าน”  คำพูดของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมที่บอกเขาว่า  “ทุกๆบิดอะฮ์ (ตามบทบัญญัติ) คือความหลงผิด” นี่สิ   มันเป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์สำหรับมุสลิมที่มีอีหม่านทุกคนเหลือเกิน ...
เอาอย่างนี้กันดีไหม ? ...
ถ้าท่านมองว่า การจัดงานเมาลิดเป็นเรื่องดีตามบทบัญญัติ  ก็คงเหมือนกับท่านมองว่า  การอะซานในการนมาซวันอีด  ก็เป็นเรื่องดีตามบทบัญญัติเหมือนกัน ...
หรือถ้าท่านมองว่า การจัดงานเมาลิดเป็นสิ่งที่มีหลักฐาน  เพราะเป็นการกิยาสกับการทำอะกีเกาะฮ์ของท่านนบีย์,  ดังมุมมองของท่านอัส-สะยูฏีย์, ..  หรือเป็นการกิยาสกับการถือศีลอดวันอาชูรออ์ (วันที่ 10  เดือนมุหัรฺรอม) ของท่านนบีย์,  ดังมุมมองของท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ที่กำลังจะกล่าวถึงต่อไป    ก็เหมือนกับท่านมองว่า  การอะซานในการนมาซวันอีด ก็เป็นสิ่งที่มีหลักฐาน คือเป็นการ  “กิยาส”  มาจากการอะซานนมาซฟัรฺฎูห้าเวลา  ซึ่งไม่ผิดหลักการกิยาสตรงไหน ...   แถมยังมีหลักฐานจากอัล-กุรฺอ่านอีก    คือโองการในซูเราะฮ์ฟุศศิลัต  โองการที่  33  อันมีความหมายว่า ...  “และผู้ใดเล่าจะเลอเลิศที่สุดในด้านคำพูด  ยิ่งไปกว่าผู้ที่เรียกร้องเชิญชวนมาสู่อัลลอฮ์”
หรือท่านผู้ใดที่เคยกล่าวในลักษณะประชดประชันต่อผู้ที่ทักท้วงว่า การจัดงานเมาลิดเป็นบิดอะฮ์ต้องห้ามว่า ...  ก็ให้รู้ไปสิว่า การแสดงความรักต่อท่านนบีย์ด้วยการจัดงานเมาลิดฉลองวันเกิดให้ท่าน  จะเป็นความหลงผิด,  จะเป็นบาป,  และจะต้องตกนรก ! ... ก็คงเหมือนกับท่านกล่าวแบบประชดประชันต่อผู้ที่ทักท้วงท่านว่า  การอะซานเพื่อนมาซอีดเป็นบิดอะฮ์ต้องห้าม  ว่า ... ก็ให้มันรู้ไปสิว่า การอะซานเพื่อเรียกคนมานมาซอีด  จะเป็นความหลงผิด,  เป็นบาป,  และจะต้องตกนรก ! ...
เพราะฉะนั้น ถ้าแน่จริง   ก็ให้ท่านลองอะซาน เรียกร้องคนมานมาซวันอีดดูบ้างเป็นไร, ...  จะเป็นวันอีดิลฟิฏริ,  หรืออีดิลอัฎหาอ์,  หรือทั้งสองอีดก็ได้ ...  ด้วยเหตุผลความ  “เหมือน”  ระหว่างการจัดงานเมาลิดกับการอะซานเพื่อนมาซวันอีดดังข้างต้น ...
ท่านจะกล้าไม๊ล่ะ ? ...
ถ้าท่านกล้า  เราก็พร้อมแล้วที่จะทำ,  และยอมรับ – เหมือนท่าน – ว่า การจัดงานเมาลิด  เป็นบิดอะฮ์ดีที่ถูกต้องตามบทบัญญัติ ...
แต่ถ้าท่านไม่กล้า   ท่านก็ต้องหาคำตอบมาให้ได้ว่า   การจัดงานเมาลิดฉลองวันเกิดให้ท่านนบีย์ กับการอะซานเพื่อเรียกคนมานมาซวันอีด  มันแตกต่างกันตรงไหน ? ..
เรามั่นใจว่า  ท่านไม่มีคำตอบอื่นใดนอกจากการกล่าวว่า  ที่ท่านไม่กล้า  ก็เพราะการอะซานเพื่อเรียกคนมานมาซวันอีด เป็นบิดอะฮ์ต้องห้ามตามบทบัญญัติ   เนื่องจากไม่เคยมีแบบอย่างมาก่อนจากท่านนบีย์และเศาะหาบะฮ์ของท่าน ...
ก็เหตุผลอย่างเดียวกันนี่แหละ – หากท่านกล้าหาญพอที่จะรับความจริง – ที่ท่านจะต้องนำมันไปใช้กับการจัดงานเมาลิดของท่านว่า  มันเป็นบิดอะฮ์ต้องห้ามตามบทบัญญัติ  เพราะไม่เคยมีแบบอย่างมาจากท่านนบีย์และเศาะหาบะฮ์ของท่าน ...
ขอถามย้ำอีกครั้งว่า  ทั้งสองกรณีนี้มันแตกต่างกันตรงไหน  ท่านจึงมาจำแนกว่า การจัดงานเมาลิด เป็นบิดอะฮ์ดี (หะสะนะฮ์) ตามบทบัญญัติ ท่านจึงกล้าทำ ... แต่ขณะเดียวกัน ท่านกลับมองว่า การอะซานในการนมาซวันอีด เป็นบิดอะฮ์ต้องห้ามตามบทบัญญัติ ท่านจึงไม่กล้าทำ ? ...
ผมคิดว่า  เรื่องนี้หากท่านไปถามผู้ที่กล้าพูดความจริง เขาก็คงจะตอบท่านแบบชัดถ้อยชัดคำและไม่เกรงใจท่านเลยว่า ..   การทำเมาลิดและการอะซานในการนมาซวันอีด  ถ้าคุณมองตาม  “หลักภาษา”   มันก็เป็น เป็นบิดอะฮ์ดี (หะสะนะฮ์) ทั้งคู่นั่นแหละ .. 
แต่ขณะเดียวกัน  ถ้าคุณมองตาม  “บทบัญญัติ”  มันก็เป็นก็เป็นบิดอะฮ์ต้องห้าม (เฎาะลาละฮ์) ทั้งคู่เหมือนกันอีกนั่นแหละ  (วะ) ...
            
วัลลอฮุ อะอฺลัม.
 
(2).  การทำเมาลิด มี  أَصْلٌ ..  คือมีพื้นฐานที่มาตามหลักการศาสนา
ท่านอัส-สะยูฏีย์  ได้กล่าวในหนังสือข้างต้น ซึ่งรวมชุดอยู่ในหนังสือ  “อัล-หาวีย์ ลิ้ล ฟะตาวีย์”  เล่มที่  1  หน้า  296  ว่า ...

   إِنَّ الطَّلَبَ فِى الْمَنْدُوْبِ  تَارَةً يَكُوْنُ بِالنَّصِّ وَتَارَةً يَكُوْنُ بِالْقِيَاسِ،  وَهَذَا إِنْ لَمْ يَرِدْ فِيْهِ نَصٌّ فَفِيْهِ الْقِيَاسُ عَلَىاْلأَصْلَيْنِ اْلآتِىْ ذِكْرُهُمَا ...

   “แท้จริง  หลักการของสิ่ง  مَنْدُوْبٌ  หรือ  “สิ่งที่ถูกส่งเสริมให้ทำ”  นั้น  บางครั้งจะเป็นการส่งเสริมให้ทำด้วยหลักฐานที่ชัดเจน,    และบางครั้งก็จะด้วยการอนุมานเปรียบเทียบ (กิยาสกับหลักฐานอื่น) ..  ซึ่งในกรณีนี้ (คือ การส่งเสริมให้จัดงานเมาลิด)  แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจน  แต่ก็เป็นการ  “กิยาส”  กับพื้นฐาน 2 ประการที่จะกล่าวถึงต่อไป ....”
رَبَّنَا فَاغْفِرْ لَنَا ذُنُوبَنَا وَكَفِّرْ عَنَّا سَيِّئَاتِنَا وَتَوَفَّنَا مَعَ الْأَبْرَارِ

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
Re: และแล้วก็เป็นปัญหา(ตอนปัญหาการทำเมาลิด)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ต.ค. 18, 2009, 05:59 PM »
0
salam

บัง al-azhary ได้ตอบประเด็นปัญหาของงานเมาลิด
ในมุมมองที่แท้จริง  ได้มุมมองที่ชัดเจนขึ้นสำหรับเรื่องนี้ดีทีเดียว...


بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم

اَلْحَمْدُ للهِ رَبِّ الْعَالَمِيْنَ وَ الصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ عَلىَ سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍ وَعَليَ آلِهِ وَصَحْبِهِ أَجْمَعِيْنَ ،،، وَبعْدُ ؛

เรื่องการทำเมาลิด  เป็นประเด็นขัดแย้งในปัจจุบัน  ซึ่งมีทั้งฝ่ายละเลยจัดงานเมาลิดโดยไม่คำนึงว่ามีสิ่งใดที่ฮะรอมเข้ามาปะปน  อีกฝ่ายก็ปฏิเสธเมาลิดแบบเหมารวมและเลยเถิด  ไม่แยกแยะว่าสิ่งใดที่ขัดกับศาสนาและสิ่งใดไม่ขัดกับศาสนา  แต่กระผมขอเลือกแนวทางที่ไม่กระทำเบาความและไม่เลยเถิด  รูปแบบเมาลิดใดที่อยู่บนพื้นฐานศาสนาหรือไม่ขัดกับหลักศาสนาและยังคุณประโยชน์แก่พี่น้องมุสลิม (มะศอลิห์มุรซะละฮ์)  ก็ไม่ใช่สิ่งที่ฮะรอมแต่ประการใด  แต่ถ้าหากทำเมาลิดในรูปแบบมีสิ่งฮะรอมปะปนอยู่ด้วย  การไม่ทำเมาลิดย่อมดีกว่ายิ่งกว่านั้นไม่ควรกระทำอย่างยิ่งยวด   

อนึ่ง  เรื่องการทำเมาลิดที่เราได้เห็นมันมีหลายรูปแบบ  รูปแบบจัดงานและรูปแบบการซิกรุลลอฮ์ , ศ่อลาวาตนบี , อ่านประวัติของท่านร่อซูลุลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม , และเลี้ยงอาหารแก่พี่น้องมุสลิม , เป็นต้น  ดังนั้นเมาลิดในรูปแบบจัดงานที่เราได้เห็นในปัจจุบัน  มีสิ่งฮะรอมมาปะปนมากมาย  เช่น ปะปนหญิงชาย  จนกระทั่งไม่สามารถควบคุมและจัดการได้  ยิ่งกว่านั้นเป้าหมายในจัดงานเมาลิดก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควรแก่ผู้มาร่วมงาน  หากสมมติว่าท่านร่อซูลุลลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  เข้ามาปรากฏตัวและร่วมในงานเมาลิดด้วย  ผมเชื่อว่าท่านร่อซูลุลลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ให้การตำหนิรูปแบบดังกล่าว  แต่ถ้าหากเป็นเมาลิดในรูปแบบการซิกรุลอฮ์ , ศ่อลาวาตท่านนบี , ปราศัยประวัตินบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมและปลุกจิตใจให้มีความรักต่อท่านร่อซูลุลลอฮ์  เป็นต้นนั้น , ย่อมเป็นสิ่งที่ดีงามและควรส่งเสริมให้กระทำ  เพราะฉะนั้นเมาลิดที่กระผมจะสนับสนุนและเรียกร้องให้กระทำคือ การทำเมาลิดในรูปแบบที่สอง             

ท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  ได้กล่าวว่า “รากฐานเดิมจากการทำเมาลิดนั้น  หมายถึง การที่บรรดาผู้คนรวมตัวกัน  และก็มีการอ่านอายะฮ์ที่ง่ายๆ จากอัลกุรอาน   มีการเล่าบรรดาหะดิษที่รายงานเกี่ยวกับการริเริ่มภาระกิจของท่านนบี(ซ.ล.) และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการเกิดของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จากบรรดาสัญลักษณ์ต่างๆ  และมีการหยิบยื่นอาหารเพื่อพวกเขาจะได้รับประทานกัน  แล้วพวกเขาก็แยกย้ายกันไปโดยไม่ได้เพิ่มมากไปกว่าสิ่งดังกล่าว  มันเป็นการกระทำถูกริเริ่มขึ้นมาที่ดี  ซึ่งผู้ที่กระทำจะได้รับผลบุญ  เพราะมันเป็นการให้เกียตริท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  และเป็นการแสดงออกซึ่งความปีติยินดีในการประสูติอันมีเกียรติของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม” ดู  หนังสือ  อัลหาวีย์  ลิลฟะตาวา  เล่ม 1  หน้า 221 - 222  ดารุลฟิกรฺ

ท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  กล่าวว่า

من ‏مَنْ سَنَّ فِي الْإِسْلَامِ سُنَّةً حَسَنَةً فَعُمِلَ بِهَا بَعْدَهُ كُتِبَ لَهُ مِثْلُ أَجْرِ مَنْ عَمِلَ بِهَا وَلَا يَنْقُصُ مِنْ أُجُورِهِمْ شَيْءٌ وَمَنْ سَنَّ فِي الْإِسْلَامِ سُنَّةً سَيِّئَةً فَعُمِلَ بِهَا بَعْدَهُ كُتِبَ عَلَيْهِ مِثْلُ وِزْرِ مَنْ عَمِلَ بِهَا وَلَا يَنْقُصُ مِنْ أَوْزَارِهِمْ شَيْءٌ

“ผู้ใดที่ได้ริเริ่มทำขึ้นมาในอิสลามกับหนทางที่ดี แน่นอน เขาจะได้รับผลบุญและได้รับผลบุญของผู้ที่ได้ปฏิบัติตามหลังจากเขาได้(เสียชีวิตไปแล้ว) โดยไม่มีสิ่งใดบกพร่องลงเลยจากผลบุญของพวกเขา และผู้ใดทีได้ริเริ่มทำขึ้นมาในอิสลาม กับหนทางที่เลว แน่นอนบาปของมันก็ตกบนเขา และบาปของผู้ที่ปฏิบัติมัน หลังจากเขา (เสียชีวิตไปแล้วก็ตกบนเขา) โดยไม่มีสิ่งใดบกพร่องลงไปเลยจากบรรดาบาปของพวกเขา” รายงานโดยมุสลิม (หะดีษลำดับที่ 1017)

ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุ ฮะญัร อัลฮัยตะมีย์  (ร่อฮิมะฮุลลอฮุตะอาลา)  ได้ถูกถามว่า : ฮุกุ่มเมาลิดและการซิกรุลลอฮ์ที่ผู้คนมากมายได้กระทำใสมัยนี้  เป็นซุนนะฮ์  หรือมีคุณความดี หรือเป็นบิดอะฮ์?  ถ้าหากพวกท่านกล่าวว่า  มันเป็นคุณความดี  ซึ่งมีคำกล่าวของสะลัฟหรือตัวบทจากฮะดีษหรือไม่?  และการรวมตัวสำหรับสิ่งที่เป็นบิดอะฮ์มุบาห์(บิดอะฮ์ที่ไม่มีตัวบทมาห้ามและใช้)เป็นสิ่งที่อนุญาตหรือไม่?

ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุ ฮะญัร อัลฮัยตะมีย์  ได้ตอบว่า : การทำเมาลิดและการซิกรุลลอฮ์ที่ได้กระทำขึ้นตามทัศนะของเรานั้น  ส่วนมากได้ครอบคลุมถึงความดีงาม  เช่น  การศ่อดะเกาะฮ์ , การซิกรุลลอฮ์ , การศ่อละวาต  สะลาม  และการสรรเสริญท่านร่อซูลุลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  และการทำเมาลิดย่อมอยู่บนความชั่ว  ยิ่งกว่านั้น  ยังรวมไว้ซึ่งสิ่งฮะรอมทั้งหลาย  ทั้งนี้หากมีการมองกันระหว่างสตีกับผู้ชายอื่น  และบางเมาลิดไม่มีการกระทำสิ่งฮะรอมเกิดขึ้น  แต่หากมีก็เป็นไปได้น้อยมาก  จึงมิต้องสงสัยเลยว่า  ประเภทแรกนั้น  เป็นสิ่งที่ต้องห้าม  เพราะมีหลักนิติศาสตร์ได้ยืนยันว่า 

أَنَّ دَرْءَ الْمَفَاسِدِ مُقَدَّمٌ عَلَي جَلْبِ الْمَصَالِحِ

“การป้องกันผลเสียที่จะเกิดขึ้น  ย่อมอยู่ก่อนการได้มาซึ่งผลประโยชน์”

ดังนั้นผู้ใดที่ทราบว่ามีความชั่วเกิดขึ้นในสิ่งที่เขาได้กระทำ  เขาย่อมเป็นผู้ฝ่าฝืนและกระทำบาป  และสมมติฐานว่า  เขาได้กระทำความดีงามในเมาลิดดังกล่าว  แต่บางครั้งความดีงามไม่สามารถเทียบเท่ากับความชั่วได้  ท่านไม่เห็นดอกหรือว่า  ท่านร่อซูลุลลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ถือว่าเพียงพอสำหรับการทำความดีงามด้วยสิ่งที่สะดวกเท่าที่สามารถแต่ท่านร่อซูลุลลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ตัดต้นลมจากสิ่งฮะรอมทั้งหมดทุกประเภท  โดยท่านร่อซูลุลลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวว่า

إِذَا أَمَرْتُكُمْ بِأَمْرٍ فَأْتُوْا مِنْهُ مَا اسْتَطَعْتُمْ ، وَإِذَا نَهَيْتُكُمْ عَنْ شَيْءٍ فَاجْتَنِبُوْهُ

“เมื่อฉันได้ใช้พวกท่าน  ด้วยคำสั่งใช้หนึ่ง  พวกท่านก็จะนำมันมาปฏิบัติเท่าที่มีความสามารถ  และเมื่อฉันได้ห้ามท่านจากสิ่งหนึ่ง  พวกท่านก็จงห่างไกลมันเถิด” รายงานโดยบุคอรี (ฮะดีษลำดับที่ 7288)

ดังนั้นท่านจงใคร่ครวญ  แล้วจะทราบว่า  แท้จริงสิ่งฮะรอมนั้น  หากแม้จะน้อยก็ตาม  ก็จะไม่ได้รับการผ่อนปรนใด ๆ เลย  และความดีนั้น  เพียงพอด้วยการกระทำสิ่งง่ายๆ และสะดวกเท่าที่สามารถ

สำหรับเมาลิดประเภทที่สองนั้น  เป็นซุนนะฮ์  เพราะมีบรรดาฮะดีษที่ได้รายงานเกี่ยวกับการซิกรุลลอฮ์ตามนัยยะเฉพาะ(มัคศูเศาะฮ์)และนัยยะโดยรวม(อามมะฮ์)

เช่นคำกล่าวขอท่านร่อซูลุลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า

لاَ يَقْعُدُ قَوْمٌ يَذْكُرُوْنَ اللهَ عَزَّ وَجَلَّ إِلَّا حَفَّتْهُمُ المَلاَئِكَةُ، وَغَشِيَتْهُمُ الرَّحْمَةُ، وَنَزَلَتْ عَلَيْهِمُ السَّكِيْنَةُ، وَذَكَرَهُمُ اللهُ فِيْمَنْ عِنْدَهُ

“ไม่มีชนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดทำการนั่งซิกรุลลอฮ์  อัซซะวะญัลล่า  นอกจากว่า บรรดามะลาอิกะฮ์จะห้อมล้อมพวกเขา  ความเมตตาก็แผ่คลุมพวกเขา  ความสงบสุขก็ได้ลงมาบนพวกเขา  และอัลเลาะฮ์ก็ทรงเอ่ยถึงพวกเขาแก่ผู้ที่อยู่ ณ พระองค์”  รายงานโดยมุสลิม (ฮะดีษลำดับที่ 2700)

ได้มีรายงานจากท่านร่อซูลุลลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้เคยออกไปยัง วงหนึ่งจากบรรดาซอฮาบะฮ์ของท่าน แล้วท่านร่อซูลุลเลาะฮ์กล่าวว่า อะไรที่ทำให้พวกท่านนั่งอยู่กระนั้นหรือ? บรรดาซอฮาบะฮ์กล่าวว่า เราได้นั่งเพื่อกล่าวซิกรุลเลาะฮ์ และทำการสรรเสริญอัลเลาะฮ์ เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงชี้นำให้เราสู่อิสลามและทรงประทานความโปรดปรานแก่เรา  ท่านร่อซูลุลลอฮ์  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวแก่เหล่าซอฮาบะฮ์ว่า

 أَتَانِي ‏ ‏جِبْرِيلُ ‏ ‏فَأَخْبَرَنِي أَنَّ اللَّهَ عَزَّ وَجَلَّ ‏يُبَاهِي بِكُمْ الْمَلَائِكَةَ

“ท่านญิบรีลได้มาหาฉัน แล้วบอกกับฉันว่า แท้จริงอัลเลาะฮ์ทรงอวดยกย่องพวกท่านต่อมะลาอิกะฮ์” รายงานโดยมุสลิม (ฮะดีษลำดับที่ 3389)
ในสองฮะดีษนี้  เป็นหลักฐานที่บ่งชี้จัดเจนถึงความประเสริฐการรวมตัวและนั่ง(ล้อมวง)กระทำความดีงาม  และบรรดาผู้นั่งทั้งหลายก็อยู่บนความดีงามเช่นกัน  และอัลเลาะฮ์ทรงอวดยกย่องต่อพวกเขาแก่บรรดามะลาอิกะฮ์  ความสงบสุขก็จะลงมาบนพวกเขา , ความเมตตาของอัลเลาะฮ์ก็จะห้อมล้อมพวกเขาไว้ , และอัลเลาะฮ์ตะอาลา  ก็เอ่ยยกย่องพวกเขาต่อบรรดามะลาอิกะฮ์  ดังนั้นไม่มีความประเสริฐใดที่จะมีเกียรติยิ่งกว่านี้อีกแล้ว?! (ดู หนังสืออัลฟะตาวา อัลหะดีษะฮ์ หน้า 270-271 ของชัยคุลอิสลาม อิบนุ ฮะญัร อัลฮัยตะมีย์ , ตีพิมพ์ดารุตตักวา , ตีพิมพ์ครั้งแรก , ปี ฮ.ศ. 1428.)     



وَاللهُ سُبْحَانَهُ وَتَعَاليَ أعْلىَ وَأَعْلَمُ



ออฟไลน์ anti-bid'ah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 839
  • ไม่รู้ อย่าเสือกชี้
  • Respect: +29
    • ดูรายละเอียด
Re: และแล้วก็เป็นปัญหา(ตอนปัญหาการทำเมาลิด)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ต.ค. 18, 2009, 06:58 PM »
0
ต่อคับ

แค่การยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติ  ท่านนบีย์ก็ยัง  “รังเกียจ”  จนบรรดาเศาะหาบะฮ์ไม่กล้าปฏิบัติ,   แล้วการจัดงานเมาลิดเพื่อฉลองวันเกิดให้แก่ท่าน ซึ่งมัน  “เว่อร์” และเอิกเกริกกว่าการยืนให้เกียรติหลายร้อยเท่า   คิดหรือว่า หากเศาะหาบะฮ์ท่านใดคิดจัดมันขึ้นมาในขณะนั้น  ท่านนบีย์จะปลื้มใจและภูมิใจสุดๆกับความรักความภักดีที่มีผู้หยิบยื่นให้ท่านในลักษณะนั้น ? ...
   สิ่งใดที่ท่านศาสดารังเกียจ (ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลใดก็ตาม)  สมควรแล้วหรือที่มุสลิมที่อ้างว่า  “รักและให้เกียรติ”  ท่าน  จะดึงดันกระทำสิ่งนั้น  เพียงเพราะยึดมั่นอยู่กับความคิดของตนเองฝ่ายเดียวว่ามัน  “เป็นเรื่องดี”..   โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของตัวท่านนบีย์เอง ? ...   
   การเฉลิมฉลองวันเกิดท่านนบีย์ด้วยการจัดงานเมาลิด  ไม่มีผู้ใดกล่าวว่าเป็นเรื่องไม่ดี, ..  เหมือนๆกับการยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติท่านศาสดา  ไม่มีเศาะหาบะฮ์ท่านใดมองว่า เป็นเรื่องไม่ดี ...
   แต่ปัญหามิได้อยู่ที่ว่า มันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี ! ..  ทว่า,  เมื่อมันเป็นสิ่งที่ท่านศาสดารังเกียจ  พวกเขาจึงงดเว้นที่จะยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติท่าน ..  ทั้งๆที่ตามเนื้อหาของหะดีษแล้ว  บ่งบอกความรู้สึกว่า พวกเขาต้องการยืนขึ้นเพื่อให้เกียรติเมื่อเห็นท่าน ...
   
ผมเคยคิด,  และจะยังยืนยันความคิดตามประสาคนโง่อย่างผมอยู่เสมอและตลอดไปว่า   มุสลิมที่มีอีหม่านจริงๆนั้น   จะต้องรักในสิ่งที่ท่านนบีย์รัก  และจะต้องรังเกียจในสิ่งที่ท่านนบีย์รังเกียจ ...
   อ่านหะดีษของท่านอนัส บิน มาลิก ร.ฎ. ข้างต้น ซ้ำกันหลายๆเที่ยว .. พร้อมกับใช้สมองของท่านใคร่ครวญไปด้วย    แล้วบางที ท่านอาจจะมีดวงตาเห็นธรรมก็ได้ ..
   (สำหรับข้ออ้างของนักวิชาการหลายท่านที่อ้างว่า  มีหลักฐานว่าท่านศาสดาเคยใช้ให้เศาะหาบะฮ์กลุ่มหนึ่งของท่าน  “ยืนให้เกียรติ”  แก่ท่าน สะอฺด์ (สะอัด) บิน มุอาซ ร.ฎ. นั้น  เป็นเรื่องของความเข้าใจผิดในเจตนารมณ์ของหลักฐาน  ดังที่ผมจะอธิบายข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ในตอนหลัง  อินชาอัลลอฮ์) ...

   (2).  ความเชื่อที่ว่า  “มีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือบิดอะฮ์ดี ในบทบัญญัติ”  ค้านกับคำอธิบายของท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ และท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-ฮัยษะมีย์ สองนักวิชาการดังแห่งมัษฮับชาฟิอีย์ ...
   
ท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์  ได้กล่าวในหนังสือ  “ฟัตหุ้ลบารีย์”  เล่มที่  13  หน้า  253  ว่า ..

     فَالْبِدْعَةُ فِىْ عُرْفِ الشَّرْعِ  مَذْمُوْمَةٌ !   بِخِلاَفِ اللُّغَةِ  فَإِنَّ كُلَّ شَىْءٍ أُحْدِثَ عَلَى غَيْرِ مِثَالٍ سَابِقٍ  يُسَمَّى بِدْعَةً،  سَوَاءٌ كَانَ مَحْمُوْدًا أَوْ مَذْمُوْمًا ...

   “ดังนั้น  ความหมายของบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ (ทั้งหมด) จึงเป็นสิ่งที่ถูกประณาม,   ต่างกับความหมายบิดอะฮ์ตามหลักภาษา, ..   เพราะทุกๆสิ่งที่ถูกริเริ่มขึ้นมาโดยไม่มีแบบอย่างมาก่อน  จะถูกเรียกว่า บิดอะฮ์ (ตามหลักภาษา) ทั้งสิ้น   ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องเลว” ...
   คำอธิบายนี้  ชัดเจนจนแทบจะไม่ต้องขยายความใดๆเพิ่มเติมอีกแล้ว ... 
   
ส่วนท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-ฮัยตะมีย์  ก็ได้กล่าวอธิบายไว้ในหนังสือ  “อัล-ฟะตาวีย์”  ของท่าน  ดังการอ้างอิงในหนังสือ  “อัล-อิบดาอฺ ฟี มะฎอรฺ อัล-อิบติดาอฺ”  หน้า  39  ว่า ...

     فَإِنَّ الْبِدْعَةَ الشَّرْعِيَّةَ ضَلاَلَةٌ !  كَمَاقَالَ رَسُوْلُ اللَّـهِ صَلَّى اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ،   وَمَنْ قَسَّمَهَا مِنَ الْعُلَمَاءِ إِلَى حَسَنٍ وَغَيْرِحَسَنٍ  فَإِنَّمَا قَسَّمَ الْبِدْعَةَ اللُّغَوِيَّةَ،   وَمَنْ قَالَ : كُلُّ بِدْعَةٍ ضَلاَلَةٌ ..  فَمَعْنَاهُ الْبِدْعَةُ الشَّرْعِيَّةُ ...                                                                           

“แน่นอน  สิ่งบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ (ทุกอย่าง) เป็นความหลงผิด ! ดังคำกล่าวของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม, ..  นักวิชาการท่านใดที่แบ่งมันออกเป็นบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือไม่ใช่บิดอะฮ์หะสะนะฮ์  ก็เป็นเพียงการแบ่งมันตามหลักภาษาเท่านั้น ..  และผู้ใดที่กล่าวว่า  ทุกๆบิดอะฮ์ เป็นความหลงผิด   ความหมายของเขาก็คือ  หมายถึงบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ” ...
   จะต้องให้อธิบายซ้ำอีกไหมครับ กับคำกล่าวของท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-ฮัยตะมีย์ข้างต้นนี้ ? ...
   คำกล่าวของท่านอิบนุ หะญัรฺ อัล-ฮัยตะมีย์   ถือว่า เป็นคำอธิบายที่ตรงประเด็นที่สุดในการจำแนกความเข้าใจอันสับสน --  แม้กระทั่งจากผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นนักวิชาการ --  ระหว่าง  “บิดอะฮ์ตามบทบัญญัติ และบิดอะฮ์ตามหลักภาษา” ..  จึงสมควรจะต้องจดจำคำกล่าวนี้ให้ขึ้นใจ  เพื่อความเข้าใจอันถูกต้องในเรื่องนี้ตลอดไป ...
   
(3).  ความเชื่อที่ว่า  “มีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือบิดอะฮ์ดี ในบทบัญญัติ”  ค้านกับคำกล่าวของท่านอิบนุ อุมัรฺ ร.ฎ. ..
ทั้งนี้  เพราะท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุอุมัรฺ ร.ฎ.  เศาะหาบะฮ์ผู้เคร่งครัดในซุนนะฮ์ที่สุดท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า ...

                             كُلُّ بِدْعَةٍ ضَلاَلَةٌ،  وَإِنْ رَآهَـا النَّاسُ حَسَنَةً ...

“ทุกๆบิดอะฮ์  คือความหลงผิด,   แม้มนุษย์จะเห็นว่า มันเป็นสิ่งดีก็ตาม”
(บันทึกโดย  ท่านอัล-บัยฮะกีย์ในหนังสือ  “المدخل إلى السنن الكبرى”  หมายเลข  191,   ท่านมุหัมมัด บิน นัศรฺ ในหนังสือ  “السنة”  หน้า  24,    และท่านอัล-ลาลิกาอีย์ในหนังสือ  “شَرْحُ اُصُوْلِ اعْتِقَادِ أَهْلِ السُّنَّةِ”  เล่มที่  1  หน้า  92) ...
คำว่า  “ทุกๆบิดอะฮ์ คือความหลงผิด”  ตามคำกล่าวของท่านอิบนุ อุมัรฺ ร.ฎ. ในที่นี้  หมายถึงบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติโดยปราศจากข้อสงสัย, ..  และคำกล่าวของท่านตอนหลังที่ว่า  “แม้มนุษย์จะเห็นว่า มันเป็นสิ่งดีก็ตาม”   แสดงว่า ท่านปฏิเสธและไม่ยอมรับว่า มีบิดอะฮ์ดีในบทบัญญัติอย่างเด็ดขาด ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งดีในมุมมองมนุษย์อย่างไรก็ตาม ...
(4).  ความเชื่อที่ว่า  “มีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์หรือบิดอะฮ์ดี ในบทบัญญัติ”  ค้านกับหะดีษของท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ...
ข้อนี้ ถือเป็น  “ตัวชี้ขาด”  ความผิดพลาดทั้งมวลของผู้ที่เข้าใจว่า  มีบิดอะฮ์ดีตามบทบัญญัติศาสนา  ทั้งนี้ เพราะท่านศาสดาได้เคยกล่าวไว้ในหลายๆวาระว่า ...

                                                كُلُّ بِدْعَةٍ ضَلاَ لَةٌ

“ทุกๆบิดอะฮ์  คือความหลงผิด” ...
และท่านยังเคยกล่าวเอาไว้อีกว่า ...

                                         إِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ اْلأُمُوْرِ،   فَإِنَّهَا ضَلاَلةَ ٌ!

“พวกท่านพึงระวังตนเองจาก สิ่งทั้งหลายที่ถูกอุตริขึ้นมาใหม่ (ในศาสนา)  เพราะว่า มันคือความหลงผิด” ...
            .....ฯลฯ .....
ท่านศาสดามุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม  มิได้ถูกส่งมาเพื่อสอน  “ภาษา”  แก่ผู้ใด,   แต่ท่านถูกส่งมา  เพื่อสอน  “บทบัญญัติศาสนา”  ของพระองค์อัลลอฮ์ ซ.บ. แก่มนุษยชาติทั้งมวล ...
เมื่อท่านกล่าวเตือนอุมมะฮ์ของท่านว่า  “ทุกๆบิดอะฮ์ คือความหลงผิด”  ท่านจึงย่อมหมายถึงสิ่งบิดอะฮ์  “ตามบทบัญญัติ”, ..  มิใช่บิดอะฮ์  “ตามหลักภาษา”  แน่นอน
และก็ไม่เคยมีรายงานหะดีษมาแม้แต่บทเดียวว่า  ท่านศาสดาจะเคยกล่าวยกย่องชมเชยสิ่งใดที่ถูกอุตริขึ้นมาใหม่ในศาสนาของท่านว่า  เป็นสิ่งที่ดี ! ...
ดังนั้น  ไม่ว่าจะมองในแง่มุมใดก็ตาม  ก็จะไม่พบคำว่า  “มีบิดอะฮ์ดี”  ในบทบัญญัติ  นอกจากทั้งหมด จะเป็น  “บิดอะฮ์ต้องห้าม”  เพียงสถานเดียว ...
คำว่า  “บิดอะฮ์ดี”  ที่มีกล่าวกันแพร่หลายมิใช่อื่นใด   แต่เป็นเพียงศัพท์เทคนิคตามหลักภาษาที่ใช้เรียกสิ่งดีๆ -- (ตาม  “มุมมอง”  ของมนุษย์, ..  ต่อสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นใหม่, ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางโลกหรือทางศาสนา) -- ว่าเป็น  บิดอะฮ์ดี (คือ การริเริ่ม,  การประดิษฐ์สิ่งใหม่ที่ดี) ..  แค่นั้นเอง ...

สรุปแล้ว  ผู้ใดก็ตาม, --  จะเป็นนักวิชาการระดับไหนก็ตาม --  ที่กล่าวในลักษณะว่า มีบิดอะฮ์ดีหรือบิดอะฮ์หะสะนะฮ์อยู่ในบทบัญญัติ   ก็พึงรู้เถิดว่า เขากำลัง  “สับสน"” กับความหมายของบิดอะฮ์ตามบทบัญญัติและความหมายบิดอะฮ์ตามหลักภาษา ...
และผู้ใดก็ตามที่กล่าวว่า  “มีบิดอะฮ์หะสะนะฮ์ (บิดอะฮ์ดี)ในบทบัญญัติ”   หากจะมองเพียงว่า  คำพูดของเขาไปค้านกับคำนิยามของคำว่า  “บิดอะฮ์ ชัรฺอียะฮ์”   ตามหลักวิชาอุศูลุลฟิกฮ์,   หรือไปค้านกับคำพูดของท่านอิบนุ หะญัรฺ ทั้งสองท่าน,   หรือไปค้านกับคำพูดของท่านอิบนุ อุมัรฺ ร.ฎ.ที่กล่าวมาข้างต้น  ..  เพียงแค่นั้น  ก็คงไม่สู้กระไรนักหรอก ...
ที่สำคัญ  คำพูดของเขาดังกล่าวไป  “คัดค้าน”  คำพูดของท่านรอซู้ลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัมที่บอกเขาว่า  “ทุกๆบิดอะฮ์ (ตามบทบัญญัติ) คือความหลงผิด” นี่สิ   มันเป็นเรื่องสาหัสสากรรจ์สำหรับมุสลิมที่มีอีหม่านทุกคนเหลือเกิน ...
เอาอย่างนี้กันดีไหม ? ...
ถ้าท่านมองว่า การจัดงานเมาลิดเป็นเรื่องดีตามบทบัญญัติ  ก็คงเหมือนกับท่านมองว่า  การอะซานในการนมาซวันอีด  ก็เป็นเรื่องดีตามบทบัญญัติเหมือนกัน ...
หรือถ้าท่านมองว่า การจัดงานเมาลิดเป็นสิ่งที่มีหลักฐาน  เพราะเป็นการกิยาสกับการทำอะกีเกาะฮ์ของท่านนบีย์,  ดังมุมมองของท่านอัส-สะยูฏีย์, ..  หรือเป็นการกิยาสกับการถือศีลอดวันอาชูรออ์ (วันที่ 10  เดือนมุหัรฺรอม) ของท่านนบีย์,  ดังมุมมองของท่านอิบนุหะญัรฺ อัล-อัสเกาะลานีย์ที่กำลังจะกล่าวถึงต่อไป    ก็เหมือนกับท่านมองว่า  การอะซานในการนมาซวันอีด ก็เป็นสิ่งที่มีหลักฐาน คือเป็นการ  “กิยาส”  มาจากการอะซานนมาซฟัรฺฎูห้าเวลา  ซึ่งไม่ผิดหลักการกิยาสตรงไหน ...   แถมยังมีหลักฐานจากอัล-กุรฺอ่านอีก    คือโองการในซูเราะฮ์ฟุศศิลัต  โองการที่  33  อันมีความหมายว่า ...  “และผู้ใดเล่าจะเลอเลิศที่สุดในด้านคำพูด  ยิ่งไปกว่าผู้ที่เรียกร้องเชิญชวนมาสู่อัลลอฮ์”
หรือท่านผู้ใดที่เคยกล่าวในลักษณะประชดประชันต่อผู้ที่ทักท้วงว่า การจัดงานเมาลิดเป็นบิดอะฮ์ต้องห้ามว่า ...  ก็ให้รู้ไปสิว่า การแสดงความรักต่อท่านนบีย์ด้วยการจัดงานเมาลิดฉลองวันเกิดให้ท่าน  จะเป็นความหลงผิด,  จะเป็นบาป,  และจะต้องตกนรก ! ... ก็คงเหมือนกับท่านกล่าวแบบประชดประชันต่อผู้ที่ทักท้วงท่านว่า  การอะซานเพื่อนมาซอีดเป็นบิดอะฮ์ต้องห้าม  ว่า ... ก็ให้มันรู้ไปสิว่า การอะซานเพื่อเรียกคนมานมาซอีด  จะเป็นความหลงผิด,  เป็นบาป,  และจะต้องตกนรก ! ...
เพราะฉะนั้น ถ้าแน่จริง   ก็ให้ท่านลองอะซาน เรียกร้องคนมานมาซวันอีดดูบ้างเป็นไร, ...  จะเป็นวันอีดิลฟิฏริ,  หรืออีดิลอัฎหาอ์,  หรือทั้งสองอีดก็ได้ ...  ด้วยเหตุผลความ  “เหมือน”  ระหว่างการจัดงานเมาลิดกับการอะซานเพื่อนมาซวันอีดดังข้างต้น ...
ท่านจะกล้าไม๊ล่ะ ? ...
ถ้าท่านกล้า  เราก็พร้อมแล้วที่จะทำ,  และยอมรับ – เหมือนท่าน – ว่า การจัดงานเมาลิด  เป็นบิดอะฮ์ดีที่ถูกต้องตามบทบัญญัติ ...
แต่ถ้าท่านไม่กล้า   ท่านก็ต้องหาคำตอบมาให้ได้ว่า   การจัดงานเมาลิดฉลองวันเกิดให้ท่านนบีย์ กับการอะซานเพื่อเรียกคนมานมาซวันอีด  มันแตกต่างกันตรงไหน ? ..
เรามั่นใจว่า  ท่านไม่มีคำตอบอื่นใดนอกจากการกล่าวว่า  ที่ท่านไม่กล้า  ก็เพราะการอะซานเพื่อเรียกคนมานมาซวันอีด เป็นบิดอะฮ์ต้องห้ามตามบทบัญญัติ   เนื่องจากไม่เคยมีแบบอย่างมาก่อนจากท่านนบีย์และเศาะหาบะฮ์ของท่าน ...
ก็เหตุผลอย่างเดียวกันนี่แหละ – หากท่านกล้าหาญพอที่จะรับความจริง – ที่ท่านจะต้องนำมันไปใช้กับการจัดงานเมาลิดของท่านว่า  มันเป็นบิดอะฮ์ต้องห้ามตามบทบัญญัติ  เพราะไม่เคยมีแบบอย่างมาจากท่านนบีย์และเศาะหาบะฮ์ของท่าน ...
ขอถามย้ำอีกครั้งว่า  ทั้งสองกรณีนี้มันแตกต่างกันตรงไหน  ท่านจึงมาจำแนกว่า การจัดงานเมาลิด เป็นบิดอะฮ์ดี (หะสะนะฮ์) ตามบทบัญญัติ ท่านจึงกล้าทำ ... แต่ขณะเดียวกัน ท่านกลับมองว่า การอะซานในการนมาซวันอีด เป็นบิดอะฮ์ต้องห้ามตามบทบัญญัติ ท่านจึงไม่กล้าทำ ? ...
ผมคิดว่า  เรื่องนี้หากท่านไปถามผู้ที่กล้าพูดความจริง เขาก็คงจะตอบท่านแบบชัดถ้อยชัดคำและไม่เกรงใจท่านเลยว่า ..   การทำเมาลิดและการอะซานในการนมาซวันอีด  ถ้าคุณมองตาม  “หลักภาษา”   มันก็เป็น เป็นบิดอะฮ์ดี (หะสะนะฮ์) ทั้งคู่นั่นแหละ .. 
แต่ขณะเดียวกัน  ถ้าคุณมองตาม  “บทบัญญัติ”  มันก็เป็นก็เป็นบิดอะฮ์ต้องห้าม (เฎาะลาละฮ์) ทั้งคู่เหมือนกันอีกนั่นแหละ  (วะ) ...
            
วัลลอฮุ อะอฺลัม.
 
(2).  การทำเมาลิด มี  أَصْلٌ ..  คือมีพื้นฐานที่มาตามหลักการศาสนา
ท่านอัส-สะยูฏีย์  ได้กล่าวในหนังสือข้างต้น ซึ่งรวมชุดอยู่ในหนังสือ  “อัล-หาวีย์ ลิ้ล ฟะตาวีย์”  เล่มที่  1  หน้า  296  ว่า ...

   إِنَّ الطَّلَبَ فِى الْمَنْدُوْبِ  تَارَةً يَكُوْنُ بِالنَّصِّ وَتَارَةً يَكُوْنُ بِالْقِيَاسِ،  وَهَذَا إِنْ لَمْ يَرِدْ فِيْهِ نَصٌّ فَفِيْهِ الْقِيَاسُ عَلَىاْلأَصْلَيْنِ اْلآتِىْ ذِكْرُهُمَا ...

   “แท้จริง  หลักการของสิ่ง  مَنْدُوْبٌ  หรือ  “สิ่งที่ถูกส่งเสริมให้ทำ”  นั้น  บางครั้งจะเป็นการส่งเสริมให้ทำด้วยหลักฐานที่ชัดเจน,    และบางครั้งก็จะด้วยการอนุมานเปรียบเทียบ (กิยาสกับหลักฐานอื่น) ..  ซึ่งในกรณีนี้ (คือ การส่งเสริมให้จัดงานเมาลิด)  แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจน  แต่ก็เป็นการ  “กิยาส”  กับพื้นฐาน 2 ประการที่จะกล่าวถึงต่อไป ....”


 salam
ค่อยมาต่ออีกนะคับ
رَبَّنَا فَاغْفِرْ لَنَا ذُنُوبَنَا وَكَفِّرْ عَنَّا سَيِّئَاتِنَا وَتَوَفَّنَا مَعَ الْأَبْرَارِ

ออฟไลน์ Andalus

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1131
  • เพศ: ชาย
  • บ่าวผู้ต่ำต้อย
  • Respect: +27
    • ดูรายละเอียด
Re: และแล้วก็เป็นปัญหา(ตอนปัญหาการทำเมาลิด)
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ต.ค. 18, 2009, 09:01 PM »
0
ขอเสนอโหลดไปฟังก่อน
แล้วค่อยมาต่อกันที่หลัง
จะได้ไม่เสียเวลาพิมกัน

เมาลิดเป็นบิดอะฮฺจิงหรือ? และบิดอะฮฺตามนักวิชาการว่าไว้อย่างไร?  อ รอฟิก  ชมเผ่า

 http://www.sunnahstudents.com/forum/index.php?topic=4894.msg48598#msg48598
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ต.ค. 18, 2009, 09:10 PM โดย eno »
"โอ้ อัลลอฮฺ ผู้ทรงทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงได้ ขอพระองค์ทรงให้หัวใจของฉันแน่นแฟ้นอยู่บนศาสนา(อิสลาม)ของพระองค์ด้วยเถิด "

ออฟไลน์ multi

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 413
  • Respect: +7
    • ดูรายละเอียด
Re: และแล้วก็เป็นปัญหา(ตอนปัญหาการทำเมาลิด)
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ต.ค. 19, 2009, 09:21 AM »
0
คนที่ ไม่อยากจะซอลาวัต ท่านนบี ก็ปล่อยเข่าไป ส่วนคนที่ทำอยู่ก็เป็นการดีครับ

ออฟไลน์ anti-bid'ah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 839
  • ไม่รู้ อย่าเสือกชี้
  • Respect: +29
    • ดูรายละเอียด
Re: และแล้วก็เป็นปัญหา(ตอนปัญหาการทำเมาลิด)
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ต.ค. 19, 2009, 05:07 PM »
0
คนที่ ไม่อยากจะซอลาวัต ท่านนบี ก็ปล่อยเข่าไป ส่วนคนที่ทำอยู่ก็เป็นการดีครับ


 salam  ใช่ก้าบ  เมื่อเราร่วมรำลึกถึงความดีของนบี  มีบางพวกที่กล่าวว่าเรา  ซึ่งพวกนี้อาจไม่อินังขังขอบกับการมีนบีนะก้าบ
อย่าปล่อยเขาให้ลอยนวน(เราต้องชี้แจง)
رَبَّنَا فَاغْفِرْ لَنَا ذُنُوبَنَا وَكَفِّرْ عَنَّا سَيِّئَاتِنَا وَتَوَفَّنَا مَعَ الْأَبْرَارِ

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
Re: และแล้วก็เป็นปัญหา(ตอนปัญหาการทำเมาลิด)
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ต.ค. 19, 2009, 06:46 PM »
0


 salam  ใช่ก้าบ  เมื่อเราร่วมรำลึกถึงความดีของนบี  มีบางพวกที่กล่าวว่าเรา  ซึ่งพวกนี้อาจไม่อินังขังขอบกับการมีนบีนะก้าบ
อย่าปล่อยเขาให้ลอยนวน(เราต้องชี้แจง)


ไม่ใช่ไม่อินังขังขอบ (ไม่เอาใจใส่) ต่อการมีนบีหรอก
แค่เขามองต่างกันตรงวิธีการ และต่อต้านความเป็นมาของเมาลิดมากกว่า
ผู้ที่สามารถชี้แจงได้เขาก็ได้ชี้แจงไปหมดแล้ว
อยู่ที่เขาจะยอมรับการทำเมาลิดหรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่อง

 

GoogleTagged