ผู้เขียน หัวข้อ: ใครบ้างที่เคยเป็นวาฮาบีแล้วกลับใจมาอยู่ในมัสหับทั้ง4  (อ่าน 17082 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

little cat

  • บุคคลทั่วไป
ง่า แบบว่า น้องๆสงสารรุ่นพี่เห๊อะ ;D

subson

  • บุคคลทั่วไป


                 เด๋วไปโน๊นเลย             " ใครบ้างอยากกินพริกแล้วกลับใจ... "           

พริกเป็นผลไม้ที่ไม่กลัวใคร ขนาดกษัตกินก็ยังเผ็ด  มันไม่กลัวบารมีใครจิง ทั้งที่กษัตรู้จักมันมาหลายปี มันก็ไม่สน

ทำตัวเหมือนพริกก็ดีไปอีกแบบ   ประมานว่าอย่ามายุ่ง  ถ้ายุ่งเด๋วเผ็ด  ไม่ยุ่งไม่มีผล ยิ่งเคี้ยวเล่นๆ นานๆ ยิ่งรุ้สึก

ออฟไลน์ rayes

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 628
  • Respect: +18
    • ดูรายละเอียด
    • บล็อกผมเอง หุหุ

สงวนพันธุ์ใว้บ้างเด่วหมด ต่อลูกกหลานจะได้เห็นตัวเป็นๆ hihi:

little cat

  • บุคคลทั่วไป


                 เด๋วไปโน๊นเลย             " ใครบ้างอยากกินพริกแล้วกลับใจ... "           

พริกเป็นผลไม้ที่ไม่กลัวใคร ขนาดกษัตกินก็ยังเผ็ด  มันไม่กลัวบารมีใครจิง ทั้งที่กษัตรู้จักมันมาหลายปี มันก็ไม่สน

ทำตัวเหมือนพริกก็ดีไปอีกแบบ   ประมานว่าอย่ามายุ่ง  ถ้ายุ่งเด๋วเผ็ด  ไม่ยุ่งไม่มีผล ยิ่งเคี้ยวเล่นๆ นานๆ ยิ่งรุ้สึก


 natural:

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
กูว่าโค่นต้นพริกแ...งเลยนิ
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

subson

  • บุคคลทั่วไป

ชี้แจงมาซิครับ ว่าผมสร้างฟิตนะตรงไหนอีก

สำหรับเรื่องการกิยาสผมจะนำเสนอช่วงต่อไปครับว่าวาฮาบีปฏิเสธการกิยาสจริงหรือไม่    frown

รออ่านต่อไป  แล้วผมจะแก้ต่างเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 07, 2009, 08:44 PM โดย สับสน »

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

subson

  • บุคคลทั่วไป
แล้วอิลฮัม ไม่คิดจะถามหาหลักฐาน จากอัลอุมหรือ  ว่าท่านนบีรู้จักอีหม่ามทั้ง4ตั้งแต่ตอนหนัย ถึงได้กล้ากล่าวว่า

"รวมทั้งการเอียะติกอด การมีตะเซาวุฟ หลักการฟิกฮ์ของมัสหับทั้ง4   กลุ่มนี้แหละที่ได้เข้าสวรรค์ที่ไม่ถูกสอบสวนเลย"


นี่มันหนังการ์ตูน หลอกเด็ก  แต่เด็กบางคนเต็มใจให้หลอก  ผมคิดว่าทุกๆเว็บเพลาลงบ้างแล้วกับเรื่องแบบนี้ แต่อัลอุมก็ยังไม่เลิก ผม มาสกิด  ผิดด้วยหรือ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 07, 2009, 08:56 PM โดย สับสน »

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
มาสะกิดไม่ผิดหรอก แต่ที่ว่าเต็มใจให้หลอกนั้น แสดงว่าอัลอุมกำลังหลอก ผมกำลังถูกหลอก อย่างนั้นหรือ
ไม่ได้เต็มใจให้หลอกหรอก แต่ไว้ใจและเชื่อมั่นบนเขาต่างหาก
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ al-ciddix

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 93
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
 salam
บังal-um(อันอุม) เขาหายไปไหนนานแล้วน้า..คงน้อยใจบังกอดาดแน่เลย...เห็นหายเงียบไปเลย...

ตกลงในเวปนี้ไม่มีใครเสวนากับวาฮัจบีแทน.บังal-um สักคนเลยหรอ.... ;D..เส้ราใจมาก... yippy:

ถามท่านผู้รู้คับว่า ฮาดิษนี้ซอหิหรือดออีฟ
ฮ่าดิสทีท่าน หญิงอาอิชะฮฺเล่าว่า " كان رسول الله صلى الله عليه وسلم يتوضأ ثم يقبل ويصلي و لا يتوضأ " ความว่า "ท่านรสูลุลลอฮฺอาบน้ำนมาซ จากนั้นท่านรสูลก็จูบ (ภรรยาบางคนของท่าน) ต่อมาท่านรสูลก็นมาซโดยมิได้อาบน้ำนมาซ (ใหม่)"

เพราะผมดูในทัศนะของอีม่ามชาฟีที่บังal-azharyเสวนาที่เวปมุสลิมไทยดอดคอมนั้น บังบอกว่..ฮาดิสนี้ดออีฟและคนรายงานนั้นผิดพลาดโดยเพิ่มคำว่า ในขณะที่ท่านรอซุลกำลังถือศีลอดอยู่..
ตกลงยังไงครับ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 07, 2009, 10:10 PM โดย al-ciddix »

ออฟไลน์ sufriyan

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 526
  • เพศ: ชาย
  • 0000
  • Respect: +16
    • ดูรายละเอียด
 salam
เห็นอาจารย์อัลฯอยู่นะ จะตอบเองหรือปล่าว

คอยต่อ


วัสลาม

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
salam
บังal-um(อันอุม) เขาหายไปไหนนานแล้วน้า..คงน้อยใจบังกอดาดแน่เลย...เห็นหายเงียบไปเลย...

ตกลงในเวปนี้ไม่มีใครเสวนากับวาฮัจบีแทน.บังal-um สักคนเลยหรอ.... ;D..เส้ราใจมาก... yippy:

ถามท่านผู้รู้คับว่า ฮาดิษนี้ซอหิหรือดออีฟ
ฮ่าดิสทีท่าน หญิงอาอิชะฮฺเล่าว่า " كان رسول الله صلى الله عليه وسلم يتوضأ ثم يقبل ويصلي و لا يتوضأ " ความว่า "ท่านรสูลุลลอฮฺอาบน้ำนมาซ จากนั้นท่านรสูลก็จูบ (ภรรยาบางคนของท่าน) ต่อมาท่านรสูลก็นมาซโดยมิได้อาบน้ำนมาซ (ใหม่)"

เพราะผมดูในทัศนะของอีม่ามชาฟีที่บังal-azharyเสวนาที่เวปมุสลิมไทยดอดคอมนั้น บังบอกว่..ฮาดิสนี้ดออีฟและคนรายงานนั้นผิดพลาดโดยเพิ่มคำว่า ในขณะที่ท่านรอซุลกำลังถือศีลอดอยู่..
ตกลงยังไงครับ...


เรื่องนี้เคยมีการเสวนากันแล้ว ลองหากระทู้เก่าๆดู

เรื่องศาสนาบางทีเราไม่ต้องไปคิดให้ปวดหัวมาก

อุลามาอฺเขาคิดให้เราแล้ว  ฮะดีษเหล่านี้ผ่านการวิเคราะมาหมดแล้ว แม้กระทั้งหะดีษนบีละหมาดแล้วแตะเท้าท่านหญิงอาอิชะฮฺก็ตาม

 ตามไปอย่างเดียวก็พอ ว่าสัมผัสหญิงเสียน้ำละหมาด
นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

ออฟไลน์ Goddut

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 854
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
ขอมาจัดให้ (ไม่ขอก็จัดให้)  หากจะถามหาหลักฐานให้ไปถามในเว็บมรดก  เพราะผมไม่ถนัด  และไม่อยากฉายซ้ำๆ เหมือนหนังแม่นาค

ผมจะคุยด้วยเหตุผล จากมุมมองของผมเอง

1.เรื่องฮาดิษฎออีฟนั้น เพราะมันคลุมเคลือว่าเป็นคำพูดของท่านนบีรึเปล่า  ถ้าไม่ใช่  ก็ให้ย้อนไปดูฮาดิษที่ท่านนบีบอกว่า "ใครโกหกต่อฉัน จงเตรียมที่นั่งในนรก"

นั่นก้คือ หากไม่ใช่คำพูดของท่าน แล้วเรามาหลอกชาวบ้านว่าท่านพูด ก็จงระวังซะ เจ้ากำลังโกหกต่อท่านนบี   อีกทั้งมีฮาดิษที่บอกว่าให้ละทิ้งสิ่งคลุมเครือ มันคลุมเคลือ สำหรับผม ผมก็ขอทิ้งมันไป หากคุนจะทำก็เชิญ แต่หากคนที่ผมรักทำผมจะห้าม

2.เรื่องละหมาด ที่คุนกล่าวว่า"แต่ทำไมวาฮาบี ยืนยันว่า การละหมาดตารอวิ มีแค่11รอกาอัตเท่านั้น ที่เป็นซุนนะ"  อันนี้ชัดเจนเลยว่าคุนฟิตนะ โกหกกลางแจ้ง

วาฮาบีไม่ได้บอกว่าแค่11 ที่เป็นซุนนะ แต่บอกว่าทั้ง11และ20 เป็นซุนนะทั้งคู่ เพราะ20มาจากคอลีฟะอุมัรซึ่งเป็นคอลีฟะรอซีดีน  ท่านนบีก็เคยสั่งไว้ในหลายบทไม่ว่าจะเป็นบทที่ว่า"หลังจากฉันจงตามอบูบักรและอุมัร" หรือ "หลังจากฉันจงตามคอลีฟะรอซีดีน"  ส่วนสำเนียงตัวบทคุนก็ไปค้นเอาเอง คิดว่าหลายๆคนเคยได้ยิน  ดังนั้นจึงยอมรับว่า20ก็เป็นซุนนะ ไม่ใช่บิดอะ  แต่เขาเลือกที่จะทำ11 ด้วยเหตุผลจากการตีความของฮาดิษ ท่านหญิงอาอีชะ+ฮาดิษรายงานโดยตีรมีซี  การตีความต่างกันมีตั้งแต่สมัยท่านนบี แล้วคุนจะมาบังคับให้ตีความเหมือนกันได้อย่างไร 

3.เรื่องการอ่านอัลกุรอาน ผมไม่มีข้อมูล นอกจากข้อคิดเห้นที่ว่า อัลกุรอานเป็นทางนำกับมนุษชาติ  ไม่ใช่เป็นทางนำให้กับศพ การงานจะขาดสะบั้นนอกจาก3อย่าง แต่ใน3อย่างนั้นผมไม่เห็นว่ามีข้อที่ระบุว่าให้อ่านอัลกุรอานให้ผู้ตาย ยกเว้นกรณีลูกๆทำดี ซึ่งอาจจะรวมถึงอ่านอัลกุรอาน ไม่ใช่จ้างให้คนอื่นมาตัลกีน

4. ไม่ว่าอีหม่ามทั้ง4จะฟัตวาอย่างไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฏและบทบัญญัติของผู้สร้างได้  แล้วลองค้นไปดูคำพูดของอีหม่ามแต่ละคน ว่าเขาพูดอย่างไร เช่น อีหม่ามฮานาฟีบอกว่า ไม่อณุญาติให้ตักลีดตามฉันถ้าไม่รู้ที่มาว่าฉันเอาหลักฐานมาจากหนัย ประมาณนี้อ่ะ แล้วคนอื่นๆก็พูดสื่อความหมายประมานนี้เช่นกันลองค้นดู

ผมขอชี้แจงนิดนึงนะครับ ตรงนี้
1. เรื่องฮะดิส ดออีฟ เราคลุมเครือจริงๆ แต่... !! ฮะดิสพวกนั้นไม่ได้เป็นการโกหก ต่อท่านนบี ไม่ใช่ฮะดิสกุ เรื่องนี้ถือว่าเป็นการเลยเถิดต่อการกระทำฮะดิส
เพราะ ฮะดิส ดออีฟ มีหลายระดับ และส่วนมากนั้น ที่ทางสายมัซฮับใช้อยู่ คือฮะดิสดออีฟ ที่อยู่ในระดับยอมรับได้  ฮะดิสเหล่านั้นไม่สามารถกล่าวได้ว่าเป็น เมาดัวะ
ดังนั้นใครก็ตาม ที่พยายามจะทำให้ระดับของมันกลายเป็นเช่นเดียวกับเมาดัวะนั้น ( โดยที่เขากล่าวว่ามันดออีฟ ) พวกเขานั้นแหละที่ทำบิดอะเสียเอง
ทั้งนี้ ในสายมัซฮับทั้ง 4 นั้น เราเลือกที่จะนำฮะดิสดออีฟ มาปฎิบัติได้ในเรื่องคุณงามความดี เป็นสุนัตเพิ่มเติม ( ฟะดออิลลุลอมาล ) เช่น การละหมาดฮายัต เป็นต้น

2.วะฮะบี ยืนยันว่า ละหมาดวิเตรมีแค่ 11 ร๊อกอัตจริงๆ ครับ โดยหมายถึง การละหมาดในรอมฎอน ก็จะมีวิเตร แค่ 3 อีกด้วย
เพราะพวกเขาใช้หลักฐานที่ว่า "นบีนั้นไม่เคยละหมาดยามค่ำคืนมากกว่า 11 ร๊อกอัต" ( หมายถึงสุนัต )
แต่สาเหตุที่แท้จริง เมื่อเขากล่าวว่า ท่านนบีทำเพียง 11 และกล่าวว่า อิบนุอุมัร นั้นทำ 20 ( ฮะดิสท่านอุมัรเขากล่าวว่า ดออีฟ )
ไม่มีอุลามะ ท่านได้ กล้ากล่าวว่า "ละหมาด 11 ร๊อกอัต ประเสริฐกว่า 20 ร๊อกอัต" แต่สิ่งที่เขากล่าวนั้น เขากล่าวว่า "การละหมาด 11 ร๊อกอัตนั้นนบีทำ และ 20 ร๊อกอัตนั้นนบีไม่ได้ทำ"
ดังนั้น นี้เป็นการอ้างนบี อย่างชัดเจน เพราะพวกเขา (อุลามะ) ของพวกเขาไม่มีใครกล้าว่า อิบนุอุมัร หรือแม้แต่ อุมัร
แต่เป็นที่น่ารังเกียจ ที่พวกเขากลับอ้าง ถึงท่านนบี โดยตรง ไม่ผ่านทั้งอุลามะ คนใด แม้ใน 4 มัซฮับ ด้วยซ้ำไป โดยพวกเขากล่าวอ้างว่า "นบีทำ" และเหมือนเป็นการเกทับว่า นบีกับซอฮาบะจะตามใคร ? <<< แบบนี้เหมาะสมหรือ ?
ซึ่งเป็นประโยคขายฝัน ตามสโลแกน "เราตามนบี ไม่ตามมัซฮับ" และเราขอกล่าวตรงนี้ว่า การพูดเช่นนี้ของเขา ก็เหมือนเป็นคำสอนดออีฟ เพราะขาดสายรายงานเช่นกัน
อันเนื่องมาจาก เขานั้นไม่เคยเจอนบี เขานั้นไม่เคยเจอซอฮาบะ ไม่เคยเจอตาบีอีน ไม่เคยเจอตาบีอิตตาอีน เหมือนอย่าง 4 มัซฮับใหญ่ด้วยซ้ำ จึงหมายถึงคำสอนของเขานั้นไม่ครบถ้วนตามการสืบสายแต่อย่าง
และการที่พวกเขาอ้างถึงนบีเลย เช่นนี้จึงเป็นคำสอนที่ ดออีฟ อย่างแน่นอน และเราขอกล่าวว่า สุนัตนั้น จะละหมาด 2 4 6 8 10 12 14 16 18 20 ก็ตามใจเพราะเป็นสุนัตไม่ใช่วายิบ แต่สุนัตที่ครบถ้วนสมบูรณ์คือ 20 ร๊อกอัต และประเสริฐกว่า ละหมาด 8 ร๊อกอัต แน่นอน

3. การอ่านอัลกรุอาน ตรงนี้ แน่นอนว่า สามอย่างที่เขาได้ทำในดุนยานั้นถึงแน่นอน แต่ทว่า การกล่าวว่า การทำบุญที่อุทิศส่วนกุศลนั้นไม่ถึงผู้ตายเลยนั้นไม่ได้
เราอย่าลืมฮะดิส ที่ท่านนบีใช้ให้เราสลามที่กุโบร ว่า "อัสลามมุอะลัยกุ้มอยาลันกุโบร" คำว่าอัสลาม มีความหมายคือ การแสดงการอวยพร เป็นหนึ่งในดุอา ชนิดหนึ่ง
และตัวฮะดิสมากมาย ให้เราใช้ทักทายพี่น้องในกุโบรอีก ซึ่งหมายถึง การทักทายเหล่านี้นั้น ตามทรรศนะอุลามะ ได้หมายถึง บุคคลในกุโบรนั้น บางครั้งก็ได้ยินเรา และบางครั้งก็ไม่ได้ยินเรา
จากฮะดิสบทหนึ่ง ที่เล่าว่า "มะยัตจะได้ยินแม้กระทั่งเสียงฝีเท้าของผู้เดินมาส่งเขาที่กุโบร และจากเขาไป" จากฮะดิสบทนี้ เป็นไปได้ว่าการที่เราอ่านหรือถ่ายทอดบางอย่างนั้น มิใช่ว่าพวกเขา(ในกุโบร) จะไม่ได้รับรู้เสียทีเดียว

อีกทั้ง ในตัวบทฮะดิส ที่กล่าวว่า "การงานของเขาจะขาดตอน ยกเว้นสามสิ่ง..." ตรงนี้ เราขอกล่าวว่า คำว่าการงานของเขา นั้นหมายถึงของเขาเอง มิใช่ของผู้อื่น
เช่น หากเราละหมาดในดุนยา เมื่อเราตายไปเราก็ละหมาดไม่ได้อีก และการอธิบายสามสิ่งเช่น การสร้างมัสยิด อันหมายถึงเมื่อเขาตายนั้น หากมีคนมาที่มัสยิดและทำการละหมาดก็จะเป็นผลบุญส่วนนึงที่เขาจะได้รับ
เช่นเดียวกัน การให้ความรู้ผู้อื่นนั้น เมื่อเขาจากดุนยาไป แต่ความรู้ของเขาได้สอนลูกสอนหลาน เขาก็ได้ผลบุญเพิ่มพูนยิ่งขึ้น ( ยกตัวอย่าง เทปครูแอล )
แต่... คำว่าการงานของเขา ไม่ได้หมายถึง การงานของคนอื่น ซึ่งก็อธิบายได้ว่า การงานของน้องชายเขา พ่อเขา พี่ชายเขา หรือใครก็ตามที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น การงานเหล่านั้นยังคงทำได้อยู่
อันหมายถึงว่า แม้งานที่เขาจะไม่สามารถทำได้ในดุนยาแล้ว ( เนื่องจากอยู่ในกุโบร ) แต่ผู้ที่ทำให้เขานั้น เขาก็ย่อมได้รับ
ดังฮะดิสใจความว่า "แม่ของฉันได้ทำการนะซาดไว้ แต่ท่านได้เสียชีวิตไปเสียก่อน ฉันจะทำเช่นไร ? ( นางถามต่อท่านร่อซู้ล )" ท่านตอบว่า "งั้นก็จงทำตามที่แม่ของเจ้าได้นะซาดไว้เถิด"
ฮะดิสนี้ หมายถึง การทำการนะซาดนั้นจะทำแทนกันได้ และแน่นอนมันจำเป็นต้องใช้ แล้วหากต้องใช้ก็ต้องหมายถึงว่า การใช้นั้นถูกนับหรือถึงแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วแน่นอน
จริงที่ว่า การกระทำของลูกนั้นถึงบุพการีของเขา และมันก็จึงเป็นการงานที่เขาได้ริเริ่มทำไว้ก่อน ซึ่งตรงกับฮะดิสที่หมายถึง การงานของเขาจะหยุดลง ( คือไม่สามารถมีลูกเพิ่มได้อีก )
และฮุก่มของมันในเรื่องนี้ ก็คือการชดใช้ ซึ่งหากลูกของนางใช้ให้ไม่ได้ ก็เป็นบุคคลอันเป็นเครือญาติต่างๆ ที่ต้องรับผิดชอบ ต่อๆ กันไป
หรือเช่น การชดใช้หนี้สิน ที่เรานั้นเห็นกันอยู่ หรือการให้มะอัฟ ( อภัยกัน ) ก่อนจะนำมะยัตนั้นฝังลงในผืนดิน โดยที่พวกเขานั้นไม่ได้พูดคุย ไม่ได้รับการชำระหนี้สินจากมะยัตแล้ว
ดังนั้น การที่ผู้อื่นมาชดใช้ให้กับเขา มันจึงทำได้ และแน่นอนเมื่อทำได้ ก็คือถึงผู้ที่ล่วงลับไปแน่นอน

ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง การที่เรากล่าวว่า ถ้าการขอดุอาให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนั้นทำไม่ได้ เราก็คงไม่มีการซอละวาตนบี ต่างๆ จนถึงนบีมูฮัมหมัด ซอลลัลลอฮฺอะลัยฮวะซัลลัม
หรือการที่เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลนั้น จะไม่ถึงได้อย่างไรหากว่า การกระทำเหล่านั้นจะไม่ถึง เราก็ยังไม่จำเป็นต้อง กล่าวซอละวาตนบีก่อนขอดุอา อันเป็นเรื่องบทนำ ( มารยาท ) ในการขอดุอาด้วยส่วนนึง
หากเราแก้ต่างว่า เพราะนั่นคือนบี เราก็จะขอตอบว่า นบีก็คือมนุษย์ และพระองค์นั้นทรงยุติธรรม ดังนั้นการที่เราดุอาให้กับท่านนบีได้นั้น ก็ย่อมหมายถึงการดุอาให้กับผู้อื่นนั้นก็ได้เช่นกัน

จริงๆ เรื่องอุทิศส่วนกุศลนี้เยอะมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ และหลักฐานนั้นมีเป็นสิบๆ บท ทั้งจากอัลกรุอาน และฮะดิสด้วย อันนี้เพียงยกมาให้ได้ทำความเข้าใจส่วนนึงจากร้อยส่วนก็ไม่ปาน

4. คำว่า ตักลีด คือ หลับหูหลับตาตาม ตามแบบตาบอด หมายถึง การตามโดยไม่รู้ที่มาที่ไป
เช่น การละหมาดไม่อ่านบัสมะละ หากกล่าวว่า ฉันมีแนวทางแบบนี้ ( โดยไม่ยอมรู้ว่าหลักฐานมาจากไหน ) นี่แหละคือการตักลีด
หากกล่าวถึงการหลับตา นั้นจะอธิบายได้ว่า เรานั้นมีทางเดินอยู่หนึ่งทาง แล้วเรานั้นมีสายเชือกให้เราเดินตามสายเชือกนั้นๆ อยู่
แต่การหลับตา ก็จะหมายถึง เขานั้นเอาผ้าปิดตา หรือหลับตา ของเขา แล้วเดินคลำไปตามเชือก โดยที่เขานั้นไม่ยอมลืมตา และไม่พยายามจะรู้ว่า ทางที่เขาเดินนั้นเป็นทางเช่นใด
ดังนั้น หากเขารู้ว่าเขานั้นเดินทางไปในทางใด เฉกเช่นเขาเลือกทรรศนะ แล้วเขานั้นรู้หลักฐานของมันแล้ว เรื่องนั้นแหละมันจึงถูกยกไปสู่เรื่องของปัญญา ซึ่งก็แล้วแต่ว่าพระองค์จะทรงให้เขานั้นเข้าใจในทิศทางใด

ขอเพียงบริสุทธิ์ใจจริงๆ ต่อพระองค์
การงานทุกอย่างที่เราเลือกก็จะไม่หลงทาง แน่นอน
อินชาอัลลอฮฺ
วัลลอฮฺอะลัม
วัสลาม...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 09, 2009, 10:16 AM โดย Goddut »

ออฟไลน์ Al-Ainawi

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 53
  • เพศ: ชาย
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 salam

พูดถึงละหมาดตะรอวิห ผมไม่เคยเหนวะฮาบีละหมาด 20 เลย

พอผมถามผู้รู้คนนึงในพวกเขา เขาตอบว่าจะตามนบีหรือจะตามอุมัร  sad:

step 2 step เลย
ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลกนี้ เว้นเเต่ต้องสรรเสริญอัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
เเต่สูเจ้าตั่งหากที่ไม่เข้าใจมัน

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
พูดเหมือนพี่ชายของอาหญิงลูกของย่าผมเลย
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

GoogleTagged