บิ๊กแบง หลุมดำ อนุภาคพระเจ้า
ความลับจักรวาลกับความ (รู้) อยู่รอดของมนุษยชาติ ?
คอลัมน์ AROUND THE WORLD
โดย เกด-ริน
ข่าวการตัดริบบิ้นเดินเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (LHC)
โดยองค์กรวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป (CERN) เป็นครั้งแรก
ในวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา...
สร้างความตื่นเต้นไม่เฉพาะกลุ่มคนในแวดวงวิทยาศาสตร์
ไม่ใช่แค่คำโฆษณาว่าเจ้าเครื่องนี่ทรงพลังที่สุดในโลก !
(พลังงานมากกว่าเครื่องเร่งอนุภาคที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ถึง 7 เท่า)
ไม่ใช่เพราะใช้กองทัพนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และช่างเทคนิคระดับหัวกะทิ
ถึง 5,000 คนจากหลายสิบประเทศ !
และไม่ใช่เพราะงานนี้สหภาพยุโรปใช้เงินลงขันกัน 5.46 พันล้านดอลลาร์ !
แต่ความตื่นเต้นปนตื่นตระหนกนั้น เพราะหลายคนกังวล "ผล" จากการทดลอง
ที่อาจเป็นปฐมบทของ "หลุมดำ" โมเดลกำเนิดจักรวาลที่ว่ากันว่า
มีอานุภาพกลืนกินโลกทั้งใบได้สบายๆ !!!
แฟลชแบ็กกลับไปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11-15...
สมัยที่ "ความรู้" เชิงวิทยาศาสตร์ถูกบีบให้ตีบตันมากที่สุด นั่นคือ "ยุคกลาง"
ช่วงต้นยุคกลาง ศาสนจักรเข้ามามีอิทธิพลกับการแสวงหาความรู้
ในเชิงวิทยาศาสตร์ มีการต่อต้านความคิดเชิงวิทยาศาสตร์
จากกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางศาสนา เน้น "ความเชื่อ"
มากกว่า "การทดลองและพิสูจน์ข้อเท็จจริง"
พูดได้ว่า เวลานั้นวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถแยกออกจากปรัชญาได้
เนื่องจากคนทั่วไปยังมีทัศนคติที่ว่า วิทยาศาสตร์ต้องอาศัยความรู้ความสามารถ
ทางสติปัญญาในการคิดหาเหตุผลมากกว่าการลงมือทดลอง
มิหนำซ้ำวิธีการเข้าถึงความรู้ยังไม่มีหลักเกณฑ์เท่าที่ควร
ความรู้ที่ได้จึงค่อนข้างคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
ที่สำคัญ การแสวงหาความรู้ยังถูกจำกัดภายใต้กรอบที่ว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเจตจำนงของพระเจ้า
จึงไม่แปลกที่การค้นพบและเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ในขณะนั้นถูกต่อต้านอย่างหนัก !
จะว่าไปมันก็จริงอย่างที่พ่อจมูกชมพู่บอกไว้...
ความกระเหี้ยนกระหือรือ "อยากรู้" นั้นไม่มีที่สิ้นสุด
แม้จะเกรงใจในอานุภาพของศาสนา แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังมีความพยายาม
ทดลองเกี่ยวกับการทำงานของร่างกายมนุษย์อย่างต่อเนื่อง
โดยไม่ยึดติดอยู่กับความเชื่อ
ดังนั้นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์จึงปรากฏให้เห็นบ้าง
โดยเฉพาะด้านกลศาสตร์ ที่กล่าวถึงการเคลื่อนที่ของสสารหรือวัตถุ
ยุคกลางในเวลาต่อมาจึงปรากฏหลักฐานการค้นพบสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ
ซึ่งบางส่วนเกิดขึ้นจากความคิดและการผลิตสิ่งต่างๆ จากประเทศในทวีปเอเชีย
เช่น จีน อินเดีย และกลุ่มประเทศอิสลามในตะวันออกกลาง
เช่น ดินปืน กระดาษ และเข็มทิศที่ใช้ในการเดินเรือ ฯลฯ
นักวิทยาศาสตร์ในยุคกลางที่กล้าเปิดเผยตัวเอง ได้แก่ "Roger Bacon" ชาวอังกฤษ
และชาวเยอรมัน "Theodoric" แห่ง Freiburg
ทั้งคู่มีชีวิตอยู่ราวคริสต์ศักราช 1250-1311
อย่างไรก็ตาม ร่องรอย "ความรู้" ที่กบฏต่อเหตุผลทางศาสนาชัดเจนอีกครั้ง
เมื่อก่อกำเนิดสถาบันแห่งความรู้ในเวลาต่อมา
โดยในประเทศอังกฤษมีมหาวิทยาลัย Cambridge และมหาวิทยาลัย Oxford
ในฝรั่งเศสมีมหาวิทยาลัย Paris
ในอิตาลีมีมหาวิทยาลัย Bologna และมีมหาวิทยาลัย Padua เกิดขึ้น
ในขณะเดียวกับสงครามครูเสด ซึ่งเป็นสงครามศาสนาระหว่างคริสต์และอิสลาม
...ทำให้มีการแพร่กระจายความคิดและเทคนิควิธีการหาความรู้
ของชาวอิสลามผสมผสานกับแนวคิดดั้งเดิมของชาวกรีก
10 กันยายน 2551 ลึกลงไปอุโมงค์ใต้พื้นดินราว 100 เมตร
การทดลองครั้งใหญ่ของมนุษยชาติได้เริ่มขึ้นแล้ว...
นักวิทยาศาสตร์ไม่แบ่งคริสต์-อิสลาม
กำลังเฝ้ามองความสำเร็จในการยิงแสงโปรตอนลำแรก
เข้าสู่เครื่องเร่งอนุภาคยักษ์ ณ ห้องปฏิบัติการบริเวณตะเข็บชายแดน
สวิตเซอร์แลนด์-ฝรั่งเศส
..."CERN" เปิดเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ด้วยการยิงลำแสงแรกทดสอบระบบ ก่อนวางแผนปล่อยอนุภาคชนกัน
หา "อนุภาคพระเจ้า" ต้นตอมวลในเอกภพ
นักฟิสิกส์ย้ำแม้เกิดหลุมดำจิ๋วก็สลายตัวอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงขั้นกลืนกินโลก
แต่หากอนุภาคเกินควบคุม แค่เครื่องพัง แต่ทุกอย่างยังอยู่ในอุโมงค์...
ข่าวรายงานความสำเร็จแพร่สะพัดไปทั่วโลก
วิทยาศาสตร์กำลังสลายความกลัวจากความไม่รู้...
ความเชื่อ (เรื่องพระเจ้าสร้างโลก) กำลังถูกลดบทบาทลง... วันนี้ วิทยาศาสตร์ไม่ได้อยู่คนละขั้วกับศาสนจักรอีกแล้ว
(และถือเป็นโชคดีที่ตอนนี้ไม่ต้องเลือกข้าง ...เอ๊ย ! เลือกขั้ว) วิทยาศาสตร์ตอบสิ่งที่มนุษย์อยากรู้...
บังเอิญมนุษย์อยากรู้ความลับจักรวาลว่าก่อกำเนิดขึ้นมาท่าไหน
ทั้งๆ ที่เราเคยเชื่อว่าอะตอมคือหน่วยย่อยที่สุดของสสาร
แต่ต่อมาเราก็พบว่ายังมีโปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอนที่เล็กกว่า
และมี "ควาร์ก" (quark) เป็นสิ่งที่เล็กลงไปอีก...
ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ทำให้รู้ว่ายังมีสิ่งที่เล็กกว่านั้น
"ฮิกก์ส" (Higgs) หรือ "อนุภาคพระเจ้า" (God Particle) คือสิ่งที่ว่า...
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ต่างคาดหวังว่าจะค้นพบจากการทดลอง
มูลค่า 5.46 พันล้านดอลลาร์นี้ ! อนุภาคพระเจ้า ที่อาจจะตอบคำถามถึงการมีอยู่ของมวลเอกภพ
ไขปริศนาความลับแห่งจักรวาล
อดใจรออีก 3-5 ปีข้างหน้า เมื่อเซิร์นเดินหน้าเปิดเร่งเจ้าเครื่อง LHC นี้อย่างเต็มที่...
เราอาจจะได้ "รู้" ความจริงว่า จักรวาลไม่ได้เกิดจากพระเจ้า
หากแต่เกิดจาก "อนุภาคพระเจ้า" ?! คอลัมน์ AROUND THE WORLD
โดย เกด-ริน
วันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 32 ฉบับที่ 4038
__________________________________
เอาข่าวสารเมื่อปีที่แล้วตอนที่เซิร์นเปิดตัวกับ ณ ปัจจุบันนั้นก้าวกระโดด
ออกไปอีกแล้วค่ะ...แต่สำหรับข้าน้อยนั้น
ไม่ว่าจะอ่านจะศึกษาวิทยาศาสตร์หรืออะไรที่นักวิทยาศาสตร์ทดลอง
หรือหาข้อพิสูจน์ออกมาได้ หรือความพยายามที่นักวิทยาศาสตร์
ต้องการพิสูจน์ว่าโลกนี้ไม่ได้สร้างด้วยพระเจ้า พระเจ้าไม่ใช่ผู้สร้าง
ซึ่งความรู้ตรงนี้ หากเราศึกษามันโดยไม่ได้ศึกษาศาสนาไปด้วย
ข้าน้อยว่ามันค่อนข้างอันตรายค่ะ...
เพราะนักวิทยาศาสตร์(บางคน)จะไม่มีความเชื่อและศรัทธาในพระเจ้า
หรือโดยทั่วไป ไม่มีศาสนา บางคนเชื่อในสิ่งที่เขาพิสูจน์ได้เท่านั้น
สิ่งที่เขายังพิสูจน์ไม่ได้เขาก็พยายามพิสูจน์ต่อไปอยู่เรื่อยๆ
และมันจะไม่มีวันจบสิิ้นอย่างแน่นอน...แม้เขาจะใช้เวลาทั้งชีวิตของเขาก็ตาม
แล้วเขาจะตายในสภาพไหน ตายในสภาพที่ไม่ได้พิสูจน์จนถึงที่สุด
และอาจตายไปในสภาพที่ไร้ศรัทธาในผู้สร้างที่แท้จริง...
แล้วสุดท้าย เขาเป็นผู้ขาดทุนหรือไม่...ซึ่งอัลลอฮฺเท่านั้นที่รู้ในหัวใจเขา...
เคยสังเกตว่าประเทศที่พัฒนาด้านเทคโนโลยีและด้านวิทยาศาสตร์มากๆ
จะมีอัตตราการฆ่าตัวตายสูงมาก...เพราะอะไรนั้น...
สำหรับข้าน้อยคิดว่า...อาจเพราะว่าเขายึดติดอยู่กับวัตถุและความจริง
ที่ปรากฏหรือพิสูจน์ได้เท่านั้น ทั้งที่เอาเข้าจริงเขาไม่สามารถพิสูจน์
ความจริงได้หมด เพราะเขาไม่ใช่ผู้สร้าง สิ่งที่เขาประดิษฐ์คิดค้นมาใหม่
ก็ล้วนแล้วแต่นำมาจากสิ่งที่มีอยู่เดิมแล้ว
แล้วอย่างนี้เขาจะมีอำนาจอะไรจะไปต่อกรกับผู้สร้างที่แท้จริง...
พอผิดหวังล้มเหลวก็ไร้ที่ยึดเหนี่ยว เพราะแท้จริงมนุษย์ทุกคนนั้นอ่อนแอ
ล้วนต้องการที่พึ่ง และคนที่ไร้ศรัทธาจะหาที่พึ่งใดได้ ณ เวลานั้น...
สำหรับข้าน้อยการเรียนรู้ศาสตร์ด้านใด หากไร้ศรัทธาในอัลลอฮฺแล้ว
มันก็อันตรายทั้งนั้นค่ะ...ต่อให้เขาสร้างอะไรที่ยิ่งใหญ่
สุดท้ายเขาก็ตาย ทุกวันนี้คนที่สร้างโน่นสร้างนี้ ไปเยือนอวกาศ
ก็ยังไม่รู้เลยว่า ตัวเองตายแล้วไปไหน...พยายามพิสูจน์โน่นนี่จนตัวตาย
เรื่องใกล้ตัวใกล้จมูก พวกเขายังพิสูจน์ไม่ได้เลยค่ะ...
และบางครั้งเขาไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า สิ่งที่เขากำลังทำอยู่จะนำมาซึ่งหายนะอะไรบ้าง
หากการทดลองไม่เป็นไปดังที่คาดการณ์ไว้ อะไรจะเกิดขึ้น
สิ่งที่มนุษย์ผู้ถูกสร้างทำได้ก็แค่คาดการณ์...ส่วนผลที่ตามมาแท้จริง
จะเป็นเช่นไร ผู้สร้างที่แท้จริงเท่านั้นที่รู้...
แต่อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า ความรู้บางอย่างแท้จริงนั้นไร้ประโยชน์
หากอัลลอฮฺไม่ประสงค์จะให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ที่ได้รับความรู้นั้น...
วัลลอฮฺอะลัม
ผิดพลาดตรงไหน โปรดชี้แนะด้วยนะคะ...
วัสลามุอะลัยกุมค่ะ