ผู้เขียน หัวข้อ: ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์กับหลักการอิสลาม  (อ่าน 6032 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด


 salam

ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์กับหลักการอิสลาม

       วิทยาศาสตร์การแพทย์ในปัจจุบัน มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
และความก้าวหน้าบางอย่างส่งผลกระทบต่อแนวคิดด้านศาสนา และจริยธรรม
เช่น การเริ่มต้นและการสิ้นสุดของชีวิต การใช้ประโยชน์และการทำลายตัวอ่อน
ที่ผสมแล้ว (stem cell) การทำซ้ำหรือโคลนนิ่ง (cloning) เป็นต้น

ประเด็นเหล่านี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุคของนักวิชาการชั้นนำทางศาสนา
จึงตกเป็นหน้าที่ของนักวิชาการนิติศาสตร์อิสลามยุคปัจจุบัน
และแพทย์มุสลิมที่จะต้องศึกษา ทำความเข้าใจ และตอบประเด็นต่างๆเหล่านี้ให้ได้
โดยอาศัยการวิเคราะห์จากคัมภีร์อัลกุรอาน
และจากจริยวัตรของศาสดา(ซุนนะห์) เป็นหลัก

และโดยธรรมชาติของการวิเคราะห์นั้น ย่อมเกิดความเห็นหลากหลาย
ในประเด็นเดียวกัน

ดังนั้นจึงต้องยึดถือทรรศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ ในการนำไปปฏิบัติ
เอกสารวิชาการนี้จัดทำขึ้นโดยการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทางเว็บไซต์ต่างๆ ที่ให้บริการด้านการตอบปัญหา
ทางศาสนา (ฟัตวา) 

เนื่องจากข้อมูลทางการแพทย์สมัยใหม่ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย
และเป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อน เป็นเรื่องยากที่ประชาชาชนทั่วไป
จะทำความเข้าใจ เพราะตำราในเรื่องเหล่านี้โดยตรงมีน้อย

ผมหวังว่าเรื่องนี้ คงจะเกิดประโยชน์กับผู้อ่านและเป็นการเปิดประเด็น
การถกเถียงทางวิชา การอย่างกว้างขวาง ในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้อง
กับการวิจัยทางการแพทย์สมัยใหม่ ดังรายละเอียดที่จะกล่าวต่อไปนี้


.
.
.


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด

ประเด็นเรื่องชีวิต
การเริ่มต้น และ การสิ้นสุด


การเริ่มต้นชีวิต

จากบทวิเคราะห์ของ ดร.อับดุลเลาะห์ บาสะละมะห์
(อาจารย์แผนกนรีเวช จากมหาวิทยาลัยแพทย์ เจดดาห์ ซาอุดิอาระเบีย)
และจากข้อสรุปผลการประชุมสัมมนาในหัวข้อเรื่อง

“ ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นและสิ้นสุด ตามทรรศนะอิสลาม ”

ซึ่งเป็นการประชุมร่วมกันของแพทย์มุสลิม นักนิติศาสตร์อิสลาม
และนักวิชาการด้านศาสนาอิสลาม ที่โรงแรมฮิลตัน ประเทศคูเวต
ระหว่างวันที่ 15-17 มกราคม ค.ศ. 1985 
พอจะประมวลเรื่องการเริ่มต้นของชีวิตได้ดังนี้:-

ชีวิตมีอยู่แล้วในสเปิร์มของชาย และไข่ของหญิง แต่เป็นชีวิตที่ยังไม่มีศักดิ์ศรี
และไม่ห้ามทำลาย การเริ่มต้นของชีวิตที่มีศักดิศรีและห้ามทำลายนั้น
นักนิติศาสตร์อิสลามมีความเห็นต่างกันเป็น 3 ทรรศนะ ดังนี้

ทรรศนะที่หนึ่ง : ชีวิตเริ่มต้นเมื่อมีปฏิสนธิในครรภ์
                      ซึ่งภาษาอาหรับเรียกว่า“ นุตฟะห์ ”

ทรรศนะที่สอง : ชีวิตเริ่มต้นเมื่อวิญญาณถูกใส่เข้าในร่าง
                      คือเมื่อตั้งครรภ์ได้ 120  วัน

ทรรศนะที่สาม : ชีวิตเริ่มต้นเมื่อทารกเริ่มเคลื่อนไหวขณะอยู่ในครรภ์
                      คือเมื่อตั้งครรภ์ได้ 40 วัน




สเปิร์มของชายกำลังผสมกับไข่ของหญิง


    ตัวอ่อนอยู่ในมดลูกของมารดาเมื่อติดตามขั้นตอนของการเกิดชีวิตมนุษย์
ภายในมดลูกเราพบว่าผ่านขั้นตอนต่างๆมากมาย

คัมภีร์กุรอาน ได้บรรยายขั้นตอนต่างๆเหล่านี้ไว้อย่างละเอียด
อัลเลาะห์ตาอาลาตรัสว่า :








ความว่า

“แท้จริง เราได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาจากธาตุดิน
หลังจากนั้นเราได้สร้างเขาขึ้นมาจากการปฏิสนธิในที่พำนักอันมั่นคง
หลังจากนั้นเราได้สร้างจากการปฏิสนธินั้น เป็นก้อนเลือด
เราได้สร้างก้อนเลือดเป็นก้อนเนื้อ เราได้สร้างก้อนเนื้อเป็นกระดูก
เราได้ห่อหุ้มกระดูกด้วยเนื้อ หลังจากนั้นเราได้สร้างเขาเป็นรูปร่างอีกอย่างหนึ่ง 
อัลเลาะห์ทรงจำเริญ พระองค์เป็นผู้สร้างที่งดงามที่สุด”

(อัลมุอ์มินูน 12-14)


อัลกุรอานได้บรรยายการสร้างมนุษย์ไว้อีกว่า



ความว่า

“ แท้จริงเราได้สร้างมนุษย์ ขึ้นมาจากน้ำเชื้อที่ผสมกัน ”
(อัลอินซาน 2)


คือน้ำเชื้อที่ผสมกันระหว่างเชื้อสเปิร์มของชายและไข่ของเพศหญิง


อัลเลาะห์ตาอาลาได้ตรัสอีกว่า :




ความว่า

“ พระองค์ได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาจากน้ำเชื้อ แล้วเขาก็เป็นปรปักษ์อย่างชัดเจน ”
(อันนะห์ลิ 4)


หมายถึง มนุษย์นั้นเกิดจากน้ำเชื้อ.
           

และพระองค์ตรัสว่า :



ความว่า

“ พระองค์สร้างมนุษย์ขึ้นมาจากก้อนเลือด ”
(อัลอะลัก 2)


 หมายถึงขั้นตอนของก้อนเลือดก่อนถึงขั้นตอนของมนุษย์


หลังจากนั้นพระองค์ได้ตรัสว่า :



ความว่า

“ ขอสาบานว่า เราได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาในรูปร่างที่สวยงามยิ่ง ”
(อัฏฏีน 4)




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 06, 2009, 06:39 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
การสิ้นสุดของชีวิต


     หลักการตัดสินความตายนั้น นักวิชาการอิสลามและแพทย์มุสลิม
มีทรรศนะต่างกันเป็น 2 กลุ่ม คือ

แพทย์และนักวิชาการด้านศาสนากลุ่มหนึ่ง มีความเห็นว่าผู้ที่มีก้านสมองตายนั้น
ถือว่าเป็นคนตายแล้วตามบัญญัติศาสนา เนื่องจากก้านสมองเป็นศูนย์รวม
ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงถึงการมีชีวิตของร่างกาย
การที่หัวใจยังเต้นอยู่ได้ด้วยการใช้เครื่องช่วยหายใจเทียม
ไม่ได้เป็นเครื่องชี้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แพทย์กลุ่มนี้มีความเห็นว่า
อาการสมองตายเป็นความตายที่แท้จริง จึงอนุญาตให้นำเอาอวัยวะไปปลูกถ่าย
ให้ผู้อื่นได้ การใช้เครื่องช่วยหายใจเทียม เพื่อช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือด
ทำงานอยู่โดยที่สมองไม่ทำงานแล้วนั้นถือว่าเป็นการทำลายทรัพย์
และการใช้จ่ายทรัพย์โดยไม่เป็นประโยชน์นั้น เป็นสิ่งที่ศาสนาห้ามเช่นเดียว
กับการทำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย

การจะวินิจฉัยว่าก้านสองตายนั้น มีเงื่อนไขหลายประการ
และอยู่ในความเห็นของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ความเห็นของนักนิติศาสตร์อิสลามส่วนหนึ่งเห็นว่ามนุษย์ที่ถึงขั้นสมองตาย
ถือว่าชีวิตได้ออกไปจากเขาแล้ว และอนุญาตให้หยุดเครื่องช่วยหายใจเทียมได้

ดร.อะห์หมัด อัลฆุบารี หัวหน้าแผนกอายุรกรรม ของมหาวิทยาลัยแพทย์อัลอัซฮัร
เห็นด้วยว่าอาการสมองตาย เป็นความตายที่แท้จริง
ซึ่งอนุญาตให้นำเอาอวัยวะไปปลูกถ่ายให้ผู้อื่นได้ ภายหลังจากสมองคนตายแล้ว

เขากล่าวว่าทางด้านวิชาการ และกรอบของการศึกษาวิจัย
ข้าพเจ้าเห็นว่าความตายที่แท้จริงคือความตายที่ก้านสมอง
และวิงวอนต่ออัลเลาะห์อย่าให้ข้าพเจ้าผิดพลาดด้านบัญญัติทางศาสนา


แพทย์และนักวิชาการศาสนาอีกกลุ่มหนึ่ง มีทรรศนะว่า ไม่ถือว่าก้านสมองตาย
เป็นหลักฐานการตายของผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกทางสมอง
โดยถือว่ายังมีสิ่งที่ปรากฏแสดงความมีชีวิต ปรากฏออกมาอยู่

และอุปกรณ์การแพทย์ เช่นเครื่องช่วยหายใจเทียมถือว่าเป็นสื่อ
ของการบำบัดรักษาผู้ป่วย การที่แพทย์กีดกันไม่ให้ผู้ป่วย
ได้รับสื่อของการรักษาพยาบาลจึงถือว่า เป็นผู้ก่ออาชญากรรมสังหารผู้ป่วย
โดยเจตนา ความตายตามบัญญัติศาสนาจะยังไม่เกิดขึ้นจริง
จนกว่าวิญญาณจะออกจากร่างไปแล้วและสิ่งที่จะตามมาคืออวัยวะต่างๆ
ในร่างกายหยุดทำงาน และสิ่งที่แสดงออกว่ามีชีวิตได้ยุติลงแล้ว


ดร.มุฮัมมัด ซัยยิด ตอนตอวีย์ ผู้นำมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร
ได้ออกคำฟัตวาเหมือนๆ กันนี้ โดยกล่าวว่าการตายที่เกิดจากสมองตาย
ยังไม่ถือเป็นการตายอย่างสมบูรณ์ จำเป็นต้องปรากฏเครื่องหมายความตายอื่นๆ
และได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่มีความตายที่เรียกว่า ตายด้วยความเมตตา
(merci killing )



ภาพแสดงสมองของมนุษย์ผ่าตามขวาง :-ก้านสมอง (brain stem)
ประกอบด้วย ส่วนหนึ่งของสมองส่วนต้น สมองส่วนกลาง
และส่วนใหญ่ของสมองส่วนปลาย

เขากล่าวว่า แพทย์จะต้องใช้ความสามารถอย่างเต็มที่เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วย
ไม่ว่าความหวังจากการหายป่วยจะมีน้อยเพียงไร
เพราะชีวิตมนุษย์เป็นของฝากจากพระเจ้า ที่จำเป็นต้องปกป้องรักษา
บัญญัติของอิสลามได้ห้ามการฆ่าตัวตาย






ความว่า

“และพวกเจ้าอย่าสังหารตนเองแท้จริงอัลเลาะห์
ทรงเมตตายิ่งต่อพวกเจ้าทั้งหลาย
และผู้ใดได้กระทำการดังกล่าวโดยเป็นปรปักษ์และโดยทุจริต
ต่อไปเราจะนำพวกเขาเข้าสู่ขุมนรก
และการดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องง่ายสำหรับอัลเลาะห์ ”

(อันนิซาอ์ 29-30)


   บัญญัติของศาสนา ใช้ให้แพทย์ให้ความ สำคัญกับผู้ป่วยผลลัพธ์หลังจากนั้น
ขึ้นอยู่กับอัลเลาะห์ เพราะแพทย์ไม่สามารถยืดชีวิตผู้ป่วยออกไปได้
เนื่องจากเมื่อกำหนดความตายของพวกเขามาถึง
พวกเขาจะประวิงเวลาออกไปไม่ได้ และจะร่นเวลาให้เร็วขึ้นมาก็ไม่ได้
อีกเช่นเดียวกัน

และ เชค ตอนตอวีย์ ยืนยันว่าแม้ผู้ป่วยจะขอร้องแพทย์ให้ทำชีวิตตนสิ้นสุดลง
แพทย์ก็จะตอบรับคำขอของผู้ป่วยเช่นนั้นไม่ได้


ดังมีฮะดีษตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า

“ไม่มีการก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่นและไม่มีภัยอันตรายแก่ตนเอง”

รายงานโดยอิบนุมาญะห์



     สำหรับข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้ทบทวนเอกสารมีทรรศนะว่า

ความตายคือการสิ้นสุดของชีวิต และความตายตามบัญญัติศาสนา
จะยังไม่เกิดขึ้นจริง จนกว่าวิญญาณจะออกจากร่างไปแล้ว
และสิ่งที่จะเกิดตามมาก็คืออวัยวะต่างๆในร่างกายหยุดทำงาน
และสิ่งที่แสดงออกว่ามีชีวิตได้ยุติลงแล้ว.

      ส่วนอาการสมองตายนั้น ผู้ทบทวนมีทรรศนะว่า

อาการก้านสมองตายได้รับการยอมรับจากทางการแพทย์และศาสนาแล้วว่า
เป็นความตายที่แท้จริง เพียงแต่ยังไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วไปเท่านั้น.


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 06, 2009, 07:18 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด


การใช้เทคโนโลยีช่วยในการปฏิสนธิ


    ปัจจุบัน ปัญหาเด็กหลอดแก้วได้กลายเป็นปัญหาที่มีผู้คนให้ความสนใจมากมาย
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เป็นเพียงแค่เรื่องของการสมมุติขึ้นเท่านั้น

นักวิชาการสมัยใหม่ของเรา มีความเห็นแตกต่างกันในหลายรูปแบบ
และมีความเห็นพ้องกันในหลายรูปแบบ

การใช้เทคโนโลยีช่วยในการปฏิสนธิ มีหลายวิธี ซึ่งมีทั้งที่ศาสนาอนุญาต     
และที่ศาสนาห้ามดังนี้

1) นำไข่ของภรรยาไปผสมกับน้ำเชื้อของสามี แล้วเก็บรักษาไว้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ในหลอดแก้ว หลังจากนั้นจึงนำไข่ที่ผสมแล้วนี้ไปใส่ไว้ในมดลูกของภรรยา
รูปแบบดังกล่าวนี้ ไม่มีข้อห้ามตามหลักศาสนา
ทารกที่คลอดจากการปฏิบัติการนี้จะสืบตระกูลจากชายผู้เป็นเจ้าของน้ำเชื้อ
และหญิงผู้เป็นเจ้าของไข่นั้น

2) เอาไข่จากภรรยาที่เป็นหมัน ไปผสมกับน้ำเชื้อของสามี
แล้วนำไข่ที่ผสมแล้วไปใส่ในมดลูกของภรรยาอีกคนหนึ่งที่มีมดลูกสมบูรณ์
หลังจากนั้น ตัวอ่อนก็จะเจริญเติบโตอยู่ในมดลูกของนางจนคลอด
ทารกที่เกิดขึ้นมานี้สืบตระกูลจากสามีของหญิงที่เป็นเจ้าของไข่
ซึ่งเป็นสามีของหญิงคนที่รับตั้งครรภ์ และทารกนั้นจะเป็นบุตรของภรรยา
ที่รับตั้งครรภ์ ไม่ใช่บุตรของหญิงผู้เป็นเจ้าของไข่


เพราะอัลลาะห์ตะอาลา ได้ตรัสไว้ว่า :


“ ไม่ใช่เป็นมารดาของพวกเขาหรอก
นอกจากบรรดาสตรีที่คลอดพวกเขาออกมา ”


และอัลเลาะห์ ตาอาลาได้ตรัสอีกว่า :



ความว่า

“ และเราได้กำชับมนุษย์ให้กตัญญูต่อพ่อแม่โดยที่มารดาของเขา
ได้อุ้มท้องเขาอย่างอ่อนเพลียแล้วอ่อนเพลียอีก ”

(ลุกมาน 14)


เจ้าของไข่เป็นผู้อุ้มท้องจนอ่อนเพลียแล้ว อ่อนเพลียอีกอย่างนั้นหรือ ?




“ และเราได้กำชับมนุษย์ให้กตัญญูต่อบิดามารดา
โดยที่มารดาของเขาได้อุ้มท้องเขาอย่างยากลำบาก
และคลอดเขาอย่างยาก ลำบาก ”


แล้วเจ้า ของไข่เป็นเช่นนั้นหรือ ?


3) ผสมไข่ของผู้หญิงคนหนึ่ง กับน้ำเชื้อของผู้ชายที่ไม่ใช่สามีของนาง
แล้วนำกลับเข้าไปไว้ในมดลูกของนาง
รูปแบบนี้เป็นสิ่งต้องห้าม(ฮะรอม) โดยเด็ดขาด
เพราะจะทำให้เกิดการปะปนในสายตระกูล
ทารกที่เกิดขึ้นมาจะสืบสกุลจากหญิงนั้นเพียงฝ่ายเดียว
เช่นเดียวกับลูกนอกสมรส(ซินา) โดยจะไม่สืบตระกูลจากเจ้าของน้ำเชื้อ
เพราะน้ำเชื้อนั้นศาสนาถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่า และศาสนาไม่ให้การยกย่อง.


ที่กล่าวมานี้ เป็นมุมมองทางด้านตัวบท ส่วนทางด้านความหมายนั้น
ไข่ที่ผสมแล้วเจริญเติบโต และได้รับสารอาหารจากเลือดของผู้ที่รับตั้งครรภ์
แม่เป็นผู้ที่อุ้มครรภ์และได้รับความเจ็บปวดขณะคลอด

ดังนั้นจึงถือว่าทารกผู้นี้เป็นบุตรของหญิงที่รับตั้งครรภ์และคลอดเขาออกมา
และจะได้รับข้อกำหนดทั้งหมดของบุตรที่เกี่ยวกับแม่
และของแม่ที่เกี่ยวกับบุตรของนาง ทั้งการรับมรดก ค่าเลี้ยงดู และการดูแล
เรื่องอนุมัติและห้ามแต่งงานจะขยายไปถึงบรรพบุรุษ ลูกหลาน
และพี่น้องของนาง และข้อกำหนดอื่นๆ


     และที่ยังจะต้องอธิบายต่อไป ก็คือความ สัมพันธ์ของหญิงผู้เป็นเจ้าของไข่
เป็นเหมือนกับแม่ผู้ให้นมดื่ม ทั้งนี้เพราะสำนักของฮานาฟีถือว่า
เหตุผลที่ทำให้ห้ามแต่งงานในการให้ดื่มนม คือ ความเป็นส่วนหนึ่ง
หรือเสมือนเป็นส่วนหนึ่ง

ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดที่จะกล่าวได้ในเรื่องนี้
ก็คือทารกผู้นี้ เป็นส่วนหนึ่งจากหญิงผู้เป็นเจ้าของไข่
ซึ่งเป็นเหตุผลทำให้เกิดภาวการณ์ห้ามแต่งงาน อันเนื่อง มาจากการให้ดื่มนม.


(ประโยคหลังสุดคนโพสงงนิดหน่อยค่ะ)  natural:

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด


การใช้ประโยชน์จากตัวอ่อน
และการทำลายตัวอ่อนที่ผสมแล้ว  (stem cells)

       Stem cells เป็นเซลล์ที่มีความสามารถที่จะแบ่งตัวให้เกิดเป็นเซลล์
ที่มีรูปร่างเหมือนเดิม(โคลนนิ่ง) หรือเปลี่ยนแปลงให้เป็นเซลล์ชนิดอื่นก็ได้

จากการวิจัยทางการแพทย์เชื่อกันว่าสามารถใช้ stem cells
ไปซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลาย หรือเอาไปใช้สร้างอวัยวะของร่างกาย
ขึ้นมาใหม่ได้

การศึกษาค้นคว้าเรื่อง stem cells เพิ่งเริ่มต้นในปี ค.ศ.. 1960
Stem cells แบ่งออกเป็นหลายชนิด ตามต้นกำเนิดของมัน
แต่ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างจริงจัง มี 2 ชนิดคือ
stem cells จากตัวอ่อน หรือ embryonic stem cells
กับ stem cells ที่นำมาจากเลือดจากรกของแม่
หรือจากสายสะดือทารกแรกเกิด (cord blood stem cells )

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
สรุปประเด็นจากเอกสารทางวิชาการที่สืบค้นได้ดังนี้


การใช้ประโยชน์จากตัวอ่อน


- ไม่ยินยอมให้ใช้ตัวอ่อนเป็นแหล่งปลูกถ่ายอวัยวะให้แก่บุคคลอื่น
   ยกเว้นหลายกรณีที่จำต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์โดยครบถ้วนคือ :
     
       ก- ไม่ยินยอมให้ทำแท้งเพื่อนำตัวอ่อนมาใช้ปลูกถ่ายอวัยวะให้ผู้อื่น
            แต่การแท้งนั้นจะต้องเป็นการแท้งตามธรรมชาติ ไม่ใช่เจตนาทำให้แท้ง
            และเป็นการแท้งที่มีเหตุผล ที่ศาสนายอมรับได้
            และจะต้องไม่ใช้วิธีการผ่าตัด เพื่อเอาตัวอ่อนออกมา
            นอกจากในกรณีเพื่อช่วยชีวิตแม่
     
       ข- ถ้าหากตัวอ่อนสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้ต่อไป
           ก็จำเป็นต้องให้การรักษาพยาบาล เพื่อให้ชีวิตของตัวอ่อนนั้นคงอยู่
           และจำเป็นต้องป้องกันรักษาชีวิตไว้ จะนำตัวอ่อนไปใช้ประโยชน์
           ในการปลูกถ่ายอวัยวะไม่ได้ และเมื่อตัวอ่อนไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้
           ก็ยังไม่ยินยอมให้นำมาใช้ประโยชน์ เว้นแต่ตัวอ่อนนั้นจะเสียชีวิตแล้ว
           โดยมีเงื่อนไข


- ไม่ยินยอมให้นำวิธีการปลูกถ่ายอวัยวะไปใช้
  เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้าโดยเด็ดขาด

- ต้องมีคณะกรรมการเฉพาะกิจที่เชื่อถือได้เป็นผู้ดูแล
  และควบคุมการปลูกถ่ายอวัยวะ.

- ไม่ยินยอมให้ใช้เซลล์ที่นำมาจากตัวอ่อนของมนุษย์
  เพื่อการโคลนนิ่งเพราะอาจทำให้ตัวอ่อนเสียชีวิตได้.
 
- การใช้ยีนในการบำบัดรักษา หรือป้องกันโรค หรือแก้ไขข้อบกพร่อง
  หรือตำหนิ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางรูปร่างตามธรรมชาติ
  ถือว่าเป็นสิ่งที่อนุญาตให้ทำได้ แต่ถ้าหากนำยีนมาเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพ
  หรือรูปร่าง สีผิว สูง เตี้ย ก็เป็นสิ่งต้องห้าม.
 
- ไม่อนุญาตให้บำบัดรักษายีนที่อยู่ในเซลล์
   เพราะไม่อาจรู้ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้ และเพราะอาจเกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงขึ้น
   อีกทั้งยังมีผลกระทบทางด้านจริยธรรม
   แต่เมื่อวิทยาการก้าวหน้า จนสามารถก้าวไปถึงขั้นที่ป้องกันไม่ให้เกิดผลเสียหาย
   และผลกระทบที่เป็นลบที่จะเกิดกับมนุษย์และลูกหลานในยุคหลังได้
   ก็ย่อมไม่อาจห้ามการบำบัดรักษาด้วยยีนนี้ได้ตลอดไปตามหลักศาสนา
   การห้ามจะพิจารณาจากภัยอันตรายที่เกิดขึ้นจริง
   ส่วนการอนุญาตก็จะพิจารณาจากผลประโยชน์
   และการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น.


การทำลายตัวอ่อน


- ไม่มีข้อห้ามในเรื่องการทำลายตัวอ่อนที่ยังอยู่ในหลอดแก้ว

- การนำตัวอ่อนมาจากมารดาที่ตั้งครรภ์ โดยวิธีทำแท้งตัวอ่อนเหล่านั้น
  ถึงแม้จะนำมาใช้ในการค้นคว้าทางวิชาการก็ตาม
  ถือว่าเป็นสิ่งที่ศาสนาไม่อนุญาตให้กระทำ.
     
- การนำตัวอ่อนที่ได้มาจากธนาคารน้ำเชื้อ ซึ่งมีอยู่มากมาย
  มาทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์นั้นยังคงเป็นสิ่งที่นักวิชาการด้านศาสนา
  ต้องศึกษาอย่างละเอียด เพื่อหาข้อกำหนดอย่างเหมาะสมว่า
  เป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้กระทำได้หรือไม่     
  ในเมื่อตัวอ่อนเหล่านั้นต้องถูกกำจัดอยู่แล้ว.
   
- ตัวอ่อนที่แท้งโดยธรรมชาติ หรือถูกทำแท้งเพราะมีความจำเป็น
  เพื่อช่วยชีวิตมารดา ทารกจะต้องได้รับการรักษาพยาบาลทุกวิถีทาง
  เพื่อให้รอดชีวิต ในกรณีที่ทารกเสียชีวิตและได้รับการยืนยันทางการแพทย์
  ทางวิทยาศาสตร์ ทางศาสนายินยอมให้นำอวัยวะบางอย่าง
  และเนื้อเยื่อของทารกนั้นไปปลูกถ่ายให้แก่ผู้อื่นได้
  ตามเงื่อนไขทางจริยธรรมที่เกี่ยวกับการผ่าตัด และการปลูกถ่าย.
 

   พร้อม ๆ กับความก้าวหน้าทางการแพทย์
ได้เกิดวิชาการทางด้านพันธุวิศวกรรมขึ้น
โดยมีความสามารถในการบำบัดรักษาด้วยยีน (gene)
การบำบัดรักษาประเภทนี้ จะมีข้อกำหนดทางศาสนาอย่างไร
และมีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะเข้าไปแทรกแซงการใช้ยีน
เพื่อการรักษาหรือเปลี่ยนแปลงลูกหลานที่จะเกิดขึ้นมาใหม่

การบำบัดรักษาด้วยยีน เป็นวิชาการที่เกิดขึ้นใหม่
และนักนิติศาสตร์อิสลามยินยอมให้นำมาใช้ได้ ตามเจตนารมณ์ของศาสนา

ทั้งนี้โดยมีหลักเกณฑ์ที่ถูกกำหนดที่สำคัญก็คือ ใช้ยีนเพื่อการบำบัดรักษาเท่านั้น
จะต้องไม่นำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่ชั่วร้าย
และไม่ยินยอมให้นำไปใช้ในทางที่ทำลายศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
และอาจนำไปใช้ในการปลูกถ่ายอวัยวะได้ ถ้าเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์แก่มนุษย์
แต่จะต้องไม่ให้เกิดอันตรายใดๆ ทั้งไม่ยินยอมให้การบำบัดรักษา
ด้วยยีนมีผลตกกระทบถึงเด็กและลูกหลาน.


ข้อกำหนดของการรักษาด้วยยีน :

      การรักษาด้วยยีน เป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้กระทำได้
เมื่อไม่เกิดอันตรายและผลเสียหาย

ในการประชุมครั้งที่สิบห้าของ สภานิติศาสตร์ของ รอบิเตาะห์ อัลอาลัม
อัลอิสลามีย์ ที่จัด ขึ้นที่นครมักกะห์ เมื่อ วันที่ 11 เดือนรอยับ ปี ฮ.ศ. 1419
ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม.ค.ศ.1998
ได้มีการพิจารณา หัวข้อเรื่องที่มุสลิมสามารถเอาประโยชน์ได้
จากวิชาพันธุวิศวกรรมได้อย่างไร

 
...ยังมีต่อค่ะ...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 06, 2009, 08:02 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด


 salam


สภานิติศาสน์อิสลามได้มีมติดังต่อไปนี้


    การนำความรู้ทางพันธุวิศวกรรม มาใช้ในการป้องกันโรค หรือรักษาโรค
หรือทำให้ภัยอันตรายเบาบางลง สามารถทำได้โดยมีเงื่อนไขว่า
จะต้องไม่ให้เกิดภัยอันตรายใหญ่หลวงกว่า   
ไม่อนุญาตให้ใช้ความรู้ทางด้านพันธุวิศวกรรมและประโยชน์ต่างๆ ของมัน
ไปในวัตถุประสงค์ที่ชั่วร้าย และในสิ่งที่ต้องห้ามตามบัญญัติศาสนา
ไม่ยินยอมให้นำความรู้ทางด้านพันธุวิศวกรรม และประโยชน์ต่าง ๆ ของมัน
ไปใช้ในทางที่ทำให้เสื่อมเสียบุคลิกภาพของมนุษย์ และความรับผิดชอบส่วนตน
หรือเข้าไปแทรกแซงในโครงสร้างของกรรมพันธุ์ (ยีนต่างๆ)
โดยอาศัยข้ออ้างว่าเป็นการปรับปรุงเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ดีขึ้น

ไม่ยินยอมให้ดำเนินการค้นคว้าใดๆ หรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือตรวจร่างกาย ที่เกี่ยวกับกรรมพันธุ์ของมนุษย์คนใดคนหนึ่ง
นอกจากมีการประเมินอย่างละเอียดแล้ว และได้แจ้งให้ทราบถึงภัยอันตราย
และผลประโยชน์ที่อาจเกี่ยวพันกับการดำเนินการดังกล่าวกับบุคคลผู้นั้น
แล้วได้รับอนุมัติอย่างถูกต้องตามหลักศาสนา
พร้องทั้งต้องเก็บผลการดำเนินงานไว้ เป็นความลับอย่างเต็มที่
อีกทั้งต้องรักษาข้อกำหนดของบทบัญญัติอิสลามที่ยกย่อง
และให้เกียรติแก่สิทธิ์และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์.
ยินยอมให้ใช้ความรู้ ทางด้านพันธุวิศวกรรมและขอบเขตต่างๆ ของมัน
ในการทำเกษตร และเลี้ยงสัตว์ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องหาทางป้องกันทุกวิถีทาง
ไม่ให้เกิดอันตรายใดๆ แม้ในระยะไกลก็ตาม ทั้งต่อมนุษย์ ต่อสัตว์และสิ่งแวดล้อม

ทางสภานิติศาสตร์อิสลาม เรียกร้องให้บริษัทและโรงงานผู้ผลิตอาหาร และยา
และอื่น ๆ ที่ใช้ความรู้จากวิชาพันธุวิศวกรรม

ให้ชี้แจงถึงส่วนประกอบของวัสดุเหล่านั้น เพื่อผู้บริโภคจะนำไปใช้
และปฏิบัติได้อย่างรู้จริง และเพื่อให้เกิดความระมัดระวังจากสิ่งที่เป็นภัย
หรือสิ่งต้องห้ามทางศาสนา.

สภานิติศาสตร์อิสลาม กำชับถึงบรรดานายแพทย์ และห้องทดลองต่างๆ
ให้มีความยำเกรงพระเจ้า และมีสำนึกอยู่เสมอว่าพระเจ้าทรงรู้ พระเจ้าทรงเห็น
และจะต้องออกห่างจากการทำให้เกิดภัยอันตรายต่อบุคคล
ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม


ข้อกำหนดในการเปลี่ยนแปลงการสร้างโดยวิธีการใช้ยีนรักษานั้น
นักนิติศาสตร์อิสลามทั้งยุคเก่าและยุคใหม่ ได้พิจารณาเรื่องการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง
หรือเปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลเลาะห์ในเรื่องการผ่าตัดเสริมสวย
การขจัดรอยตำหนิ หรือข้อบกพร่องทางร่างกาย ที่ทำให้เกิดความทุกข์
ทั้งร่างกายและจิตใจ และได้มีมติจากที่การประชุมครั้งที่สามขององค์การอิสลาม
เพื่อวิทยาการทางการแพทย์โดยได้ระบุไว้ดังนี้ 

การผ่าตัดที่มีเป้าหมาย เพื่อรักษาความผิด ปกติทางร่างกาย
และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นภาย หลังการคลอด เพื่อทำให้อวัยวะกลับคืนสู่สภาพปกติ
ที่เคยเป็น เป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้กระทำได้ และส่วนใหญ่มีความเห็นว่า
ให้นำข้อกำหนดของการรักษานี้ มาพิจารณาในการแก้ไข ตำหนิ
หรือความความผิดปกติของร่างกาย ที่ทำให้บุคคลนั้นได้รับผลกระทบทางร่างกาย
หรือจิตใจด้วย ไม่ยินยอมให้ทำการผ่าตัด ที่ทำให้ร่างกาย และอวัยวะ
ผิดไปจากโครงสร้างที่ดีอยู่แล้ว หรือมีเจตนาหลบหนีคดี หรือหลอกลวง
หรือเพียงเพื่อทำตามอารมณ์


การผ่าตัดเพื่อแปลงเพศตามอารมณ์ที่เบี่ยง เบนเป็นสิ่งที่ต้องห้าม (ฮะรอม)
และยินยอมให้ทำการผ่าตัดเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงของเพศเท่านั้น

การบำบัดรักษาด้วยยีน มีเป้าหมายอยู่ที่การรักษายีนที่เป็นโรคและพิการ
เพื่อทำให้กลับ คืนสู่สภาพ หรือสามารถทำหน้าที่ของอวัยวะที่สมบูรณ์
ดังเป็นที่ทราบกันดีเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้กระทำได้
เช่นเดียวกับการบำบัดรักษาด้วยยีนที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขตำหนิหรือความขี้เหร่
ที่ทำให้บุคคลได้รับความกระทบกระเทือน ทั้งทางร่างกายหรือจิตใจ.

ไม่อนุญาตให้บำบัดรักษาด้วยยีนที่มีเป้าหมายทำให้ร่างกายหรืออวัยวะ
ผิดไปจากการสร้างที่สมบูรณ์

ไม่ยินยอมให้เปลี่ยนแปลงเพศ หรือสีผิว รูปร่าง
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของอัลเลาะห์ตาอาลาที่มีวิทยปัญญา
และความสมดุล และกฎระเบียบของพระเจ้า


ประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงการสร้างของอัลเลาะห์นั้น
อัลเลาะห์ตาอาลาได้บรรยายไว้ในอัลกุรอานว่าเป็นการงานของมารร้าย
และสมุนของมัน

พระองค์ได้ตรัสว่า :








ความว่า

“ พวกเขาจะไม่วิงวอนขอ อื่นจากพระองค์อัลเลาะห์ 
นอกจากรูปเคารพที่เป็นหญิง และพวกเขาจะไม่วิงวอน
นอกจากชัยตอนที่ดื้อรั้นเท่านั้น อัลเลาะห์ได้สาปแช่งมันแล้ว 
และพวกมันจะกล่าวว่า ข้าจะเอาปวงบ่าวของท่านตามส่วนที่ถูกกำหนดไว้
และแท้จริงข้าจะต้องทำให้พวกเขาหลงผิด 
และข้าจะต้องทำให้มันเพ้อฝัน  และข้าจะต้องใช้พวกเขา (ด้วยการเสี้ยมสอน) 
ดังนั้นพวกเขาจะผ่าหูปศุสัตว์  และข้าจะต้องใช้พวกเขา
ดังนั้นพวกเขาก็จะเปลี่ยน แปลงสิ่งที่อัลเลาะห์ทรงสร้าง”

(อันนิ ซาอ์ : 117-119)




ความว่า

“ ดังนั้นเจ้าจงผินหน้าของเจ้าสู่ศาสนาที่เที่ยงแท้
เป็นธรรมชาติของอัลเลาะห์ ที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการทรงสร้างของอัลเลาะห์ 
นั่นคือศาสนาที่เที่ยงตรง  แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้"

(อัรรูม : 30)



    คนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น อนุญาตให้บริจาคอวัยวะของตนแก่ผู้อื่นได้โดยมีเงื่อนไขว่า
ผู้บริจาคมีคุณสมบัติครบถ้วน และมีหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรว่า
ตนให้คำยินยอมโดยสมัครใจ และหนังสือดังกล่าวเป็นสิทธิ์ของผู้บริจาค
ที่จะยกเลิกการบริจาคอวัยวะ เมื่อใดก็ได้ตามที่เขาต้องการ
จนถึงนาทีนำเขาเข้าสู่ห้องผ่าตัด และไม่ยินยอมให้ย้ายอวัยวะ
ของผู้ที่หมดความรู้สึก ที่เขายังไม่บรรลุศาสนภาวะ แม้ผู้ปกครองจะยินยอมก็ตาม
ส่วนจริยธรรม สำหรับเทคนิคการย้ายยีนสืบพันธุ์ ของมนุษย์

สารดังกล่าวได้อธิบายว่าไม่ยินยอมให้ย้ายยีนสืบพันธุ์
ยกเว้นในกรณีที่สามีหรือภรรยาเป็นหมัน
และไม่ยินยอมให้มีการผสมเทียมภายนอกร่างกายของสตรี         
ยกเว้นในกรณีที่ใช้เชื้อสเปิร์มของสามีขณะที่คนทั้งสองมีสถานะ
เป็นสามีและภรรยากันตามหลักศาสนา
 
ในกรณีที่เกี่ยวกับการตัดอวัยวะและเนื้อเยื่อจากตัวอ่อนมนุษย์นั้น
สารดังกล่าวยืนยันว่าไม่ยินยอมให้เจตนาทำแท้ง
เพื่อนำทารกไปใช้ในการปลูกถ่ายอวัยวะให้แก่ผู้อื่น
ส่วนการแท้งตามธรรมชาติที่ไม่มีเจตนา หรือการทำแท้ง
เพราะมีความจำเป็นบีบบังคับเพื่อช่วยชีวิตมารดา
ทารกจะต้องได้รับการรักษาพยาบาลทุกวิถีทาง เพื่อให้รอดชีวิต

ในกรณีที่ทารกเสียชีวิต ที่ได้รับการยืนยันทางการแพทย์ทางวิทยาศาสตร์
ศาสนายินยอมให้นำอวัยวะบางอย่าง และเนื้อเยื่อของทารกนั้นไปปลูกถ่าย
ให้แก่ผู้อื่นได้ ตามเงื่อนไขทางจริยธรรมที่เกี่ยวกับการผ่าตัดและการปลูกถ่าย


     ก- ไม่ยินยอมให้ทำแท้งเพื่อนำตัวอ่อนมาใช้ปลูกถ่ายอวัยวะให้ผู้อื่น
          แต่การแท้งนั้นจะต้องเป็นการแท้งตามธรรมชาติ ไม่ใช่เจตนาทำให้แท้ง
          และเป็นการแท้งที่มีเหตุผล ที่ศาสนายอมรับได้
          และจะต้องไม่ใช้วิธีการผ่าตัด เพื่อเอาตัวอ่อนออกมา
          นอกจากในกรณีเพื่อช่วยชีวิตแม่.

          การใช้ยีนในการบำบัดรักษา หรือป้องกันโรค หรือแก้ไขข้อบกพร่อง
          หรือตำหนิ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางรูปร่างตามธรรมชาติ
          ถือว่าเป็นสิ่งที่อนุญาตให้ทำได้ แต่ถ้าหากนำยีนมาเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพ
          หรือรูปร่าง สีผิว สูง เตี้ย ก็เป็นสิ่งต้องห้าม.
           
     ข-  ไม่อนุญาตให้บำบัดรักษายีนที่อยู่ในเซลล์ เพราะไม่อาจรู้ผลลัพธ์
          ที่จะเกิดขึ้นได้ และเพราะอาจเกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงขึ้น
          อีกทั้งยังมีผลกระทบทางด้านจริยธรรม แต่เมื่อวิทยาการก้าวหน้า
          จนสามารถก้าวไป ถึงขั้นที่ป้องกันไม่ให้เกิดผลเสียหาย
          และผลกระทบที่เป็นลบที่จะเกิดกับมนุษย์และลูกหลานในยุคหลังได้
          ก็ย่อมไม่อาจห้ามการบำบัดรักษาด้วยยีนนี้ได้ตลอดไป
          ตามหลักศาสนา การห้ามจะพิจารณา จากภัยอันตรายที่เกิดขึ้นจริง
          ส่วนการอนุญาต ก็จะพิจารณาจากผลประโยชน์และการป้องกัน
          ความเสียหายที่จะเกิดขึ้น.


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด

การปรับปรุงพันธุ์มนุษย์ – การเลือกเพศ


การเลือกเพศของทารก


- การกำหนดเพศของทารก  ไม่ขัดกับหลักศรัทธาที่บริสุทธิ์ของมุสลิม

- การกำหนดเพศทารก ไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงการสร้าง
   ของอัลเลาะห์ตาอาลาแต่อย่างใด เพราะอัลเลาะห์เป็นผู้สร้างเชื้อสเปิร์มและไข่
   มนุษย์เป็นแต่เพียงนำสิ่งที่มีอยู่แล้วมาผสมกัน
     
- การกำหนดเพศทารก  ถ้าหากมีการนำมาใช้กันอย่างกว้างขวาง
   จะนำไปสู่ความเสียหายที่มนุษย์อาจก่อขึ้นจากความไร้ระบบ
   และทำให้เกิดเสียสมดุลระหว่างเพศชายกับเพศหญิง
   ส่วนกรณีที่นำไปปฏิบัติเฉพาะรายและก่อนการตั้งครรภ์ก็ไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด.


การกำหนดเพศของทารกไม่ขัดกับหลักศรัทธาที่บริสุทธิ์ของมุสลิม
เพราะมุสลิมศรัทธาว่าสิ่งใดในจักรวาลจะเกิดขึ้นไม่ได้   
นอกจากเกิดขึ้นตามพระประสงค์ของอัลเลาะห์ตาอาลา

การค้นพบทางด้านวิทยาการสมัยใหม่ จะทำให้ความต้องการบางอย่างของมนุษย์
เป็นความจริง แต่จำเป็น ต้องปฏิบัติตามกรอบของศาสนาในเรื่องนี้.


การกำหนดเพศ เมื่อปราศจากเป้าหมายที่เสียหายหรือชั่วร้าย
มันก็จะเป็นเรื่องของการกระทำสิ่งที่เป็นต้นเหตุ และเป็นเรื่องการบำบัดรักษา
ที่เกิดขึ้นก่อนการตั้งครรภ์เช่น การกำหนดเวลาการมีเพศสัมพันธ์
ระหว่างสามีภรรยา การรับยาที่แน่นอน

และความจริงอิสลามก็ได้อนุญาตการหลั่งภายนอก
ซึ่งก็ถือว่าเป็นการกำหนดเองด้วยอย่างหนึ่ง และอีกแง่หนึ่งอิสลาม
อนุญาตมุสลิมวิงวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้า ให้ประทานบุตรแก่เขาเป็นเพศชาย
หรือเพศหญิง ศาสดาของอัลเลาะห์ ซาการียา ได้อ้อนวอนต่อพระเจ้า
ขอให้ได้บุตรชาย โดยเขากล่าวว่า




ความว่า

“ ได้โปรดให้ฉันได้รับจากท่านเป็นบุตรชายที่จะรับมรดกจากฉัน ”
(มัรยัม 5)


ดังนั้น จึงไม่มีข้อห้ามใดๆ ที่จะมีความปรารถนา และวิงวอนเช่นนั้น
และเป็นบัญญัติที่ชัดเจนแล้วว่า สิ่งใดที่ห้ามกระทำก็จะห้ามวิงวอนขอ
และเงื่อนไขของการวิงวอนมีว่า จะต้องไม่วิงวอนขอสิ่งต้องห้าม
และอีกด้านก็คือเป็นที่แน่นอนว่า
การกำหนดเองนั้นไม่ขัดกับเจตนาของอัลเลาะห์
เพราะสิ่งที่อัลเลาะห์เจตนานั้น มนุษย์จะไม่สามารถรู้ได้
นอกจากมันได้เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น และเจตนาของอัลเลาะห์
จะบรรลุตามที่พระองค์ประสงค์ ไม่มีผู้ใดขัดขวางกิจการของพระองค์ได้
และนี่คือเจตนารมณ์ของหลักศรัทธาที่ถูกต้อง

ในประเด็นเรื่องกำหนดสภาวการณ์ของอัลเลาะห์
ความรู้ในสิ่งที่ถูกกำหนดเป็นความรู้ล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดขึ้น
เป็นสิ่งที่อัลเลาะห์เท่านั้นทรงรู้ สิ่งที่อัลเลาะห์กำหนดไว้จะไม่แตกต่าง
กับสิ่งที่เกิดขึ้น และความจริงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้น ก็คือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
โดยไม่มีผู้ใดทราบกฎทางพันธุกรรมก็คือระบบและสาเหตุต่างๆ
ที่อัลเลาะห์สร้างไว้ในจักรวาล และยกมันขึ้นเมื่อใดที่พระองค์ทรงเจตนา
ให้เป็นไปตามนั้น.

บางคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าการกำหนดเพศทารกเองนั้น
ขัดกับคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า




ความว่า

“ พระองค์จะประทานบุตร ให้แก่ผู้ที่พระองค์ประสงค์เป็นเพศหญิง 
และจะประทานบุตรให้แก่ผู้ที่พระองค์ประสงค์เป็นเพศชาย
หรือจะประทานเป็นคู่ให้แก่พวกเขา ทั้งเพศชายและเพศหญิง
และจะดลบันดาลผู้ที่พระองค์ประสงค์ให้เป็นหมัน ”

(อัชชูรอ : 49)


และสอดคล้องกับการอธิบายที่กล่าวมาแล้วว่า
มุสลิมมีศรัทธาว่าเจตนาและความประสงค์ของอัลเลาะห์เท่านั้นที่จะบรรลุผล
ไม่ได้ขัดแย้งกับอายะห์อัลกุรอานแต่อย่างใด

ดังนั้นศาสนาจึงอนุญาตให้ผู้หญิงหรือผู้ชายไปหาแพทย์ เพื่อรักษาอาการเป็นหมัน
เพื่อเป็นการสร้างเหตุของการมีบุตรอีกด้านหนึ่ง

การกระทำดังกล่าวที่กระทำเป็นรายบุคคลนั้น ไม่มีปัญหาอะไร
เช่นเดียวกับการหลั่งภายนอก หรือการวางแผนครอบครัว
จึงเป็นสิ่งที่อนุญาตกระทำได้ในกรณีที่เป็นรายบุคคล
แต่จะไม่ยินยอมให้นำมาใช้ทั่วไป โดยออกเป็นกฎหมายในการประชุมเรื่อง

“ การให้กำเนิดในกรอบของศาสนาอิสลาม ”
ได้มีการประกาศปฏิญญาถึงเรื่องการกำหนดเพศทารกไว้ดังนี้ :

สำหรับ ทฤษฎีทางศาสนาเห็นว่า ไม่อนุญาตกำหนดเพศทารก
ถ้าหากเป็นการกระทำกันทั่วไป (ในระดับประชาชาติ)

ส่วนการกระทำเป็นรายบุคคลนั้น ความพยายามที่จะทำให้ทารกเป็นเพศชาย
หรือเพศหญิง โดยใช้วิธีทางการแพทย์ที่สามารถทำได้
ไม่มีข้อห้ามตามบัญญัติศาสนา สำหรับนักนิติศาสตร์บางท่าน
ที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้มีความเห็นว่า ไม่อนุญาตให้กระทำ
เพราะกลัวว่าจะเกิดการเหลื่อมล้ำ ระหว่างเพศหนึ่งอีกเพศหนึ่งอย่างมากมาย
สำหรับเราเห็นว่าการกำหนดและเลือกเพศทารกในตัวมันเอง
เป็นเรื่องของการแพทย์ที่ไม่มีข้อห้ามนอกจากมันจะนำไปสู่สิ่งที่ศาสนาห้าม   
การกำหนดเพศทารกถ้าหากมีการนำมาใช้กันอย่างกว้างขวาง
ก็จะนำไปสู่ความเสียหายที่มนุษย์อาจก่อขึ้นมาจากความไร้ระบบ
และทำให้เกิดเสียสมดุล ระหว่างเพศชายกับเพศหญิง
ส่วนกรณีที่นำไปปฏิบัติเฉพาะราย และก่อนการตั้งครรภ์ก็ไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด...
อัลเลาะห์ทรงรอบรู้

สำหรับคำถามที่ว่า ถ้าหากมีการขัดแย้งกันระหว่างวิทยาการ
ทางการแพทย์ในปัจจุบัน ในเรื่องเพศของทารกชายหรือหญิง
กับคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า

“ และพระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในมดลูก ” (ลุกมาน 34)

ก็สามารถที่จะตอบได้ว่า ไม่มีอะไรขัดกันเลย ระหว่างวิทยาการทางการแพทย์
ในเรื่องเพศทารก กับความรู้ของอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร
และที่เหมือนกับอายะห์นี้ก็คือ คำดำรัสของพระองค์ที่ว่า







ความว่า

“ อัลเลาะห์ทรงรู้สิ่งที่ผู้หญิงทุกคนตั้งครรภ์ และที่บรรดามดลูกคลอดก่อนกำหนด
และที่เกินกำหนด  และทุกๆสิ่ง ณ พระองค์นั้นถูกกำหนดไว้แล้ว
พระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่เร้นลับและเปิดเผย พระองค์ทรงยิ่งใหญ่และทรงสูงส่งยิ่ง ”

(อัรเราะอ์ดุ 8-9)


ความรู้ของอัลเลาะห์ตาอาลา มิได้ถูกจำกัดอยู่แต่เพียงภายในมดลูก
ว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิงเท่านั้น แต่ความรู้ของพระองค์ครอบคลุมทุกสิ่ง
ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่ในมดลูก พระองค์ทรงทราบว่าทารกผู้นี้จะมีชีวิตอยู่
หรือจะต้องตาย ? จะเป็นคนดีหรือเป็นคนเลว เป็นต้น

ส่วนความรู้ของมนุษย์จำกัดอยู่แต่เพียงรู้ว่า เป็นเพศชายหรือเพศหญิงเท่านั้น
และความรู้นั้นก็เป็นไปตามเจตนาและประสงค์ของอัลเลาะห์ผู้ทรงยิ่งใหญ่
และเกรียงไกร พระองค์เป็นผู้มอบความสามารถให้แก่มนุษย์
ในการก้าวเข้าไปเรียนรู้สิ่งดังกล่าว




ความว่า

“ พวกเจ้าจะประสงค์สิ่งใดไม่ได้  นอกจากที่พระองค์ทรงประสงค์เท่านั้น ”
(อัลอินซาน : 30)


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
การทำซ้ำ (โคลนนิ่ง)



      วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 นักวิทยาศาสตร์พันธุวิศวกรรม
ชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งโดยการนำของ ดร. เอียน วิลมุต จากสถาบันรอสลีน
ทางภาคใต้ของสก็อตแลนด์ ได้สร้างความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้นกับชาวโลก     
ด้วยการประกาศว่า พวกเขาประสบผลสำเร็จในการทดลองทำโคลนนิ่ง
ทำให้เกิดแกะดอลลี่ขึ้นมา ด้วยการเอาเซลล์จากเต้านมของแกะตัวหนึ่ง
ที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว และนำไปเพาะเลี้ยงในห้องทดลองเป็นเวลาหกวัน

หลังจากนั้นได้นำเอาไข่ที่ยังไม่ได้ผสมมาจากแกะอีกตัวหนึ่ง
ที่ได้ถอดเอานิวเคลียสและสารพันธุกรรมของมันออกไป
และใส่นิว- เคลียสของยีน ที่เอามาจากเต้านมของแกะตัวแรกใส่ลงไปแทน
และกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้า เพื่อ ให้นิวเคลียสรวมเป็นเนื้อเดียวกัน
ในไข่ของแกะตัวที่สอง ที่ปราศจากนิวเคลียส

หลังจากนั้นได้นำตัวอ่อนที่เกิดจากการรวมตัวกันนี้ ไปใส่ในแกะตัวที่สาม
และเมื่อครบกำหนดตั้งครรภ์ แกะตัวนั้นก็ได้ให้กำเนิดลูกแกะให้ชื่อว่า ดอลลี่

ซึ่งมีรูปร่างและลักษณะเป็นพิมพ์เดียว กับแกะต้นกำเนิดตัวแรก
และได้กลายเป็นแกะที่มีชื่อเสียงที่สุด ในหน้าประวัติศาสตร์

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ได้มีการพูดถึงและโต้เถียงกันอย่างไม่รู้จบ
เกี่ยวกับการทำโคลนนิ่ง ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมาย

ภายหลังจากยุติความเชื่อที่ว่า สตรีไม่อาจตั้งครรภ์ได้นอกจากด้วยวิธีการผสมไข่
ของเพศหญิง กับสเปิร์มของเพศชาย และได้กลายเป็นเรื่องง่ายดายไปแล้ว
ที่ไม่ต้องอาศัยสเปิร์มของฝ่ายชาย โดยเปลี่ยนเป็นเอาเซลล์จากสัตว์ใดก็ได้
นำมาสร้างตัวใหม่ขึ้นมา
 

นับตั้งแต่ได้มีการประกาศเรื่อง การโคลนนิ่ง ท่าทีทางด้านศาสนา จริยธรรม
และกฎหมายมีการตอบรับเหมือนกันทั่วทั้งโลก คือถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม
และเป็นอาชญากรรม ที่จะใช้การโคลนนิ่งกับมนุษย์
ทั้งที่ยอมให้ใช้ประโยชน์เทคนิคโคลนนิ่ง กับพืชและสัตว์ได้

สถาบันต่างๆ ทางด้านศาสนาและศูนย์นิติศาสตร์อิสลามทุกแห่ง
ได้ให้คำตอบทางศาสนา(ฟัตวา) ว่าห้ามเด็ดขาดสำหรับการโคลนนิ่งมนุษย์
จนถึงขนาดที่ศูนย์การค้นคว้าทางด้านอิสลาม ได้กำชับให้ใช้การลงโทษ
ถึงขั้นสู้รบกับพวกที่นำเทคนิคการโคลนนิ่งมาใช้กับมนุษย์

และคำตอบนี้เกือบเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันในโลกอิสลาม
ในโลกของชาวคริสต์ทั้งฝ่ายคาทอลิก และออโธดอกซ์ก็มีคำตอบที่คล้ายคลึงกัน
และมุ่งไปในทิศ ทางเดียวกัน

แต่สิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ก็คือการศึกษาทางด้านศาสนาอย่างเจาะลึก       
ของนักการศึกษาของมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร ที่ได้เปิดประตูเข้ามาพูดจากัน
ถึงกรณีต่างๆ อย่างเจาะจงซึ่งจะทำให้การโคลนนิ่งมนุษย์
เป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้กระทำได้ จากมุมมองทางด้านศาสนา
เมื่อมีสภาพและหลักประกันครบถ้วน.


ในการประชุมนักนิศาสตร์อิสลาม ซึ่งจัดโดยอาจารย์เราะอ์ฟัต อุสมาน
อาจารย์วิชานิติ ศาสตร์เปรียบเทียบ คณะนิติศาสตร์และกฎหมาย
มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร เรื่อง “ การทำโคลนนิ่งภาย ใต้หลักเกณฑ์ทางด้านศาสนา ”
ซึ่งเขาได้นำเสนอในที่ประชุมสภาสูงด้านวัฒนธรรมของอียิปต์
ที่จัดประชุมในหัวข้อ “ กฎหมายและความก้าวหน้าของชีววิทยา ”
ได้มีผู้นำเสนอบทวิจัยมากมายด้านนิติศาสตร์อิสลาม
ที่เกี่ยวกับความก้าวหน้าทางชีววิทยาและส่วนหนึ่งของความก้าวหน้านั้น
ก็คือการทำโคลนนิ่ง.

ดร. เราะอ์ฟัต อุสมาน ได้ยืนยันผลงานการวิจัยของเขา
ที่ได้นำเสนอวิชาการรอบด้านและเพียงพอ เรื่องการโคลนนิ่ง

ในงานวิจัยของเขาจะพบว่า มีมากกว่าหนึ่งกรณีสำหรับการโคลนนิ่งมนุษย์
ที่จำเป็นต้องมีการแยกแยะเป็นแต่ละกรณีไป คือจะไม่ใช้ข้อชี้ขาดทางศาสนา
เพียงข้อเดียวในทุกๆกรณี และเขายังได้ขยายความว่าการโคลนนิ่งมนุษย์
มีถึงหกรูปแบบด้วยกัน มีสี่รูปแบบที่สามารถให้ข้อชี้ขาดทางศาสนาได้ว่า
เป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) โดยเด็ดขาด

ในขณะที่ยังเหลือ อยู่อีกสองรูปแบบที่เขาเห็นว่า ควรระงับการออกข้อชี้ขาดไว้ก่อน
คือจะยังไม่ชี้ขาดลงไปว่าเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) หรือเป็นสิ่งอนุมัติ (ฮะลาล)
ให้กระทำได้ จนกว่าจะรู้ผลลัพธ์ ที่จะนำมาใช้ประกอบการพิจารณาว่า
เป็นสิ่งต้องห้ามหรือเป็นสิ่งที่อนุมัติให้กระทำ.


รูปแบบที่หนึ่ง : คือการโคลนนิ่งด้วยวิธีเอานิวเคลียสของเซลล์ จากผู้หญิงคนหนึ่ง
แล้วใส่ลงไปในไข่ของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ที่ถอดนิวเคลียสออกไปแล้ว
และในขั้นสุดท้ายก็จะนำไปเพาะเลี้ยงในมดลูก
กรณีเช่นนี้ในการทำโคลนนิ่งมนุษย์  เขาวินิจฉัยว่าเป็นสิ่งต้องห้าม
ซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ทางด้านนิติศาสตร์
และรากฐานนิติศาสตร์หลายหลักเกณฑ์

หลักเกณฑ์ที่หนึ่งคือหลักอนุมาน (กิยาส)ที่ว่าด้วยห้ามหาความสุขทางเพศ
โดยเพศเดียวกัน (เลสเบี้ยนในหมู่ผู้หญิง และร่วมทางทวารหนักในหมู่ผู้ชาย)

ดังนั้นถ้าหากเป็นการหาความสุขทางเพศโดยเพศเดียวกันเป็นสิ่งต้องห้าม
การทำให้เกิดทารกขึ้นก็ยิ่งต้องสมควรเป็นสิ่งต้องห้ามมากกว่า.

อีกหลักเกณฑ์หนึ่งก็คือ เป็นการเปิดช่องทางไปสู่ความเสียหาย
เพราะถ้าหากการทำโคลนนิ่งรูปแบบนี้แพร่หลายไปในหมู่สตรี
ก็จะนำไปสู่การขยายวงของความตกต่ำให้กว้างออกไป
จึงมีการห้าม เพื่อเป็นการป้องกันผลเสียหายทางด้านจิตใจและสังคม
ที่จะเกิดขึ้นกับทารกที่คลอดออกมา


รูปแบบที่สอง : คือการเอานิวเคลียสจากเซลล์ของผู้หญิงคนหนึ่ง
แล้วนำไปใส่ในไข่ของผู้หญิงคนนั้นเอง  ก็ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม       
เช่นเดียวกับรูปแบบที่หนึ่ง หลักฐานที่บ่งชี้ว่าเป็นสิ่งต้องห้ามก็ใช้หลักฐานเดียวกัน.


รูปแบบที่สาม : คือการเอานิวเคลียสจากเซลล์สเปิร์มของเพศชาย
ใส่ลงไปในไข่ของผู้หญิง ข้อชี้ขาดทางศาสนาในรูปแบบนี้
ก็คือเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาด เพราะเป็นการกระทำที่ไร้สาระ
และเบี่ยงเบนการสร้างของอัลเลาะห์ เพราะจะทำให้เกิดเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ขึ้นมา.


รูปแบบที่สี่ : คือการเอานิวเคลียสจากเซลล์สเปิร์มของเพศชาย
แต่ไม่ใช่เป็นสามีของสตรีที่เป็นเจ้าของไข่ ข้อชี้ขาดทางศาสนาในรูปแบบนี้
ก็คือเป็นสิ่งต้องห้ามอีกเช่นเดียวกัน เพราะอยู่ในความหมายของการละเมิดประเวณี
(ซินา) ถึงแม้จะไม่ใช่เป็นการละเมิดประเวณี (ซินา) จริงๆ ก็ตาม
เพราะยังขาดองค์ประกอบสำคัญ ของการละเมิดประเวณี
แต่มันนำไปสู่เป้าหมายเดียวกันกับการละเมิดประเวณี
นั่นคือทำให้สายตระกูลปะปนกัน
ดังนั้นรูปแบบนี้ จึงมีข้อกำหนดที่ตรงกับการละเมิดประเวณี (ซินา).


ทั้งสี่รูปแบบที่กล่าวมานี้    ดร. เราะอ์ฟัต อุสมาน มีความเห็นว่า
เป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาด สอดคล้องกับมติของนักวิชาการทั้งหลาย
ที่ห้ามทำโคลนนิ่งมนุษย์.


แต่ยังมีอีกสองรูปแบบที่    ดร. เราะอ์ฟัต อุสมาน เห็นว่า
ควรชะลอการออกความเห็นในสองรูปแบบนี้ไว้ก่อน
โดยเขายังไม่เห็นด้วยกับนักวิชาการส่วนใหญ่ที่ให้ความเห็นไว้แล้วว่า
เป็นสิ่งต้องห้าม.


รูปแบบที่หนึ่งก็คือ : การเอานิวเคลียสที่มีสารพันธุกรรม จากเซลล์ของผู้ชาย (สามี)
ใส่ลงไปในไข่ของสตรี (ภรรยา) โดยมีเงื่อนไขว่าสามียังมีชีวิตอยู่
(เป็นการให้กำเนิดโดยไม่มีเพศสัมพันธ์กันระหว่างคู่สามีภรรยา)
ดร. เราะอ์ฟัต อุสมาน วินิจฉัยว่า ขอชะลอการออกความเห็นในรูปแบบนี้
โดยจะยังไม่ชี้ขาดว่าต้องห้ามหรืออนุมัติ     
โดยให้คอยผลการค้นคว้า และทดลองในเรื่องการโคลนนิ่งก่อน
ถ้าหากผลลัพธ์ของการโคลนนิ่งออกมาปรากฏว่าเป็นทารกที่พิการไม่สมประกอบ
ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ หรือทางสังคมก็ตาม
ข้อชี้ขาดก็คือเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาด
แต่ถ้าหากทารกที่คลอดออกมาเป็นปกติสมบูรณ์ ไม่พิการใดๆ
ข้อชี้ขาดในกรณีนี้ จะต้องนำมาอภิปรายกันในหมู่นักวิชาการหลายสาขา
ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ มานุษยวิทยา และนิติศาสตร์อิสลาม
โดยมีสามีที่ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ ด้วยวิธีธรรมชาติ (โดยมีเพศสัมพันธ์)
เป็นเจ้าของสิทธิ์ที่จะใช้วิธีการโคลนนิ่งมนุษย์ตามรูปแบบนี้.


ส่วนรูปแบบที่สอง : เป็นรูปแบบที่เรียกว่า แฝดสยาม หรือแฝดเหมือน
เป็นรูปแบบของการโคลนนิ่งมนุษย์ ที่จำเป็นต้องใช้เชื้อสเปิร์มจากอสุจิ
เช่นเดียวกับในรูปแบบก่อนๆ เป็นวิธีการที่จะให้กำเนิดทารกมากกว่าหนึ่งคน
เช่นเดียวกับเด็กแฝด วิธีการนี้จะใช้การผสมไข่กับเชื้อสเปิร์ม นอกมดลูก
จะเริ่มการโคลนนิ่งด้วยการกระตุ้นไข่ที่ผสมแล้ว
ให้แบ่งเป็นตัวอ่อนเป็น 2, 3 ตัว
โดยทั้งหมด จะมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกันทั้งหมด
ดร. เราะอ์ฟัต อุสมาน  วินิจฉัยว่าขอชะลอการออกความเห็นออกไปก่อน
คือจะยังไม่ตอบว่าเป็นสิ่งต้องห้ามหรืออนุมัติ
โดยให้รอคอยผลการทดลองการโคลนนิ่ง และผลที่จะเกิดตามมาเสียก่อน.



ผู้ทบทวนบทวิจัยมีทรรศนะว่าการโคลนนิ่งมนุษย์

   เป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาดและถือว่าเป็นการก่ออาชญากรรม
แต่ยินยอมให้โคลนนิ่งพืชและสัตว์ได้


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 08, 2009, 12:24 AM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด

การทำแผนที่ยีน (gene mapping )


       สิ่งมีชีวิต ประกอบด้วยเซลล์ซึ่งเป็นหน่วย ที่เล็กที่สุดของร่างกาย
เซลล์หลายๆ เซลล์เจริญ เติบโตรวมกันเป็นเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ
เนื้อเยื่อหลายชนิดรวมกันเป็นอวัยวะ อวัยวะต่างๆ รวมกันเป็นร่างกายของมนุษย์
หรือสัตว์ ในแต่ละเซลล์จะมีนิวเคลียส ซึ่งมีลักษณะทรงกลมอยูตรงกลาง
ภายในนิวเคลียสประกอบด้วยโปรตีน ที่เรียกว่า DNA
ใน DNA จะบรรจุข้อมูลแสดงลักษณะต่างๆของมนุษย์ที่เป็นพันธุกรรม
มีทั้งที่ดีและไม่ดีอยู่รวมกัน เช่นลักษณะ ดำ ขาว สูง เตี้ย
หรือ ลักษณะของการจะเกิดเป็นโรคต่างๆ เช่น โรค เบาหวาน มะเร็ง เป็นต้น

ข้อมูลนี้เรียกว่า ยีน (gene) ในร่างกายมนุษย์จะมี DNA อยู่ประมาณสามพันล้านตัว
มียีนอยู่ทั้งหมดห้าหมื่นถึงแสนยีน

การทำแผนที่ยีน ก็คือการที่นักวิทยา ศาสตร์สามารถจะรู้ชนิดของยีน
การเรียงลำดับของยีน ระยะห่างของแต่ละยีนที่ควบคุมลักษณะต่างๆของมนุษย์             

การทำแผนที่ยีนจึงช่วยให้สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าคนๆ หนึ่งต่อไปจะเป็นโรคอะไร
หรือมีลักษณะอย่างไร ช่วยทำให้สามารถจะเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆของตนเอง
เพื่อไม่ให้เกิดโรคนั้นๆ หรือเกิดช้าลงได้ เป็นต้น

ได้มีคำถามว่า เมื่อได้มีการประกาศการค้นพบแผนที่ยีนของมนุษย์
ซึ่งหมายความว่าจะสามารถรู้ความลับของชีวิตมนุษย์ได้ทั้งหมด
และด้วยแผนนี้จะทำให้สามารถตรวจพบความผิดปกติ โรคภัยไข้เจ็บ
และโรคทางพันธุกรรม ของมนุษย์แต่ละคนได้
อยากทราบว่าจุดยืนทางศาสนามีว่าอย่างไร ?

อาจารย์ ดร.อับดุลฟัตตาฮ์ อิดรีส ได้ตอบว่า :


“ ในนามของอัลเลาะห์ผู้ทรงเมตตายิ่งผู้ทรงกรุณายิ่ง
มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิแด่อัลเลาะห์
ขอพรและความสันติ จงมีแด่ศาสนทูตของอัลเลาะห์
การค้นพบแผนที่ยีนของมนุษย์หมายความว่า จะทำให้สามารถรู้ความลับชีวิตข
องมนุษย์ได้เป็นส่วนใหญ่ และจำเป็นต้องเก็บรักษาแผนที่นี้ไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัย
เพื่อรักษาความลับของบุคคลและเพื่อความปลอดภัยของเขา
ไม่ยินยอมให้เผยแพร่แผนที่ยีน และไม่ยอมเปิดเผยสิ่งที่เป็นความลับ
เพราะการนำมาเผยแพร่เปิดเผยถือเป็นการละเมิด และเป็นอันตรายที่ศาสนาห้ามไว้”




 
ความสำคัญของการไขรหัสของพันธุกรรมและอันตรายของมัน


รหัสพันธุกรรมของมนุษย์ทุกคน เหมือนตำราที่มีข้อมูลมากที่ผู้เป็นเจ้าของ
บรรจุไว้ภายในเล่ม และมันจะแสดงให้เห็นความลับของชีวิต ที่ละเอียดอ่อนที่สุด
และยังแสดงให้เห็นชีวิตของลูกหลาน ที่สืบสกุลไปจากเขา
และรวมถึงชีวิตบิดามารดาของเขาอีกด้วย
เช่นเดียวกับที่ถือว่ายีนนี้ ตลอดจนสิ่งที่มีอยู่ในยีน ที่มีรหัสอยู่ในนิวเคลียส
ของเซลล์มนุษย์ ที่จะไขเข้าไปสู่คุณสมบัติต่าง ๆ หรือ โรคภัยไข้เจ็บ
หรือความพิการทางพันธุกรรม ที่เจาะจงแน่นอน
มันจะเป็นเหมือนกับกระจกที่ส่องสะท้อนภาพที่เป็นจริงได้ไกลแสนไกล
สำหรับสิ่งที่เจ้าของมันจะเป็นไป ตลอดจนถึงลูกหลานและบรรพบุรุษของเขา
ทั้งจากลักษณะทางพันธุกรรมต่างๆ เช่น ความสูง ความเตี้ย ผิวดำแดง ผิวแดง
ความแข็งแรงของร่างกาย หรืออ่อนแอ ความอ้วน หรือผอม
ความมีลูกดกหรือเป็นหมัน เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นกระจกเงาสำหรับโรคภัยไข้เจ็บ
ความพิการที่ผู้เป็นเจ้าของมีอยู่ ซึ่งจะถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานโดยตรงหรือโดยอ้อม
ตลอดจนโรคเลือด โรคหัวใจ และเส้นเลือด เช่นมีรูระหว่างโพรงหัวใจ
ลิ้นหัวใจตีบ โรคความดันโลหิตสูง คอลเลสเตอรอลในเส้นเลือดสูง
โรคเบาหวาน โรคภูมิคุ้มกัน รวมถึงความพิการของโครโมโซมทางร่างกาย
และทางเพศ ที่อาจถ่ายทอดถึงลูกหลาน และนำไปสู่การแท้งของตัวอ่อน
หรือทารกที่มีรูปร่างพิการที่ไม่อาจใช้ชีวิตอย่างปกติได้

ตำราที่บรรจุข้อมูลเหล่านี้ จำเป็นต้องเก็บเป็นความลับอย่างสูง
โดยจะต้องไม่ให้ผู้ใดได้รับรู้ข้อมูล นอกจากผู้ที่มีจุดมุ่งหมายที่ถูกต้อง
และศาสนารับรอง ที่จะทำให้เขาได้รับอนุญาตรับรู้ความลับของเจ้าของตำรา
เช่นนายแพทย์ผู้ทำการรักษา หรือผู้ที่ทำหน้าที่ตัดอวัยวะ
หรือเอาอวัยวะจากเจ้าของแผนที่ยีนเพื่อปลูกให้แก่คนอื่น หรือเพื่อย้ายมาให้เขา
หรือผู้ที่ทำหน้าที่ผสมเทียม หรือหน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศ
หรือหน่วยงานด้านตุลาการ หรือหน่วยงานสอบสวนคดีอาญา
เพื่อตรวจหาความถูกต้อง DNA ของเจ้าของแผนที่ยีน
ขณะที่เกิดความสงสัยในทางอาญา หรือหน่วยนิติเวชที่ต้องการยืนยัน
หรือปฏิเสธ การสืบสกุลของเจ้าของรหัสพันธุกรรม หรืออื่นๆ
หรือแพทย์ที่ได้รับมอบหมาย ให้ทำการตรวจผู้ที่ประสงค์จะแต่งงานกันทั้งฝ่ายชาย
และฝ่ายหญิง เพื่อให้ทราบยีนของผู้ประสงค์จะแต่งงานกันว่า มีความสอดคล้อง
(เข้ากันได้หรือไม่) เพื่อจะได้ไม่ ให้กำเนิดทารกที่มียีนพิการ
หรือบกพร่องและบุคคลอื่นๆ ที่โดยปกติแล้วหน้าที่การงานของพวกเขา
ต้องรับรู้แผนที่พันธุกรรมของผู้คน และศาสนาให้การยอมรับพวกเขา

หลักฐานที่ยืนยันว่าต้องปกปิดความลับของแผนที่พันธุกรรม
ศาสนาใช้ให้เก็บรักษาของฝาก อัลเลาะห์ตาอาลาตรัสว่า :


“ แท้จริงอัลเลาะห์บัญชาใช้พวกเจ้าให้คืนของฝากแก่ผู้เป็นเจ้าของมัน ”
(อันนิซาอ์ : 58)


มีฮะดีษรายงานจาก อะบีฮุรอยเราะห์ (ร.ด.)
ว่าท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล..) ได้กล่าวว่า :


“  ท่านจงคืนของฝากแก่ผู้ที่มอบให้ท่านดูแล 
และท่านอย่าทุจริตผู้ที่ทุจริตท่าน ”


ให้ถือว่าการไม่เก็บรักษาของฝากเป็นการทุจริต
และถือว่าผู้ที่ทุจริตของฝากที่ได้รับมอบ หมายให้ดูแลนั้น
มีลักษณะของผู้ที่กลับกลอก

มีรายงานจากอะบีฮุรอยเราะห์(ร.ด.)ว่าท่านศาสดา (ซ.ล.)ได้กล่าวว่า


“ เครื่องหมายของคนกลับกลอกมีสามอย่าง  :
เมื่อเขาพูดเขาจะโกหก เมื่อเขาสัญญา เขาจะผิดสัญญา
และเมื่อเขาได้รับความไว้วางใจ เขาจะทุจริต ”

รายงานโดยติรมีซี


ท่านอิหม่ามนะวะวีย์ ได้อธิบายฮะดีษนี้ว่า :
นักวิชาการส่วนใหญ่ยืนยันว่าทั้งสามประการนี้คือคุณสมบัติของคนที่กลับกลอก
เมื่อผู้มีศรัทธาคนใดมีลักษณะดังกล่าว เขาก็จะถูกเรียกว่าเป็นคนกลับกลอก

ท่านคอตตอบีย์ ได้กล่าวว่า

“ ฮะดีษนี้เป็นการเตือนสติมุสลิมไม่ให้มีพฤติกรรมเช่นนั้น
ซึ่งถ้าหากเขามีพฤติกรรมเช่นนั้น ก็จะนำพาเขาไปสู่การเป็นคนกลับกลอกที่แท้จริง”


การเปิดเผยความลับของเจ้าของแผนที่ยีนแก่บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง
จะทำให้เกิดอันตรายใหญ่หลวงแก่ตัวเขาและลูกหลาน
ความจริงศาสนาห้ามการกระทำที่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่น


ท่านอิบนุอับบาส (ร.ด.) ได้รายงานว่า ท่านศาสนทูต (ซ.ล.) ได้กล่าวว่า :


“ จะไม่มีการกระทำที่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ตนเอง
และก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้อื่นในศาสนาอิสลาม ”

    ฮะดีษนี้มีความหมายเป็นการห้าม หมาย ความว่าไม่อนุมัติแก่ผู้ใด
ที่จะก่อให้เกิดภัยอันตรายแก่บุคคลอื่น ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม
และเมื่อการก่อภัยอันตรายต่อบุคคลอื่น ถือเป็นสิ่งต้องห้ามทางบัญญัติศาสนา

ดังนั้นผู้ที่ก่อภัยอันตรายให้เกิดกับผู้อื่น ก็เป็นผู้ที่มีความผิด
เขาจำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้ที่ได้รับภัยอันตราย


ผู้ทบทวนมีทรรศนะในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลของแผนที่ยีนดังนี้

ไม่อนุญาตให้ผู้มีหน้าที่ต้องรับรู้แผนที่ยีนนำข้อมูลแผนที่ยีนของบุคคล
ออกเปิดเผยแก่ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

การนำแผนที่ยีนของบุคคลออกเปิดเผยถือเป็นการละเมิดสิทธิ์และเป็นการทุจริต
ผู้ได้รับความเสียหายจากการเปิดเผยข้อมูลแผนที่ยีนมีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหาย
และมีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยการเปิดเผยข้อมูลแผนที่ยีน
จะกระทำได้ในกรอบที่แคบที่สุด และเฉพาะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 08, 2009, 12:47 AM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด

 salam

ลืมกระทู้นี้ไปเลยค่ะ...จริงๆยังมีเนื้อหาอีกนิดนึง hehe
มาต่อกันนะคะ


การบริจาคอวัยวะให้แก่คนต่างศาสนิก


สรุปประเด็น จากเอกสารทางวิชาการที่สืบค้นได้ดังนี้
 

     - อนุญาตให้มุสลิมบริจาคอวัยวะให้แก่คนต่างศาสนิกได้
เช่นเดียวกับที่อนุญาตให้รับบริจาคอวัยวะจากคนต่างศาสนิก

เชค ยูซุฟ อัลกอรฎอวีย์ ได้กล่าวว่า

มีผู้คนมากมายถามว่า อนุญาตให้นำอวัยวะของคนที่ไม่ใช่มุสลิม
มาปลูกถ่ายในร่างของมุสลิมได้หรือไม่ ?
และ เขาก็ได้ตอบว่า แน่นอน อนุญาตให้กระทำได้
เพราะอวัยวะในร่างกายของมนุษย์นั้น ไม่เกี่ยวกับความเป็นมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิม
อวัยวะทั้งหมดยอมจำนนต่ออัลเลาะห์ ทุกอวัยวะที่เข้าอยู่ในร่างของมนุษย์แล้ว
จะกล่าวคำสดุดีและสรรเสริญอัลเลาะห์

“ ไม่มีสิ่งใดนอกจากสดุดีพร้อมด้วยการสรรเสริญอัลเลาะห์  ”

เช่นเดียวกับที่ยินยอมให้มุสลิม รับบริจาคอวัยวะเพื่อการปลูกถ่าย
จากผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม ก็ยินยอมให้มุสลิมบริจาคอวัยวะให้แก่คนที่ไม่ใช่มุสลิม
ด้วยเช่นเดียวกัน พวกเขาจะไม่ใจบุญกว่าพวกเรา พวกเขาบริจาคให้เรา
โดยเราจะไม่บริจาคให้พวกเขาหรือ ? !

อัลเลาะห์ ตาอาลาตรัสว่า




“ อัลเลาะห์ไม่ห้ามพวกเจ้าที่จะปฏิบัติด้วยดีกับพวกที่ไม่ได้ต่อสู้
กับพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และไม่ได้ขับไล่พวกเจ้า
ออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า และ(ไม่ห้าม) ที่พวกเจ้า
จะให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา ”

(อัลมุมตะฮิ-นะห์8 )

ดังนั้นการปฏิบัติด้วยดี และทำความดีแก่พวกเขา
จึงเป็นสิ่งที่ศาสนาเรียกร้องให้เกิดขึ้น




“ และพวกเขา (มุสลิม) จะให้อาหารเป็นทาน
ทั้งที่ยังมีความต้องการมัน แก่คนยากจน เด็กกำพร้า และเชลยศึก ”


(อัลอินซาน8)

ซึ่งเชลยศึกในขณะนั้นไม่ใช่เป็นมุสลิม






“ แท้จริง เราให้อาหารแก่พวกเจ้าเพื่ออัลเลาะห์
โดยเราไม่ปรารถนาการตอบแทนและการขอบคุณจากพวกเจ้าแต่ประการใด ”
 

(อัลอินซาน9)



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 05, 2009, 04:01 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด


การปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์สู่มนุษย์


สรุปประเด็น จากเอกสารทางวิชาการที่สืบค้นได้ดังนี้

      - อนุญาต ให้ปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์สู่มนุษย์ได้
แม้จะเป็นอวัยวะจากสัตว์ต้องห้ามในศาสนาอิสลาม (นะญิส) ก็ตาม
เพราะเป็นการปลูกถ่ายไว้ภายในร่างกาย ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลกระทบ
ในเรื่องความสะอาด ที่เป็นเงื่อนไขในการประกอบศาสนกิจแต่อย่างใด

ได้มีคำถามว่า จะอนุญาตให้ปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์สู่มนุษย์ได้หรือไม่
ถ้าหากสัตว์นั้นเป็นสุนัขหรือสุกร โดยได้รับการยืนยันในทางการแพทย์ว่า
สามารถเอาอวัยวะบางอย่างจากสัตว์ได้แล้ว ?

เชค ยูซุฟ อัลกอรฎอวีย์ ตอบว่า

ข้าพเจ้าได้อภิปรายเรื่องนี้ ในที่ประชุมและได้กล่าวไว้เป็นเบื้องต้นว่า
มีทรรศนะที่แตกต่างกันในประเด็นเหล่านี้ แม้แต่อิหม่ามมาลิกก็ได้กล่าวว่า
สัตว์มีชีวิตทุกชนิดสะอาดแม้แต่สุนัข และยังมีผู้กล่าวว่าสุกรก็เป็นสัตว์ที่สะอาด
ท่านอิหม่าม อัชเชากานีย์ได้กล่าวว่า สุกรสะอาด   
เพราะอายะห์ที่กล่าวว่า        ( ? ) “ มันเป็นสิ่งโสโครก”
หมายถึงเนื้อของมันเป็นนะญิส 

ถ้าหากมองในแง่นี้ ทางด้านนิติศาสตร์ก็เปิดกว้าง
และอีกแง่หนึ่งข้าพเจ้าขอกล่าวว่าสิ่งโสโครก (นะญิส) ที่ศาสนาห้ามนั้น
คือสิ่งที่มนุษย์แบกรับไว้ภายนอก

ส่วนสิ่งโสโครก (นะญิส) ที่มนุษย์แบกรับไว้ภายในนั้น
จะไม่นำมาพิจารณา โดยมีหลักฐานว่าในร่างกายของมนุษย์นั้น
มีทั้งปัสสาวะ อุจจาระ และเลือด ก็ไม่ได้มีการนำมาพิจารณาแต่อย่างใด

ดังนั้นเมื่อท่านนำเอาอวัยวะจากสัตว์ที่เป็นนะญิส มาใส่ไว้ในร่างกาย
ก็จะไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้นในเรื่องความสะอาดที่ต้องมีในละหมาด
และศาสนกิจอื่นๆ ที่มีเงื่อนไขว่าต้องสะอาด
 


ทรรศนะของผู้ทบทวนในประเด็นการปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์สู่มนุษย์มีดังนี้


 - อนุญาต ให้ปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์สู่มนุษย์ได้
แม้จะเป็นอวัยวะจากสัตว์ต้องห้ามในศาสนาอิสลาม (นะญิส) ก็ตาม
เพราะเป็นการปลูกถ่ายไว้ภายในร่างกาย
ซึ่งไม่ก่อให้ผลกระทบในเรื่องความสะอาด
ที่เป็นเงื่อนไขในการประกอบศาสนกิจแต่อย่างใด


การให้กำเนิดลูกคนหนึ่ง เพื่อใช้เป็นอะไหล่อวัยวะให้กับลูกอีกคนหนึ่ง
           

สรุปประเด็น จากเอกสารทางวิชาการที่สืบค้นได้ดังนี้
 

      - ไม่อนุญาตให้เอาอวัยวะจากผู้เยาว์ไปให้แก่ผู้อื่น
แม้จะเป็นบิดามารดาหรือพี่น้องของตนก็ตาม

      - ผู้บริจาคอวัยวะต้องเป็นผู้บรรลุศาสนภาวะ

มีคำถามว่า “ พวกเรามีเพื่อนบ้านสตรีคนหนึ่ง ที่ต้องการเปลี่ยนไต
แต่สามีไม่ยอมบริจาคไตให้ ผู้เป็นบิดาต้องการให้บุตรชายบริจาคไต
ให้แก่ผู้เป็นแม่ แต่ภรรยาต้องการไตจากผู้เป็นสามีเพราะสามีมีอายุมากแล้ว   
ไม่ต้องการไตของบุตรเพราะต้องการให้บุตรมีสุขภาพสมบูรณ์
เพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบในภายหลัง มีข้อกำหนดทางศาสนาอย่างไร ในเรื่องนี้ ? ”


เชค ยูซุฟ อัลกอรฎอวีย์ ตอบว่า

การบริจาคไม่ใช่เกิดจากคำสั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กยังเป็นผู้เยาว์
ศาสนาไม่อนุญาตให้ทำการบริจาค

ผู้บริจาคนั้น จะต้องบรรลุศาสนภาวะ ในขณะที่นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า
จะต้องมีอายุ 18 ปี นักนิติศาสตร์อิสลามมีทรรศนะแตกต่างกัน
ในเรื่องวัยบรรลุศาสนภาวะ บางท่านมีทรรศนะว่าอายุ 15 ปี
บางท่านว่า 17 ปี หรือ 18 ปี แต่บรรดาแพทย์กล่าวว่าต้องมีอายุถึง 21 ปี
ซึ่งถือว่าเป็นวัยที่มีความรับผิดชอบ เพราะเรื่องการบริจาคอวัยวะ
เป็นเรื่องที่มีอันตรายมาก

ถ้าหากบุตรเป็นผู้เยาว์ ไม่อนุญาตให้ผู้เป็นบิดาบังคับบุตรของตน
และไม่อนุญาตให้เอาอวัยวะใดจากบุตรของตน และเมื่อบุตรบรรลุศาสนภาวะแล้ว
เขาจะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะบริจาคให้แก่แม่หรือไม่
และการทดแทนคุณมารดานั้นไม่ได้อยู่ที่การบริจาคอวัยวะให้
การบริจาคเป็นสิ่งที่ควรกระทำ ไม่ใช่เป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำ
และไม่อนุญาตให้บิดาบังคับบุตรให้บริจาคอวัยวะแก่มารดา
เพราะเรื่องนี้ไม่ถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องถูกบังคับให้กระทำ
แต่เป็นสิ่งที่ต้องสมัครใจกระทำเองเท่านั้น
จะไม่มีการบังคับให้บริจาคอวัยวะเป็นอันขาด



ทรรศนะของผู้ทบทวนบทวิจัย

 - ไม่อนุญาตให้เอาอวัยวะจากผู้เยาว์ไปให้แก่ผู้อื่น
แม้จะเป็นบิดามารดาหรือพี่น้องของตนก็ตาม

-  ผู้บริจาค อวัยวะ ต้องเป็นผู้บรรลุศาสนภาวะ
และบริจาคอวัยวะด้วยความสมัครใจ



"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด


การคุมกำเนิด


สรุปประเด็น จากเอกสารทางวิชาการที่สืบค้นได้ดังนี้

      - เป้าหมายของการแต่งงาน ตามหลักศาสนาอิสลามคือ การมีบุตร
และการรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ และไม่ยินยอมให้ทำลายเป้าหมายนี้
ด้วยการคุมกำเนิด เพราะการทำลายเป้าหมายนี้ขัดกับบทบัญญัติศาสนา

      - ยินยอมให้ควบคุมการมีบุตรได้ชั่วคราวเพื่อเว้นช่วงการตั้งครรภ์
หรือพักการตั้งครรภ์เป็นการชั่วคราวในช่วงเวลาหนึ่ง
เพราะมีความจำเป็นตามบัญญัติศาสนา
ทั้งนี้โดยการกำหนดร่วมกันของคู่สามีภรรยา
และด้วยความพอใจของทั้งสองฝ่าย

สภานิติศาสตร์อิสลาม ซึ่งจัดการประชุมขึ้นเป็นครั้งที่ 5 ที่ประเทศคูเวต
ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 6 ญุมาดั้ลอาคิร ฮ.ศ. 1409 
ตรงกับวันที่ 10 – 15 ธันวาคม ค.ศ. 1988
หลังจากได้ตรวจสอบบทความที่ส่งมาจากคณะกรรมการและผู้เชี่ยวชาญ
ในหัวข้อเรื่องการคุมกำเนิด และภายหลังจากได้รับฟังการอภิปราย
เกี่ยวกับหัวข้อดังกล่าว ได้เห็นพ้องต้องกันว่า

เป้าหมายของการแต่งงานตามหลักศาสนาอิสลามคือ การมีบุตร
และการรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ และไม่ยินยอมให้ทำลายเป้าหมายนี้
เพราะการทำลายเป้าหมายนี้ขัดกับบทบัญญัติศาสนา
และคำแนะนำของบทบัญญัติ ที่เรียกร้องให้มีบุตรมากๆ
เพื่อปกป้องและรักษาวงศ์วาน โดยถือว่าการปกป้อง และรักษาวงศ์วาน
เป็นหนึ่งจากหลักสำคัญห้าประการ ที่บัญญัติศาสนาให้การคุ้มครอง
จึงได้มีมติดังต่อไปนี้ :

หนึ่ง ไม่ยินยอมให้ออกกฎหมายจำกัดเสรีภาพของคู่สามีภรรยาในการมีบุตร

สอง ห้ามกำจัดความสามารถในการมีบุตร ทั้งในเพศชายและเพศหญิง
ด้วยการทำหมัน เมื่อไม่มีความความคับขันตามมาตรฐานของศาสนา

สาม อนุญาตให้ควบคุมการมีบุตรได้ชั่วคราว เพื่อเว้นช่วงการตั้งครรภ์
หรือพักการตั้งครรภ์เป็นการชั่วคราวในช่วงเวลาหนึ่ง
เพราะมีความจำเป็นตามบัญญัติศาสนา
ทั้งนี้โดยการกำหนดร่วมกันของคู่สามีภรรยา
และด้วยความพอใจของทั้งสองฝ่าย โดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่เกิดอันตราย
ขึ้นกับการกระทำเช่นนั้น และสื่อที่ใช้ในการเว้นระยะการตั้งครรภ์
จะต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักศาสนา
และจะต้องไม่ทำให้ครรภ์ที่มีอยู่เป็นอันตราย


ผู้ทบทวนมีทรรศนะในประเด็นการคุมกำเนิดดังนี้

 - เป้าหมายของการแต่งงาน ตามหลักศาสนาอิสลาม คือการมีบุตร
และการรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ และไม่ยินยอมให้ทำลายเป้าหมายนี้
ด้วยการคุมกำเนิด เพราะการทำลายเป้าหมายนี้ขัดกับบทบัญญัติศาสนา
 
 - ยินยอมให้ควบคุมการมีบุตรได้ชั่วคราวเพื่อเว้นช่วงการตั้งครรภ์
หรือพักการตั้งครรภ์เป็น การชั่วคราวในช่วงเวลาหนึ่ง
เพราะมีความจำเป็นตามบัญญัติศาสนา
ทั้งนี้โดยการกำหนดร่วมกันของคู่สามีภรรยา
และด้วยความพอใจของทั้งสองฝ่าย


 
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด


การทำแท้งทารกที่พบว่ามีความผิดปรกติ


สรุปประเด็น จากเอกสารทางวิชาการที่สืบค้นได้ดังนี้

มีคำถามว่า

“ ดิฉันมีเพื่อนคนหนึ่งกำลังตั้งครรภ์ แพทย์หลายคนลงความเห็นว่า
ทารกพิการ มีความจำเป็น ต้องทำแท้ง
อยากทราบว่ามีบทบัญญัติทางศาสนาว่าอย่างไรในเรื่องนี้ ? ”


ดร. ฮุชามุดดีน บินมูซา อะฟานะห์ ได้ตอบว่า


            ในนามของอัลเลาะห์ มวลการสรรเสริญในนามของอัลเลาะห์
มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์แด่อัลเลาะห์
ขอพรและความสันติสุขจงมีแด่ศาสดาของอัลเลาะห์
การมีชีวิตของทารกเป็นชีวิตที่มีศักดิ์ศรี จำเป็นต้องรักษาไว้     
เมื่อแพทย์หลายท่านลงความเห็นว่า ทารกพิการทางร่างกายให้พิจารณาดังนี้

ถ้าหากความพิการนี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวทารกเช่นดวงตาพิการเป็นต้น   
ในกรณีนี้ห้าม (ฮะรอม) ทำแท้งโดยไม่มีเงื่อนไข
แต่ถ้าหากความพิการนี้เป็นอันตราย อนุญาตให้ทำแท้งได้ก่อนใส่วิญญาณ
และไม่อนุญาตทำแท้งภายหลังจากใส่วิญญาณแล้ว
และถ้าหากการปล่อยทารกไว้กลัวว่าจะเกิดอันตรายกับผู้เป็นมารดา
ก็อนุญาตให้ทำแท้งได้โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ

สิ่งที่ควรทราบเป็นลำดับแรก ก็คือข้อ
กำหนดทางศาสนาเกี่ยวกับการทำแท้งทั่ว ๆ ไป
ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องการทำแท้งทารกที่พิการ
นักวิชาการเห็นพ้องกันว่า ห้ามทำแท้งทารกที่ตั้งครรภ์ผ่าน 120 วันไปแล้ว
ทั้งนี้เพราะวิญญาณได้ถูกใส่เข้าไปในทารกแล้ว

เมื่อผ่านกำหนดเวลาดังกล่าว ตามทรรศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่
เพราะมีหะดีษที่เล่าจากอับดิลลาห์ บุตร มัสอูด (ร.ด) ว่า
ท่านศาสนทูต (ซ.ล) ผู้สัจจะและได้รับการรับรองว่ามีสัจจะ
ได้เล่าให้พวกเราฟังว่า

“ คนใดก็ตามในหมู่พวกเจ้านั้น การสร้างเขาจะถูกรวมอยู่ในครรภ์มารดา
เป็นเวลาสี่สิบวัน หลังจากนั้นจะกลายเป็นก้อนเลือดในเวลาเท่ากันนั้น
หลังจากนั้น จะกลายเป็นก้อนเนื้อในเวลาเท่ากันนั้น
หลังจากนั้นอัลเลาะห์จะส่งเทวทูตมา และเขาจะถูกบัญชาไว้สี่ประการคือ
ปัจจัยยังชีพของเขา อายุ ขัยของเขา การงานของเขา ชั่วหรือดี
และหลังจากนั้นวิญาณจะถูกใส่เข้าไปในร่างของเขา..”
รายงานโดยบุคอรี.

มีข้อยกเว้นจากข้อกำหนดดังกล่าว เพียงสภาพเดียวเท่านั้นคือ
เมื่อคณะเเพทย์ที่เชื่อถือได้และเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ยืนยันว่า
การปล่อยครรภ์ไว้จะก่อให้เกิดอันตรายอย่างแน่นอนแก่ชีวิตของผู้เป็นมารดา
จึงอนุญาตให้ทำแท้งได้

ทางสภานิติศาสตร์อิสลามขององค์การสันนิบาตโลกอิสลาม
ที่นครมักกะห์ได้มีมติไว้ดังนี้

เมื่อตั้งครรภ์ได้ 120 วัน ไม่อนุญาตให้ทำแท้ง
ถึงแม้การตรวจทางการแพทย์จะยืนยันว่า ทารกมีรูปร่างพิการ
ยกเว้นเมื่อปรากฏตามรายงานของคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า
การปล่อยทารกในครรภ์ไว้จะเป็นอันตรายอย่างแน่นอนกับผู้เป็นมารดา
จึงอนุญาตให้ทำแท้งได้ไม่ว่าทารกจะพิการหรือไม่ก็ตาม
เพื่อป้องกันอันตรายที่ใหญ่หลวงที่สุดจากอันตรายทั้งสองอย่าง
(คืออันตรายที่เกิดกับชีวิตของมารดา และอันตรายที่เกิดกับทารกจากการทำแท้ง)



ผู้ทบทวนมีทรรศนะ ในประเด็นการทำแท้งทารก
ที่พบว่ามีความผิดปรกติมีดังนี้


การมีชีวิตของทารก เป็นชีวิตที่มีศักดิ์ศรี จำเป็นต้องรักษาไว้
เมื่อแพทย์หลายท่านลงความเห็นว่าทารกพิการทางร่างกายให้พิจารณาดังนี้

ถ้าหากความพิการนี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวทารกเช่นดวงตาพิการเป็นต้น
ในกรณีนี้ห้าม (ฮะรอม) ทำแท้งโดยไม่มีเงื่อนไข
แต่ถ้าหากความพิการนี้เป็นอันตรายอนุญาตให้ทำแท้งได้
ก่อนใส่วิญญาณคือก่อน 120 วันนับแต่ตั้งครรภ์
และไม่อนุญาตทำแท้งภายหลังจากใส่วิญญาณแล้ว

แต่ถ้าหากการปล่อยทารกไว้ในครรภ์ จะเกิดอันตรายกับผู้เป็นมารดา
ก็อนุญาตให้ทำแท้งได้โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ
ทรรศนะนี้อาศัยหลักการของศาสนา ไม่ใช่หลักกฎหมาย



ที่มา: http://www.miftahbandon.org/data/index.php?option=com_content&view=article&id=9:2009-08-24-04-16-31&catid=1:2009-08-20-08-44-59&Itemid=3


วัสลามค่ะ




"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ กอ-กล้วย

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 353
  • kuru cook
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
วะอะลัยกุมุสสลามวะเราะฮฺมะตุลลอฮฺวะบะรอกาตุฮฺ

ญาซากิลลาฮุค็อยรอน "น้องน้ำค้างยามดึกแห่งแดนซากุระ"  loveit:

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจมากคะ ไว้จะมาอ่านนะคะ (ตอนนี้ขอปั่นงานก่อน) อิงชาอัลลอฮฺ

ในสาขาที่ก๊ะเรียนอยู่มีวิชา GENE TECH และ BIOCHEM ENGINEERING เป็นวิชาบังคับที่ต้องลงเรียนตามหลักสูตร

ซึ่งจะมีเนื้อหาในส่วนที่น้องนำเสนอด้วยคะ ตอนเรียนรู้สึกขัดใจมาก เพราะคิดมาตลอดว่า มันเป็นสิ่งที่จะขัดกับหลักอิสลามมั้ย

ทั้ง ๆ ที่เป็นวิชาที่น่าเรียนและน่าสนใจคะ สงสัยเมื่ออ่านบทความที่น้องน้ำค้างนำเสนอจบ ก๊ะคงต้องกลับไปอ่านเนื้อหาที่เคยเรียนใหม่แล้ว

จะได้มีความรู้อย่างแจ่มแจ้งมากขึ้น ไม่ใช่สักแค่ว่ารู้แบบงู-งู ปลา-ปลา หรือแค่เรียนให้ผ่านไป  no:

วัสสลามุอะลัยกุมวเราะฮฺมะตุลลอฮฺวะบะรอกาตุฮฺ

 

GoogleTagged