ผู้เขียน หัวข้อ: มัวะยีซาตมหาศาสดา (ซ็อลลัลลอฮุอ้าลัยฮิว่าซั้ลลัม)  (อ่าน 18540 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ As-Zaleek

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 804
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +33
    • ดูรายละเอียด
 salam

25  หินและต้นไม้ให้สล่าม

เมื่อใกล้ถึงเวลาที่มูฮำหมัดจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นร่อซู้ล เป็นผู้ประกาศเก่ชาวโลก อัลลอฮ์ได้ทรงทำให้มูฮำหมัดรักความสันโดษ

ท่านนบี(ซ.ล) ชอบอยู่คนเดียว ห่างไกลผู้คน ชอบพิจารณาจักรวาล และความยิ่งใหญ่แห่งผู้สร้าง เมื่อท่านออกจากมักกะห์ ออกไปให้พ้นผู้คน ไม่ว่าท่านจะเดินผ่านก้อนหิน หรือต้นไม้ ท่านจะได้ยินเสียงให้สล่ามว่า ขอความสันติสุขจงประสพแด่ท่านเถิด โอ้ร่อซูลุ้ลลอฮ์ ท่านจะผินไปรอบๆทั้งทางขวาและซ้าย ด้านหลัง เพื่อหาที่มาของเสียงสล่ามนั่น แต่ก็ไม่พบสิ่งใดนอกจากหินและต้นไม้

จนกระทั่ง มูฮำหมัดมีความพร้อมที่จะรับวะฮีแต่งตั้งให้เป็นร่อซู้ล ซึ่งท่านเคยฝันมาก่อนนี้แล้ว ในที่สุดความฝันนั้นก็เป็นความจริง

พระนางอะอีซะห์ ร่อดิยั้ลลอฮุ์อันฮา เล่าว่า แท้จริงสิ่งที่เป็นจุดเริ่มแต่งตั้งมูฮำหมัดให้เป็นนบี เพื่อที่พระองค์จะทรงเทิดเกียรติ และประทานเราะหฺมัตแก่ชาวโลกก็คือ ความฝันที่เป็นจริง ท่านได้ฝันในตอนรุ่งอรุณของซุบฮ์ อันหมายถึงการเบิกฟ้าโลกขึ้นใหม่

ด้วยความฝันนั้นทำให้ท่านรักการอยู่คนเดียว ไม่มีสิ่งไดที่ท่านรักมากกว่าต้องการอยู่คนเดียว

ท่านจึงไปแสวงหาความสันโดษ ความวิเวกอยู่ในถ้ำฮิรอฮ์ใกล้ๆมักกะห์ โดยท่านจะใช้ชีวิตในลักษณะนี้ปีละหนึ่งเดือน ท่านแสวงหาแนวทางเพื่อนำสันติภาพให้เกิดขึ้นแก่ชาวโลก พร้อมกับบำเพ็ญภาวนาทำอิบาดะห์ จนเมื่อถึงเวลาที่พระองค์ทรงประสงค์ วะฮีจากอัลลอฮ์ก็มาสัมผัสกับท่าน

اقْرَأْ بِاسْمِ رَبِّكَ الَّذِىْ خَلَق

จงอ่านเถิด(มูฮำหมัด) ด้วยพระนามแห่งพระผู้อภิบาลของเจ้า ผู้ทรงบังเกิด


เป็นการแจ้งให้ท่านทราบถึงจุดเริ่มแห่งการเป็นร่อซู้ล เป็นการประกาศให้ฟากฟ้าได้รับรู้ว่า ดาวประดับฟ้าดวงสุดท้ายได้บังเกิดขึ้นแล้ว

อ้างอิงจาก หนังสือ 30 มัวะยีซาตมหาศาสดาศ็อลฯ (ฉบับภาษาไทย) โดยท่าน อ. อับดุลการีม(อรุณ) วันแอเลาะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ย. 01, 2009, 11:33 AM โดย As-Zaleek »
الأيام تمضى       والعمر يزيد         ولكن الحب بالقلب أكيد

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
 salam

เข้ามาก็อปไปทำเป็นไฟล์เวิร์ดตัวใหญ่สำหรับอ่านง่าย ๆ ใกล้จะครบ 25 มัวะญิซาต แล้ว ขอเชิญท่าน As-Zaleek นำเสนอต่อครับ

ขอมะอัฟ ถ้าติดธุระสำคัญ แต่ถ้าไม่ติดธุระ เร่งหน่อยก็ดีครับ วัยรุ่น(แรก)ใจร้อน

วัสสลาม

ออฟไลน์ a d n a n

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 698
  • เพศ: ชาย
  • "และคำพูดที่ดี เป็นซอดาเกาะฮฺ" (บุคอรียฺ , มุสลิม)
  • Respect: +13
    • ดูรายละเอียด
Walaikummusalam

ญาซากัลลอฮุค็อยร็อน

ชอบกระทู้นี้จัง
  mycool:
หากมาอย่าง " ผึ้ง " ก็จะได้ ~o น้ำหวาน o~ กลับไป oOo หากมาอย่าง " แมลงวัน " ก็จะไม่ได้อะไร นอกจาก

ออฟไลน์ กูปีเยาะฮฺสะอื้น

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1679
  • เพศ: ชาย
  • ที่สุดแห่งชีวิต
  • Respect: +14
    • ดูรายละเอียด
มีหลักเกณฑ์ ยึดหลักการ มีหลักฐาน มั่นหลักธรรม

ออฟไลน์ sukkree

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 1
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
จะฟังบายานกดตรงหนัยคับผม

ออฟไลน์ FATHARN

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 7
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
26 เมฆและอูฐ
   
เมื่อมูฮัมมัดมีอายุสู่วัยหนุ่ม ในวันหนึ่งอะบูตอลิบผู้เป็นลุงได้พูดกับเขาว่า คอดีญะฮ์บินติคุวัยลิด ได้ว่าจ้างคนนำสินค้าไปขายที่ซีเรียโดยแบ่งผลกำไรส่วนหนึ่งให้ แต่หากมูฮัมมัดคุมคาราวานสินค้าไป นางจะแบ่งผลกำไรให้มากกว่าที่คนอื่นไป เนื่องจากนางรู้จักยอมรับและสรรเสริญในคุณธรรมของมูฮัมมัดมาโดยตลอด  มูฮัมมัดตอบตกลงผู้เป็นลุง ซึ่งคอดียะฮ์ก็แสดงความยินดีโดยจะแบ่งผลกำไรให้สองเท่าจากที่เคยแบ่งให้แก่คนอื่น

มูฮัมมัดออกเดินทางพร้อมกับกองคาราวานเพื่อทำการค้าโดยมีมัยซาเราะฮ์  ทาสผู้จงรักภักดีของคอดียะฮ์มาร่วมเดินทางด้วย

มัยซาเราะฮ์เล่าว่า ฉันได้ออกเดินทางกับมูฮัมมัดเที่ยวนี้ ฉันได้เห็นอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างซึ่งฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ตลอดเส้นทางทั้งไปและกลับ  เมื่อเดินทางออกยังที่โล่งและมีแสงแดดร้อนปานจะเผาไหม้ทุกสิ่งทุกกอย่างที่ได้รับลำแสงของมัน ฉันเห็นเมฆสีขาวลอยบนฟากฟ้าคอยคลุมและกันไม่ให้แสงแดดแผดเผามูฮัมมัด และเมื่อตกเย็นความร้อนถดถอยหายไปเมฆเหล่านั้นก็จะลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน

วันหนึ่งขณะที่กองคาราวานกำลังเดินทางอยู่กลางทะเลทราย ปรากฏว่ามีอูฐร่วมเดินทางสองตัวเดินช้า ฉันจึงย้อนกลับไปดู ฉันได้พยายามขับไล่ให้มันเดินเร็ว ๆ จะได้ทันกองคาราวาน แต่ความพยายามของฉันก็ไม่บังเกิดผล อูฐทั้งสองมีเหงื่อท่วมตัว มันไม่ไหว มันแย่อย่างเห็นได้ชัด เป็นเครื่องหมายบอกว่าอูฐสองตัวนี้กำลังจะตาย  ฉันจึงรีบไปหามูฮัมมัดซึ่งนำคาราวานอูฐไปข้างหน้าก่อนแล้ว  ฉันได้เล่าให้เขาฟังถึงสภาพอูฐสองตัวนั้น  มูฮัมมัดได้ย้อนกลับไปดูอูฐสองตัวนั้น ซึ่งเราทั้งสองได้เห็นมันนอนหงาย มันไม่สามารถยืนได้อีกแล้ว เมื่อมูฮัมมัดก้มลงไปดูมัน มันทั้งสองส่งเสียงเหมือนจะบอกว่า มันไม่ไหวแล้ว มันกำลังจะตาย มูฮัมมัดได้เอามือลูบขาหลังของมันแล้วมันก็ยืนขึ้นในทันที มันแข็งแรง มันสามารถเดินนำหน้าอูฐทั้งหมดในกองคาราวาน ฉันมีความรู้สึกที่ดีต่อมูฮัมมัด ตลอดการเดินทางฉันไม่เคยมีความรู้สึกที่ดี ๆ อย่างนี้มาก่อนเลย ฉันได้เห็นความคล่องแคล้ว และเห็น…เห็น…เห็น…ศักยภาพที่สุดจะบรรยายของมูฮัมมัดซึ่งไม่ธรรมดาเลย เมื่อเราได้เดินทางไปถึงซีเรียเราขายสินค้าได้ทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็วและเราได้รับกำไรมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

ฉันไม่เคยเห็นใครที่มีอะมานะฮ์ มีสัจจะ มีความบริสุทธิ์ใจ และมีความเป็นชายชาตรี มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีแต่คนรักมาก่อนหน้านี้เลย

เมื่อเราเดินทางกลับมักกะฮ์ เราก็ได้เห็นเมฆบนฟากฟ้าเหมือนมันรอคอยมูฮัมมัด  มันเคลื่อนตัวตามมูฮัมมัด มันเป็นร่มเงาให้มูฮัมมัดตลอดการเดินทางกลับ  เมื่อใกล้เวลาที่กองคาราวานสินค้าจะกลับจากซีเรีย คอดีญะฮ์จะขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าของบ้านทุกวันเพื่อจ้องมองดูกองคาราวาน เหมือนนางเห็นมูฮัมมัดและมัยซาเราะฮ์กับกองคาราวานกระนั้น

วันหนึ่งนางได้ขึ้นไปเฝ้ารอเหมือนทุก ๆ วันที่ผ่านมา แต่วันนั้นเป็นวันที่แสงแดดร้อนมาก นางได้เห็นเมฆลอยอยู่บนฟากฟ้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวสร้างร่มเงามุ่งหน้ามายังบ้านของนาง และในขณะนั้นนางก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เมื่อนางอนุญาตให้เข้ามา นางมีความดีใจกับการเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัยของกองคาราวาน

มูฮัมมัดได้เล่าให้ฟังถึงการค้าที่ได้ไปดำเนินการมา และได้มอบผลกำไรทั้งหมดให้แก่นาง  นางกล่าวขอบคุณมูฮัมมัดในความสำเร็จอันงดงามของมูฮัมมัด
แล้วมูฮัมมัดก็ลากลับ แล้วเมฆบนฟากฟ้าก็จากบ้านของนางไปพร้อมกับมูฮัมมัด

ครู่หนึ่งต่อมามัยซาเราะฮ์ทาสของนางก็ขออนุญาตนางเพื่อที่จะรายงานถึงการเดินทางและสิ่งที่พบเห็นในการเดินทาง
มัยซาเราะฮ์เล่าว่า โอ้ท่านหญิง เมฆที่ท่านเห็นนั้นไม่ได้จากมูฮัมมัดไปไหนเลยตลอดการเดินทางทั้งไปและกลับ เมฆจะปกคลุมมูฮัมมัดในตอนแดดร้อนและจะลอยขึ้นเบื้องบนเมื่อแดดไม่ร้อน

โป๊บที่ซีเรียเล่าให้ฉันกับมูฮัมมัดฟังว่า เมฆที่เห็นอยู่นี้คือปีกของมะลาอีกะฮ์ที่อัลลอฮ์ใช้ให้มากำบังแสงแดดให้มูฮัมมัด

มัยซาเราะฮ์ได้เล่าให้ท่านหญิงฟังต่อไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง พลางยืนยันว่า มูฮัมมัดคือผู้ที่อัลลอฮ์ให้เป็นผู้มีความจำเริญ(บารอกัต)
พระนางนั่งฟังทุกคำที่มัยซาเราะฮ์เล่าด้วยความมั่นใจว่ามูฮัมมัดคือผู้ที่อัลลอฮ์ทรงคัดเลือก


อ้างอิงจาก หนังสือ 30 มัวะยีซาตมหาศาสดาศ็อลฯ(ฉบับภาษาไทย)โดยท่าน อ.อับดุลการีม(อรุณ) วันแอเลาะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 29, 2012, 07:02 AM โดย FAT HARN »

ออฟไลน์ Napat

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 201
  • "อย่าสิ้นหวังในความเมตตาของพระองค์"
  • Respect: +4
    • ดูรายละเอียด

ขอบคุณค่ะ สำหรับความรู้ดีๆ นำมาเสนอกันอีกนะค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 24, 2012, 09:56 AM โดย Napat »
// ณ. มุมหนึ่ง ปลายนา หลังคามุงจาก //«اتَّقِ اللَّهَ حَيْثُمَا كُنْتَ، وَأَتْبِعِ السَّيِّئَةَ الْحَسَنَةَ تَمْحُهَا، وَخَالِقِ النَّاسَ بِخُلُقٍ حَسَنٍ»

ความว่า “ท่านจงยำเกรงต่ออัลลอฮฺไม่ว่าท่านจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม และจงตามหลังความชั่วด้วยการปฏิบัติความดีเพื่อลบล้างมัน(ความชั่ว) และจงคลุกคลีกับผู้คนทั้งหลายด้วยคุณลักษณะนิสัยที่ดีงาม”
บันทึกโดยอัตติรมิซีย์

ออฟไลน์ FATHARN

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 7
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
 27 เมฆให้ร่มเงา   

หลังจากที่มูฮัมมัดกลับจากบ้านของหะลีมะฮ์ อัซซะดียะฮ์ ซึ่งเป็นแม่นมนั้น มูฮัมมัดได้ใช้ชีวิตอยู่กับมารดาของเขาที่มักกะฮ์ จนมารดาถึงแก่ความตาย ซึ่งในขณะนั้นมูฮัมมัดมีอายุ 7 ปี   หลังจากนั้นมูฮัมมัดได้อยู่ในการอุปการะดูแลของอับดุลมุตตอลิบจนคุณปู่เสียชีวิต ในขณะที่มูฮัมมัดมีอายุได้ 8 ปี และหลังจากนั้น มูฮัมมัดก็อยู่ในการอุปการะดูแลของลุงอะบูตอลิบ

มูฮัมมัดรักอบูตอลิบผู้เป็นลุงมาก ไม่ว่าลุงจะไปไหน มูฮัมมัดจะต้องขอไปด้วย ด้วยเหตุนี้ ในตอนที่ลุงจะเดินทางไปทำการค้าที่ซีเรีย มูฮัมมัดมีความโศกเศร้าเนื่องจากลุงจะจากไป

ในขณะที่ลุงเตรียมสินค้า  เตรียมที่จะออกเดินทาง มูฮัมมัดได้รีบเข้าไปหนุนตักผู้เป็นลุง แล้วเอามือทั้งสองข้างกอดเอวผู้เป็นลุง  ซึ่งทำให้อะบูตอลิบรู้ว่า หลานประสงค์จะเดินทางด้วย โดยสังเกตได้จากดวงตาของหลาน จึงตัดสินใจนำหลานเดินทางไปด้วย พลางเปรยขึ้นว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ฉันจะไม่จากเขาและเขาก็จะไม่จากฉัน

มูฮัมมัดดีใจกับการตัดสินใจของผู้เป็นลุง จึงได้รีบเตรียมตัวเพื่อการเดินทาง เมื่อเดินทางถึงซีเรีย โป๊ปผู้รู้ท่านหนึ่งนามว่า บุฮัยรอ พำนักอยู่บนภูเขา ใกล้ ๆ กับอัดดีร ได้มองไปยังทะเลทรายซีเรียอันกว้างใหญ่ ก็ต้องตกใจเมื่อแหงนมองดูฟากฟ้าเห็นเมฆสีขาวอยู่เหนือกองคารวานที่เดินทางมาจากมักกะฮ์ ซึ่งเมฆนั้นร่วมเดินทางมากับกองคาราวานนั้น ไม่ว่ากองคาราวานจะไปทางไหน

เมื่อกองคาราวานสินค้าเข้ามาใกล้ภูเขา และได้พักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ บุฮัยรอได้เห็นกลุ่มเมฆลอยขึ้นเบื้องบนแล้วก็หายไป ในขณะที่กิ่งไม้ใหญ่ได้โน้มมาให้ร่มเงาแก่มูฮัมมัด

บุฮัยรอจึงพบและมั่นใจว่า สิ่งที่ตนเห็นไม่ว่าจะเป็นเมฆที่คอยให้ร่มเงา หรือกิ่งไม้ที่โน้มเอียงให้ร่มเงานั้น ณ กองคาราวานนั้น   ต้องมีร่อซูลตามปรากฏในคัมภีร์เตารอตและอินญีล

บุฮัยรอจึงได้ใช้ให้สาวกเตรียมอาหารและใช้ให้ไปเชิญกองคารวานมารับประทานอาหาร เมื่อทุกคนในกองคาราวานมาร่วมรับประทานอาหาร บุฮัยรอได้พยายามเฝ้าสังเกตเป็นรายคน เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าคนไหนคือนะบีที่รอคอย  แต่ก็ไม่พบว่ามีใครมีคุณลักษณะที่ตรงกับที่ระบุไว้ในคัมภีร์เตารอต และอินญีล

บุฮัยรอจึงพูดกับตัวเองว่า สิ่งที่เห็นไม่ว่าจะเป็นเมฆหรือต้นไม้คอยให้ร่มเงานั้น มันเป็นเรื่องที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งไม่สามารถที่จะเข้าใจเป็นอื่นได้ นอกจาก ณ ที่นั่นต้องมีนะบีที่รอคอย

จึงได้เอ่ยปากถามว่า โอ้ ชาวกุเรซ ใครในหมู่พวกท่านไม่ได้มาร่วมรับประทานอาหารบ้างไหม? พวกเขาตอบว่า มี พวกเราได้ปล่อยเด็กไว้คนหนึ่ง คอยเฝ้าดูข้าวของของพวกเราใต้ต้นไม้ เนื่องจากเขายังเป็นเด็ก บุฮัยรอจึงใช้ให้ไปนำเด็กคนนั้นมาร่วมรับประทานอาหาร  เมื่อได้นำมา บุฮัยรอได้สังเกตดูอย่างถี่ถ้วนเพื่อความชัดเจนว่า คุณลักษณะต่าง ๆ ตรงกับที่ปรากฏในคัมภีร์ของเขาหรือไม่

เมื่อทุกคนได้รับประทานอาหารเสร็จแล้ว บุฮัยรอได้เดินไปหามูฮัมมัด และได้ถามบางสิ่งบางอย่าง   ซึ่งมูฮัมมัดได้ตอบทุกอย่างจนบุฮัยรอมั่นใจว่า  นี่คือนะบีที่รอคอย  เขาจึงถามอะบูตอลิบผู้เป็นลุงว่า เด็กคนนี้เป็นลูกของใคร? อะบูตอลิบตอบว่า เขาเป็นลูกของฉัน บุฮัยรอกล่าวว่า ไม่ใช่ เขาไม่ใช่ลูกของท่าน อะบูตอลิบบอกว่า จริงอย่างที่ท่านพูด เขาคือลูกของน้องชายฉัน

บุฮัยรอถามต่อไปว่า พ่อเขาอยู่ไหม? อะบูตอลิบตอบว่า เสียชีวิตในขณะที่แม่ของเขาตั้งครรภ์ บุฮัยรอจึงบอกอะบูตอสลิบว่า จงนำหลานของท่านกลับมักกะฮ์ จงระวังเขาจากคนยิว เพราะหากพวกเขารู้อย่างที่ฉันรู้ พวกเขาต้องทำร้ายเด็กคนนี้แน่

โอ้อะบูตอลิบ ลูกของน้องชายท่านคนนี้ เป็นเด็กที่มีศักยภาพยิ่งใหญ่มาก อะบูตอลิบเชื่อทุกอย่างตามที่บุฮัยรอพูด จึงได้ดูแลและให้ความคุ้มครองด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด



อ้างอิงจาก หนังสือ 30 มัวะยีซาตมหาศาสดาศ็อลฯ(ฉบับภาษาไทย)โดยท่าน อ.อับดุลการีม(อรุณ) วันแอเลาะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 03, 2012, 07:08 AM โดย FAT HARN »

ออฟไลน์ FATHARN

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 7
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
 28  มารดาตั้งครรภ์และคลอด

หลักฐานยืนยันในการเป็นศาสดาของท่านนะบีมาตั้งแต่ก่อนคลอดในตอนที่นางอามีนะฮ์ บินวาฮับ ผู้เป็นมารดาให้กำเนิด(คลอด) นางได้ฝันว่ามีรัศมีออกมาจากตัวนาง ซึ่งรัศมีนั้นให้ความสว่างไสวไปทั้งตะวันออกและตะวันตก จนเห็นปราสาทในซีเรีย

นางอามีนะฮ์ได้พูดกับอับดุลลอฮ์ผู้เป็นสามีในตอนเช้าวันแต่งงานว่า  เมื่อคืนนี้ฉันเห็นประกายรัศมีจนดุนยารอบรอบตัวฉันสว่างไสวไปหมด รัศมีนั้นสว่างไสวเหมือนกับจะทำให้ฉันเห็นปราสาทในซีเรีย และในขณะเดียวกันฉันก็ได้ยินเสียงกระซิบบอกฉันว่า เธอตั้งครรภ์ผู้เป็นนายแห่งประชาชาตินี้

ภรรยาของอะบุ้ลอาศ  กล่าวว่า  ฉันอยู่เคียงข้างอามีนะฮ์  บินตุวาฮับ  ในตอนที่นางคลอดร่อซูล ศ้อลฯ  ไม่ว่าฉันจะมองดูอะไรภายในบ้านหลังนั้น นอกจากเต็มไปด้วยประกายแห่งรัศมี ฉันเห็นบรรดาดวงดาวเคลื่อนตัวลงมาใกล้ จนทำให้รู้สึกราวกับว่าจะทับลงบนศีรษะของฉัน

ในวันประสูติของท่านร่อซูล ศ้อลฯ ทำให้สิ่งที่ชาวกิสรอถือว่าศักดิ์สิทธิ์แตกสลาย ในขณะเดียวกันไฟที่เปอร์เซียก็ดับลง ไฟดังกล่าวเป็นไฟที่ชาวเปอร์เซียสักการะกันมากว่าพันปี

นางฮาลีมะฮ์ ซ๊ะดียะฮ์ ได้เล่าถึงมั๊วะญิซาตมากมาย ตลอดเวลาที่นางเป็นแม่นมของมูฮัมมัด นางเล่าว่า พวกเราเหล่าแม่นมได้ออกเดินทางไปมักกะฮ์ เพื่อรับจ้างนำเด็กมาเลี้ยง พวกเราทุกคนต่างหวังที่จะรับจ้างเลี้ยงเด็กจากตระกูลที่ร่ำรวย เพื่อจะได้ค่าจ้างเลี้ยงดูในราคาสูง

ฉันมีลาของฉันที่ผอมกับลูกนมของฉัน โดยมีสามีของฉันเดินเคียงข้าง และฉันยังมีอูฐอีกตัวหนึ่งที่แก่แล้ว และในเต้านมของมัน ไม่มีนมแม้แต่หยดเดียว ลาของฉันมันเดินช้าเนื่องจากมันผอม ด้วยเหตุนี้ แม่นมรายอื่น ๆ เขาจึงไปถึงมักกะฮ์แล้วเลือกลูกนมจากตระกูลรวย ๆ ได้ก่อนฉัน

พอฉันถึงมักกะฮ์ก็ได้รับการเสนอให้เลี้ยงดูทารก มูฮัมมัด บุตรอับดุลลอฮ์ พวกเราทุกคนปฏิเสธที่จะรับเลี้ยงดู เพราะเขาเป็นเด็กกำพร้า แล้วก็ค่าจ้างถูก  บรรดาแม่นมต่างได้รับทารกเพื่อเลี้ยงดูกันคนละหลายทารก นอกจากตัวฉัน  ฉันไม่ได้ทารกจากครอบครัวที่ร่ำรวยเลย    นอกจากมูฮัมมัดทารกกำพร้า  บุตรของอามีนะฮ์  บินติวาฮับ

ฉันได้พูดกับสามีของฉันว่า ฉันไม่อยากกลับไปในสภาพที่ไม่ได้เด็กไปเลี้ยงเลย ไปเถิด เราไปเอาทารกกำพร้าคนนั้นไปเลี้ยงดู  สามีของฉันตอบว่า ไป ไม่เป็นไร บางทีอัลลอฮ์อาจจะประทานความเป็นสิริมงคล (บารอกัต) ให้แก่เรา

นมในเต้านมของฉันก็มีน้อยเหลือเกิน จะเลี้ยงลูกของฉันเพียงคนเดียวก็จะไม่พออยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ ลูกของฉันจึงผอมงอแง ไม่ค่อยจะนอนเพราะความหิว  แต่พอนำมูฮัมมัดมาเลี้ยงดูและให้นมแก่เขา พอมูฮัมมัดดูดนมของฉัน ฉันมีความรู้สึกและเป็นความจริงว่า  นมเต็มเต้านมของฉัน  มูฮัมมัดดื่มจนอิ่ม และลูกของฉันก็ดื่มจนอิ่มทุกครั้ง ในขณะที่กำลังประหลาดใจอยู่กับนมที่เต็มเต้านม ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงของสามีร้องเรียกฉันว่า โอ้ ฮาลีมะฮ์ เกิดเหตุการณ์ประหลาด นั่นคือ อูฐอายุมากของเราตัวนั้น มีนมเต็มเต้าเลย   ฮาลีมะฮ์ดีใจเถิด !  ฉันรีบไปหาสามีของฉัน แล้วเราก็ได้รีดนม เราดื่มนมนั้นจนอิ่ม แล้วสามีของฉันพูดขึ้นว่า โอ้ ฮาลีมะฮ์ เราได้เอาทารกที่มีบารอกัตมาเลี้ยง และในตอนที่เรานำมูฮัมมัดเดินทางกลับบ้านของเรา แม่นมทุกคนต่างแปลกใจ   เนื่องจากลาตัวผอมของเรา เดินนำหน้าพาหนะของแม่นมอื่น ๆ ทั้งหมด  ฉันได้ยินเขากล่าวกันว่า  โอ้ฮาลีมะฮ์ อะไรมันเกิดขึ้นกับลาตัวผอมแห้งของเธอ !  มันเอากำลังมาจากไหน ทั้ง ๆ ที่มันจะเดินก็ไม่ไหวอยู่แล้ว

เมื่อเราเดินทางมาถึงบ้าน ณ บาดียะฮ์ บะนีซ๊ะดิน ฉันเริ่มสัมผัสกับชีวิตที่แตกต่างจากเดิม ในบ้านของฉันเต็มไปด้วยความปลื้มปิติและความสุข ทรัพย์สินต่าง ๆ ที่มีอยู่ต่างเต็มไปด้วยบารอกัต

ฝูงแพะของฉันออกไปหากิน กลับมาตอนเย็นอิ่มสมบูรณ์ทุกตัว และในเต้านมของแต่ละตัวก็เต็มไปด้วยน้ำนม ทั้ง ๆ ที่สถานที่เลี้ยงก็ไม่มีหญ้ามากมายสักเท่าใด

ทุกครอบครัวที่หมู่บ้านต่างแปลกใจกับฝูงแพะของฉัน ในขณะที่ฝูงแพะของคนอื่นเขาผอม เพราะไม่มีหญ้าจะให้ฝูงแพะแทะเล็ม  ที่สุดพวกเขาก็นำฝูงแพะของพวกเขาไปเลี้ยงในทุ่งเดียวกับของฮาลีมะฮ์  กระนั้นฝูงแพะของฉันก็อิ่มกลับมาทุกตัว ด้วยบารอกัตของมูฮัมมัด ผู้กำพร้า

เวลาผ่านไป ในวันหนึ่งมูฮัมมัดได้ออกไปกับลูกของฉัน ออกไปเพื่อเลี้ยงแพะ ลูกของฉันตกใจรีบกลับมาบอกกับฉันว่า  ชายสองคนแต่งกายสีขาว มาเอามูฮัมมัดไปผ่าท้อง  ฉันและสามีของฉันจึงรีบไปยังมูฮัมมัด ซึ่งพบว่าใบหน้าของเขาเปลี่ยนไป ฉันจึงดูแลเขาและพูดกับเขาว่า  อะไรเกิดขึ้นหรือลูกรัก?  และฉันก็ได้รู้จากปากของลูกว่า ชายแต่งกายสีขาวสองคนมาหามูฮัมมัดพร้อมกับภาชนะทองคำที่มีน้ำหิมะอยู่เต็มภาชนะนั้น เขาทั้งสองได้จับมูฮัมมัดผ่าท้อง แล้วเอาหัวใจออกมาผ่า แล้วเอาเลือดก้อนสีดำ ๆ โยนทิ้ง แล้วล้างท้องล้างหัวใจด้วยน้ำหิมะนั้น แล้วได้โอบกอดมูฮัมมัด พร้อมกับจูบศีรษะและระหว่างตาของมูฮัมมัด แล้วก็หายไป

เราได้นำมูฮัมมัดกลับบ้าน และเราครุ่นคิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับมูฮัมมัดอยู่ตลอดเวลา  มันเป็นเรื่องแปลกเหลือเกิน  มันเป็นสิ่งดีชี้ให้เห็นว่า ทารกกำพร้าคนนี้มีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ แต่ฉัน…ฉันกลัวเหลือเกิน จึงคิดจะเอามูฮัมมัดกลับไปส่ง  แต่ก็ได้เลี้ยงดูแลให้นมต่อไปจนสมบูรณ์


อ้างอิงจาก หนังสือ 30 มัวะยีซาตมหาศาสดาศ็อลฯ(ฉบับภาษาไทย)โดยท่าน อ.อับดุลการีม(อรุณ) วันแอเลาะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 03, 2012, 07:10 AM โดย FAT HARN »

ออฟไลน์ Muftee

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1899
  • เพศ: ชาย
  • ตั้งใจเข้าไว้นะ มุฟตีย์น้อย
  • Respect: +190
    • ดูรายละเอียด

ญะซากัลลอฮุ ค็อยรอน ครับ  myGreat:
// อะฮฺลิสสุนนะฮฺ อัล-อะชาอิเราะฮฺ...สักวันนึง เราต้องเป็นอุละมาอฺที่ยิ่งใหญ่ อินชาอัลลอฮฺ //

ออฟไลน์ FATHARN

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 7
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
29  มั๊วะยีซะฮ์

หากมีใครพูดว่า แท้จริงฉันคือร่อซูลุลลอฮ์ เราจะเชื่อได้หรือไม? หรือต้องขอพิสูจน์หลักฐานว่าเขาคือร่อซูล?
 
ทำนองนี้แหละที่รอซูลทุกๆท่านถูกพิสูจน์ ร่อซูลทุกท่านต่างเรียกร้องและเชิญชวนสู่การสักการะในอัลลอฮ์เพียงองค์เดียว เชิญชวนให้สลัดทิ้ง ซึ่งการเชื่อมั่นที่ผิดพลาด อีกทั้งชี้แจงแนวทางที่ถูกต้องเที่ยงตรงเพื่อการดำเนินชีวิต ในสิ่งที่ไม่ดีก็ได้อธิบายให้เห็นผลร้าย เพื่อจะได้ปลีกตัวออกห่าง

ประชากรแต่ละยุคต่างพิสูจน์ร่อซูลในสมัยนั้นๆ ว่า ใช่ร่อซูลจริงหรือไม่? ร่อซูลแต่ละท่านจึงต้องแสดงมั๊วะยีซาต อันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธหรือกระทำให้เหมือนได้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นหลักฐานว่า นี่คือผู้ที่อัลลอฮ์ทรงแต่งตั้งให้เป็นร่อซูลโดยแท้จริง

ทั้งหมดเหล่านี้เรียกว่า มั๊วะยีซาต ซึ่งอัลลอฮ์ให้เกิดขึ้นตามสภาพที่เหมาะสมแต่ละครั้ง แต่ละยุค แต่ละสมัย

ประชากรของซัยยิดินามูซา อะลัยฮิสลาม พวกเขาเก่งและนิยมในเรื่องมายากล อัลลอฮ์ท่านก็ให้มั๊วะยีซาตแก่ท่านนะบีมูซา ในเรื่องมายากล ซึ่งสามารถและเก่งกาจกว่าบรรดามายากลที่มีอยู่ในสมัยนั้น

ในตอนที่มูซาและฮารูนผู้เป็นน้องชายได้ไปหาฟิรอูนที่อียิปต์ทั้งสองได้เชิญชวนฟิรอูนและบรรดาพรรคพวกให้สักการะต่ออัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว แต่ฟิรอูนตะกับโบร ลำพองตัวเอง ถึงกับเป็นกุฟรต่อไป มูซาจึงกล่าวกับฟิรอูนว่า หากฉันนำหลักฐานมายืนยันว่าฉันเป็นร่อซูลโดยแท้จริง ท่านจะเชื่อฉันไหม? ฟิรอูนตอบด้วยความไม่แน่ใจว่า ไหนคือหลักฐานของท่าน? มูซาได้โยนไม้เท้าของท่านออกไปเบื้องหน้า ในทันใดนั้นไม้เท้าได้กลายเป็นงูใหญ่ อ้าปากแล้วคลานไปทางฟิรอูน ทำให้ฟิรอูนมีความหวาดกลัวถึงกับผู้อารักขา ตกจากแท่นประทับลงมาหมด แล้วได้ขอให้มูซาเอางูออกไปให้ไกล แล้วมูซาก็ทำตามที่ขอ ซึ่งในที่สุดงูนั้นก็กลายมาเป็นไม้เท้าดังเดิม หลังจากนั้นมูซาได้เอามือล้วงกระเป๋าและเมื่อชักมือออกมา มือเป็นมือสีขาว และเมื่อล้วงไปในกระเป๋าอีกครั้ง แล้วชักออกมา มือก็กลับคืนสู่สีเดิมๆ ฟิรอูนประหลาดใจมาก จึงได้หันซ้ายหันขวามองรอบข้าง บรรดาผู้อารักขาที่อยู่รอบๆ ต่างพูดกับมูซาว่า ชายคนนี้เป็นนักมายากล พวกเราเห็นว่าควรเชิญมายากลทั้งหมดในเมืองมาทำลายมายากลของเขา ซึ่งเชื่อว่ามายากลที่พวกเรามีเฉือนของมูซาได้  ฟิรอูนจึงพูดกับมูซาว่า กำหนดวันมาเพื่อจะได้รู้กันว่าของใครจะแน่กว่ากัน มูซาได้กำหนดเอาวันตรุษที่มีผู้คนยอะๆ เป็นวันประลอง  พอถึงวันนั้น พวกมายากลทั้งแว่นแคว้นได้มารวมกัน แล้วพูดกับมูซาว่า ท่านเริ่มก่อนหรือเราเริ่มก่อน  มูซาให้พวกเขาเริ่มก่อน บรรดามายากลเหล่านั้น ได้โยนเชือกซึ่งเชือกก็กลายเป็นงู เลื้อยคลานกันเต็มไปหมด พวกเขาตะโกนโห่ร้องกันด้วยความดีใจ ซึ่งต่างมีความเข้าใจกันว่า มูซาต้องแพ้แน่ๆ   มูซาได้ขอต่ออัลลอฮ์ แล้วได้โยนไม้เท้าลงไป แล้วก็เกิดมั๊วะยีซาตด้วยการกลายเป็นงูขนาดใหญ่กัดงูเล็กๆ เหล่านั้นจนหมด  บรรดานักมายากลจึงต่างเชื่อว่ามูซาไม่ใช่นักมายากลเหมือนพวกเขา หากแต่เป็นมั๊วะยีซาตจากอัลลอฮ์ ซึ่งไม่มีใครสามารถทำให้เหมือนได้  พวกเขาจึงอีหม่านต่ออัลลอฮ์ และต่อการเป็นร่อซูลของมูซา โดยไม่สนใจคำขู่ใดๆ ของฟิรอูน

ประชากรของนะบีอีซาต่างเก่งกาจเรื่องหมอ เรื่องรักษาคนไข้ มั๊วะยีซาตที่อัลลอฮ์ให้เกิดจากนะบีอีซาจึงเป็นเรื่องของการรักษาโรค  นะบีอีซาเป็นหมอรักษาคนไข้ ที่ไม่มีหมอรักษาให้หายได้ แม้ว่าวิชาการแพทย์ในสมัยนั้น จะรุ่งเรืองสักปานใดก็ตาม  นะบีอีซา รักษาทารกที่ตาบอด โดยรักษาให้หายกลายเป็นไม่บอดได้ ซึ่งวงการแพทย์ถือว่าถ้าบอดมาแต่กำเนิดไม่มีทางรักษาได้ แม้กระทั่งสมัยเรานี้ก็ยังเชื่อกันอย่างนั้น  นะบีอีซายังทำคนตายให้เป็นขึ้นมา ทำให้คนออกมาจากกุโบร เพียงเมื่ออีซาเรียกและพูดด้วย  ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ประจักษ์ต่อสายตาของทุกๆคน แล้วหลังจากนั้นก็ตายไปอีก ต้องฝังดินใหม่อีกและนี่เป็นมั๊วะยีซาตที่วางการแพทย์สมัยใหม่นี้ก็สนเท่ห์  ในระหว่างประชากรของท่าน  ขอให้ท่านเอาดินมาปั้นเป็นนกให้บินได้ ท่านก็เอาดินมาปั้นแล้วเป่ามัน มันก็กลายเป็นนก บินไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา และเมื่อพวกเขาขอให้อีซานำสำรับอาหารมาจากฟากฟ้า อีซาก็ขอต่ออัลลอฮ์ อัลลอฮ์ท่านได้ตอบรับตามขอ ซึ่งจะเป็นมั๊วะยีซาต เป็นหลักฐานยืนยันการเป็นร่อซูลของอีซา

นะบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม ในตอนที่เป่าประกาศให้ทุกคนในสมัยของท่านสักการะอัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว โดยให้ยุติการสักการะเทวรูป พวกเขาต่างก็เยาะเย้ยและปฏิเสธ  ในวันหนึ่ง เมื่อได้โอกาส อิบรอฮีมได้ทำลายเทวรูปทั้งหมด คงให้เหลือไว้เพียงตัวใหญ่ตัวเดียว แล้วเอาขวานที่ทำลายไปแขวนไว้ที่คอตัวใหญ่  เมื่อพวกเขากลับมาเคารพสักการะ พวกเขาก็ต้องได้รับความเสียใจ พลางกล่าวกันว่า นี่มันเป็นฝีมือของอิบรอฮีมอย่างแน่นอน
ในทันใดนั้น พวกเขาก็ไปจับตัวอิบรอฮีมมาแล้วถามว่า ทำไมจึงทำกับพระเจ้าของเราอย่างนี้?  อิบรอฮีมตอบว่า จะเป็นพระเจ้ากันได้อย่างไร?  ตัวเองก็รักษาไม่ได้ จงถามตัวใหญ่นั้นดู ถ้ามันเป็นพระเจ้า ถ้ามันพูดได้  พวกเขาโกรธอิบรอฮีมมาก พวกเขาจึงมีมติที่จะเผาอิบรอฮีมทั้งเป็น ว่าแล้วพวกเขาก็เตรียมฟืนและจุดไฟ แล้วจับอิบรอฮีมมัดด้วยเชือก แล้วโยนเข้าไปในกองเพลิง ซึ่งกำลังลุกอย่างรุนแรง  ณ ตรงนี้ก็เป็นมั๊วะยีซาตที่อัลลอฮ์สนับสนุนอิบรอฮีมอันเป็นมั๊วะยีซาตที่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนได้ อัลลอฮ์ทรงพูดกับกองเพลิงนั้นว่า


كُوْنِيْ بَرْدًا وَسَلاَمًا عَلىَ إِبْرَاهِيْمَ

ความว่า “ จงเย็นและให้ความปลอดภัยแก่อิบรอฮีม ”

ไฟได้ลุกไหม้เชือกที่มัดจนหมด แต่ไฟไม่ได้ไหม้หรือทำความร้อนให้แก่อิบรอฮีม  อิบรอฮีมออกมาจากกองเพลิงด้วยความปลอดภัย
อีกมั๊วะยีซาตหนึ่งที่เกิดกับอิบรอฮีมก็คือ ในตอนที่อิบรอฮีมขอให้อัลลอฮ์ทำให้สิ่งที่ตายฟื้นขึ้นมา ซึ่งอัลลอฮ์ได้ใช้ให้อิบรอฮีมนำนกมาสี่ตัวแล้วสับมันเป็นชิ้นๆ  โดยให้นำเอาสัดส่วนที่สับละเอียดนั้นไปวางไว้ที่ภูเขา ภูเขาละส่วน และให้เรียกนกนั้น  ปรากฏว่านกมันบินมาหา  และนี่จึงเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า อัลลอฮ์สามารถทำให้ฟื้นคืนชีพได้ ทำให้ตายได้ ทำให้เป็นได้

ทำนองนี้แหละคือมั๊วะยีซาตของนะบีต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วทำให้ผู้คนที่ปรากฏอยู่ในเหตุการณ์ได้รู้ได้เห็นจริงๆ แล้วมั๊วะยีซาตเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
แต่มั๊วะญีซาตของท่านนะบีมูฮัมมัด ศ้อลฯ  อันเป็นนะบีท่านสุดท้าย มั๊วะยีซาตของท่านไม่ได้ท้าทาย หรือได้พบได้เห็นแต่เพียงเฉพาะผู้อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้น หากแต่อัลลอฮ์ท่านได้สนับสนุนการเป็นร่อซูลของมูฮัมมัดด้วยมั๊วะยีซาตสองประเภท

(1)   มั๊วะยีซาตตลอดกาล  ได้แก่  อัล-กุรอาน

(2)   มั๊วะยีซาตที่เกิดขึ้นเป็นของนะบีก่อน ๆ

จริงๆแล้ว มั๊วะยีซาตยังมีอีกมาก มีเป็นพันๆ มั๊วะยีซาตณ  ที่นี้ ขอนำมากล่าวเพียงบางมั๊วะยีซาตเท่านั้น


อ้างอิงจาก หนังสือ 30 มัวะยีซาตมหาศาสดาศ็อลฯ(ฉบับภาษาไทย)โดยท่าน อ.อับดุลการีม(อรุณ) วันแอเลาะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 04, 2012, 11:44 AM โดย FAT HARN »

ออฟไลน์ FATHARN

  • เพื่อนแรกพบ (^^)/
  • *
  • กระทู้: 7
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
30  มั๊วะยีซาตช้าง

ในตอนที่อับรอฮะห์คิดจะทำลายกะบะฮ์ซึ่งคือบ้านของอัลลอฮ์บนผืนแผ่นดินแห่งนี้ เขาได้นำทัพซึ่งนำโดยกองทัพช้างมายังกะบะฮ์ ไม่ทันทีที่กองทัพจะเดินทางเข้าสู่มักกะฮ์ หลังจากที่กองทัพได้เตรียมตัวเพื่อเข้าทำลายกะบะฮ์  ก็ต้องมีอันเป็นไป  เนื่องจากช้างทุกตัวไม่ยอมทำตามคำสั่ง  หากแต่ยังฝ่าฝืนจะทำตามพลการ  กล่าวคือ เมื่อให้มันหันหน้ามุ่งสู่มักกะฮ์ มันกลับนอนเอาเสียเฉย ๆ ไม่ว่าจะเฆี่ยน จะทุบ จะตี แต่เมื่อให้มันเดินไปทางอื่น มันก็ลุกขึ้นเดิน พวกเขาได้พยายามจนถึงที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด  เมื่อหมดหวัง อับรอฮะซึ่งเป็นแม่ทัพก็ละทิ้งทัพช้าง โดยจะนำทัพที่ไม่มีช้างเข้าบุกทำลาย  ในบัดดลนั้น ท้องฟ้าเริ่มมืดและอัลลอฮ์ได้สั่งนกอะบาบีลมาบินเต็มท้องฟ้า นกทุกตัวนำหินมาสามก้อน ก้อนหนึ่งคาบเอาไว้ และอีกสองก้อนเอาขาแต่ละข้างพับหนีบเอาไว้  นกแต่ละตัวขว้างก้อนหินใส่กองทัพอับรอฮะจนพินาศย่อยยับ นอกจากบางส่วนของกองทัพที่ถอยทัพกลับไปก่อนหน้านั้น  อัล-กุรอานกล่าวไว้ในซูเราะฮ์อัล-ฟีลทั้งซูเราะฮ์ ชาวมักกะฮ์ต่างทิ้งบ้านช่อง เมื่อรู้ว่าอับรอฮะห์ยกทัพมาหวังจะทำลายกะบะฮ์ พวกเขาไปหลบซ่อนอยู่ตามเทือกเขา ในขณะเดียวกัน ผู้นำชาวกุเรซในสมัยนั้น ก็ได้กล่าวขึ้นว่า สำหรับบัยตุลลอฮ์นั้น  มีพระเจ้าให้ความคุ้มครอง  และเมื่อพวกเขารู้ถึงภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับอับรอฮะและกองทัพ พวกเขาต่างดีใจที่อัลลอฮ์รักษาบัยตุลลอฮ์ ต่างโห่ร้องและตะโกนด้วยความดีใจ พวกเขาจึงกลับเคหะสถานตามเดิม

ในปีนี้เป็นปีที่มีชื่อเรียกว่าอามุ๊ลฟีล เป็นปีที่มูฮัมมัด บิน อับดุลลอฮ์ ประสูติเพื่อประกาศศาสนาแก่มนุษย์ชาติ

อ้างอิงจาก หนังสือ 30 มัวะยีซาตมหาศาสดาศ็อลฯ(ฉบับภาษาไทย)โดยท่าน อ.อับดุลการีม(อรุณ) วันแอเลาะ

ออฟไลน์ สุไลมาน

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 44
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
ญะซากัลลอฮุ  happy2:

 

GoogleTagged