ผู้เขียน หัวข้อ: โรคภัยไข้เจ็บ  (อ่าน 4174 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ +Kamarutdin+

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 60
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
โรคภัยไข้เจ็บ
« เมื่อ: พ.ค. 12, 2007, 06:58 PM »
0

    

     เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าอัลลอฮุ ซบ.เอกองค์อภิบาลของเรานั้น  พระองค์ได้ทรงประทานโรคภัยไข้เจ็บให้แก่มนุษย์เราโดยมีสาเหตุต่างๆ กันแต่ด้วยพระเมตตาของพระองค์ พระองค์ก็ทรงได้ส่งความรู้ในการรักษา และ ยารักษาโรคมาให้แก่มนุษย์อย่างเราๆ ด้วย ดังที่ท่านนบีมุฮัมมัด ซล. ได้กล่าวไว้ว่า "โรคทุกโรคนั้นมียารักษา ยกเว้นโรคตาย"
     ผมหวังว่าสิ่งที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้น่าจะมีประโยชน์ต่อ พี่ น้อง ของเราไม่มาก ก็น้อย หรือไม่ก็น่าจะเป็นวิทยาทานต่อทุกๆ ท่านที่ได้อ่านนะครับ อินชาอัลลอฮุ



กามาลุดดีน บิน ญะฟัร

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


โรคเบาหวาน

     หมายถึง ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถสร้างหรือใช้อินซูลินได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย โดยปกติอินซูลิน
มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพลังงานของร่างกาย สาเหตุที่แท้จริงของโรคเบาหวานยังไม่แน่ชัด อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้เกิดโรคนี้คือ พันธุกรรม และแบบแผนการดำเนินชีวิต ผู้ที่เป็นโรคนี้อาจเสี่ยงต่อการเกิด โรคไต โรคหัวใจ
โรคหลอดเลือดสมอง ตาบอด หรือมีการทำลายของเส้นประสาท

อาการ

     ปัสสาวะจะบ่อยมากขึ้นถ้าระดับน้ำตาลในกระแสเลือดมากกว่า180มก.% โดยเฉพาะในเวลากลางคืนผู้ป่วยจะหิวน้ำบ่อยเนื่องจากต้องทดแทนน้ำที่ถูกขับออกทางปัสสาวะ อ่อนเพลีย น้ำหนักลดเกิดเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลจึงย่อยสลายส่วนที่เป็นโปรตีนและไขมันออกมา ผู้ป่วยจะกินเก่งหิวเก่งแต่น้ำหนักจะลดลง อาการอื่นๆที่อาจเกิดได้แก่ การติดเชื้อ แผลหายช้า คัน เห็นภาพไม่ชัด ชาไม่มีความรู้สึก เจ็บตามแขนขา อาเจียน

สาเหตุ

     ยังไม่ทราบแน่นอนแต่องค์ประกอบสำคัญที่อาจเป็นต้นเหตุของการเกิดได้แก่ กรรมพันธุ์ อ้วน ขาดการออกกำลังกาย หากบุคคลใด มีปัจจัยเสี่ยงมากย่อมมี่โอกาสที่จะเป็นเบาหวานมากขึ้น ปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานได้แสดงข้างล่างนี้

คำแนะนำ

1. รับประทานอาหารให้ถูกต้องตามที่กำหนดให้ และรู้จักวิธีใช้อาหารที่สามารถทดแทนกันได้
2. ใช้อินซูลิน หรือยาเม็ดให้ถูกต้องตามเวลา
3. ระวังรักษาสุขภาพอย่าตรากตรำเกินไป
4. รักษาร่างกายให้สะอาด และระวังอย่าให้เกิดบาดแผล
5. หมั่นตรวจน้ำตาลในปัสสาวะ
6. ออกกำลังกายแต่พอควรสม่ำเสมอ
7. ถ้ามีอาการอ่อนเพลีย ตกใจ หวิวใจสั่น เหงื่อออก หรือมีอาการปวดศรีษะตามัว ให้รับประทานน้ำหวาน หรือน้ำตาลเข้าทันทีทั้งนี้เนื่องจากรับประทานอาหารไม่เพียงพอกับยา แต่ถ้าได้รับประทานอาหารที่น้ำตาล มากเกินไปและได้อินซูลินหรือยาน้อย ผู้ป่วยจะมีอาการง่วงผิวหนังร้อนผ่าว คลื่นไส้ อาเจียน หายใจมี กลิ่นคล้ายผลไม้ ถ้าทิ้วไว้อาจทำให้ไม่รู้สึกตัว ต้องรีบตามแพทย์ทันที
8. ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรมีบัตรบ่งชี้ว่าเป็นเบาหวาน และกำลังรักษาด้วยยาชนิดใดอยู่เสมอ และควรมีขนมติดตัวไว้ด้วย
9. อย่าปล่วยตัวให้อ้วนเพราะ 80% ของผู้ป่วยโรคนี้เกิดจากการอ้วนมาก่อน
10. อย่าวิตกกังวลหรือเครียดมากเกินไป
11. เบาหวานเป็นกรรมพันธุ์ได้ หากสงสัยว่าเป็นเบาหวานควรได้รับการตรวจเลือดจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
12. ต้องระมัดระวัง เมื่ออายุเกิน 40 ปี ควรตรวจเลือดดูเบาหวานทุกปีเพราะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ง่าย

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ภูมิแพ้

      โรคภูมิแพ้ หรือโรคแพ้ (Allergy) หมายถึง โรคที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอาการไวผิดปกติต่อสิ่งซึ่งสามารถก่อให้เกิดภูมิแพ้
( Allergen ) ซึ่งธรรมชาติสารเหล่านี้อาจไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้กับคนปกติทั่วไป
      โรคภูมิแพ้เกิดได้ทุกเพศทุกวัย เด็กอายุ 5 ถึง 15 ปี มักพบว่าเป็นบ่อยกว่าช่วงอายุอื่น ๆ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่โรคแสดงออก หลังจากได้รับ ?สิ่งกระตุ้น? มานานเพียงพอ อย่างไรก็บางคนอาจเริ่มเป็นโรคภูมิแพ้ตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ได้
     โรคภูมิแพ้นั้นมิใช่โรคติดต่อ แต่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม จากรุ่นคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณพ่อคุณแม่ มาสู่ลูกหลานได้ อาจพบว่าในครอบครัวนั้นมีสมาชิกป่วยเป็นโรคภูมิแพ้หลายคน
     ตัวการที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เรียกกว่า สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) หรือ สิ่งกระตุ้น ซึ่งอาจเข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจ
การรับประทานอาหาร การสัมผัสทางผิวหนัง ทางตา ทางหู ทางจมูก หรือโดยการฉีดหรือถูกกัดต่อยผ่านผิวหนัง ตัวการ
ที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้มีอยู่รอบตัว สามารถกระตุ้นอวัยวะต่าง ๆ จนก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น

ทางลมหายใจ  

     ถ้าสิ่งกระตุ้นผ่านเข้ามาทางลมหายใจ ตั้งแต่รูจมูกลงไปยังปอด ก็จะทำให้เป็นหวัด คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล คันคอ เจ็บคอ ไอ มีเสมหะ เสียงแหบแห้ง และลงไปยังหลอดลม ทำให้หลอดลมตีบตัน เป็นหอบหืด

ทางผิวหนัง

     ถ้าสิ่งกระตุ้นเข้ามาทางผิวหนัง จะทำให้เกิดผื่นคัน น้ำเหลืองเสีย

ทางอาหาร

     ถ้าสิ่งกระตุ้นเข้ามาทางอาหาร จะทำให้ท้องเสีย อาเจียน ถ่ายเป็นเลือด เสียไข่ขาวในเลือด อาจทำให้เกิดอาการทางระบบอื่น ๆ ได้ เช่น ลมพิษ หน้าตาบวม

ทางตา

ถ้าสิ่งกระตุ้นเข้ามาทางตา จะทำให้เกิดอาการแสบตา คันตา หนังตาบวม น้ำตาไหล

สารก่อภูมิแพ้ที่พบทั่ว ๆ ไป

สารก่อภูมิแพ้ซึ่งเป็น ?ตัวการ? ของโรคภูมิแพ้ ที่มักพบบ่อย ๆ ได้แก่

ฝุ่นบ้าน
     ตัวไรฝุ่นบ้าน มักปะปนอยู่ในฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 0.3 มม. มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

เชื้อรา
     มักปะปนอยู่ในบรรยากาศ ตามห้องที่มีลักษณะอับชื้น

อาหารบางประเภท
     อาหารบางอย่างจะเป็นตัวการของโรคภูมิแพ้ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวก อาหารทะเล เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา อาหารอีกจำพวกที่พบได้บ่อยคือ แมงดาทะเล ปลาหมึก อาจทำให้เกิดลมพิษผื่นคันได้บ่อย ๆ เด็กบางคนอาจแพ้ไข่แมงดาทะเลอย่างรุนแรง ซึ่งอาจทำให้มีอาการบวมตามตัว หายใจไม่ออกเป็นต้น
    
อาหารประเภทหมักดอง
     เช่น ผักกาดดอง เต้าเจี้ยว น้ำปลา เป็นต้น เด็กบางคนอาจแพ้เห็ดซึ่งจัดว่าเป็นราขนาดใหญ่ เด็กบางคนแพ้ไข่ขาว อาจทำให้เกิดอาการผื่นคันบนใบหน้าได้ บางคนอาจจะแพ้ผลไม้จำพวกที่มีรสเปรี้ยวจัด กลิ่นฉุนจัด เช่น ทุเรียน ลำใจ สตรอเบอรี่ กล้วยหอม และอื่น ๆ

ยาแก้อักเสบ
     ยาที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อย ๆ นั้นได้แก่ ยาปฎิชีวนะ พวกเพนนิซฺลิน เตตราไวคลิน นอกจากนั้นยังมีพวกซัลฟา ยาลดไข้แก้ปวด พวกแอสไพริน ไดไพโรน ยาระงับปวดข้อปวดกระดูก อาจทำให้เกิดลมพิษผื่นคันจองผิวหน้า พวกเซรุ่มหรือวัคซีนเป็นกันโรค โดยเฉพาะวัคซีนสกัดจากเลือดม้า เช่น เซรุ่มต้านพิษงู แพ้พิษสุนัขบ้า เป็นต้น

แมลงต่าง ๆ
     แมลงที่มักอาศัยอยู่ภายในบ้าน เช่น แมลงสาบ แมงมุม มด ยุง ปลวก และแมลงที่อาศัยอยู่นอกบ้าน เช่น ผึ้ง แตน ต่อ มดนานาชนิด เป็นต้น

เกสรดอกหญ้า ดอกไม้ ตอกข้าว วัชพืช
     สิ่งเหล่านี้มักปลิวอยู่ในอากาศตามกระแสลม ซึ่งสามารถพัดลอยไปได้ไกล ๆ หรืออาจเป็นลักษณะขุย ๆ ติดตามมุ้งลวดหน้าต่าง เกสรดอกหญ้าที่ปลิวมาตามสายลม

ขนสัตว์
    ขนของสัตว์เลี้ยงเป็นต้นเหตุของโรคภูมิแพ้ เช่น ขนแมว ขนสุนัข ขนนก ขนเป็ด ขนไก่ ขนกระต่าง ขนนกหรือขนเป็ด
ขนไก่ที่ตากแห้งใช้ยัดที่นอนและหมอน สำหรับนุ่น ฟองน้ำ ยางพารา ใยมะพร้าว เมื่อใช้ไปเป็นระยะเวลานานก็จะสามารถ
เป็นสารก่อภูมิแพ้ได้เช่นกันครับ

การตรวจหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้


     ขนไก่ที่ตากแห้งใช้ยัดที่นอนและหมอน สำหรับนุ่น ฟองน้ำ ยางพารา ใยมะพร้าว เมื่อใช้ไปเป็นระยะเวลานาน
ก็จะสามารถเป็นสารก่อภูมิแพ้ได้เช่นกันครับ

การสอบประวัติและวิเคราะห์โรค

     แพทย์จะทำการสอบถามประวัติและอาการของโรค พร้อมทั้งวิเคราะห์สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว เช่น บ้าน รถยนต์โรงเรียน สัตว์เลี้ยง งานอดิเรก เพื่อเป็นแนวทางที่จะทราบว่าผู้ป่วยมีอาการ ณ สถานที่ใดได้บ้าง

ทดสอบทางผิวหนัง

     แพทย์จึงใช้วิธีทดสอบทางผิวหนัง ( Skin Tests ) ซึ่งวิธีนี้จะนำเอาน้ำสกัดของสารก่อภูมิแพ้ทางอ้อม โดยนำน้ำสกัดของสารก่อภูมิแพ้มาหยอดลงบนผิวหนังบริเวณท้องแขนซึ่งทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ น้ำสกัดนั้นมาจากสารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย ๆ เช่น ฝุ่นบ้าน ไรฝุ่น เชื้อราในบรรยากาศ แมลงต่าง ๆ ในบ้าน เช่น แมลงสาบ ยุง เกสรดอกไม้ และอื่น ๆ เมื่อหยอดน้ำสกัดบนท้องแขนแล้ว ใช้ปลายเข็มที่สะอาดกดลงบนผิวหนังเพื่อให้น้ำยาซึมซับลงไป แล้วทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ตุ่มใดที่ผู้ป่วยแพ้ ก็จะเป็นรอยนูน คล้ายรอยยุงกัด แพทย์จะทำการวัดรอยนูนและรอยแดงของแต่ละตุ่มที่ปรากฏซึ่งทำให้ทราบได้ทันทีว่าเจ้าตัวเล็กแพ้สารใดบ้าง ตุ่มใดที่ไม่แพ้ก็จะไม่มีรอยนูนแดง สำหรับวิธีทดสอบทางผิวหนังทำได้ตั้งแต่เจ้าตัวเล็กอายุได้ไม่กี่เดือนจนถึงเป็นผู้ใหญ่
หมายเหตุ ก่อนที่ผู้ป่วยจะทำการทดสอบ ต้องหยุดรับประทานยาแก้แพ้จำพวกยาด้านฮิสตามีนก่อนการทดสอบอย่างน้อย 48 ชั่วโมง มิฉะนั้นฤทธิ์ยาแก้แพ้จะไปบดบัง ทำให้หาสาเหตุของโรคภูมิแพ้ไม่พบ

วิธีการรักษาโรคภูมิแพ้  

     โรคภูมิแพ้อาจเกิดขึ้นได้กับทุกระบบของร่างกาย บางคนอาจมีอาการภูมิแพ้ในระบบใดระบบหนึ่ง หรือหลายระบบ โรคภูมิแพ้นั้นเป็นโรคที่สามารถพิสูจน์หาสาเหตุของโรคและสามารถรักษาให้หายได้ ผู้ป่วยบางคนเริ่มจากอาการแพ้อากาศเรื้อรัง เยื่อจมูกอักเสบ เมื่อไม่ได้ใส่ใจรักษา ต่อมาอาจกลายเป็นโรคหอบหืด โรคผื่นคันผิวหนัง เช่น เป็นลมพิษ ปวดศีรษะเรื้อรัง โรคอ่อนเพลียต่าง ๆ เป็นต้น
      บางคนเชื่อว่า ถ้าเด็กเป็นโรคหอบหืดตั้งแต่เล็กพอโตขึ้นอาจหายไปเองได ้และไม่จำเป็นต้องรักษาอย่างจริงจัง ซึ่ง
เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องนัก  เพราะโรคนี้อาจทำให้เค้าเจริญเติบโตช้า การปรับตัวเข้ากับสังคมเพื่อน ๆ และสภาพแวดล้อมได้ไม่ดี เกิดปมด้อย เจ้าตัวเล็กอาจขาดความมั่นใน ส่วนเด็กที่แพ้อากาศ ถ้าไม่รักษาต่อมาก็อาจกลายเป็นโรคหอบหืดที่มีอาการของโรคแรงขึ้นเรื่อย ๆ ได้ครับ หากคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าเจ้าตัวเล็กนั้นเป็นโรคภูมิแพ้ คุณควรจะนำเค้าไปปรึกษาแพทย์ เพื่อหาว่าเค้าแพ้อะไรบ้าง การดูแลรักษาเค้า
     ในเบื้องต้นนั้นทำได้โดยการพยายามหลีกเลี่ยงสารที่เค้าแพ้ครับ ซึ่งจะทำให้อาการของโรคนั้นลดลงหรือหมดไปได้ครับ
ปัจจุบันยารักษาโรคภูมิแพ้ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยนั้นมีหลายประเภท ทั้งยารับประทาน ยาสูดเข้าหลอดลม ยาพ่นจมูก ยาหยอดตา และยาทาผิวหนัง

หาต้นเหตุและหลีกเลี่ยงสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้

     วิธีรักษาโรคภูมิแพ้ทีดีที่สุดคือการค้นหาสาเหตุของการแพ้นั้นให้พบ เช่น การสอบถามประวัติและอาการของโรค พร้อมทั้งวิเคราะห์สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว เช่น บ้าน รถยนต์ โรงเรียน สัตว์เลี้ยง งานอดิเรก ตรวจร่างกายและทดสอบทางผิวหนัง เมื่อทราบว่าแพ้สารใดแล้ว ควรหลีกเลี่ยงสารที่ให้เกิดภูมิแพ้ที่ถูกต้องและอาการของโรคภูมิแพ้ก็จะทุเลา
     ในทางปฏิบัตินั้นการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้นั้นทำได้ยาก เพราะชีวิตประจำวันนั้นต้องเผชิญกับสารก่อภูมิแพ้กระจายอยู่รอบ ๆ ตัว เช่นฝุ่นบ้าน ไรฝุ่น เชื้อรา และอื่น ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้การรักษาอาการของโรคอันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นและได้มักจะได้ผลดี แพทย์อาจให้รับประทานยาแพ้แพ้ แก้หอบ แก้ไอร่วมด้วย เป็นต้น

ฉีดวัคซีนให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทาน 

     มีวิธีการรักษาโรคภูมิแพ้อีกประการหนึ่งที่เป็นการรักษาได้ผลดีพอสมควร ได้แก่การหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้ให้พบแล้วนำสารก่อภูมิแพ้ที่ตรวจพบนี้นำมาผลิตวัคซีนให้ผู้ป่วย เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานสารที่แพ้ ( อิมมูโนบำบัด ) คือ รักษาให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทานสารที่แพ้ หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การรักษาเพื่อ ลดภูมิไว คือให้ร่างกายลดความไวต่อสารที่ก่อให้เกิดโรค

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

โรคไมเกรน

     เป็นโรคที่เกิดจากการบีบตัว และคลายตัวของหลอดเลือดในสมองมากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นอย่างรุนแรง และรวดเร็ว พร้อมกับมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ในบางรายอาจมีอาการตาพร่ามัว หรือเห็นแสงระยิบระยับร่วมด้วย พบมากในช่วงอายุ 10-30 ปี โดยเฉพาะผู้หญิง มักเป็นมากกว่าผู้ชาย

อาการ

1. ปวดศีรษะครึ่งซีก อาจเป็นบริเวณขมับหรือท้ายทอยแต่บางครั้งก็อาจเป็นสองข้างพร้อมกันหรือสลับข้างกันได้
2. ลักษณะการปวดศีรษะส่วนมากมักจะปวดตุ๊บ ๆ นานครั้งหนึ่งเกิน 20 นาที ผู้ป่วยบางรายอาจมีปวดตื้อ ๆ สลับกับปวดตุ๊บ ๆ ในสมองก็ได้
3. อาการปวดศีรษะมักเป็นรุนแรง และส่วนมากจะคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วยเสมอ โดยอาจเป็นขณะปวดศีรษะก่อนหรือหลังปวดศีรษะก็ได้
4. อาการนำจะเป็นอาการทางสายตาโดยจะมีอาการนำมาก่อนปวดศีรษะราว 10-20 นาที เช่น เห็นแสงเป็นเส้น ๆ ระยิบระยับ แสงจ้าสะท้อน หรือเห็นภาพบิดเบี้ยวก่อนปวด

สาเหตุ

1. สาเหตุที่อยู่ภายในร่างกาย เช่น พันธุกรรม ความเครียด สาเหตุเหล่านี้ไม่สามารถจะป้องกันหรือหลีกเลี่ยงได้
2. สาเหตุที่มาจากภายนอกร่างกาย สามารถที่จะป้องกันหรือหลีกเลี่ยงได้ เป็นปัจจัยส่งเสริมทำให้เกิดโรคขึ้น ได้แก่ การอดนอน หรือการทำงานหนักมากเกินไป ขาดการพักผ่อน หรือมีความเครียด การดื่มเหล้า กาแฟ ยาคุมกำเนิด (บางคนเป็น และเมื่อหยุดยาคุม ก็จะลดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้) อาหารบางชนิดจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเคมีในสมอง เพื่อกระตุ้นเส้นเลือดในสมองหดตัว และขยายตัว ทำให้มีอาการปวดหัวได้ อาหารเหล่านี้ ได้แก่ กล้วยหอม ช็อคโคแลต เนยแข็ง

คำแนะนำ

1. การนอนไม่พอ การอดนอน
2. การตรากตรำทำงานมากเกินไป ทำให้ต้องอดอาหารบางมื้อ รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดต่ำ อาการปวดศีรษะไมเกรนจะเป็นได้ง่ายขึ้น
3. การตื่นเต้นมาก ๆ โดยเฉพาะในเด็กที่ไปงานเลี้ยง
4 การเล่นกีฬาที่หักโหมจนเหนื่อยอ่อน แต่ถ้าเล่นกีฬาเบา ๆ จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย
5. การมองแสงที่มีความจ้ามาก ๆ เช่น แสงอาทิตย์ที่รุนแรง แสงที่กระพริบมาก ๆ เช่น ไฟนีออนที่เสีย หรือแสงระยิบระยับ
6. เสียงดัง
7. กลิ่นน้ำหอมบางชนิด กลิ่นซิการ์ กลิ่นสารเคมีบางอย่าง กลิ่นท่อไอเสียรถยนต์
8. อาหารบางชนิด
9. อากาศร้อนจัด อากาศเย็นจัด
10. ในระหว่างที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรน ควรจะนอนพักผ่อนในห้องที่เงียบ รับประทานยาแก้ปวดธรรมดา ถ้ามียานอนหลับก็รับประทานยาให้ หลับ หรือกดเส้นเลือดที่กำลังเต้นอยู่ที่ขมับข้างที่ปวดศีรษะ ก็จะช่วยลดอาการปวดศีรษะได้ หรืออาจจะใช้น้ำแข็งประคบ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

โรคกระเพาะ

     โรคกระเพาะเป็นโรคที่พบบ่อยโรคหนึ่ง บางท่านอาจเรียกโรคกระเพาะอาหาร เพราะอาการปวดท้องที่เป็นมักสัมพันธ์กับการรับประทานอาหาร ความหมายของโรคกระเพาะนั้น โดยทั่วไปหมายถึงโรคแผลในกระเพาะอาหาร แต่ที่จริงแล้วโรคกระเพาะยังหมายรวมถึงโรคแผลที่ลำไส้เล็ก, โรคกระเพาะอาหารอักเสบ และโรคลำไส้อักเสบอีกด้วย

สาเหตุ

     ของโรคกระเพาะอาหารนั้นมีมากมาย ซึ่งแต่ละสาเหตุจะทำให้เกิดภาวะที่มีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป เช่นการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา การรับประทานยาแก้ปวดจำพวก Aspirin ในขณะท้องว่าง การรับประทานยาแก้อักเสบหรือแก้ปวดจำพวกยาที่ใช้กันในโรคกระดูกและข้อ การดื่มสุรา และการสูบบุหรี่ นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการตรวจพบว่ามี bacteria ชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหารของคนเราได้ bacteria ตัวนี้พบว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะได้

อาการโรคกระเพาะ

     ที่พบบ่อยคือ มีอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ แต่บางคนอาจมีอาการแน่นท้องบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย ผลข้างเคียงของโรคกระเพาะที่มีอันตราย ได้แก่ อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ และกระเพาะอาหารที่เป็นแผลทะลุทำให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงได้
     ในกรณีที่ท่านมีอาการปวดท้องและสงสัยว่าจะเป็นโรคกระเพาะ ท่านควรรับคำปรึกษาจากแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ เนื่องจากสาเหตุของการปวดท้องมีมากมาย หากยังไม่มีความแน่ใจ ท่านควรไปพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์จะซักประวัติของท่านอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น มีการตรวจร่างกายเพื่อว่าจะหาสาเหตุที่แท้จริง แพทย์อาจให้การรักษาโดยให้ยาลดกรดในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็ก หรือในบางกรณีอาจมีการตรวจเพิ่มเติม โดยแพทย์อาจพิจารณาใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหารหนือให้กลืนแป้งแล้วเอ็กซเรย์ เพื่อดูให้เห็นร่องรอยของแผลในกระเพาะอาหารหรือในลำไส้เล็กส่วนต้น จะทำให้การวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องแม่นยำขึ้น

่การรักษาที่สำคัญที่สุด

     ของโรคกระเพาะคือ การป้องกันไม่ให้เกิดโรคกระเพาะนั่นเอง โดยท่านต้องรับประทานให้ตามเวลา การหลีกเลี่ยงการดื่มสุรา การสูบบุหรี่และการระมัดระวังการรับประทานยาที่อาจมีผลต่อการทำให้มีกรดในกระเพาะอาหารมากยิ่งขึ้น ตลอดจนการระมัดระวังเรื่องความเครียด ความวิตกกังวล ซึ่งก็มีส่วนในการทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วยเช่นกัน

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 12, 2007, 08:11 PM โดย +Kamarutdin+ »
.....เมื่อใครคนหนึ่งซ่อนเร้นสิ่งใดไว้ในหัวใจของเขา  ลิ้นของเขาก็จะชี้ให้ และ สีหน้าของเขาก็เปิดมันออกมา จงอย่าเป็นทาสของผู้ใดนอกจากตัวท่านเอง เพราะ อัลลอฮุ ได้ทำให้ท่านเกิดมาเป็นอิสระ.....

ออฟไลน์ yaseen

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 36
  • ชีวิตนักเดินทาง
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พ.ค. 12, 2007, 07:17 PM »
0
ญะซากัลลอฮูคอยรอนขอรับ

   
ภูมิแพ้

      โรคภูมิแพ้ หรือโรคแพ้ (Allergy) หมายถึง โรคที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอาการไวผิดปกติต่อสิ่งซึ่งสามารถก่อให้เกิดภูมิแพ้
( Allergen ) ซึ่งธรรมชาติสารเหล่านี้อาจไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้กับคนปกติทั่วไป
      โรคภูมิแพ้เกิดได้ทุกเพศทุกวัย เด็กอายุ 5 ถึง 15 ปี มักพบว่าเป็นบ่อยกว่าช่วงอายุอื่น ๆ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่โรคแสดงออก หลังจากได้รับ ?สิ่งกระตุ้น? มานานเพียงพอ อย่างไรก็บางคนอาจเริ่มเป็นโรคภูมิแพ้ตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ได้
     โรคภูมิแพ้นั้นมิใช่โรคติดต่อ แต่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม จากรุ่นคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณพ่อคุณแม่ มาสู่ลูกหลานได้ อาจพบว่าในครอบครัวนั้นมีสมาชิกป่วยเป็นโรคภูมิแพ้หลายคน
     ตัวการที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เรียกกว่า สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) หรือ สิ่งกระตุ้น ซึ่งอาจเข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจ
การรับประทานอาหาร การสัมผัสทางผิวหนัง ทางตา ทางหู ทางจมูก หรือโดยการฉีดหรือถูกกัดต่อยผ่านผิวหนัง ตัวการ
ที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้มีอยู่รอบตัว สามารถกระตุ้นอวัยวะต่าง ๆ จนก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น


มีอาการของโรคภูมิแพ้ (ใจ) บ้างไหมขอรับ ;D ;D
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 12, 2007, 07:25 PM โดย yaseen »
+ในร่างกายนั้นมีก้อนเนื้อหนึ่ง เมื่อมันดี ร่างกายทุกส่วนก็จะดี เมื่อมันเสีย ทุกส่วนของร่างกายก็จะเสีย จงจำไว้เถิด เนื้อก้อนนั้นคือหัวใจ+

ออฟไลน์ +Kamarutdin+

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 60
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พ.ค. 12, 2007, 07:40 PM »
0
ญะซากัลลอฮูคอยรอนขอรับ

   
ภูมิแพ้

      โรคภูมิแพ้ หรือโรคแพ้ (Allergy) หมายถึง โรคที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอาการไวผิดปกติต่อสิ่งซึ่งสามารถก่อให้เกิดภูมิแพ้
( Allergen ) ซึ่งธรรมชาติสารเหล่านี้อาจไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้กับคนปกติทั่วไป
      โรคภูมิแพ้เกิดได้ทุกเพศทุกวัย เด็กอายุ 5 ถึง 15 ปี มักพบว่าเป็นบ่อยกว่าช่วงอายุอื่น ๆ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่โรคแสดงออก หลังจากได้รับ ?สิ่งกระตุ้น? มานานเพียงพอ อย่างไรก็บางคนอาจเริ่มเป็นโรคภูมิแพ้ตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ได้
     โรคภูมิแพ้นั้นมิใช่โรคติดต่อ แต่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม จากรุ่นคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณพ่อคุณแม่ มาสู่ลูกหลานได้ อาจพบว่าในครอบครัวนั้นมีสมาชิกป่วยเป็นโรคภูมิแพ้หลายคน
     ตัวการที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เรียกกว่า สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) หรือ สิ่งกระตุ้น ซึ่งอาจเข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจ
การรับประทานอาหาร การสัมผัสทางผิวหนัง ทางตา ทางหู ทางจมูก หรือโดยการฉีดหรือถูกกัดต่อยผ่านผิวหนัง ตัวการ
ที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้มีอยู่รอบตัว สามารถกระตุ้นอวัยวะต่าง ๆ จนก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น


มีอาการของโรคภูมิแพ้ (ใจ) บ้างไหมขอรับ ;D ;D

 ;D ;D ;D คุณ yaseen ครับ ตอนผมพิมพ์เสร็จผมเห็นคุณ userคุณonlineอยู่ ผมกะว่าเดี๋ยวคุณต้องถามผมเรื่องภมิแพ้ใจแน่ๆ  :D :D แล้วก็จริงๆ ด้วย  ;D
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 12, 2007, 07:42 PM โดย +Kamarutdin+ »
.....เมื่อใครคนหนึ่งซ่อนเร้นสิ่งใดไว้ในหัวใจของเขา  ลิ้นของเขาก็จะชี้ให้ และ สีหน้าของเขาก็เปิดมันออกมา จงอย่าเป็นทาสของผู้ใดนอกจากตัวท่านเอง เพราะ อัลลอฮุ ได้ทำให้ท่านเกิดมาเป็นอิสระ.....

ออฟไลน์ +Kamarutdin+

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 60
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พ.ค. 12, 2007, 08:04 PM »
0


ความดันโลหิตสูง

     โรคความดันโลหิตสูง หรือ โรคแรงดันเลือดสูง ภาษาอังกฤษเรียก Hypertension ภาษาชาวบ้านเรียกง่ายๆว่า ?โรคความดัน? ซึ่งเป็นโรคที่รู้จักกันมาก โรคหนึ่ง แต่เชื่อไหมครับ จากการศึกษาพบว่าชาวอเมริกันร้อยละ 68.4 เท่านั้นที่ทราบว่าตัวเองมี ความดันโลหิตสูง และมีเพียงร้อยละ 53.6 ที่รับการรักษา และในกลุ่มนี้มีเพียงร้อยละ 27.4 ที่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ดี นั่นเป็นสถิติต่างประเทศ สำหรับบ้านเรายังล้าหลังเรื่องข้อมูลพวกนี้อยู่มาก ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้คงช่วยให้ผู้อ่านมีความเข้าใจ และ เห็นความสำคัญของการรักษาความดันโลหิตสูงมากขึ้น

ความดันโลหิตคืออะไร

     ลองนึกภาพสายยางรดน้ำต้นไม้ มีน้ำไหลเป็นจังหวะการปิดเปิดของก๊อก เมื่อเปิดน้ำเต็มที่ น้ำไหลผ่านสายยาง ย่อมทำให้เกิดแรง ดันน้ำขึ้นในสายยางนั้น และเมื่อปิดหรือหรี่ก๊อก น้ำไหลน้อยลง แรงดันในสายยางก็ลดลงด้วย ระบบหัวใจและหลอดเลือด ก็เป็น ระบบไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกาย โดยมีหัวใจ ทำหน้าที่คล้ายก๊อก หรือ ปั๊มน้ำ คอยสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย เลือดไหลแรงดี ความดันก็ดี หากหัวใจบีบตัวไม่ดี เลือดไหลอ่อน ความดันก็ลดลง นอกจาก นั้นแล้วความดันในหลอดเลือดยังขึ้นกับสภาพของ หลอดเลือดด้วย หากหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดี จะปรับความดันได้ดี ไม่ให้สูงเกินไป แต่หาก หลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น หรือ แข็งตัว ก็จะทำให้ความดันเปลี่ยนแปลงไปด้วย
     ค่าความดันโลหิตจะมีสองค่าเสมอ เรียกว่า ?ตัวบน? และ ?ตัวล่าง? ค่าแรกเป็นความดันโลหิตในหลอดเลือดที่เกิดขึ้นขณะที่หัวใจ บีบตัว ไล่เลือดออก จากหัวใจ ส่วนตัวล่างคือความดันของเลือดที่ยังค้างอยู่ในหลอดเลือดขณะที่หัวใจคลายตัว ผู้ป่วยความดัน โลหิตสูงควรจำค่าทั้งสองไว้ เพราะมีความสำคัญ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ความดันโลหิตเท่าไรเรียกว่าปกติ

     ปัจจุบันความดันโลหิตที่เรียกว่า ?เหมาะสม? ในผู้ที่อายุมากกว่า 18 ปี คือ ตัวบนไม่เกิน 120 มม.ปรอท และตัวล่างไม่เกิน 80 มม.ปรอท เรียกสั้นๆว่า 120/80 ความดันโลหิตที่ ?อยู่ในเกณฑ์ปกติ? คือ ต่ำกว่า 130/85 มม.ปรอท ความดันโลหิตสูงเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ 130-139/85-89 มม.ปรอท จะเรียกได้ว่ามีความดันโลหิตสูงเมื่อ ความดันโลหิตตัวบนมากกว่า (หรือเท่ากับ) 140 และตัวล่างมากกว่า (หรือเท่ากับ) 90 มม.ปรอท อย่างไรก็ตามก่อน ที่จะเรียกว่าผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูงได้นั้น แพทย์จะต้องวัดซ้ำหลายๆครั้ง หลังจากให้ผู้ป่วยพักแล้ว วัดซ้ำจนกว่าจะแน่ใจว่าสูงจริง และที่สำคัญเทคนิค การวัดต้องถูกต้องด้วย

การวัดความดันโลหิตที่ถูกต้องเป็นอย่างไร

     เครื่องมือที่ใช้วัดความดันโลหิตที่เป็นมาตราฐานคือผ้าที่มีถุงลมพันที่แขน และ ใช้ปรอท ในขณะวัดความดันโลหิตผู้ถูกวัดความดัน โลหิตควรจะอยู่ ในท่านั่งสบายๆ วัดหลังจากนั่งพักแล้ว 5 นาที ไม่วัดหลังจากดื่มกาแฟ หรือ สูบบุหรี่ ขนาดของผ้าพันแขนก็ต้อง เหมาะสมกับแขนผู้ถูกวัดด้วย หากอ้วนมากแล้วใช้ผ้าพันแขนขนาดปกติ ค่าที่ได้จะสูงกว่าความเป็นจริง การปล่อยลมออกจาก ที่พันแขนก็มีความสำคัญอย่างมาก และ เป็นที่ละเลย กันมากที่สุด คือจะต้องปล่อยลมออกช้าๆ ไม่ใช่ปล่อยพรวดพราดดังที่เห็น หลายๆแห่งทำอยู่ การทำเช่นนั้นทำให้ได้ค่าที่ผิดไปจากความเป็นจริงมาก เครื่องวัดความดันก็ต้องได้มาตราฐาน ไม่ใช่เครื่องเก่า มากหรือมีลมรั่ว เป็นต้น ตำแหน่งของเครื่องวัดก็ควรอยู่ระดับเดียวกับหัวใจ และต้องวัดซ้ำๆ เพื่อหาค่าเฉลี่ย
     ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ออกแบบมาให้วัดความดันโลหิตได้ง่ายและสะดวกขึ้น โดยผู้วัดไม่จำเป็นต้องมีความรู้เลย เพียงแค่ใส่ถ่าน พันแขนและกดปุ่ม เครื่องจะวัดให้เสร็จ อ่านค่าเป็นตัวเลข เครื่องแบบนี้มีขายตามศูนย์การค้าทั่วไป โดยทั่วไปแล้วใช้งานได้ดี (แบบพันแขน) แต่ก็ต้องนำเครื่องมา ตรวจสอบความถูกต้องเป็นครั้งคราว ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควรมีเครื่องชนิดนี้ไว้วัดที่บ้านด้วย ในอนาคตเครื่องวัดความดันโลหิตแบบปรอทอาจจะเลิกใช้ ส่วนหนึ่งเนื่องจากผลทางสิ่งแวดล้อม(ปรอทเป็นสารอันตราย) และ อีกเหตุผลหนึ่งคือใช้เทคนิคมากในการวัดให้ถูกต้อง
     ความรู้ปัจจุบันพบว่าการวัดความดันโลหิตที่ดีที่สุดคือการวัดความดันโลหิตตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งหลับและตื่น เพื่อดูแบบแผน ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร และหาค่าเฉลี่ยความดันโลหิตของช่วงกลางวันและกลางคืน ค่าที่ถือว่าปกติโดยการวัดความดันโลหิต 24 ชั่วโมงนี้ คือ ขณะตื่นความดันโลหิตเฉลี่ยควร น้อยกว่า 135/85 มม.ปรอท และเมื่อหลับความดันโลหิตเฉลี่ยควรน้อยกว่า 120/75 มม.ปรอท

ข้อที่ควรทราบบางประการเกี่ยวกับความดันโลหิต

     ประการแรกคือความดันโลหิตเป็นค่าไม่คงที่ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกวินาที จึงไม่แปลกที่วัดซ้ำในเวลาที่ใกล้เคียงกัน แล้วได้คนละค่า แต่ก็ไม่ควรจะแตกต่างกันนัก ความดันโลหิตยังขึ้นกับท่าของผู้ถูกวัดด้วย ท่านอนความดันโลหิตมักจะสูงกว่าท่ายืน นอกจากนั้นแล้ว ยังขึ้นกับ สิ่งกระตุ้นต่างๆ เช่น อาหาร บุหรี่ อากาศ กิจกรรมที่ทำอยู่ รวมทั้งจิตใจด้วย
     ประการต่อมาคือภาวะความดันโลหิตสูงปลอม หมายความว่าจริงๆแล้วผู้ป่วยไม่ได้มีความดันโลหิตสูง แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบ เมื่อมาวัดความดันโลหิต ที่คลินิกแพทย์หรือโรงพยาบาล จะวัดได้สูงกว่าปกติทุกครั้ง แต่เมื่อวัดโดยเครื่องวัดความดันโลหิต 24 ชั่วโมงหรือวัดด้วยเครื่องอิเลคโทรนิคเองที่บ้าน กลับพบว่าความดันปกติ เรียกภาวะเช่นนี้ว่า White coat hypertension หรือ Isolated clinic hypertension กลุ่มนี้มีอันตรายน้อยกว่าความดันโลหิตสูงจริงๆ

ความดันโลหิตสูงเกิดจากอะไร และ มีอาการอย่างไร

     จนถึงปัจจุบันนี้ความดันโลหิตสูงก็ยังเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุเป็นส่วนใหญ่ มีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้องทั้งพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม เช่น อาหารรสเค็ม เชื้อชาติ ส่วนน้อยเกิด (น้อยกว่าร้อยละ 5) จากความผิดปกติของหลอดเลือด ไตวาย หรือ เนื้องอกบางชนิด ความดันโลหิตสูงได้ชื่อว่าเป็นฆาตกรเงียบ เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติ ไม่ทราบว่าตัวเองมีความดันโลหิตสูง หรือ แม้จะทราบแต่ละเลยไม่สนใจรักษาเพราะรู้สึกปกติ สบายดี ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่างๆตามมาภายหลัง ผู้ป่วยส่วนน้อยที่มี อาการปวดศีรษะ มึนศีรษะ
ทำไมต้องลดความดันโลหิต
     การที่ปล่อยให้ความดันโลหิตสูงอยู่เป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดแดง โดยเฉพาะหลอดเลือด เลี้ยงสมอง ตา หัวใจ และไต จึงทำให้หลอดเลือดสมองแตก หรือ ตีบตัน เป็นอัมพาต ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ โรคหัวใจขาดเลือด ไตวายเรื้อรัง เป็นต้น นอกจากนั้นแล้วความดันโลหิตสูง ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น จนเกิดหัวใจโต กล้ามเนื้อหัวใจหนา ซึ่งไม่เป็นผลดีเลย อาจเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวายตามมา เห็นได้ว่า การละเลย ไม่สนใจรักษาก็จะมีโทษต่อตนเอง ในอนาคต เป็นที่น่าเสียดายที่ผลแทรกซ้อนต่างๆเหล่านี้สามารถป้องกันได้โดยการควบคุมความดันโลหิต แม้จะไม่สามารถป้องกัน ได้ทั้งหมดก็ตาม ดังนั้นการรักษาความดันโลหิตสูงในวันนี้ ก็เพื่อที่จะลดโอกาสเกิดผลแทรกซ้อนร้ายแรงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ในอนาคตลงให้มากที่สุดนั่นเอง

ข้อควรทราบเกี่ยวกับการรักษาความดันโลหิตสูง

     ความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ การรับประทานยาเป็นเพียงการรักษาที่ปลายเหตุ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรักษาตลอดไป หากหยุดยา ความดันโลหิตอาจกลับมาสูงอีกได้
     เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติ แม้ความดันโลหิตจะสูงมากๆก็ตาม ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้อาการมาพิจารณาว่า วันนี้จะรับประทานยา หรือไม่ เช่น วันนี้สบายดีจะไม่รับประทานยาเช่นนั้นไม่ได้
     การรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติตลอดเวลาเป็นระยะเวลานาน จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคแทรกทางสมอง หัวใจ ไต และหลอดเลือดได้

การรักษาแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การไม่ใช้ยา กับการใช้ยา การไม่ใช้ยาหมายถึงการลดน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดบุหรี่ และหลีกเลี่ยงอาหารเค็ม ในผู้ป่วยที่ความดันโลหิตสูงเล็กน้อย อาจเริ่มการรักษาโดยไม่ใช้ยา แต่หากมีปัจจัยเสี่ยงในการเกิด โรคหัวใจอยู่ด้วยก็อาจจำเป็นต้องใช้ยาร่วมด้วย
     ปัจจุบันมียาลดความดันโลหิตอยู่หลายกลุ่ม กลไกการออกฤทธิ์แตกต่างกันไป ราคาก็ต่างกันมาก ตั้งเม็ดละ 50 สตางค์ ถึง 50 บาท ยาลดความดัน โลหิตที่ดี ควรจะออกฤทธิ์ช้าๆ ไม่ทำให้ความดันโลหิตแกว่งขึ้นลงมากจนเกินไป สามารถควบคุมความดัน โลหิตได้ดีตลอด 24 ชั่วโมง โดยการรับประทาน เพียงวันละ 1 ครั้ง มีผลแทรกซ้อนน้อย แต่น่าเสียดายว่ายังไม่มียาใดที่วิเศษ ขนาดนั้น ยาทุกตัวล้วนก็มีข้อดี ข้อด้อย และ ผลแทรกซ้อนทั้งสิ้น อย่าลืมว่า การปล่อยให้ ความดันโลหิตสูงอยู่นานๆ ก็เป็นผลเสีย ร้ายแรงเช่นกัน จึงควรติดตามการรักษาโดยการวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง หากมี ผลแทรกซ้อน ควรปรึกษาแพทย์ท่านเดิมเพื่อปรับเปลี่ยนยา ไม่ควรเปลี่ยนแพทย์ไปเรื่อยๆ เพราะทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง
     การรักษาความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยสูงอายุเป็นเรื่องที่สำคัญ และจำเป็นต้องรักษา แต่ต้องรักษาด้วยความระมัด ระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากหากลด ความดันโลหิตมากเกินไป ก็อาจเกิดผลเสียขึ้นได้
     นอกจากการรับประทานยาแล้ว การควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้ผ่องใส งดอาหารเค็ม ก็จะช่วยให้ ควบคุมความดันโลหิต ได้ดียิ่งขึ้น

โรคความดันโลหิตต่ำเป็นอย่างไร รักษาโดยดื่มเบียร์จริงหรือ

     ความจริงแล้วไม่มี ?โรคความดันต่ำ? มีแต่ภาวะความดันโลหิตต่ำที่เกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายขาดสารน้ำ เช่น ท้องเสีย อาเจียน เสียเลือด อากาศร้อนจัด หรือจากยาบางชนิด ความดันโลหิตที่วัดได้ 90/60 มม.ปรอท ไม่ได้หมายความว่าเป็นความดันโลหิต ที่ต่ำกว่าปกติ คนจำนวนมากมีความดันโลหิตขนาดนี้ โดยไม่มีอาการผิดปกติ อาการหน้ามืด เวียนศีรษะบ่อยๆ ที่คนส่วนใหญ่ คิดว่าเป็นจาก "ความดันต่ำ" นั้น อาจเกิดจากหลายสาเหตุ มักจะเกิดจากการ ขาดการออกกำลังกาย มากกว่าที่จะเกิดจากภาวะ ความดันโลหิตต่ำ การรักษาภาวะความดันโลหิตต่ำ ต้องรักษาที่สาเหตุ ไม่ใช่การดื่มเบียร์อย่างที่เข้าใจกัน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

โรคโลหิตจาง

     เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับเฮโมโกลบินในเลือดต่ำกว่าปกติ พบได้ในทุกอายุและทั้งสองเพศ

อาการ

     ถ้าเป็นน้อยๆอาจมีอาการเหนื่อนง่าย รู้สึกเพลียๆ แต่ถ้าเป็นรุนแรง จะมีอาการไม่มีแรง ซีดเซียว หัวใจเต้นเร้ว หายใจไม่ออก มึนงง เท้าบวม และปวดขา

สาเหตุ

1. เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของ ฮีโมโกลบิน (ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปตามกระแสเลือด) มักเกิดในกลุ่มเด็กวัยรุ่น
2. การสูญเสียเลือดมากๆในช่วงมีประจำเดือน
3. มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร
4. เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก
5. เกิดภาวะผิดปกติในการสร้างเม็ดเลือดแดง
6. ร่างกายไม่ดูดซึม วิตามิน บี 12 ( pernicious anaemia )

คำแนะนำ

1. รัประทานเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ตับสัตว์ เลือดสัตว์ ถั่วและผักใบเขียวเข้มเป็นแหล่งที่มีธาตุเหล็กมากที่สุด
2. รัประทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เพื่อให้ได้ วิตามิน ซี จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากพืชได้ดีขึ้น
3. งดการดื่มน้ำชาระหว่างมื้ออาหาร สารแทนนินที่มีอยู่ในน้ำชาจะไปขัดขวางการดูโซึมธาตุเหล็กได้
4. งดการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทรำสำเร็จรูปมากเกินไป เนื่องจากกรดไฟติกที่มีอยู่ในรำข้าวสาลี และข้าวกล้อง จะไปยัยยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กได้

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ไซนัสอักเสบ

     หมายถึงการอักเสบของโพรงอากาศ (sinus) รอบๆ จมูกและตา ซึ่งมีสาเหตุมากจาการอุดตันของโพรงอากาศจากการติดเชื้อ แพ้หรือระคายเคือง (เช่น ควันบุหรี่) แบคทีเรียเป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อนี้

อาการ

     น้ำมูกเรื้อรังนานเกิน 10 วัน น้ำมูกอาจมีลักษณะเหลืองเขียว ในเด็กมักมีอาการไอร่วมด้วย บางคนลมหายใจเหม็น ในรายที่มีอาการมากอาจมีไข้ บวมบริเวณรอบขอบตาและปวดบริเวณโหนกแก้ม

สาเหตุ 

     เมื่อเป็๋นหวัดหรือมีแผลติดเชื้อ อักเสบที่ฟันบน เชื้อโรคจะเข้าสู่ท่อเล็กๆที่เชื่อมต่อระหว่างโพรงอากาศ(sinus) ทำให้มีการติดเชื้อและอักเสบของเยื่อบุภายในในโพรงอากาศ ท่อต่อเชื่อมตีบตันทำให้ มูกจึงไหลออกมาไม่ได้ หรืออาจเกิดจากการแพ้อาหารบางชนิด การแพ้สารบางชนิด เช่น ควันบุหรี่ ฝุ่นละออง ขนสัตว์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสาเหตุให้แน่ชัด

คำแนะนำ

1. หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ทำลายสุขภาพเมื่อมีความผิดปกติในจมูกควรปรึกษาแพทย์ ควรงดการว่ายน้ำดำน้ำ เมื่อเป็นหวัด หรือโรคภูมิแพ้ของจมูก
2. รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะในฤดูหนาว
3. ดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียงทุกวัน
4. หลีกเลี่ยงจากสิ่งมีพิษในอากาศ เช่น ฝุ่นละออง, สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง, ควันบุหรี่, ทินเนอร์ผสมสี เป็นต้น
5. เมื่อเป็นหวัดอย่าปล่อยไว้นานเกิน 1 สัปดาห์ ควรรีบปรึกษาแพทย์
6. ในกรณีที่มีฟันผุ โดยเฉพาะฟันบนพึงระวังว่าจะมีโอกาสติดเชื้อเข้าสู่ไซนัสได้
7. รักษาสุขภาพช่องปากและฟันให้ดีอยู่เสมอ
8. ออกกำลังกายพอสมควรโดยสม่ำเสมอ
9. รับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ครบถ้วน และไม่มาก หรือน้อยเกินไป
10. ถ้ามีโรคประจำตัวอยู่ ควรได้รับการรักษาแพทย์โดยสม่ำเสมอ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อเข่าเสื่อม

     อาการปวดที่เกิดขึ้นบริเวณข้อเข่า อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี มักเกิดจาก การเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ ของกระดูก และ กระดูกอ่อนผิวข้อ

อาการสำคัญ ของโรคข้อเข่าเสื่อม

ปวดข้อเข่า รู้สึกเมื่อย ตึงที่น่องและข้อพับเข่า รู้สึกว่าข้อเข่าขัด ๆ เคลื่อนไหวข้อได้ไม่เต็มที่ มีเสียงดังในข้อ เวลาขยับเคลื่อนไหวข้อเข่า ข้อเข่าบวม มีน้ำในข้อ เข่าคดผิดรูปร่าง หรือ เข่าโก่ง  ซึ่งอาการเหล่านี้อาจจะพบบางข้อหรือหลายข้อพร้อมกันก็ได้ ในระยะแรก อาการเหล่านี้มักจะค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้า ๆ และ เป็น ๆ หาย ๆ  เมื่อโรคเป็นมากขึ้นก็จะมีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้น เป็นบ่อยขึ้น และอาจจะมีอาการตลอดเวลา

การเอ๊กซเรย์ ข้อเข่า

ก็จะพบว่ามีช่องของข้อเข่าแคบลงมีกระดูกงอกตามขอบของกระดูกเข่าและกระดูกสะบ้า ข้อเข่าคดงอ ผิดรูป เข่าโก่ง  ซึ่งลักษณะที่พบนี้ ก็อาจพบได้ในข้อเข่าของผู้สูงอายุปกติทั่วไป โดยที่ไม่มีอาการเลยก็ได้  ดังนั้นการจะบอกว่าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมหรือไม่โดยส่วนใหญ่แล้วแพทย์สามารถบอกได้ จากประวัติของความเจ็บป่วย อาการ อาการแสดงที่เป็นอยู่ และ การตรวจร่างกาย โดยไม่จำเป็นต้องเอ๊กซเรย์  การเอ๊กซเรย์จะทำก็ต่อเมื่อแพทย์สงสัยว่าอาจจะเป็นโรคอื่น สงสัยว่าอาจจะมีภาวะแทรกซ้อน หรือ ในกรณีที่ต้องทำการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด

แนวทางรักษา มีอยู่หลายวิธี เช่น

1)การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
2)ทำกายภาพบำบัด
3)การกินยาแก้ปวดลดการอักเสบ
4การผ่าตัด เพื่อจัดแนวกระดูกใหม่
5)การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
6)ในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมให้หายขาดได้ จุดมุ่งหมายในการรักษาทุกวิธีก็คือ ลดอาการปวด ทำให้เคลื่อนไหวข้อได้ดีขึ้น ป้องกันหรือแก้ไขการผิดรูปร่างของข้อ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตประจำวันหรือทำงานได้เป็นปกติ
7)การกินยาแก้ปวด หรือ การผ่าตัด ถือว่าเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ ถ้าผู้ป่วยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน และ ไม่บริหารข้อเข่า ผลการรักษาก็จะไม่ดีเท่าที่ควร

วิธีการรักษาที่ได้ผลดี เสียค่าใช้จ่ายน้อย ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตนเอง คือ

การลดน้ำหนัก
การบริหารข้อ และ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน

ข้อแนะนำในการรักษาด้วยตนเอง ดังนี้

1) ลดน้ำหนักตัว เพราะเมื่อเดินจะมีน้ำหนักลงที่เข่าแต่ละข้างประมาณ 3 เท่าของน้ำหนักตัว แต่ถ้าวิ่ง น้ำหนักจะลงที่เข่าเพิ่มเป็น 5 เท่าของน้ำหนักตัว ดังนั้น ถ้าลดน้ำหนักตัวได้ ก็จะทำให้เข่าแบกรับน้ำหนักน้อยลง การเสื่อมของเข่าก็จะช้าลงด้วย

2) ท่านั่ง ควรนั่งบนเก้าอี้ที่สูงระดับเข่า ซึ่งเมื่อนั่งห้อยขาแล้วฝ่าเท้าจะวางราบกับพื้นพอดี  ไม่ควร นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งคุกเข่า นั่งยอง ๆ หรือนั่งราบบนพื้น เพราะท่านั่งดังกล่าวจะทำให้ ผิวข้อเข่าเสียดสีกันมากขึ้น ข้อเข่าก็จะเสื่อมเร็วขึ้น

3) เวลาเข้าห้องน้ำ ควรนั่งถ่ายบนโถนั่งชักโครก หรือ ใช้เก้าอี้ที่มีรูต้องกลาง วางไว้เหนือ คอห่าน ไม่ควรนั่งยอง ๆ เพราะทำให้ผิวข้อเข่าเสียดสีกันมาก และเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงขา ถูกกดทับ เลือดจะไปเลี้ยงขาได้ไม่ดี ทำให้ขาชา และมีอาการอ่อนแรงได้  ควรทำที่จับยึดบริเวณด้านข้างโถนั่งหรือใช้เชือก ห้อยจากเพดานเหนือโถนั่ง เพื่อใช้จับพยุงตัว เวลาจะลงนั่งหรือจะลุกขึ้นยืน

4) นอนบนเตียง ซึ่งมีความสูงระดับเข่า ซึ่งเมื่อนั่งห้อยขาที่ขอบเตียงแล้วฝ่าเท้าจะแตะพื้นพอดี
ไม่ควรนอนราบบนพื้นเพราะต้องงอเข่าเวลาจะนอนหรือจะลุกขึ้น ทำให้ผิวข้อเสียดสีกันมากขึ้น

5) หลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันได

6) หลีกเลี่ยงการยืนหรือ นั่งในท่าเดียวนาน ๆ ถ้าจำเป็นก็ให้ขยับเปลี่ยนท่าหรือขยับเหยียด-งอข้อเข่า เป็นช่วง ๆ

7) การยืน ควรยืนตรง ให้น้ำหนักตัวลงบนขาทั้งสองข้างเท่า ๆ กัน ไม่ควร ยืนเอียงลงน้ำหนักตัวบนขาข้างใดข้าง-หนึ่ง
เพราะจะทำให้เข่าที่รับน้ำหนักมากกว่าเกิดอาการปวด และข้อเข่าโก่งผิดรูปได้

8) การเดิน ควรเดินบนพื้นราบ ใส่รองเท้าแบบมีส้นเตี้ย(สูงไม่เกิน 1 นิ้ว) หรือ แบบที่ไม่มีส้นรองเท้า พื้นรองเท้านุ่มพอสมควร และ มีขนาดที่พอเหมาะเวลาสวมรองเท้าเดินแล้วรู้สึกว่ากระชับพอดี ไม่หลวมหรือคับเกินไป  ไม่ควร เดินบนพื้นที่ไม่เสมอกันเช่น บันได ทางลาดเอียงที่ชันมาก หรือทางเดินที่ขรุขระเพราะจะทำให้น้ำหนักตัวที่ลงไปที่เข่าเพิ่มมากขึ้น และอาจจะเกิดอุบัติเหตุหกล้มได้ง่าย

9) ควรใช้ไม้เท้า เมื่อจะยืนหรือเดิน โดยเฉพาะ ผู้ที่มีอาการปวดมากหรือมีข้อเข่าโก่งผิดรูป เพื่อช่วยลดน้ำหนักตัวที่ลงบนข้อเข่าและช่วยพยุงตัวเมื่อจะล้ม แต่ก็มีผู้ป่วยที่ไม่ยอมใช้ไม้เท้า โดยบอกว่า รู้สึกอายที่ต้องถือไม้เท้า และไม่สะดวก ทำให้เกิดผลเสียตามมาคือ ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น และ เสี่ยงต่ออุบัติเหตุหกล้ม  สำหรับวิธีการถือไม้เท้านั้นถ้าปวดเข่ามาก ข้างเดียวให้ถือไม้เท้าในมือด้านตรงข้ามกับเข่าที่ปวด แต่ถ้าปวดเข่าทั้งสองข้างให้ถือในมือข้างที่ถนัด

10) บริหารกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อเข่า ให้แข็งแรง เพื่อช่วยให้การเคลื่อนไหวของข้อได้ดีขึ้น และสามารถทรงตัวได้ดีขึ้นเวลายืน หรือ เดิน การออกกำลังกายควรเป็นการออกกำลังกายที่ไม่ต้องมีการลงน้ำหนักที่เข่ามากนัก เช่น การเดิน การขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เป็นต้น

     โรคข้อเข่าเสื่อมรักษาไม่หายขาด แต่ก็มีวิธีที่ทำให้อาการดีขึ้นและชะลอความเสื่อม ให้ช้าลง ทำให้ท่านสามารถดำเนินชีวิตอยู่ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งจะทำได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ ความตั้งใจของท่านเองเป็นสำคัญ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

.....เมื่อใครคนหนึ่งซ่อนเร้นสิ่งใดไว้ในหัวใจของเขา  ลิ้นของเขาก็จะชี้ให้ และ สีหน้าของเขาก็เปิดมันออกมา จงอย่าเป็นทาสของผู้ใดนอกจากตัวท่านเอง เพราะ อัลลอฮุ ได้ทำให้ท่านเกิดมาเป็นอิสระ.....

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พ.ค. 12, 2007, 09:18 PM »
0
ญะซาอัลเลาะฮ์  สำหรับคุณ กะมาลุดดีน ครับ  บางครั้งการมีโรคเป็นลาภอันประเสริฐที่ทำให้มีความศรัทธาต่ออัลเลาะฮ์    ;D
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 12, 2007, 11:17 PM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ +Kamarutdin+

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 60
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: พ.ค. 12, 2007, 10:11 PM »
0


โรคเกาต์

     เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ ที่มีอาการปวดข้อเรื้อรัง พบได้ไม่น้อย พบในผู้ชายมากกว่า ผู้หญิงประมาณ 9-10 เท่า ส่วนมากจะพบในผู้ชายอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป ส่วนผู้หญิงพบได้น้อย ถ้าพบมักจะเป็นหลังวัยหมดประจำเดือน เป็นโรคที่มีทาง รักษาให้หายได้ แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้

อาการ

     มีอาการปวดข้อรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันทันที ข้อจะบวมและเจ็บมากจนเดินไม่ไหว ผิวหนังในบริเวณนั้นจะตึง ร้อนและแดง จากนั้นผิวหนังในบริเวณที่ปวดจะลอกและคัน มักมีอาการปวดตอนกลางคืน และมักจะเป็นหลังดื่มเหล้าหรือเบียร์ (ทำให้ไตขับกรดยูริกได้น้อยลง) ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา ในระยะแรก ๆ อาจกำเริบทุก 1-2 ปี โดยเป็นที่ข้อเดิม แต่ต่อมาจะเป็นถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ทุก 4-6 เดือน แล้วเป็นทุก 2-3 เดือน จนกระทั่งทุกเดือน หรือเดือนละหลายครั้งและระยะการปวดจะนานวันขึ้นเรื่อย ๆ เช่น กลายเป็น 7-14 วัน จนกระทั่งหลายสัปดาห์หรือปวดตลอดเวลา ส่วนข้อที่ปวดก็จะเพิ่มจากข้อเดียวเป็น 2-3 ข้อ (เช่น ข้อมือ ข้อศอก ข้อเข่า ข้อเท้า นิ้วมือนิ้วเท้า) จนกระทั่งเป็นเกือบทุกข้อ ในระยะหลัง เมื่อข้ออักเสบหลายข้อ ผู้ป่วยมักสังเกตว่ามีปุ่มก้อนขึ้นที่บริเวณที่เคยอักเสบบ่อย ๆ เช่นข้อนิ้วเท้า ข้อนิ้วมือ ข้อศอก ข้อเข่า รวมทั้งที่หูเรียกว่า ตุ่มโทฟัส (tophus/tophi) ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของสารยูริก ปุ่มก้อนนี้จะโตขึ้นเรื่อย ๆ จนบางครั้งแตกออกมีสารขาว ๆ คล้ายช็อล์ก หรือยาสีฟันไหลออกมา กลายเป็นแผลเรื้อรัง หายช้า ในที่สุดข้อต่าง ๆ จะค่อย ๆ พิการและใช้งานไม่ได้

สาเหตุ

     เกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ทำให้มีกรดยูริกคั่งอยู่ในร่างกายมากผิดปกติ ซึ่งจะตกผลึกสะสมอยู่ตาม ข้อ ผิวหนัง ไตและอวัยวะอื่น ๆ ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน และอาจมีสาเหตุจากร่างกายมีการสลายตัวของเซลล์มากเกินไป เช่น โรคทาลัสซีเมีย, มะเร็งในเม็ดเลือดขาว , การใช้ยารักษามะเร็งหรือฉายรังสี เป็นต้น หรือ อาจเกิดจากไตขับกรดยูริกได้น้อยลงเช่น ภาวะไตวาย ตะกั่วเป็นพิษ , ผลจากการใช้ยาไทอาไซด์ เป็นต้น

คำแนะนำ

1. ดื่มน้ำสะอาดมากๆ ช่วยป้องกันการสะสมผลึกกรดยูริกซึ่งอาจทำให้เกิดนิ่วในไต

2. ควรกินผัก ผลไม้มากขึ้น เช่น ส้ม กล้วย องุ่น ซึ่งจะช่วยให้ปัสสาวะมีภาวะเป็นด่าง และกรดยูริกถูกขับออกมากขึ้น

3. ควรทานผักใบเขียวที่มีธาตุเหล็กสูง เพื่อทดแทนธาตุเหล็กที่ขาดเนื่องจากการงดทานเนื้อสัตว์

4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

5. งดอาหารที่มีสารพิวรินสูง ได้แก่ เครื่องในสัตว์ น้ำซุปเนื้อสัตว์ กุ้ง หอย ปู ปลาซาร์ดีน กะปิ ซึ่งจะทำให้ระดับกรดยูริกใน เลือดสูงขึ้น 

6. ควรจำกัดอาหารที่มีไขมันสูง เพราะอาจกระตุ้นให้อาการกำเริบได้ ควรงดเครื่องดื่มพวกโกโก ช็อคโกแลต ควรทานนมพร่องมันเนย

7. ยาบางชนิดอาจมีผลต่อการรักษาโรคนี้ เช่น แอสไพริน หรือยาขับปัสสาวะ ไทอาไซด์ อาจทำให้ร่างกายขับกรดยูริกได้น้อยลง ดังนั้นจึงไม่ควรซื้อยากินเอง ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนจะใช้ยา

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

โรคไต

     หมายถึง โรคอะไรก็ได้ที่มีความผิดปกติหรือที่เรียกว่า พยาธิสภาพ เกิดที่บริเวณไต ที่พบมาก ได้แก่
โรคไตวายฉับพลันจากเหตุต่างๆ
โรคไตวายเรื้อรังเกิดตามหลังโรคเบาหวาน โรคไตอักเสบ หรือโรคความดันโลหิตสูง
โรคไตอักเสบเนโฟรติก
โรคไตอักเสบจากภาวะภูมิคุ้มกันสับสน (โรคเอส.แอล.อี.)
โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
โรคถุงน้ำที่ไต (Polycystic Kidney Disease)

อาการ

     ปัสสาวะเป็นเลือด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรคไต แต่ก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้ โดยจะปัสสาวะเป็นเลือด อาจเป็นเลือดสดๆ เลือดเป็นลิ่มๆ ปัสสาวะเป็นสีแดง สีน้ำ ล้างเนื้อ สีชาแก่ๆ หรือปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้มก็ได้

     ปัสสาวะเป็นฟองมาก เพราะมีalbumin หรือโปรตีนออกมามาก จะทำให้ปัสสาวะมีฟองขาวๆ เหมือนฟองสบู่ 
การมีปัสสาวะเป็นเลือด พร้อมกับมีไข่ขาว-โปรตีนออกมาในปัสสาวะพร้อมๆกัน เป็นข้อสัญนิฐานที่มีน้ำหนักมากว่าจะเป็นโรคไต

     ปัสสาวะขุ่น อาจเกิดจากมี เม็ดเลือดแดง (ปัสสาวะเป็นเลือด) เม็ดเลือดขาว(มีการอักเสบ) มีเชื้อแบคทีเรีย (แสดงว่ามีการติดเชื้อ) หรืออาจเกิดจากสิ่งที่ ร่างกายขับออกจากไต แต่ละลายได้ไม่ดี เช่นพวกผลึกคริสตัลต่างๆ เป็นต้น

     การผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะ เช่นการถ่ายปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบ ปัสสาวะราด เบ่งปัสสาวะ อาการเหล่านี้ล้วนเป็นอาการผิดปกติของระบบทาง เดินปัสสาวะ เช่นกระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมากและท่อทางเดินปัสสาวะ

     การปวดท้องอย่างรุนแรง (colicky pain) ร่วมกับการมีปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขุ่น หรือมีกรวดทราย แสดงว่าเป็นนิ่วในไตและทางเดินปัสสาวะ

     การมีก้อนบริเวณไต หรือบริเวณบั้นเอวทั้ง 2 ข้าง อาจเป็น โรคไตเป็นถุงน้ำการอุดตันของไต หรือเนื้องอกของไต
การปวดหลัง ในกรณีที่เป็นกรวยไตอักเสบ จะมีอาการไข้หนาวสั่นและปวดหลังบิเวณไตคือบริเวณสันหลังใต้ซี่โครงซีกสุดท้าย

     อาการบวม โดยเฉพาะการบวมที่บริเวณหนังตาในตอนเช้า หรือหน้าบวม ซึ่งถ้าเป็นมากจะมีอาการบวมทั่วตัว อาจเกิดได้ในโรคไตหลายชนิด แต่ที่พบได้บ่อย โรคไตอักเสบชนิดเนฟโฟรติค ซินโดรม (Nephrotic Syndrome)

     ความดันโลหิตสูง เนื่องจากไตสร้างสารควบคุมความดันโลหิต ประกอบกับไต มีหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย เพราะฉะนั้นความดันโลหิต สูงอาจเป็นจากโรคไตโดยตรง หรือในระยะไตวายมากๆความดันโลหิตก็จะสูง ได้

     ซีดหรือโลหิตจาง เช่นเดียวกับความดันโลหิตสูง สาเหตุของโลหิตจางมีได้ หลายชนิด แต่สาเหตุที่เกี่ยวกับโรคไตก็คือ โรคไตวายเรื้อรัง (Chronic renal failure) เนื่องจากปกติไตจะสร้างสารอีริโธรโปอีติน (Erythopoietin) เพื่อไป กระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง เมื่อเกิดไตวายเรื้อรังไตจะไม่สามารถ สร้างสารอีริโธรโปอีติน (Erythopoietin) ไปกระตุ้นไขกระดูก ทำให้ซีดหรือ โลหิตจาง มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หน้ามือ เป็นลมบ่อยๆ

     อย่างไรก็ตามควรต้องไปพบแพทย์ ทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด เอ็กซ์เรย์ จึงจะพอบอกได้แน่นอนขึ้นว่าเป็นโรคไตหรือไม่

สาเหตุ

     เป็นมาแต่กำเนิด (Congenital) เช่นมีไตข้างเดียวหรือไตมีขนาดไม่เท่ากัน โรคไตเป็นถุงน้ำ (Polycystic kidney disease) ซึ่งเป็น กรรมพันธุ์ด้วย เป็นต้น

     เกิดจากการอักเสบ (Inflammation) เช่นโรคของกลุ่มเลือดฝอยของไตอักเสบ (glomerulonephritis)

     เกิดจากการติดเชื้อ (Infection) เกิดจากเชื้อแบคที่เรียเป็นส่วนใหญ่ เช่นกรวยไตอักเสบ ไตเป็นหนอง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (จากเชื้อ โรค) เป็นต้น

     เกิดจากการอุดตัน (Obstruction) เช่นจากนิ่ว ต่อมลูกหมากโต มะเร็งมดลูกไปกดท่อไต เป็นต้น
เนื้องอกของไต ซึ่งมีได้หลายชนิด

คำแนะนำ

1. กินอาหารโปรตีนต่ำ หรืออาหารโปรตีนต่ำมากร่วมกับกรดอะมิโนจำเป็น โดยกินอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพสูง ซึ่งหมายถึงโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ทุกชนิดจำนวน 0.6 กรัม ของโปรตีน / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม / วัน โดยไม่ต้องให้กรดอะมิโนจำเป็นหรือกรดคีโต (Keto Acid) เสริม เพราะอาหารโปรตีนในขนาดดังกล่าวข้างต้นให้กรดอมิโนจำเป็นในปริมาณที่พอเพียงกับความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยซึ่งมีน้ำหนักตัวเฉลี่ย ประมาณ 50-60 กิโลกรัม ควรกินอาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูงประมาณ 30-60 กรัม / วัน อาจจำกัดอาหารโปรตีนเพื่อชะลอการเสื่อมหน้าที่ของไตได้อีกวิธีหนึ่งโดยให้ผุ้ป่วยกินอาหารโปรตีนต่ำมาก (0.4 กรัม / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม / วัน) ร่วมกับกรดอะมิโนจำเป็นหรืออนุพันธ์คีโต (Keto Analog) ของกรดอะมิโนจำเป็น ในกรณีผู้ป่วยมีน้ำหนักเฉลี่ยน 50-60 กิโลกรัม ควรกินโปรตีนประมาณ 20-25 กรัม / วัน เสริมด้วยกรดอะมิโนจำเป็น หรืออนุพันธ์ครีโตของกรดอะมิโนจำเป็น 10-12 กรัม / วัน

2. กินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลต่ำ โดยผุ้ป่วยที่เป็นโรคไตวายเรื้อรังควรควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลในอาหารแต่ละวันไม่ให้เกิน 300 มิลลิกรัม / วัน ด้วยการจำกัดอาหารที่มีโคเลสเตอรอลมาก เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ทุกชนิด และนม เป็นต้น

3. งดกินอาหารที่มีฟอสเฟตสูง ฟอสเฟตมักพบในอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่แดง นม และเมล็ดพืชต่างๆ เช่น ถั่วลิสง เม็ดทานตะวัน เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดอัลมอนด์ ควรหลีกเลี่ยงอาหารดังกล่าว พบว่าอาหารที่มีฟอสเฟตสูง จะเร่งการเสื่อมของโรคไตวายเรื้อรังให้รุนแรงมากขึ้น และมีความรุนแรงของการมีโปรตีนรั่วทางปัสสาวะมากขึ้น นอกเหนือจากผลเสียต่อระบบกระดูกดังกล่าวข้างต้น

4. ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่ไม่มีอาการบวม การกินเกลือในปริมาณไม่มากนัก โดยไม่ต้องถึงกับงดเกลือโดยสิ้นเชิง แต่ไม่ควรกินเกลือเพื่อการปรุงรสเพิ่ม ผู้ป่วยที่มีอาการบวกร่วมด้วย ควรจำกัดปริมาณเกลือที่กินต่อวันให้น้อยกว่า 3 กรัมของน้ำหนักเกลือแกง (เกลือโซเดียมคลอไรด์) ต่อวัน ซึ่งทำได้โดยกินอาหารที่มีรสชาดจืด งดอาหารที่มีปริมาณเกลือมาก ได้แก่ เนื้อสัตว์ทำเค็ม หรือหวานเค็ม เช่น เนื้อเค็ม ปลาแห้ง กุ้งแห้ง รวมถึงหมูแฮม หมูเบคอน ไส้กรอก ปลาริวกิว หมูสวรรค์ หมูหยอง หมูแผ่น ปลาส้ม ปลาเจ่า เต้าเจี้ยว งดอาหารบรรจุกระป๋อง เช่น ปลากระป๋อง เนื้อกระป๋อง

5. ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่มีน้ำหนักเกินน้ำหนักจริงที่ควรเป็น (Ideal Weight for Height) ในคนปกติ ควรจำกัดปริมาณแคลอรีให้พอเพียงในแต่ละวันเท่านั้น คือ ประมาณ 30-35 กิโลแคลอรี / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม / วัน

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

โรคหัวใจ

ชนิดและสาเหตุของโรคหัวใจ

     โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ความผิดปกตินี้อาจเกิดขึ้นกับทุกส่วนของหัวใจ เช่น หลอดเลือดหัวใจ ลิ้นหัวใจ ผนังกั้นห้องหัวใจ หรือ ตัวห้องหัวใจเอง มีสภาพไม่สมบูรณ์ 

     โรคลิ้นหัวใจ ลิ้นหัวใจพิการอาจเป็นแต่กำเนิดหรือมาเป็นภายหลังได้ ที่มาเป็นภายหลังส่วนมากเกิดจากการติดเชื้อคออักเสบ และไม่ได้รับการรักษา อย่างถูกต้อง ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อต้านหัวใจตัวเอง เกิดการอักเสบของลิ้นหัวใจ และ เกิดลิ้นหัวใจพิการ (ตีบ รั่ว) ตามมา นอกจากนั้นลิ้นหัวใจพิการยัง อาจเกิดจากการติดเชื้อที่หัวใจโดยตรง หรือเกิดจากการเสื่อมของลิ้นหัวใจเอง โดยมากแล้วเราสามารถผ่าตัดแก้ไขได้

     โรคกล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติไม่ว่าจะบีบ หรือ คลายตัว กล้ามเนื้อหัวใจหนากว่าปกติ เป็นต้น โรคที่พบบ่อย คือ กล้ามเนื้อหัวใจเสีย เนื่องจากความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการรักษามานาน กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือ กล้ามเนื้อหัวใจตาย บางส่วน เนื่องจากหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน เป็นต้น

     โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจขาดเลือด เป็นโรคกลุ่มเดียวกัน เพราะหลอดเลือดหัวใจจะนำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เมื่อหลอดเลือด ผิดปกติจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด การทำงานจึงผิดปกติ โรคของหลอดเลือดหัวใจอาจเกิดจากหลายสาเหตุ แต่ที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการสะสม ของไขมันที่ผนัง ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบและตันในที่สุด (ไม่ใช่มีก้อนไขมันในเลือดลอย ไปอุดตัน ตามที่เข้าใจกัน)

     โรคเยื่อหุ้มหัวใจ เป็นโรคที่พบไม่บ่อย ส่วนใหญ่เกิดการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส หรือ แบคทีเรีย หรือ เชื้อวัณโรค โรคนี้ส่วนใหญ่รักษาได้ ยกเว้นกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายมายังเยื่อหุ้มหัวใจ

     โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ กลุ่มนี้มีหลายชนิดมาก บางชนิดไม่เป็นอันตราย บางชนิดอันตรายมาก (ส่วนใหญ่ของกลุ่มที่ร้ายแรง มักมีความผิดปกติ ของกล้ามเนื้อหัวใจ หลอดเลือดหัวใจด้วย) สาเหตุเกิดจากระบบไฟฟ้าในหัวใจทำงานผิดปกติไป เช่น มีจุดกำเนิด ไฟฟ้าแปลกปลอมขึ้น หรือ เกิดทางลัด (เรียกง่ายๆว่า ไฟช็อต) ในระบบ เป็นต้น

     การติดเชื้อที่หัวใจ พบได้บ่อยในผู้ป่วยภูมิต้านทานต่ำ หรือ ติดยาเสพติดชนิดฉีด โดยมากเกิดการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ ซึ่งจะเป็นปัญหาในการรักษา อย่างมาก โรคหัวใจในผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ก็เป็นอีกกลุ่มที่มีลักษณะของโรคหลากหลายมาก

อาการ

เจ็บหน้าอก
1. เจ็บแน่นๆ อึดอัด บริเวณกลางหน้าอก อาจจะเป็นด้านซ้าย หรือ ทั้งสองด้าน (มักจะไม่เป็นด้านขวาด้านเดียว) บางรายจะร้าวไป ที่แขนซ้าย หรือ ทั้งสองข้าง หรือ จุกแน่นที่คอ บางรายเจ็บบริเวณกรามคล้ายเจ็บฟัน เกิดขึ้นขณะออกกำลัง เช่น เดินเร็วๆ รีบ หรือ ขึ้นบันได วิ่ง โกรธโมโห อาการดังกล่าวจะดีขึ้นเมื่อหยุดออกกำลัง
2. เจ็บแหลมๆคล้ายเข็มแทง เจ็บแปล๊บๆ เจ็บจุดเดียว กดเจ็บบริเวณหน้าอก

อาการหอบ เหนื่อยง่าย เวลาออกแรง
ใจสั่น หมายถึง การที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ผิดจังหวะ หรือ เต้นไม่สม่ำเสมอ เต้นๆหยุดๆ
ขาบวม เกิดจากการที่หัวใจด้านขวาทำงานลดลง เลือดจากขาไม่สามารถ ไหลเทเข้าหัวใจด้านขวาได้โดยสะดวก จึงมีเลือดค้างอยู่ที่ขามากขึ้น

เป็นลม วูบ หมายถึง การหมดสติ หรือ เกือบหมดสติ ชั่วขณะ โดยอาจรู้สึกหน้ามืด จะเป็นลม ตาลาย มองไม่เห็นภาพชัดเจน โดยอาการเป็นอยู่ชั่วขณะ

คำแนะนำ

1. หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง
2. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม
3. เน้นอาหารที่มีเส้นใย (fiber)
4. เลิกบุหรี่
5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
6. ควบคุมเบาหวานและความดันโลหิตสูง
7. ทำจิตใจให้ผ่องใส

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

โรคกระดูกพรุน หรือ osteoporosis

     คือภาวะที่เนื้อกระดูกของร่างกายลดลงอย่างมาก และเป็นผลให้โครงสร้างของกระดูกไม่แข็งแรง ทำให้ไม่สามารถรับน้ำหนักได้ดีเช่นเดิม โรคกระดูกพรุนเป็นโรคของผู้สูงอายุ โดยปกติร่างกายเราจะมีกระบวนสร้างและสลายกระดูก เกิดขึ้นตลอดเวลา เมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเกิน 40 ปี กระบวนสร้างจะ ไม่สามารถไล่ทันกระบวนสลายได้ นอกจากนั้น เมื่ออายุมากขึ้นการดูดซึมของทางเดินอาหาร จะเสื่อมลงทำให้ร่างกายต้องดึง สารแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ ผลคือ ร่างกายต้องสูญเสียปริมาณเนื้อกระดูกมากขึ้น

ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน

      - หญิงวัยหมดประจำเดือน -- การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้กระดูกสลายตัวในอัตราที่เร็วขึ้น

      - ผู้สูงอายุ

      - ชาวเอเซียและคนผิวขาว -- โรคกระดูกพรุนถ่ายทอดได้ทางกรรมพันธุ์ ตามสถิติพบว่า สองชนชาตินี้
         มีโอกาสเป็นโรคได้มากกว่าคนผิวดำ

      - รูปร่างเล็ก ผอม

      - รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมไม่เพียงพอ

      - ออกกำลังน้อยไป

      - สูบบุหรี่ ดื่มสุรา ชา กาแฟ

      - ใช้ยาบางชนิดที่มีผลต่อการสลายเซลล์กระดูก เช่น สเตียรอยด์

      - เป็นโรคเรื้อรัง เช่น ไขข้ออักเสบ โรคไต

      - รับประทานอาหารจำพวกโปรตีนและอาหารมีกากมากเกินไป

      - รับประทานอาหารเค็มจัด

อาการของโรคกระดูกพรุน

     ระยะแรกมักไม่มีอาการ เมื่อเริ่มมีอาการแสดงว่าเป็นโรคมากแล้ว อาการสำคัญของโรค ได้แก่ ปวดตามกระดูกส่วนกลางที่รับน้ำหนัก เช่น กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และอาจมีอาการปวดข้อร่วมด้วย ต่อมาความสูงของลำตัวจะค่อยๆลดลง หลังจะโก่งค่อมหากหลังโก่งค่อมมากๆจะ ทำให้ปวดหลังมากเสียบุคลิก เคลื่อนไหวลำบากระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหารถูกรบกวน เมื่อเป็นโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจ จะหายยาก ระบบย่อยอาหารผิดปกติ ท้องอืดเฟ้อ และท้องผูกเป็นประจำ

     โรคแทรกซ้อนที่อันตรายที่สุดของโรคกระดูกพรุน คือ กระดูกหัก บริเวณที่พบมาก ได้แก่ กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และกระดูกข้อมือ ซึ่งหากที่กระดูกสันหลังหัก จะทำให้เกิดอาการปวดมาก จนไม่สามารถ เคลื่อนไหว ไปไหนได้

การป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน

     วิธีที่ดีที่สุด คือ การเสริมสร้างเนื้อกระดูกของร่างกายให้มากที่สุดตั้งแต่อายุยังน้อย อย่างไรก็ตาม คนทุกวัยควรให้ความสนใจในการป้องกันโรคกระดูกพรุนด้วยการปฏิบัติตนดังนี้

-รับประทานอาหารให้ครบทุกหมวดหมู่ตามหลักโภชนาการ

-รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม โยเกิร์ต กุ้งแห้งตัวเล็ก กุ้งฝอย

-ไม่รับประทานเนื้อสัตว์มากเกินไป

-เลี่ยงอาหารเค็มจัด

-ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นการสร้างกระดูก และทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง

-การทรงตัวดี ป้องกันการหกล้มได้

-หลีกเลี่ยงบุหรี่ สุรา ชา กาแฟ

-เลี่ยงยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์

-ระมัดระวังตนเองไม่ให้หกล้ม

-การใช้ยาในการป้องกันและรักษาจะแตกต่างกันตามปัจจัยต่างๆในผู้ป่วยแต่ละราย เช่น อายุ เพศ  และระยะเวลาหลังการหมดประจำเดือน

การวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน

     การวินิจฉัยโรคนี้ในระยะเริ่มแรก ทำได้โดยการตรวจความหนาแน่นของกระดูกด้วยเครื่องวัดความหนาแน่น ของกระดูก (BoneDensitometer) การตรวจนี้เป็นการตรวจโดยใช้แสงเอกซเรย์ที่มีปริมาณน้อยมากส่องตามจุดต่างๆ ที่ต้องการตรวจแล้วใช้คอมพิวเตอร ์คำนวณหาค่าความหนาแน่น ของกระดูกบริเวณต่างๆเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน สตรีอายุ 40 ปี ขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางรายที่มีความเสี่ยง ได้แก่ รูปร่างผอม ดื่มเหล้า กาแฟ สูบบุหรี่ ทานอาหารที่มีแคลเซียมน้อย ไม่ออกกำลังเป็นประจำ หรือ รับประทานยาสเตียรอยด์ ควรเข้ารับการตรวจความหนาแน่น ของกระดูกเป็นประจำทุกปี
.....เมื่อใครคนหนึ่งซ่อนเร้นสิ่งใดไว้ในหัวใจของเขา  ลิ้นของเขาก็จะชี้ให้ และ สีหน้าของเขาก็เปิดมันออกมา จงอย่าเป็นทาสของผู้ใดนอกจากตัวท่านเอง เพราะ อัลลอฮุ ได้ทำให้ท่านเกิดมาเป็นอิสระ.....

นูรุ้ลอิสลาม

  • บุคคลทั่วไป
Re: โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: พ.ค. 13, 2007, 01:03 PM »
0
ในกระดานหมวดสังคมมุสลิม  มีการนำเสนอเกล็ดความรู้ใกล้ตัวอย่างนี้  ถือว่าเป็นความคิดที่ดีครับ  ญะซากัลลอฮ์ สำหรับคุณ กะมาลุดดีน

ออฟไลน์ yaseen

  • เพื่อนใหม่ (O_0)
  • *
  • กระทู้: 36
  • ชีวิตนักเดินทาง
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: พ.ค. 16, 2007, 09:51 AM »
0
;D ;D ;D คุณ yaseen ครับ ตอนผมพิมพ์เสร็จผมเห็นคุณ userคุณonlineอยู่ ผมกะว่าเดี๋ยวคุณต้องถามผมเรื่องภมิแพ้ใจแน่ๆ  :D :D แล้วก็จริงๆ ด้วย  ;D

ก็กะว่าคุณ +Kamarutdin+ อยากให้ถามเรื่องภูมิแพ้ใจเหมือนกันขอรับ เลยจัดให้ไป  ;) ;D ;D
+ในร่างกายนั้นมีก้อนเนื้อหนึ่ง เมื่อมันดี ร่างกายทุกส่วนก็จะดี เมื่อมันเสีย ทุกส่วนของร่างกายก็จะเสีย จงจำไว้เถิด เนื้อก้อนนั้นคือหัวใจ+

ออฟไลน์ قطوف من أزاهير النور

  • ดุนยา..มาเพื่อไป
  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1582
  • อยากเป็นเด็กดีของอัลลอฮฺ
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
    • แวะไปเม้นหน่อยน่า ^^
Re: โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: พ.ค. 16, 2007, 11:31 AM »
0

รุ่นน้องเคยเล่าให้ฟังว่าคนที่ต่อสู้เพื่ออิสลามไม่ว่าทางไหนก็ตาม มักจะไม่สบาย มีโรคประจำตัวเสมอ
เขาบอกว่าเป็นเพราะอัลลอฮฺรักเราไง พระองค์ประสงค์จะลดบาปของคนผุ้นั้นโดยการให้ประสบกับสิ่งที่ต้องอดทน

ฟังแล้วอยากมีโรคประจำตัวกันมั่งป่าวพี่น้อง ^^
يَا بُنَيَّ إِنْ قَدَرْتَ أَنْ تُصْبِحَ وَتُمْسِيَ لَيْسَ فِي قَلْبِكَ غِشٌّ لِأَحَدٍ فَافْعَلْ
 ثُمَّ قَالَ لِي يَا بُنَيَّ وَذَلِكَ مِنْ سُنَّتِي وَمَنْ أَحْيَا سُنَّتِي فَقَدْ أَحَبَّنِي وَمَنْ أَحَبَّنِي كَانَ مَعِي فِي الْجَنَّةِ

"โอ้ลูกรัก ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ฉันอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั่นแหละเป็นแนวทางของฉัน
ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉันแสดงว่าเขารักฉัน และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์"
(บันทึกโดย อัตติรมีซี)

ออฟไลน์ บุคคลธรรมดา

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 433
  • live&learn in Islam
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: พ.ค. 16, 2007, 12:04 PM »
0
อัสลามุอะลัยกุ้ม   :D

ขอร่วมแจม เพื่อเป็นวิทยาทาน ให้กับคนอื่นๆ และ ตัวเองด้วย
วันนี้ นำพูมใจนำเสนอ โรคๆ นึง ซึ่ง เป็นโรค ที่เกิดขึ้นได้ อาจด้วย กรรมพันธุ์ หรือ ด้วยความเลินเล่อ ต่อการบริโภคของตัวเอง
และที่สำคัญ เป็นกันง่าย แต่ หายยาก (เหอๆๆ จขกท ก้อ ประสบปัญหาอยู่เช่นกัน  ;D)

โรคอ้วน




โรคอ้วนคืออะไร

ร่างกายของเราจะมีไขมันไว้เพื่อสำรองเป็นอาหาร ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย 

เป็นเบาะกันกระแทกหากมีมากเกินไปคือโรคอ้วน ปกติผู้หญิงจะมีปริมาณไขมันประมาณ 25-30% ส่วนผู้ชายจะมี 18-23 %ถ้าหากผู้หญิงมีมากกว่า 30% ชายมีมากกว่า 25%จะถือว่าโรคอ้วน โรคอ้วนหมายถึงมีปริมาณไขมันมากกว่าปกติ โรคอ้วนมิได้หมายถึงการมีน้ำหนักมากอย่างเดียว

โรคอ้วนที่มีผลร้ายต่อสุขภาพมีอยู่ 3 ประเภทได้แก่

อ้วนทั้งตัว ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีไขมันทั้งร่างกายมากกว่าปกติโดยไขมันที่เพิ่มมิได้จำกัดอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง
โรคอ้วนลงพุง[ abdominal obesity] ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีไขมันในอวัยวะภายในช่องท้องมากกว่าปกติ และอาจจะมีไขมันใต้ผิวหนังหน้าท้องเพิ่มขึ้นด้วย
โรคอ้วนลงพุ่งร่วมกับอ้วนทั้งตัว มีไขมันมากทั้งตัวและอวัยวะภายในช่องท้อง
การวัดปริมาณไขมันในร่างกาย

มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์หลายชนิดที่สามารถวัดและคำนวณปริมาณไขมันในร่างกายแต่ไม่สะดวกในการใช้จึงได้มีการคิดวิธีวัดง่ายที่ได้ผลคือ

ใช้ calipers วัดความหนาของไขมันชั้นใต้ผิวหนัง อาจจะวัดที่ท้องแขนเป็นต้น
Bioelectric impedance analysis โดยการใช้ไฟฟ้าผ่านเข้าไปในร่างกายแล้วคำนวณออกมา
การใช้ตารางหนักและส่วนสูง
การคำนวณดัชนีมวลกาย
การวัดเส้นรอบเอว


โรคอ้วนจำเป็นต้องรักษาหรือไม่
ก่อนหน้านี้คนอ้วนไม่ถือเป็นโรคอ้วนแต่ปัจจุบันจัดเป็นโรคอ้วนเนื่องจากก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ โรคอ้วนเป็นโรคเกิดจากสาเหตุหลายๆอย่างทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ผู้ที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วน้ำหนักก็จะขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน  การรักษาโรคอ้วนได้เปลี่ยนไปจากอดีตที่นิยมให้ลดน้ำหนักเข้าสู่เกณฑ์ปกติอย่างรวดเร็วมาเป็นให้ลดน้ำหนักแบบค่อยๆเป็นโดยกำหนดเป้าหมายที่สามารถปฏิบัติได้ การลดน้ำหนักเพียงบางส่วนสามารถก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ การรักษาโรคอ้วนให้รักษาตลอดชีวิตเหมือนโรคเบาหวาน

ได้มีการศึกษาในประเทศไทยพบว่าผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีระดับ ไขมัน cholesterol ,triglyceride LDL ระดับน้ำตาล และความดันโลหิตสูงกว่าผู้ที่มีน้ำหนักปกติ

ปัญหาของดัชนีมวลกายที่จะนำมาใช้อ้างอิงว่าอ้วนหรือไม่คงจะใช้ตัวเลขเดียวกันทั่วโลกไม่ได้ ฝรั่งจะมีโครงสร้างใหญ่กว่าชาวเอเชีย ดัชนีมวลกายของฝรั่งจึงจะค่อนข้างสูงกล่าวคือจะถือว่าน้ำหนักเกินเมื่อดัชนีมวลกายมากกว่า 25 กก/ตารางเมตร ส่วนชาวเอเชียเราจะถือว่าน้ำหนักเกินคือดัชนีมวลกายมากกว่า 23 กก/ตารางเมตร เนื่องจากเมื่อดัชนีมวลกายเกินค่าดังกล่าวจะมีอุบัติการณ์ของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงสูง

จะเห็นว่าคนอ้วนมีโอกาสที่จะเกิดโรคมากมาย และผลดีของการลดน้ำหนักสามารถลดอัตราการเกิดโรคได้หลายชนิด และลด อัตราการตายได้ สมควรถึงเวลาที่จะหยุดความอ้วน

^
^
^
^
อ่านงี้แล้ว ไม่รีบดูแลสุขภาพตัวเองไม่ได้แว้ว ;D


วัสลาม
 

 

ถ้าหากว่าเราจะข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยแอ่งปลักโคลน
แน่นอนที่สุด เราจะถึงฝั่งนั้นในสภาพที่เปรอะเปื้อนด้วยโคลน...
โคลนที่อยู่ในแอ่งนั้น มันจะทิ้งร่องรอยที่เท้าของเรา
และในที่ที่ เราได้เหยียบย่างไป

                        "อัลชะฮีด ซัยยิด กุฏุบ"

ออฟไลน์ salamah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 761
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: พ.ค. 16, 2007, 10:21 PM »
0

รุ่นน้องเคยเล่าให้ฟังว่าคนที่ต่อสู้เพื่ออิสลามไม่ว่าทางไหนก็ตาม มักจะไม่สบาย มีโรคประจำตัวเสมอ
เขาบอกว่าเป็นเพราะอัลลอฮฺรักเราไง พระองค์ประสงค์จะลดบาปของคนผุ้นั้นโดยการให้ประสบกับสิ่งที่ต้องอดทน

ฟังแล้วอยากมีโรคประจำตัวกันมั่งป่าวพี่น้อง ^^

 :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'( :'(
ถึงไม่รอบรู้ทุกด้าน    แต่ขอเป็นมุสลิมะห์ที่ดีก็พอ

ออฟไลน์ salamah

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 761
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: พ.ค. 16, 2007, 10:31 PM »
0
อัสลามุอะลัยกุ้ม   :D

ขอร่วมแจม เพื่อเป็นวิทยาทาน ให้กับคนอื่นๆ และ ตัวเองด้วย
วันนี้ นำพูมใจนำเสนอ โรคๆ นึง ซึ่ง เป็นโรค ที่เกิดขึ้นได้ อาจด้วย กรรมพันธุ์ หรือ ด้วยความเลินเล่อ ต่อการบริโภคของตัวเอง
และที่สำคัญ เป็นกันง่าย แต่ หายยาก (เหอๆๆ จขกท ก้อ ประสบปัญหาอยู่เช่นกัน  ;D) ^
^
^
^
อ่านงี้แล้ว ไม่รีบดูแลสุขภาพตัวเองไม่ได้แว้ว ;D

วัสลาม
 

เรื่องอ้วนเป็นเรื่องธรรมชาติค่ะ.........อย่าคิดมากเลยนะคะ.......... ;D ;D ;D
ชักกลัวเหมือนกันล่ะนะนี่............ :( :( :(

ถึงไม่รอบรู้ทุกด้าน    แต่ขอเป็นมุสลิมะห์ที่ดีก็พอ

ออฟไลน์ คนเดินดิน

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1620
  • ขอให้ได้รับความโปรดปรานจากพระผู้ทรงเมตตาด้วยเถิด
  • Respect: +17
    • ดูรายละเอียด
Re: โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: มิ.ย. 06, 2007, 09:29 AM »
0
 ;) ;) ;)ขอถามน้องkamarutdeenหน่อยนะคะ  คือว่าคนเดินดิน1เป็นครูค่ะ
ต้องใช้เสียงมากในการสอนหนังสือ
แต่ว่าตอนนี้ทั้งไอ  ทั้งเจ็บคอ
กินยาที่โรงพยาบาลให้มาก็แค่ทุเลา
น้องพอจะแนะนำคุณพี่หน่อยได้ไหมคะ
สงสารนักเรียนตาดำ ๆ ของคุณพี่
เค้าไม่ได้ฟังเสียงอันไพเราะของคุณพี่ตามใจที่เค้าอยากซักเท่าไหร่
ถามคุณพี่เกือบทุกวันเลยค่ะว่าวันนี้ทำไมคุณครูถึงไม่ค่อยพูดน้า
ทำไงดีน้าคุณน้องkamarutdeenช่วยแจงแถลงไขให้หน่อยนะคะพี่น้อง :'( :'( :'(
เพราะรู้ดีว่าเป็นเพียงหนึ่งคนที่อ่อนแอ  จึงทำให้คำนึงถึงคุณค่าของหนึ่งชีวิต  โปรดชี้แนะแนวทางที่เที่ยงตรงด้วยเถิด  ยาร็อบบี  سَلَّمْنَا مُسْلِمِيْنَ وَمُسْلِمَاتٍ فِي الدُّنْيَا وَ الأخِرَةِ

ออฟไลน์ บุคคลธรรมดา

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 433
  • live&learn in Islam
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: ก.ค. 08, 2007, 05:39 PM »
0
อัสลามุอะลัยกุ้ม
ขอมารับภาระ แทน คุณ กมาลุดดิน นะคะ
เพราะเห็นถามทิ้งไว้นาน แล้ว กลัวว่า อาการ จะยิ่งไปใหญ่
เลยเอาวิธีดูแลตัวเอง เมื่อเจ็บคอให้ดูค่ะ


การดูแลตัวเองเมื่อเจ็บคอ
ผนังลำคอด้านในจะแดง รู้สึกระคายและกลืนลำบาก หรืออาจมีเสียงแหบ ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอบวมโต และกดเจ็บ อาการเจ็บคอมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย บางครั้งอาจเกิดจากการแพ้สิ่งระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ โดยไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย กรณีนี้ยาปฏิชีวนะจึงมักไม่จำเป็น อาการเจ็บคอที่เกิดจากการแพ้มักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น น้ำมูกไหล น้ำตาไหล และคันตา อาการเจ็บคอส่วนใหญ่ สามารถรักษาหายได้ด้วยตนเอง


-  ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6 แก้ว เพื่อ สร้างความชุ่มชื้นให้กับคอที่เจ็บ
- จิบยาแก้ไอ หรือ อมยาอม แก้เจ็บคอ เพื่อความชุ่มชื้น ได้อีกทางหนึ่ง
- กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ อุ่น ๆ  คือ เกลือ 1/4 ช้อนชา ละลายในน้ำอุ่น ครึ่งแก้ว
- รับประทานยา แก้ปวดหรือ แก้แพ้ ตามคำแนะนำของแพทย์



กำลังเกิดอะไรขึ้นเมื่อเจ็บคอ

การอักเสบของเยื่อบุช่องคอ มักเป็นผลมาจากการต่อสู้ของร่างกายตามปกติ เมื่อมีการติดเชื้อ หรือเป็นปฏิกิริยาที่มีต่อสารภูมิแพ้ หรือสารระคายเคือง ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคนจะเป็นเสมือน ?ศูนย์บัญชาการรบ? ที่จะส่งเม็ดเลือดขาว ออกไปต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม ต่อมเหล่านี้อาจบวมอยู่ได้นานหลายสัปดาห์ ผลลัพธ์ปกติที่เกิดจากการต่อสู้กับการติดเชื้อจะเป็นมูกสีขาวๆ ซึ่งอาจจะปรากฏอยู่ที่ต่อมทอนซิล หรือในส่วนหลังของช่องคอ เส้นเสียงที่บวมอาจทำให้เสียงแหบได้ด้วย


การประเมินอาการ

วัตถุประสงค์ของการประเมินอาการ ก็เพื่อให้ทราบว่าสาเหตุของอาการเจ็บคอเกิดจากการติดเชื้อ หรือเป็นอาการแพ้หรือจากการระคายเคือง ลักษณะที่บ่งว่าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ มีไข้ มีจุดขาวๆในคอ และต่อมน้ำเหลืองบวมโต ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าเราควรไปพบแพทย์
มีไข้หรือไม่
สะบัดปรอทวัดไข้ให้ปรอทลงไปอยู่ต่ำสุด อมใต้ลิ้น 3 นาทีแล้วอ่านผล ถ้ามีไข้ตั้งแต่ 38.3 C ขึ้นไป ควรพบแพทย์ทันที
คอแดง/มีหนอง หรือไม่
ใช้ไฟฉาย และกระจกส่องดูส่วนหลังของเยื่อบุผนังคอว่าแดงหรือไม่ หรือมีจุดขาวๆซึ่งเป็นหนองอยู่บริเวณต่อมทอนซิล ควรพบแพทย์
ต่อมน้ำเหลืองบวมโตหรือไม่
ลองใช้นิ้วคลำบริเวณหลอดคอ และข้างคอดู หากพบต่อมน้ำเหลืองบวมโต แข็ง ปวด ควรพบแพทย์


การดูแลรักษาตนเองเพื่อบรรเทาอาการ
เนื้อเยื่อที่อักเสบและระคายเคือง ต่อมน้ำเหลืองที่บวม และเสียงที่แหบต่างเป็นผลมาจากการที่ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อ เป้าหมายของการดูแลรักษาตนเองเพื่อบรรเทาอาการ เพื่อขจัดสิ่งระคายเคืองและลดความรู้สึกไม่สบายจากอาการเจ็บคอ ในขณะที่ร่างกายกำลังรักษาตัวเองอยู่


ควรปรึกษาแพทย์เมื่อ? มีไข้ 38.3 C ขึ้นไปโดยไม่มีอาการหวัด
? มีจุดขาวๆบนต่อมทอนซิล
? กลืนอาหารหรือหายใจลำบากมาก
? มีผื่น
? มีการติดเชื้อเมื่อเร็วๆ นี้
? เสียงแหบหรือต่อมน้ำเหลืองโตอยู่นานกว่า 3 สัปดาห์

..........................................................

คนเป็นครูส่วนใหญ่ ต้องใช้เสียงมาก อย่างที่คุณคนเดินดิน บอก
เพราะ เด็ก ๆ นั้น ต้องให้พูดซ้ำ ๆ และ ยั่วโมโห ให้ต้องตะโกน ดังๆ
เกือบตลอดเวลา ยังงัย ควรถนอมเสียงไว้ดีกว่า
เพราะ ไม่งั้น เข้าใจว่า คุณครูทั้งหลาย จะใช้ไม้เรียวสอนแทนเสียงของครู สงสารเด็ก ๆ :D

 ;D ;D



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.ค. 08, 2007, 05:46 PM โดย หนูอยากรู้ »
ถ้าหากว่าเราจะข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยแอ่งปลักโคลน
แน่นอนที่สุด เราจะถึงฝั่งนั้นในสภาพที่เปรอะเปื้อนด้วยโคลน...
โคลนที่อยู่ในแอ่งนั้น มันจะทิ้งร่องรอยที่เท้าของเรา
และในที่ที่ เราได้เหยียบย่างไป

                        "อัลชะฮีด ซัยยิด กุฏุบ"

ออฟไลน์ colidlayla

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 111
  • Respect: -1
    • ดูรายละเอียด
Re: โรคภัยไข้เจ็บ
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: ส.ค. 27, 2007, 01:06 PM »
0
อัสลามมูอาลัยกุม
เจ็บคอ  น้ำผึ้ง จิบ บ่อยๆ ดีคับ

 

GoogleTagged