ผู้เขียน หัวข้อ: วิเคราะห์ฮะดีษการทำความดีในโลกนี้แต่ถูกบันทึกเป็นชาวนรกในโลกหน้า?  (อ่าน 4685 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

بِِِسْمِ اللهِ الّرحْمنِِ الّرحِيْمِ

ท่านอับดุลเลาะฮ์ อิบนุ มัสอูด ได้กล่าวว่า  ท่านนบี  มุฮัมมัด  ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวไว้  ความว่า

إِنَّ أَحَدَكُمْ يُجْمَعُ خَلْقُهُ فِي بَطْنِ أُمِّهِ أَرْبَعِينَ يَوْمًا ثُمَّ يَكُونُ فِي ذَلِكَ عَلَقَةً مِثْلَ ذَلِكَ ثُمَّ يَكُونُ فِي ذَلِكَ مُضْغَةً مِثْلَ ذَلِكَ ثُمَّ يُرْسَلُ الْمَلَكُ فَيَنْفُخُ فِيهِ الرُّوحَ وَيُؤْمَرُ بِأَرْبَعِ كَلِمَاتٍ بِكَتْبِ رِزْقِهِ وَأَجَلِهِ وَعَمَلِهِ وَشَقِيٌّ أَوْ سَعِيدٌ فَوَالَّذِي لاَ إِلَهَ غَيْرُهُ إِنَّ أَحَدَكُمْ لَيَعْمَلُ بِعَمَلِ أَهْلِ الْجَنَّةِ حَتَّى مَا يَكُونَ بَيْنَهُ وَبَيْنَهَا إِلاَّ ذِرَاعٌ فَيَسْبِقُ عَلَيْهِ الْكِتَابُ فَيَعْمَلُ بِعَمَلِ أَهْلِ النَّارِ فَيَدْخُلُهَا وَإِنَّ أَحَدَكُمْ لَيَعْمَلُ بِعَمَلِ أَهْلِ النَّارِ حَتَّى مَا يَكُونَ بَيْنَهُ وَبَيْنَهَا إِلاَّ ذِرَاعٌ فَيَسْبِقُ عَلَيْهِ الْكِتَابُ فَيَعْمَلُ بِعَمَلِ أَهْلِ الْجَنَّةِ فَيَدْخُلُهَا

"แท้จริง  คนหนึ่งจากพวกท่านนั้น  การกำเนิด(ก่อตัวขึ้นมา)ของเขาจะถูกอยู่ในครรภ์มารดาของเขาโดยใช้เวลาถึง 40 วัน  หลังจากนั้นในสิ่งดังกล่าว(คืออยู่ในครรภ์มารดา 40 วัน) เขาก็กลายเป็นก้อนเลือดเฉกเช่นดังกล่าว(คือในช่วง 40 วัน)  หลังจากนั้นในสิ่งดังกล่าว(คือในการเป็นก้อนเลือด 40 วัน)  เขาก็จะกลายเป็นก้อนเนื้อ(ที่เป็นรูปร่าง)เฉกเช่นดังกล่าว(คือในช่วง 40 วันเช่นกัน)  หลังจากนั้น  มาลาอิกะฮ์จึงถูกส่งมา  แล้วทำการเป่าวิญญานในมัน  และถูกบัญชาให้บันทึก 4 ประการ  คือบันทึกปัจจัยยังชีพ(ริสกี)ของเขา  , บันทึกวาระที่เขาจะตาย , บันทึกการปฏิบัติของเขา , และบันทึกว่าเขาเป็นคนดีหรือคนเลว  ดังนั้น  ขอยืนยันด้วยกับผู้ทรงไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ว่า  แท้จริงคนใดจากพวกท่านนั้น  จะทำการปฏิบัติด้วยอะมัลของชาวสวรรค์  จนกระทั่งไม่มีระหว่างเขากับสวรรค์ นอกจาก  เพียงแค่ช่วงศอกเดียวเท่านั้น  แต่ได้บันทึกบนเขาแล้วว่า  เขาได้ปฏิบัติด้วยอะมัลของชาวนรก  ดังนั้นเขาจึงเข้านรก  และแท้จริง คนใดจากพวกท่านได้ปฏิบัติอะมัลของชาวนรก  จนกระทั่งไม่มีระหว่างเขากับไฟนรกนอกจากเพียงแค่ช่วงศอกเดียวเท่านั้น  แต่ได้บันทึกบนเขาแล้วว่า  เขาได้ปฏิบัตด้วยอะมัลของชาวสวรรค์  ดังนั้นเขาจึงได้เข้าสวรรค์"  รายงานโดย อัลบุคอรีย์ (6105) และมุสลิม (4781) และถ้อยคำเป็นของมุสลิม

ฮะดีษบทนี้  ถือว่าเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่พี่น้องบางส่วนยังเข้าใจไม่ละเอียดละออ  และพวกชีอะฮ์ต่างก็นำฮะดีษบทนี้มาอ้างว่าอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์เชื่อว่ามนุษย์ถูกบังคับจึงถือว่าเป็นความไม่ยุติธรรมต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลา พวกเขาแอบอ้างอย่างนั้น แต่ความจริงมิได้เหมือนกับที่พวกเขาเข้าใจ

บทเรียนที่ได้จากฮะดีษ

1.  มนุษย์จะกำเนิดวิวัฒนาการในช่วงเป็นรูปร่างในระยะเวลา 40 วัน  และหลังจากนั้นเล็กน้อย  มะลาอิกะฮ์ก็ถูกบัญชาใช้ให้ทำการเป่าวิญญาน

2.  อัลเลาะฮ์ทรงกำหนดบันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว  ถึงปัจจัยยัง   วาระที่เขาจะเสียชีวิต   การปฏิบัติอะมัลของเขา  และการบันทึกว่าเขาเป็นคนดีหรือคนเลว

3.  ผู้ที่ทำความดีงามในโลกนี้  แต่โลกหน้าลงนรก  และผู้ที่ทำความชั่วในโลกนี้  แต่โลกหน้าจะได้เข้าสวรรค์

ประเด็นที่สองนี้  มีพี่น้องบางท่านได้ถามและต้องการให้อธิบายเพิ่มเติม   เพราะหากพิจารณาโดยผิวเผินแล้วนั้น  ก็จะเข้าใจได้ว่า  อัลเลาะฮ์ ตะอาลา  ได้บังคับให้มนุษย์ปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงประสงค์  โดยปราศจากอิสระภาพ  และอาจจะเข้าใจว่า  เมื่อมนุษย์เกิดมา  แม้จะทำความดีสักเท่าใดก็ตาม  เมื่อเขาถูกบันทึกกำหนดไว้แล้วว่าเป็นคนเลว  เขาก็ต้องเป็นคนเลว  แล้วอัลเลาะฮ์ทรงสร้างเขามาทำไม?

ผมขออธิบายตามหลักอะกีดะฮ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์   ดังนี้ครับ

การที่ อัลเลาะฮ์ทรงบันทึก 4 ประการให้แก่ทารกที่อยู่ในครรภ์ในขณะที่เขาถูกเป่าวิญญานนั้น  มิใช่หมายถึง  อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงบังคับให้เขาปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ทรงรู้มาก่อนหน้านี้  โดยที่มนุษย์ ไม่มีสิทธิในการเลือกเฟ้น  พิจารณาไตร่ตรอง  ด้วยจิตสำนึกและสติปัญญา  ที่อัลเลาะฮ์ทรงมอบให้แก่เขา   เพราะการที่อัลเลาะฮ์ทรงใช้ให้บันทึก 4 ประการนั้น   หมายถึง  กอฏอ (การกำหนดหรือการลิขิตของพระองค์  ที่หมายถึงการที่พระองค์ทรงรู้มาตั้งแต่เดิมแล้วถึงข้อบันทึก 4 ประการนั้น

ดังนั้น  กอฏอ  จึงหมายถึง "การบอกให้ทราบถึงการรอบรู้ของอัลเลาะฮ์ที่มีมาแต่เดิมต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าจะมาจากการกระทำหรือความอุตสาหะของบ่าว  และการกระทำหรือความอุตสาหะนั้น  ก็จะแสดงออกมาตามการรอบรู้ของอัลเลาะฮ์ที่มีมาตั้งแต่เดิม"  ดู ชัรหฺมุสลิม เล่ม 1 หน้า 154 - 155

ดังนั้น  ถ้าหากเราจะตั้งคำถามว่า  "การที่อัลเลาะฮ์ได้รอบรู้มาตั้งแต่เดิมเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ทรงกำหนด บันทึกมาแล้วนั้น   หมายถึง  พระองค์ทรงบังคับให้เรากระทำหรือไม?

เราขอตอบตามหลักอะกีดะฮ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ว่า  "ไม่เป็นการบังคับ"  เนื่องจากการรู้ของพระองค์ العِلْمُ (อัลอิลมุ) ซึ่งเป็นซีฟัต(คุณลักษณะ)หนึ่งของอัลเลาะฮ์  ที่มีหน้าที่ทำให้รู้แจ้ง  الإِنْكِشَافُ  (อัลอินกิชาฟ) ไม่ใช่เป็นซีฟัตที่ทำหน้าที่ให้บังเกิดสิ่งหนึ่งสิ่งใด  الإِيْجَادُ  (อัลอีญาด) ขอยกตัวอย่างให้สติปัญญาเราเข้าใจง่าย ๆ เกี่ยวกับความรู้มีหน้าที่ทำหน้าที่ให้รู้แจ้งประจักษ์ไม่ใช่ทำให้บังเกิดผลต่อสิ่ง ใด  เช่น  ตะเกียง  เมื่อมันได้ส่องให้เห็นแจ้งถึงสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของมัน  แต่สรรพสิ่งเหล่านั้น  ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือทำให้บังเกิดอะไรขึ้นมาได้เลย  นอกจากเราลงมือกระทำด้วยกำลัง(กุดรัต)ของเรา   และอีกตัวอย่างหนึ่งคือ  เรารู้และเห็นว่าเด็กกำลังจะตกน้ำ  แต่การเห็นและการรู้ของเรานั้น  ไม่สามารถที่จะไปช่วยเด็กให้พ้นจากการตกน้ำได้ได้เลย  นอกจากเราจะต้องใช้กำลัง(กุดรัต)ของเรา  เดินไปช่วยอุ้มเด็กออกมาให้พ้นจากบ่อหรือคลองที่เด็กกำลังตกไปเท่านั้น

เพราะฉะนั้น  การที่อัลเลาะฮ์ทรงกำหนดบันทึก (คือทรงรู้) ว่าเราเป็นคนดีหรือคนเลว  ย่อมมิได้หมายความว่า  พระองค์ทรงบังคับให้เรากระทำเช่นนั้น  ทำเช่นนี้  หรืออย่างนั้น  ทำอย่างนี้   เป็นต้น  เนื่องจากพระองค์ทรงสร้างให้มนุษย์มีจิตสำนึกหรือมีความประสงค์ตั้งใจอย่างอิสระ  หมายถึง  มีพลังความคิดพิจารณา  ที่จะเลือกเฟ้นกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้ตามที่เขาต้องการจะกระทำ  ส่วนการตัดสินใจหรืออุตสาหะหรือการเจตนาที่จะกระทำสิ่งใดลงไปนั้นอัลเลาะฮ์ได้มอบให้มนุษย์อย่างอิสระ  หากเขาเจตนาเลือกที่จะกระทำความดีแล้วลงมือกระทำตามที่อัลเลาะฮ์ทรงบัญชาใช้  เขาก็จะได้รับการตอบแทนที่ดี  และผู้ใดที่เจตนาเลือกที่จะกระทำความชั่วทั้งที่พระองค์บัญชาห้ามไว้  เขาก็จะได้การลงโทษ   เพราะฉะนั้นเขาก็ลงมือกระทำตามสิ่งที่จิตใจเขามุ่งที่จะกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้และในขณะนั้นเอง  อัลเลาะฮ์ก็จะทรงบันดาลให้การกระทำต่าง ๆ ของมนุษย์นั้นเกิดขึ้น  ตามที่มนุษย์ได้เลือกเฟ้นไว้นั่นเอง  เราจะไปโทษอัลเลาะฮ์ตะอาลาหรือจะไปบอกว่าพระองค์ทรงบังคับเรานั้นไม่ได้อย่างแน่นอนและเด็ดขาด

สรุปคือ 4 ประการที่ถูกบันทึกในครรภ์มารดานั้น  ได้อยู่บันทึกไว้ตามที่อัลเลาะฮ์ทรงรอบรู้มาตั้งแต่เดิม(อะซะลีย์)แล้วนั่นเอง 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 31, 2009, 10:26 AM โดย al-azhary »
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

ส่วนประเด็นข้อที่ 3 .  ผู้ที่ทำความดีงามในโลกนี้  แต่โลกหน้าลงนรก  และผู้ที่ทำความชั่วในโลกนี้  แต่โลกหน้าจะได้เข้าสวรรค์  จนทำให้บางท่านคิดว่าทำความดีมากมายเท่าใดก็ตาม  หากอัลเลาะฮ์ทรงบันทึกมาแล้วว่าเขาเป็นคนชั่ว  แล้วจะทำความดีไปทำไม?!  หรือบางท่านอาจจะคิดว่าทำความชั่วบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร  เพราะหากอัลเลาะฮ์ทรงบันทึกมาแล้วว่าเขาคือคนดีได้เข้าสวรรค์   ทำความชั่วไปบ้างก็ไม่ลงนรกหรอก?!   หรือบางท่านอาจจะคิดว่า  ทำความดีและโลกหน้าเกือบจะได้เข้าสวรรค์แล้วแต่ถูกบันทึกว่าเป็นชาวนรกลงนรก  แบบนี้ไม่เป็นการบังคับกันดอกหรือ? มนุษย์ไม่มีสิทธิในการเลือกเฟ้นน่ะซิ?

และบางท่านอาจจะตั้งคำถามขึ้นอีกว่า  เมื่อฮะดีษบอกว่า คนทำความดีและโลกหน้าเกือบจะได้เข้าสวรรค์แล้วแต่ถูกบันทึกว่าเป็นชาวนรกลงนรก  ฮะดีษนี้ไม่ขัดกับอัลกุรอานดอกหรือ?

อัลเลาะฮ์ตะอาลา ทรงตรัสว่า

إِنَّ الَّذِينَ آمَنُوا وَعَمِلُوا الصَّالِحَاتِ إِنَّا لَا نُضِيعُ أَجْرَ مَنْ أَحْسَنَ عَمَلاً

"แท้จริงบรรดาผู้มีศรัทธาและปฏิบัติบรรดาคุณความดี  เราจะไม่ทำให้สูญเปล่าซึ่งผลการตอบแทนผู้ปฏิบัติความดีงาม" อัลกะฮ์ฟิ 30 

พระองค์ทรงตรัสเช่นกันว่า

فَاسْتَجَابَ لَهُمْ رَبُّهُمْ أَنِّي لاَ أُضِيعُ عَمَلَ عَامِلٍ مِّنكُم مِّن ذَكَرٍ أَوْ أُنثَى بَعْضُكُم مِّن بَعْضٍ

"ดังนั้นพระผู้อภิบาลของพวกเขาก็จะตอบรับ(คำขอ)ของพวกเขาว่า  แท้จริงฉันจะไม่ทำให้สูญเปล่า   แก่การกระทำของผู้กระทำคนใดจากพวกเจ้า  ทั้งผู้ชายและผู้หญิง" อาลิอิมรอน 195

คำตอบก็คือ  ดังที่กระผมได้บอกไปแล้วเบื้องต้นว่า  การบันทึกดังกล่าวนั้น  คือการรอบรู้ของอัลเลาะฮ์ตะอาลา  ซึ่งการรอบรู้ของพระองค์มีหน้าที่ในการทำให้แจ้งประจักษ์เท่านั้น  มิใช่ทำหน้าที่บังคับให้มนุษย์กระทำเช่นนั้น  กระทำเช่นนี้  ตามที่กระผมได้ชี้แจงไปแล้ว 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮะดีษที่รายงานโดยท่านอับดุลเลาะฮ์ อิบนุ มัสอูด นี้มีความหมายแบบกว้าง ๆ  المُطْلَقُ (มัฏลัก) ซึ่งมีฮะดีษอีกบทหนึ่งมาอธิบายจำกัดความ المُقَيَّدُ (อัลมุก็อยยัด) เราจะเข้าใจฮะดีษบทเดียวแล้วทำการตัดสินไม่ได้  เนื่องจากยังมีฮะดีษบทอื่น ๆ มาอธิบายเป้าหมายของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  นั่นก็คือฮะดีษของท่านมุสลิมที่ว่า
 
ท่านซะฮ์ บิน สะอัด อัสซาอิดีย์  ได้กล่าวรายงานว่า

أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏قَالَ ‏ ‏إِنَّ الرَّجُلَ لَيَعْمَلُ عَمَلَ أَهْلِ الْجَنَّةِ فِيمَا يَبْدُو لِلنَّاسِ وَهُوَ مِنْ أَهْلِ النَّارِ وَإِنَّ الرَّجُلَ لَيَعْمَلُ عَمَلَ أَهْلِ النَّارِ فِيمَا يَبْدُو لِلنَّاسِ وَهُوَ مِنْ أَهْلِ الْجَنَّةِ

"แท้จริงท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวว่า  แท้จริงชายคนหนึ่งจะปฏิบัติอะมัลของชาวสรรค์ในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแก่มนุษย์  โดยที่เขานั้นเป็นชาวนรก และแท้จริงชายคนหนึ่งได้ปฏิบัติอะมัลของชาวนรกในสิ่งที่ปรากฏให้แก่มนุษย์โดยเขาเป็นชาวสวรรค์"  รายงานโดยมุสลิม (4792)

พี่น้องนักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ครับ  ท่านลองสังเกตถ้อยคำฮะดีษที่ว่า   فِيمَا يَبْدُو لِلنَّاسِ  "ในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแก่มนุษย์"  ซึ่งเป็นถ้อยความที่มาจำกัดความหมายและความเข้าใจของฮะดีษท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม 

ดังนั้นอะไรคือจุดมุ่งหมายจากคำพูดของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม?

เป็นที่ทราบกันดีว่า  การทำอะมัลต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลานั้นต้องมีความบริสุทธิ์ใจ 

พระองค์ทรงตรัสความว่า

فَمَن كَانَ يَرْجُو لِقَاء رَبِّهِ فَلْيَعْمَلْ عَمَلاً صَالِحاً وَلَا يُشْرِكْ بِعِبَادَةِ رَبِّهِ أَحَداً

"ดังนั้นผู้ใดที่หวังจะได้พบผู้อภิบาลของเขา  เขาก็จงประพฤติแต่ความดีงาม  และเขาจงอย่าตั้งสิ่งใดเป็นภาคี(อันทำให้ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ)ในการนมัสการต่อผู้อภิบาลของเขา" อัลกะฮ์ฟิ 110

แต่ในอัลกุรอานเองก็ได้กล่าวถึงบรรรดาบุคคลที่กระทำความดีในโลกดุนยาตามเราที่ได้เห็นว่ามันคือการกระทำของชาวสวรรค์ว่า

 وَقَدِمْنَا إِلَى مَا عَمِلُوا مِنْ عَمَلٍ فَجَعَلْنَاهُ هَبَاء مَّنثُوراً

"เราได้มุ่งสู่(การพิจารณา)การงานที่พวกเขาได้ประพฤติไว้  แล้วเราก็บันดาลมันให้(ไร้ค่าประดุจดัง)ฝุ่นที่ปลิวว่อน(ไปในอากาศ)" อัลฟุรกอน 23

ความหมายของสองอายะฮ์นี้  ก็คือ  การปฏิบัติอะมัลที่ทำให้เขาได้เข้าสวรรค์ตามที่อัลเลาะฮ์รักและบัญชาให้กระทำนั้น  ถือว่ายังไม่เพียงพอ  แต่การปฏิบัตินั้นจำเป็นต้องอยู่พร้อมกับป้าหมายอันสุทธิ์ใจต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลา  ไม่ใช่กระทำเพื่อสิ่งอื่น  ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ในทางดุนยา  หรือจะเจตนาเพื่ออัลเลาะฮ์พร้อมกับผลประโยชน์ในทางดุนยาก็ตาม หรือต้องการผลประโยชน์ในทางดุนยาเพียงอย่างเดียวตามพฤติกรรมของพวกมุนาฟิกีน

และนี้ก็คือความหมายจากคำพูดของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า

إِنَّ اللَّهَ لَا يَنْظُرُ إِلَى صُوَرِكُمْ وَأَمْوَالِكُمْ وَلَكِنْ يَنْظُرُ إِلَى قُلُوبِكُمْ وَأَعْمَالِكُمْ

"แท้จริงอัลเลาะฮ์จะไม่มองไปยังรูปร่างของพวกเจ้าและทรัพย์สินของพวกเจ้า  แต่พระองค์จะทรงมองไปที่หัวใจและอะมัลของพวกเจ้า" รายงานโดยมุสลิม (4651)

และยังเป็นเป้าหมายของท่านนร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า

إِنَّ اللَّهَ طَيِّبٌ لَا يَقْبَلُ إِلَّا طَيِّبًا

"แท้จริงอัลเลาะฮ์ทรงบริสุทธิ์ยิ่ง  พระองค์จะไม่ตอบรับ(อะมัลใดๆ)นอกจากสิ่งที่บริสุทธิ์เท่านั้น" รายงานโดยมุสลิม (1686)

เมื่อท่านผู้อ่านได้เข้าใจข้างต้นแล้ว  ท่านก็สามารถเข้าใจฮะดีษของท่านอิบนุมัสดูที่ว่า "แท้จริงคนใดจากพวกท่านนั้น  จะทำการปฏิบัติด้วยอะมัลของชาวสวรรค์...."  หมายถึง  ในมนุษย์นั้น  ยังมีผู้ปฏิบัติอะมัลของชาวสวรรค์แต่พวกเขาไม่ได้เป็นชาวสวรรค์   เพราะการปฏิบัติอะมัลของเขานั้นปะปนไปด้วยความกลับกลอก  มีความโอ้อวดต่อมนุษย์  ซึ่งเป็นพฤติกรรมของชนส่วนมากในทุกยุคสมัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน!!?? (วัลอิยาซุบิลลาฮ์)  และยังมีผู้คนบางส่วนที่เขาได้ปฏิบัติความชั่ว  แต่เขาเป็นชาวสวรรค์  นั่นก็เพราะว่าสภาวะทางจิตใจอันวิเศษที่มีระหว่างเขากับอัลเลาะฮ์  เช่น  มีหัวใจที่นอบน้อม  ต่ำต้อยต่ออัลเลาะฮ์  มีความรู้สึกว่าตนเองนั้นมีสถานะภาพที่ไม่ดี  การกระทำบาปของเขาที่เกิดขึ้น  ไม่ทำให้หัวใจเขาเกิดความลำพองอวดใหญ่  ไม่ดื้อรั้นต่อความคำสอนของพระองค์

ดังนั้นเมื่อบุคคลหนึ่ง  แม้ว่าจะได้กระทำความชั่ว  แต่จิตใจของเขารู้สึก  สยบต่ออัลเลาะฮ์  รู้สึกอ่อนแอ  รู้สึกเป็นทาสบ่าวของพระองค์แล้ว  จุดจบชีวิตของเขาก็จะมีความดีงาม   ความรู้สึกยอมจำนน  และต่ำต้อย  จะเป็นปัจจัยในการเตาบะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์อย่างแท้จริง 

และสิ่งทั้งหมดนี้ก็  ยังเป็นเป้าหมายของฮิกัม อิบนุ อะฏออิลและฮ์  ที่ว่า

مَعْصِيَّةٌ أَوْرَثَتْ ذُلّاً وَانْكِسَاراً ، خَيْرٌ مِنْ طَاعَةٍ أَوْرَثَتْ عِزًّا وَاسْتِكْبَاراً

"การฝ่าฝืนที่ทำให้เกิดความต่ำต้อยและนอบน้อม  ย่อมดีกว่า  การภักดีที่ทำให้เกิดความอวดใหญ่และยะโส" หนังสือชัรห์อัลฮิกัม 1/74

وَاللهُ سُبْحَانَه وَتَعَالى أَعْلَي وَأَعْلَمُ 

أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ vrallbrothers

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 498
  • ALLAH MAHA BESAR...
  • Respect: +9
    • ดูรายละเอียด
 salam

ญะซากัลลอฮ์ บังอัลอัซฮารี ครับ

 mycool:

อ่านบทความนี้แล้ว ผู้ที่ทำความดีด้วยความอิคลาศ จะได้มีกำลังใจในการทำความดีเพิ่มยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกครับ และหวังว่า ในวาระสุดท้ายของชีวิต อัลลอฮ์จะทรงประทานความสำเร็จในโลกอาคีเราะห์ให้กับพวกเรา อามีน ยาร็อบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 31, 2009, 02:00 AM โดย vrallbrothers »


เวลาเปรียบเสมือนคมดาบ...หากท่านไม่ตัดมัน มันจะตัดท่าน



ยะฮูดีใช้ระเบิดฟอสฟอรัส... เลวร้าย ป่าเถื่อนยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด


สรุปคือ 4 ประการที่ถูกบันทึกในครรภ์มารดานั้น  ได้อยู่บันทึกไว้ตามที่อัลเลาะฮ์ทรงรอบรู้มาตั้งแต่เดิม(อะซะลีย์)แล้วนั่นเอง 



“รู้”  เป็นซีฟัตที่มีมาแต่เดิม  เป็นซีฟัตที่ปรากฏอยู่ที่ซ๊าตของพระองค์  ซึ่งมีผลทำให้พระองค์รับรู้ในสิ่งทั้งมวลตามสภาพที่ตรงกับสิ่งนั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่วาญิบ  ฮาโรส   และแม้แต่มุสต้าฮี้ลก็ตาม  ดังกล่าวนั้น  เป็นการรู้ที่ครอบคลุม  เป็นการรู้อย่างละเอียด  และโดยไม่เคยไม่รู้มาก่อน  (หมายถึงความรู้ของพระองค์นั้น  มิได้หมายความว่า  พระองค์เคยไม่รู้มาก่อน)  (รู้มาแต่เดิม)

อัลเลาะฮ์ตะอาลา  ทรงรู้ถึงทุกสิ่ง  ทุกประการตั้งแต่อะซัลลีย์  (บรรพกาล)  แม้ว่า  บางสิ่งเหล่านั้น  จะไม่มีที่สิ้นสุดก็ตาม  เช่น  บรรดาคุณลักษณะ(ซีฟัต)อันสมบูรณ์ของพระองค์  ตลอดจนจำนวนลมหายใจของชาวสวรรค์


ณ เวลานี้ เข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นมาก  เข้าใจจากจุดเริ่มที่ว่า อัลลอฮ์ตะอาลานั้นทรงรู้มาก่อนแล้ว แล้วจึงบันทึกแก่เราในสิ่งที่พระองค์รอบรู้ และไม่ใช่การบังคับแต่อย่างใด 
ญะซากัลลอฮ์ค็อยรอน สำหรับความรู้นี้ค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พ.ค. 31, 2009, 01:21 PM โดย al-firdaus~* »

ออฟไลน์ JawhaR

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1303
  • Respect: +12
    • ดูรายละเอียด
จาซากัลลอฮุค็อยร็อนมากๆ ครับ
I'm just a Mini Muslim and will try to be   StrongeR. Insha-Allah

ออฟไลน์ itoursab

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 199
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ไข่กาเหว่ากับแม่กา
..
อ่านบทความของบังอัลทีไรจุกคอหอยทุกที

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
เจ้านกกาเหว่าเอย
ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก
แม่กาก็หลงรัก
คิดว่าลูกในอุธรณ์
คาบเอาข้าวมาเผื่อ
แล้วคาบเอาเหยื่อมาป้อน
.....


จำไม่ได้แล้ว 2วรรคสุดท้าย ตั้งแต่ป.4นะเนี่ย
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ คะลัคคะลุย

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 670
  • เรื่อยไป
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
 salam

คนที่เป็นคอฎีบวันศุกร์เมื่อได้อ่านกระทู้นี้แล้ว  ก็เอาอ่านคุฏบะฮ์รอดไปได้อีกศุกร์นึงแระ   ผมว่าวิเคราะห์ฮะดีษนี้ฮะดีษเดียว  อ่านคุฏบะฮ์อธิบายได้เป็นชั่วโมง   โดยพยายามสรุปให้มะมูมที่กำลังนั่นฟังคุฏบะฮ์เข้าใจว่า

1. เราเกิดมาจากสิ่งที่อ่อนแอ   อย่าตะกับบูรอวดตนต่อผู้อื่น

2. ให้สำนึกว่าริสกีนั้นอัลเลาะฮ์ทรงประทานให้แก่เรา  การตายพระองค์กำหนดมาแล้ว 

3. เราถูกสร้างมาเพื่อถูกทดสอบจากอัลเลาะฮ์  เราเลือกเฟ้นที่จะทุ่มเทในการกระทำความดีได้

4. ทำอะมัลแล้วต้องบริสุทธิ์ใจ  ไม่งั้นโลกหน้าจะกลายเป็นฝุ่นที่ปลิวว่อนไร้ราคา

5. คนเราจำเป็นต้องรู้ถึงแก่นแท้ของตนว่า ตนเองนั้นต่ำต้อยและยอมสยบต่ออัลเลาะฮ์

ดังนั้นใครเป็นนักคุฏบะฮ์ที่เป็นนักพูด  คุฏบะฮ์ได้เป็นชั่วโมงด้วยการวิเคราะห์เพียงฮะดีษเดียว  แต่ระวังมะมูมจะโวย เพราะนานไป  ;D
اللهم صل علي سيدنا محمد وعلي آل محمد وصحبه وسلم

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com

แต่ในอัลกุรอานเองก็ได้กล่าวถึงบรรรดาบุคคลที่กระทำความดีในโลกดุนยาตามเราที่ได้เห็นว่ามันคือการกระทำของชาวสวรรค์ว่า

 وَقَدِمْنَا إِلَى مَا عَمِلُوا مِنْ عَمَلٍ فَجَعَلْنَاهُ هَبَاء مَّنثُوراً

"เราได้มุ่งสู่(การพิจารณา)การงานที่พวกเขาได้ประพฤติไว้  แล้วเราก็บันดาลมันให้(ไร้ค่าประดุจดัง)ฝุ่นที่ปลิวว่อน(ไปในอากาศ)" อัลฟุรกอน 23



บางท่านอาจจะกล่าวว่า อายะฮ์นี้พูดเกี่ยวกับการงานของคนกุฟฟาร  แต่ความจริงแล้วอัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ทรงตรัสเกี่ยวกับอะมัลของกุฟฟารที่เป็นอะมัลของชาวสวรรค์ กล่าวคือเป็นการปฏิบัติความดีตามที่มนุษย์เห็น  กระนั้นก็ตาม อะมัลของพวกเขาไม่ให้ประโยชน์อันใดแก่พวกเขาในโลกหน้า เพราะว่าไม่ได้กระทำเพื่อแสวงหาความพึงพอพระทัยหรือบริสุทธิ์ใจต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลา ดังนั้นมุสลิมก็เช่นเดียวกัน หากกระทำอะมัลโดยไม่บริสุทธิ์ใจ ก็ไม่มีประโยชน์อันใดในโลกหน้าเช่นเดียวกัน

วัลลอฮุอะลัม
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ al-toorab

  • เพื่อนซี้ (o_O')
  • **
  • กระทู้: 172
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
 salam

ญาซากั้ลลอฮุคอยรอน ขอบคุณบัง อัชอารี ที่ได้เสนอความรู้ที่มีประโยชน์

ขอบคุณอย่างสูง
يقول -صلى الله عليه وسلم-: هلك المتنطعون، هلك المتنطعون، هلك المتنطعون

"บรรดาผู้มุตะนัตติอูน(ผู้ที่คิดลึกเกินเลยขอบเขต)ได้มีความวิบัติแล้ว"

قَالَ رَسُولُ اللَّهِ ‏ ‏صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ‏ ‏لَيْسَ الْمُؤْمِنُ ‏ ‏بِالطَّعَّانِ ‏ ‏وَلَا اللَّعَّانِ وَلَا ‏ ‏الْفَاحِشِ ‏ ‏وَلَا الْبَذِيءِ

"ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า  ไม่ใช่เป็นผู้ศรัทธา  ผู้ที่ชอบตำหนิ(ผู้คนทั้งหลาย) ผู้ที่ชอบสาปแช่ง ผู้ที่ด่าทออย่างน่ารังเกียจ  และผู้ที่พูดหยาบคาย" รายงานโดยท่านติรมีซีย์ 1900 ท่านอัตติรมีซีย์กล่าวว่า  ฮะดิษฮะซัน

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
คนบางคนทำให้ชีวิตโลกหน้าของเขาเสียหาย เพราะทำเพื่อผลประโยชน์ทางโลกดุนยานี้แก่ผู้อื่น (หมายความว่า ยอมทำสิ่งที่อัลลอฮ์ไม่พอใจ เพื่อให้ผู้อื่นได้รับผลประโยชน์ของโลกนี้ ดังนั้นจึงเป็นการทำลายชีวิตในโลกหน้าของเขาเอง)

และมีคนบางคน เขาได้รับข่าวดีในโลกอาคิเราะฮฺตั้งแต่ในโลกดุนยานี้
คือการที่เขาทำอะมัลที่ดี แล้วผู้คนสรรเสริญเขา  นับได้ว่าเขาเป็นชาวสวรรค์
จะเป็นเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อเจตนาในการทำความดีของเขานั้น เพื่อให้อัลลอฮฺตะอาลาพึงพอใจเท่านั้น มิใช่เพื่อให้ผู้คนสรรเสริญเขา

และความรู้สึกว่าเราต่ำต้อยนั้น เป็นบ่อเกิดสู่ความดีงามทั้งปวง mycool:

sara

  • บุคคลทั่วไป
อ้างถึง
1. เราเกิดมาจากสิ่งที่อ่อนแอ   อย่าตะกับบูรอวดตนต่อผู้อื่น

2. ให้สำนึกว่าริสกีนั้นอัลเลาะฮ์ทรงประทานให้แก่เรา  การตายพระองค์กำหนดมาแล้ว 

3. เราถูกสร้างมาเพื่อถูกทดสอบจากอัลเลาะฮ์  เราเลือกเฟ้นที่จะทุ่มเทในการกระทำความดีได้

4. ทำอะมัลแล้วต้องบริสุทธิ์ใจ  ไม่งั้นโลกหน้าจะกลายเป็นฝุ่นที่ปลิวว่อนไร้ราคา

5. คนเราจำเป็นต้องรู้ถึงแก่นแท้ของตนว่า ตนเองนั้นต่ำต้อยและยอมสยบต่ออัลเลาะฮ์

 myGreat:     myGreat:      myGreat:       

 

GoogleTagged