ผู้เขียน หัวข้อ: ปริศนาของโลก  (อ่าน 6047 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาของโลก
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: พ.ย. 14, 2009, 02:23 AM »
0

ขนาดของหลุมดำ


หลุมดำมีขนาดเท่าไร?

หลุมดำ หรือ Black Hole สิ่งมหัศจรรย์ชวนพิศวงแห่งจักรวาล
ซึ่งนักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่ามีอยู่จริง แต่ไม่สามารถจะมองเห็นได้
เพราะแสงเมื่อเข้าใกล้หลุมดำถึงระดับหนึ่ง
ก็จะไม่สามารถออกมาจากหลุมดำได้เลย
และจึงทำให้หลุมดำมีสภาพเป็น “ดาวล่องหน”

เรื่องขนาดของหลุมดำ โดยทั่วไปจะมีอยู่ 2 ความหมาย คือ

(1) ขนาดของหลุมดำตามกระบวนการเกิด เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า
“ซิงกูลาริตี” (Singularity) และ

(2) ขนาดของหลุมดำที่สังเกตได้ เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า
“Schwarzschild Radius” (รัศมีชวาร์ซชิลด์)
หรือ “Event Horizon” (ขอบฟ้าเหตุการณ์)


ตามกระบวนการเกิดหลุมดำ โดยทั่วไปดาวฤกษ์ที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ของเรา
ประมาณ 2 เท่าครึ่งขึ้นไป บั้นปลายชีวิต ถ้าไม่เปลี่ยนไปเป็นซูเปอร์โนวา
ชนิดระเบิดหมดทั้งดวง ก็จะเปลี่ยนไปเป็นดาวนิวตรอน
และในที่สุดก็จะเปลี่ยนไปเป็นหลุมดำ โดยที่มวลทั้งหมดของดวงดาว
จะยุบถล่มตนเอง ไปรวมกันที่ตำแหน่งใจกลางของดวงดาว
เรียก ซิงกูลาริตี ซึ่งมีสภาพเป็นเสมือนกับจุด
กล่าวคือ ไม่มีขนาด ไม่มีปริมาตร โดยที่ซิงกูลาริตีอาจมีสภาพเป็น
“สภาวะ” ของ SpaceTime หรืออวกาศเวลา
ที่มีความหนาแน่นเป็นอนันต์ หรือ Infinite แต่มีขนาดเป็นศูนย์


แนวคิดเรื่องซิงกูลาริตีของหลุมดำ มักใช้กันโดยทั่วไปกับหลุมดำทั้งที่เคยเป็น
ดาวฤกษ์ มาก่อน และที่เกิดจากการรวมตัวของมวลสารมากมาย
อยู่ที่ตำแหน่งใจกลางของกาแลกซีส่วนใหญ่ (รวมทั้งกาแลกซีทางช้างเผือก)
มีมวลมากกว่ามวลดวงอาทิตย์ของเราเป็นล้าน หรือพันล้านเท่า

ซิงกูลาริตี ของหลุมดำที่เป็นดาวฤกษ์มาก่อน หรือที่กำลังเป็นหลุมดำยักษ์
อยู่ที่ใจกลางกาแลกซี ส่วนใหญ่เป็นซิงกูลาริตีที่มีเสถียรภาพ
ตราบเท่าหลุมดำยังมีชีวิตอยู่ คือยังไม่สลาย แต่สำหรับหลุมดำจิ๋ว
ที่เรียกว่า Mini Black Hole หรือ Micro Black Hole
ที่อาจเกิดขึ้นจากสภาพของจักรวาลหลังการเกิดบิ๊กแบง แล้วก็มีหลุมดำจิ๋วเกิดขึ้น
โดยที่หลุมดำจิ๋วเหล่านี้ เมื่อเกิดขึ้นก็จะสลายตัวอย่างรวดเร็ว
เกือบจะในทันทีที่เกิดขึ้น ซิงกูลาริตีของหลุมดำจิ๋วก็จะเกิดขึ้น
แล้วก็สลายตัวไปเกือบจะในทันทีกับหลุมดำจิ๋ว


หลุมดำจิ๋วนี้เอง ที่อาจเกิดขึ้นได้จากการชนกันของโปรตอน
ในเครื่องเร่งอนุภาค LHC ที่เซิร์น ขณะที่โปรตอน 2 กลุ่ม
กำลังวิ่งสวนทางกันอยู่ในอุโมงค์ของเครื่อง LHC มีเส้นรอบวงยาว 27 กิโลเมตร
ด้วยความเร็วประมาณ 99.999 เปอร์เซ็นต์ของความเร็วแสง
จึงมีพลังงานสูงใกล้เคียงกับสภาพของจักรวาลหลังการเกิดบิ๊กแบงใหม่ๆ
และเป็นที่คาดในวงการวิทยาศาสตร์ว่า จะเกิดหลุมดำจิ๋วขึ้นมา


หลุมดำจิ๋วที่เกิดในเครื่อง LHC อาจมีขนาดในระดับเพียง 10-19เมตร
และมีอายุสั้นมากเพียงระดับ 10-26วินาทีเท่านั้น

จึงเสมือนหนึ่งเมื่อเกิดขึ้นก็สลายตัวในทันที ก่อนการกะพริบตาของคนเรา
เพียงหนึ่งครั้งเสียอีก

ตัวเลข 10-19 เมตร กับ 10-26 วินาทีนี้ ก็เป็นเพียงตัวเลขที่แสดงถึงระดับขนาด
และช่วงเวลาที่น้อยมากจริงๆ ในบางรายงานเกี่ยวกับหลุมดำจิ๋วที่เซิร์น
ก็มีการยกตัวเลขยกกำลังเป็นลบที่แตกต่างกันออกไป
แต่ก็เป็นขนาดและช่วงเวลาที่สั้นมากๆ

สำหรับขนาดของหลุมดำที่สังเกตได้ คือ “รัศมีชวาร์ซชิลด์”
หรือ “ขอบฟ้าเหตุการณ์” เป็นคุณสมบัติของหลุมดำ
ที่เป็นรูปธรรม มีความหมายถึงตำแหน่งในอวกาศจากใจกลางหลุมดำ

ซึ่งสำหรับหลุมดำแบบธรรมดาที่สุด หรืออาศัยการคำนวณอย่างธรรมดาที่สุด
ของหลุมดำไม่มีประจุไฟฟ้าและไม่หมุนรอบตัวเอง ก็จะมีลักษณะเป็นผิวทรงกลม
โดยมีรัศมีขึ้นอยู่กับมวลของหลุมดำ เช่น...

หลุมดำมีมวลประมาณ 10 เท่าของดวงอาทิตย์ มีรัศมีชวาร์ซชิลด์
ประมาณ 30 กิโลเมตร

หลุมดำมีมวลประมาณ 1,000 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ มีรัศมีชวาร์ซชิลด์
ประมาณ 1,000 กิโลเมตร

หลุมดำยักษ์มีมวลประมาณ 1 แสน ถึง 1,000 ล้านเท่าของมวลดวงอาทิตย์
มีรัศมีชวาร์ซชิลด์ ประมาณ 0.00110 เอยู (1 เอยู คือหน่วยดาราศาสตร์
หมายถึง ระยะห่างระหว่างดวงอาทิตย์กับโลก
โดยเฉลี่ยมีค่าเท่ากับ 149, 597, 870 กิโลเมตร)


ดวงอาทิตย์ของเรา ถ้าเปลี่ยนไปเป็นหลุมดำ (ซึ่งไม่เกิดขึ้นจริง
เพราะดวงอาทิตย์มีมวลน้อยเกินกว่าจะเปลี่ยนไปเป็นหลุมดำ)
ก็จะมีรัศมีชวาร์ซชิลด์เพียงประมาณ 3 กิโลเมตร


ทำไมรัศมีชวาร์ซชิลด์ จึงถูกเรียกเป็น “ขอบฟ้าเหตุการณ์” ด้วย?

ขอบฟ้าเหตุการณ์ หรือ Event Horizon โดยทั่วไปหมายถึงตำแหน่งไกลสุด
ที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ถ้าไกลกว่าตำแหน่งนั้นออกไป
ตาเปล่ามนุษย์ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ จึงถูกนำไปเปรียบเทียบเรียก
ขนาดของหลุมดำอย่างเป็นรูปธรรม ว่า สามารถมอง หรือสังเกตเห็นสภาพ
โดยรอบหลุมดำได้ถึงระยะห่างจากใจกลางหลุมดำเพียงรัศมีชวาร์ซชิลด์เท่านั้น


ในทางปฏิบัติ นักวิทยาศาสตร์สามารถจะ “หา” หรือ “วัด” รัศมีชวาร์ซชิลด์ได้
โดยการศึกษาสภาพรอบหลุมดำ ที่สามารถส่องกล้องโทรทรรศน์
เห็นอนุภาคดังเช่น แก๊สร้อนวิ่งวนเข้าหาหลุมดำ จนกระทั่งหายเข้าไปในบริเวณ
โดยรอบหลุมดำ และตำแหน่งบริเวณโดยรอบหลุมดำนั้นเอง
คือ ขนาดอย่างเป็นรูปธรรมของหลุมดำ...


แล้วจากขนาดของหลุมดำนั้น นักวิทยาศาสตร์ก็สามารถคำนวณหามวล
ของหลุมดำได้

สำหรับความเคลื่อนไหวของเครื่องเร่งอนุภาค LHC หลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2551 แล้ว ก็ต้องปิดเครื่องเพื่อซ่อมเหตุขัดข้องจากวงจรไฟฟ้า
ทำให้เกิดการรั่วไหลของฮีเลียมเหลว มีรายงานล่าสุด (วันที่ 30 พ.ย. 2551)
จากเซิร์น ว่า เครื่อง LHC จะเริ่มต้นสตาร์ตเครื่องทำงานใหม่ปลายฤดูร้อนปี 2552


ฤดูร้อนในซีกโลกเหนือ (เช่นที่เซิร์น) เริ่มต้น 21 มิ.ย. ถึง 23 ก.ย. ของทุกปี

รายงานโดย :ชัยวัฒน์ คุประตกุล
วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551


ปล.แล้วจะมาต่อในปริศนา"หลุมดำ กับ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา"
รวมไปถึงเรื่อง"มิติคู่ขนาน" "มิติที่มากกว่า4"
ตามที่นักวิทยาศาสตร์มักกล่าวถึงกันในคราถัดไปค่ะ...
อินชาอัลลอฮฺ


หากบทความที่นำมาโพสไม่เหมาะสมยังไง...ท้วงติงกันได้นะคะ
หรือหากว่ามีข้อมูลตรงไหนที่ผิดพลาด โปรดชี้แนะด้วยนะคะ...


วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

^____________^




"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ Bahebak

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 262
  • Live and Learn
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาของโลก
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: พ.ย. 14, 2009, 03:58 AM »
0
 salam

P\ญะซากิลละห์ ค็อยรอน ค่ะ
ชอบเรื่องแบบนี้มาก
และจะติดตามต่อไปค่ะ
...We love Allah.We love Nabi.We're muslims...

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาของโลก
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: พ.ย. 15, 2009, 10:31 AM »
0
สนใจสามเหลี่ยมเบอรมิวด้า
นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาของโลก
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: พ.ย. 15, 2009, 12:55 PM »
0


 salam

สามเหลี่ยมเบอร์มิวดากับหลุมดำนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน
ในทางทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์...
ดังนั้นข้าน้อยจึงขอเกริ่นเรื่องของ"หลุมดำ"ตามที่นักวิทยาศาสตร์บางท่าน
ได้สันนิษฐานกันเอาไว้ค่ะ...


หลุมดำ สัตว์ร้ายในอวกาศ



     ความเวิ้งว่างเปล่าเหนือหัวคนเราขึ้นไปนั้น เป็นเอกภพมหามหึมา
อันมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลเหลือสติปัญญาที่จะหยั่งคะเนได้
สถานที่อันไร้อาณาเขตนี้นั้นก็ประกอบด้วยดวงดาวน้อยใหญ่ที่คุมกันหลวมๆ
เป็นจักรวาลและจักรวาลน้อยใหญ่ก็มีอยู่เหลือคณานับ
เคลื่อนคล้อยในเอกภพอันไร้ขอบเขตด้วยจำนวนอันไร้ปริมาณ

     
     ธรรมชาติมิได้สร้างความเรียบร้อยสวยงามให้ปรากฏขึ้นอย่างเดียว
แต่ธรรมชาตินี่แหละที่ก็ได้สร้างความเหี้ยมเกรียม ความหายนะ
ให้เกิดควบคู่กันไปด้วย

ใครจะคิดได้ว่า อันดวงดาวทั้งปวงที่เห็นดารดาษบนท้องฟ้านั้น
คืออาหารอันโอชะของเจ้าสัตว์ร้ายพวกหนึ่งที่คอยจ้องเขมือบดาวเหล่านี้
ให้สูญหายไป ตราบใดก็ตามที่ดาวน้อยใหญ่ทั้งหลายเผลอเรอ
หลงเข้าไปในแวดวงที่มัน "อาศัย" อยู่?

     สัตว์ร้ายที่ว่านี้ นักวิทยาศาสตร์บนดาวเล็กๆ ดวงที่เรียกว่าโลกนี้
เขาตั้งชื่อมันเอาไว้ว่า "แบล็ค โฮล" หรือแปลกันง่ายๆ คือ "หลุมดำ"

      ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา นับแต่ปี พ.ศ. 2513 นั้น
นักวิทยาศาสตร์สาขาดาราศาสตร์ทั้งหลายก็พากันบอกเป็นเสียงเดียวว่า
เจ้าสิ่งที่เรียกว่าหลุมดำหรือแบล็ค โฮลนั้นได้จัดการออกล่าเหยื่อ
เขมือบดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้าไปแล้วมากต่อมาก
และหลังจากเขมือบดาวเหล่านี้ไปชั่วระยะหนึ่งแล้ว
มันก็หยุดการล่าเหยื่อของมันไปชั่วระยะหนึ่ง

       ช่วงที่แบล็ค โฮลอยู่เฉยๆ ไม่อนาทรคันปากคันคอจะกินดาวอย่างที่เคยนั้น
นักดาราศาสตร์นั่นแหละที่เขาบอกว่ามันกำลังขอเวลาสำหรับ "ย่อย" ดาว
ที่เป็นอาหารของมันอยู่

มาถึงตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญที่เฝ้าสังเกตสังเกตเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ กำลังร้องบอกว่า
เจ้าหลุมดำ หรือแบล็ค โฮลนี้ เริ่มต้นที่จะออกล่าเขมือบดวงดาวใหม่แล้ว
แต่โชคดีที่ว่าโลกเรานั้นยังอยู่ไกลมากจากถิ่นที่สัตว์ร้ายแห่งเอกภพนี้มันสิงสถิตอยู่
ไม่เช่นนั้นสักวันหนึ่งโลกใบนี้ ก็คงถูกมันเขมือบ และจัดการย่อยอร่อยปาก
อร่อยกระเพาะมันไปเหมือนกัน

แต่อย่างไรก็ตาม วันสุดท้ายของโลกและสุริยจักรวาลนั้น
ก็ยังมีโอกาสมาถึงเหมือนกัน เพราะดวงดาวเพื่อนบ้านตลอดจนถึงดวงอาทิตย์
อาจจะถือว่าสุริยจักรวาลทั้งระบบนั้นกำลังค่อยๆ ถูกดูดให้เข้าไปหา
เจ้าแบล็ค โฮลนี้ทีละน้อยๆ แต่ว่าเรื่องนี้ก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจ
ขนข้าวของอพยพกันหรอกนะครับ เพราะนักดาราศาสตร์กล่าวว่า
อีกอย่างน้อยๆ ก็นับสิบๆ ล้านปีนั่นแหละกว่าที่โลกจะกลายเป็นเหยื่อเจ้าสัตว์ร้าย
แห่งเอกภพ เวลาป่านนั้นเราจะตายไปเกิดที่ไหนอีกกี่สิบกี่ร้อยหรือกี่ล้านชาติก็ไม่รู้

       ปรากฏการณ์สัตว์ร้ายแห่งเอกภพหรือหลุมดำนี้อาจจะมีมานานนับร้อยพัน
หมื่นล้านปีมาแล้ว แต่ก็เพิ่งเป็นที่ประจักษ์กันในหมู่มนุษย์เพียงไม่นานมานี้
ก็เมื่อคนเรามีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ สามารถพัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้
รอบตัวให้ทันสมัยสมใจนึกมากขึ้น
เพราะความก้าวหน้านี้เอง ที่ทำให้เราได้มองเห็นเจ้าสัตว์ร้ายนี้
ด้วยความรู้จากสมมติฐานกลายไปเป็นทฤษฎี

        เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2451 หรือ 81 ปีมาแล้ว
มีปรากฎการณ์ประหลาดเกิดขึ้นที่บริเวณทุ่งทุงกัสทางตอนกลางของไซบีเรีย
ปรากฏการณ์นี้ได้แก่การระเบิดเสียงกึกก้องกลางอากาศ และมีการสั่นสะเทือน
อย่างมหาศาลของแผ่นดินบริเวณนั้นและในอาณาเขตรัศมี
หลายร้อยกิโลเมตรโดยรอบ บรรดาผู้ที่อาศัยในละแวกทุงกัสนั้น
ต่างให้การเป็นเสียงเดียวกันว่า ขณะเกิดการระเบิดนั้นพวกตนแสบตาจ้าไปหมด
ด้วยแสงอันขาวนวลอย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
แสงนั้นทำให้ดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์ที่กำลังส่องสว่างนั้นมืดมิดไปชั่วขณะ
และเกิด "เสาไฟมหึมา" พลุ่งขึ้นมาจากพื้นโลก

เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้ว สิ่งหนึ่งที่ยังคงปรากฎอยู่ในทุ่งทุงกัส
แม้จนกระทั่งวันนี้อันเป็นเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษแล้วก็ตาม
คือ สภาพหงิกงอของไม้ไร่ในป่าแถบนั้น กระหย่อยใหญ่เหมือนกับถูกมือยักษ์ทึ้ง
และเผาราบ ไม้ใหญ่น้อยนี้ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ก็ไม่มีไม้ต้นใหม่เกิดขึ้น

นักวิทยาศาสตร์ได้บุกบั่นเข้าไปทำการสำรวจค้นคว้าบริเวณนี้อยู่อย่างสม่ำเสมอ
แต่ก็ไม่มีใครลงมติเห็นพ้องกันว่าสาเหตุของปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
แม้ว่าจะเห็นตรงกันว่ามันเป็นหายนะที่มาจากฟากฟ้าเหนือหัว

        สาเหตุที่เกิดการทำลายป่าครั้งใหญ่ และสิ่งประหลาดที่ชาวทุงกัสยุคนั้น
ได้พบเห็นชนิดตายไปก็ยังลืมไม่ลงนั้นยังมีการโต้แย้งต่างๆนานา
อะไรเกิดขึ้นที่ไซบีเรียครั้งนั้นตอนนี้สามารถแยกสาเหตุออกไปได้คือ

ส่วนหนึ่งเชื่อว่าเป็นผลจากการที่สะเก็ดดาวขนาดมหึมาชิ้นหนึ่งหล่นเข้ามา
อยู่ในปริมณฑลแรงดึงดูดของโลก แล้วก็เลยถูกดูดลงมาถล่มเอาบริเวณดังกล่าว

เหตุผลหนึ่งไปไกลกว่านั่นคือเชื่อว่าอาจจะมีมนุษย์ต่างดาวนำยานของตน
มาฉวัดเฉวียนทำนองสำรวจโลกพระเคราะห์ที่มนุษย์อาศัยอยู่
และให้เกิดอุบัติเหตุเชื้อเพลิงคือพลังนิวเคลียร์ในยานลำนั้นแผลงฤทธิ์ปึงปังออกมา
มันก็เท่ากับการหยอดระเบิดนิวเคลียร์ลงไปบนทุ่งทุงกัสที่ว่าทำให้แหลกลาญไปหมด

       แต่ทฤษฎีล่าสุดที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งไว้สำหรับกรณีลึกลับแห่งทุง่ทุงกัสนี้คือ
อาจจะเป็นไปได้ที่โลกเจอเข้ากับรายการ "แทะเล็ม" ของปรากฎการณ์ชนิดหนึ่ง
ที่เพิ่งจะมีการค้นพบกันไม่นานมานี้ที่เผอิญเป็นปรากฎการณ์ระดับไม้จิ้มฟัน
ของเอกภพ นั่นคือผลจากการอาละวาดของเจ้าแบล็ค โฮล

                 
เรื่องนี้ก็อาจจะเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า "อภินิหารเจ้าหลุมดำ"


หลุมดำหรือแบล็ค โฮลนี้เป็นภาพที่มองไม่เห็นในเอกภพ
แต่ว่ามันสัมผัสได้ด้วยการสังเกตได้ด้วยผลที่บังเกิดขึ้นรอบๆ ตัวของมัน
ก็คือการหายไปของดาวต่างๆ ที่กล้องโทรทัศน์จากผิวโลกมองออกมา
และบันทึกเอาไว้เปรียบเทียบกัน แสดงถึงอำนาจอันมหาศาล
ของเจ้าตัวร้ายแห่งเอกภพ


      ในปี พ.ศ. 2447 เอฟ.ดับเบิลยู เบสเซล นักดาราศาสตร์สำคัญคนหนึ่ง
แห่งหอดูดาวคอนิกบูร์ก ของปรัสเซียปัจจุบันคือหอดูดาวแห่งคาลินนินกราด
สหภาพโซเวียตได้เฝ้าสังเกตดาวฤกษ์สำคัญดวงหนึ่งที่รู้จักกันมากแต่สมัยดบราร
ก็คือ ซิริอุส หรือดาวหมาที่ชาวไอยคุปต์ถือเป็นดาวสำคัญ
ของการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล และพบโดยบังเอิญว่าดาวซิริอุสนี้
มิได้เดินไปตามที่ตามทางของมัน หากแต่ดูเหมือนคล้ายกับว่ากำลังอยู่ในวิถี
ที่จะหลับอะไรสิ่งหนึ่งที่มองไม่เห็น

       
       นักดาราศาสตร์รุ่นหลังจากเบสเซลได้ติดตามสานต่องานของเขา
และพบว่า ใกล้เคียงกับดาวซิริอุสนั้น มีดาวดวงหนึ่งขนาดเล็กกว่า
กำลังมีแสงริบหรี่ลงไปกว่าปกติแต่ในไม่นานหลังจากนั้น มันก็ส่งแสงสว่างจ้า
ข่มดาวซิริอุสซึ่งว่าสว่างแล้ว เป็นปรากฎการณ์ต่อเนื่องอยู่หลายปี
แล้วจากนั้นมันก็หายไปจากกล้องโทรทัศน์ หลังจากที่มันหายไปแล้วนั่นเอง
ปรากฏว่าจำนวนดาวน้อยๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าในละแวกที่อยู่ใกล้เคียง
กับดาวที่หายไปนั้นลดลงเรื่อยๆ และก็ทรงตัวอยู่ชั่วระยะหนึ่ง
จากนั้นก็ลดจำนวนลงไปอีก
จนละแวกนั้นนอกจากดาวซิริอุสแล้ว เป็นที่เวิ้งว้างว่างเปล่าปราศจากดาว
เหมือนกับใครไปถอนหญ้าในแปลงเล็กๆ เสียเตียน

         ปรากฏการณ์ที่รวบรวมได้จากการสังเกตนี้
นักวิทยาศาสตร์ได้นำมาศึกษาวิจัยกันแล้ว และพบว่าเป็นกำเนิดของหลุมดำ
หรือสัตว์ร้ายแห่งเอกภพอันเนื่องจากการถึงแก่กาลอวสานของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่


...มีต่อค่ะ...

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาของโลก
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: พ.ย. 15, 2009, 01:26 PM »
0



      มีการเอากรณีปรากฎการณ์ประหลาดที่ไซบีเรียครั้งนั้น
มาพิจารณาประกอบด้วย นักเคมีชาวอเมริกันนายหนึ่ง ก็คือ
วิลลาร์ด ลิบบี้ อดีตสมาชิกของคณะกรรมการพลังงานปรมาณูของสหรัฐ
ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในฐานะค้นพบวิธีการตรวจสอบอายุของสสาร
ด้วยระบบกัมมันตรังสีคาร์บอน ได้ร่วมกับพรรคพวกอีกสองคน
ทำการทดลองพบว่า การเคลื่อนไหวของสิ่งสองสิ่งในอวกาศคือ
สสารกับตัวต้านสสารนั้น ทำให้เกิดพลังงานอย่างใหญ่หลวงมหาศาล
และปรากฎการณ์นี้อาจจะเป็นไปได้เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น
เฉียดเข้ามาใกล้และถูกโลกดึงลงมาแผลงฤทธิ์กันบนทุ่งไซบีเรีย

        แต่ว่าสิ่งที่เรารู้กันในทุกวันนี้เกี่ยวกับอสูรร้ายในเอกภพคือ แบล็ค โฮลนั้น
มันเกิดขึ้นจากผลของการที่แก๊สในดาวฤกษ์ซึ่งมีกลุ่มก้อนมหึมา
เกิดการหลอมตัวของนิวเคลียร์เข้าด้วยกัน เป็นลักษณะของการแปลงธาตุ
จากธาตุหนึ่งไปยังอีกธาตุหนึ่ง โดยเฉพาะจากไฮโดรเยนเป็นฮีเลียม
การแปลงธาตุจากการหลอมตัวของนิวเคลียสนี้ผลพวงที่แนบมาด้วยก็คือ
พลังงานความร้อนที่เกิดจากระเบิดนิวเคลียร์ที่มนุษย์
สามารถสร้างมันขึ้นมาได้แรงที่สุด

         พลังงานมหาศาลที่มีทั้งความร้อนระคนปนเข้ากับแสงและรังสีอื่นๆ
อันเกิดจากการหลอมตัวแปลงธาตุนี้จะผลักดันปรมาณูและอณูต่างๆ ออกจากกัน
แต่ในเวลาเดียวกับที่มีแรงผลักดันปรมาณูออกจากกันนี้ก็พลอยหมดไปตามไปด้วย
คงเหลือแต่แรงดึงดูดให้ปรมาณูวิ่งเข้ามากันอยู่แรงเดียว

         เมื่อมีแต่แรงดึงปรมาณูเข้าหากันอยู่แต่ลูกเดียวเช่นนี้
ดาวฤกษ์ที่ดันเผาไหม้ตัวเองขึ้นมานั้นก็จะเริ่มหดตัวเล็กลงกว่าขนาดของเดิม
และก็หดตัวลงไปเรื่อย แต่ว่าจะหดใหญ่เล็กแค่ไหนนั้น
ก็ขึ้นอยู่กับว่าดาวฤกษ์ดวงเดิมนั้นมันใหญ่โตแค่ไหน
ดาวฤกษ์ขนาดย่อมๆ หน่อยก็จะหดตัวมาเป็นดาวฤกษ์นิวตรอน
ซึ่งในตัวของมันนั้นก็จะประกอบด้วยสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่า
"สารควบแน่น" และสารควบแน่นพวกนี้จะเป็นสสารที่ไม่มีอนุภาคไฟฟ้า
อยู่ในตัวเหมือนกับสสารทั่วไป นั่นเองที่เขาเรียกมันว่า
"นิวตรอน" หรือ "สารเป็นกลาง"


      แต่ที่น่าทึ่งและมหัศจรรย์ที่สุดที่นักวิทยาศาสตร์เขาว่ากันไว้นั้นก็คือ
เจ้าสารควบแน่นนี้ปริมาณเพียงแค่หัวไม้ขีดเท่านั้นมันจะหนักเป็นพันล้านตัน
หรืออีกนัยหนึ่งหนักยิ่งกว่าภูเขาหิมาลัยหรือเขาพระสุเมรุเสียอีก

      แต่ดาวฤกษ์ที่เอาแต่หดตัวไปนั้นก็ไม่ได้หยุดหดไปแม้แต่น้อย
คงทำการก้มหน้าก้มตาลดขนาดของมันด้วยการหดต่อไปเรื่อยๆ
จนในที่สุดมันก็ไม่มีขนาด ไม่มีอะไรทั้งสิ้น นอกจากสภาพใหม่ที่มองไม่เห็น
หรือที่นักวิทยาศาสตร์เขาเรียกว่า "หลุมดำ" หรือ "แบล็ค โฮล" นั่นแหละ

      ทั้งหมดนี้ออกจะเป็นเรื่องฟังหนักสมองเอาสักหน่อย
แต่นี่ขนาดผมพยายามเรียบเรียงเอาคำอธิบายของนักวิทยาศาสตร์
ไต่บันไดลงมาถึงพื้นให้ท่านผู้อ่านพอเข้าใจแล้วนะครับ
มันเป็นศาสตร์ในเรื่องกฎของฟิสิกส์ที่เขาว่าเอาไว้
แค่ถอดเอามาง่ายๆ ผมยังต้องนอนก่ายหน้าผากอยู่หลายตลบ
กว่าจะออกมาเขียนได้อย่างนี้

       ก็นักวิทยาศาสตร์นั่นแหละที่ว่าไว้ว่า เจ้าหลุมดำอินวิซิเบิ้ลตัวนี่แหละ
ที่มันมีสนามแม่เหล็กอยู่สูงมหาศาล อำนาจทางแม่เหล็กของมันนี่เอง
ที่เที่ยวไปดูดดาวที่มันผ่านเข้าไปใกล้เคียงเข้าไปหามัน
และก็จัดการเขมือบดาวนั้นๆ เข้าตัวมันหายวับไป เหมือนกับเป็นอาหารโอชะ

แล้วเมื่อดาวทั้งหลายถูกดูดกลืนเข้าไปในหลุมดำนั้นก็ยิ่งจะไปเพิ่มแรงดึงดูด
ให้กับเจ้าตัวหลุมดำจอมเขมือบนี้มากขึ้นไปอีก

         พฤติการณ์ของเจ้าหลุมดำนี้แหละที่เห็นๆ กันว่าเปรียบเสมือนสัตว์ร้าย
ที่ซุ่มอยู่ในกาแลกซี่ของเรา และบางทีอาจจะอยู่ในกาแลกซี่อื่นๆ
อีกหมื่นล้านอสงไขยในความเวิ้งว้างหาที่สิ้นสุดมิได้ของจักรวาล

          ถึงเวลานี้นักวิทยาศาสตร์อเมริกากันกำลังบอกว่าเจ้าหลุมดำ
ที่หยุดนิ่งย่อยอาหารดาวที่มันก้มหน้าเขมือบไปพักหนึ่งนั้น
เริ่มขยับเขยื้อนท้องร้องขึ้นมาแล้ว และก็กำลังเริ่มเขมือบดาวฤกษ์
ที่ตุปัดตุเป๋เข้าไปใกล้ๆ มันเป็นอาหารอีกครั้งหนึ่ง ฟังแล้วก็น่าขนหัวลุก

           หลุมดำนี้มันคืออะไรกันแน่ เราเห็นจะต้องรอไปสักปีสองปี
อาจจะรู้จักมันมากกว่าที่รู้อยู่แล้ว เพราะจากวิทยาการที่ก้าวหน้ามากขึ้น
เทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น ขณะนี้นักดาราศาสตร์สามารถที่จะส่งกล้องส่องดาว
หรือกล้องโทรทัศน์ออกไปเล็งดูกันได้นอกโลกแล้ว
โดยฝากไปกับบัลลูนที่ส่งขึ้นไปโคจรในอวกาศแล้วส่งภาพข้อมูลต่างๆ
กลับมาดูกันเพื่อตัดสินกันให้แน่ชัดว่าเจ้าจอมเขมือบนี้มันคืออะไรกันแน่


...ยังมีภาคต่อค่ะ...




นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เซิร์นคิดค้นเครื่องมือที่คนโพสนำมาลง
ก่อนหน้านี้ค่ะ...

อยู่ๆดวงดาราบนท้องฟ้าก็หายไป จนทำให้คนที่ส่องดาวอยู่ทุกวันใจหาย...
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่ามันหนีเราหรือว่าเราหนีมัน...
หรืออาจจะไม่มีใครหนีใคร เพียงแต่ว่าเรามองไม่เห็นซึ่งกันและกันก็เป็นได้...
หลุมดำคืออะไร มันกินดาวเป็นอาหารจริงๆหรือ...ช่างน่่าสงสัยเสียจริง ;D

แต่ที่รู้ๆอยู่อย่างหนึ่ง...ก็คือ...ดาราบนท้องฟ้าที่ว่าสวย ก็เหมือนจะไม่สวยเท่า
ดาราในทีวีที่มีแต่คนจับตามองทั้งกลางวันและกลางคืน  hehe
เพื่อติดตามความเป็นมาของดารา เอ๊ย ดาว...


...ฉันอยากถามไถ่ อยากรู้เมื่อมาเป็นดาว ท้อแท้บ้างรึเปล่า...บอกหน่อยได้มั้ย...

...เกิดมาเป็นดาว พร่างพราวนภา เหล่าดวงดาราเจ้าส่องประกาย...
...ผ่านวันพันปีไม่มีวันหน่าย...เหนื่อยมั้ย...ดาว...


 boulay:



วัสลามุอะลัยกุมค่ะ




"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาของโลก
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: ก.พ. 24, 2010, 07:13 PM »
0
 salam

ทิ้งไปนานสำหรับการนำเสนอในหัวข้อนี้
วันนี้นึกขึ้นมาได้ เพราะว่าผลงานของเพื่อนที่มีชื่อว่า supernova
เลยทำให้นึกถึงกระทู้หลุมดำขึ้นมาได้... hehe

งั้นขอนำภาพจำลองของหลุมดำและข้อมูลมานำเสนอ
ก่อนจะมาต่อให้จากกระทู้ก่อนหน้านี้ เพราะว่ามีอีกยาว
พร้อมทั้งบอกที่มาของข้อมูลด้วยค่ะ... ;D



ภาพจำลอง หลุมดำ - black hole โดย NASA(น่าสนใจมากๆ)


พี่น้องท่านใดยังคงติดตามอยู่ลองเข้าไปอ่านตามลิงก์ข้างบนไปพลางๆนะคะ

แล้วข้อเสริมเรื่องของ CERN ที่เคยนำมาเสนอไปบ้างแล้วก่อนหน้านี้
จากลิงก์ข้างล่่างนี้ด้วยค่ะ

v
v
v


 LHC ไขความลับจักรวาลหรือหายนะของมวลมนุษย์ 



และ แถมด้วยอีกลิงก์นึงค่ะ

v
v
v



 สุดยอด 7 หลุม!!! 



ปล.หลุมดำไม่น่ากลัวเท่าหลุมรัก  hehe
ตกลงไปนี่ กว่าจะปีนขึ้นมาได้ ก็อาจจะร่วงตกลงไปอีก
ระวังพวกหลุมทั้งหลายเอาไว้นะคะ โดยเฉพาะหลุมรัก
 :laugh: :laugh: :laugh:

ขอให้อ่านเรื่องหลุมดำอย่างสนุกนะคะ

ระวัง....ตกหลุม!!!!


วัสลามค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ AUZULODEEN

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 625
  • เพศ: ชาย
  • ทุกๆชีวิตต้องได้ลิ้มรสแห่งความตาย
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาของโลก
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: ก.พ. 25, 2010, 10:52 AM »
0
 salam
ตกหลุมรัก จนขาหัก เลยขึ้นไม่ได้
แท้จริงเราเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และเราจะต้องกลับคืนไปสู่พระองค์

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาของโลก
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: ก.พ. 25, 2010, 07:44 PM »
0
^
^

เคยเขียนนวนิยาย(ออนไลน์)เรื่องหลุมดำหลุมรักมาก่อนค่ะ
กะจะให้เป็นนวนิยายแนววิทยาศาสตร์...เข้มข้นด้วยวิชาการ
ผสมผสานกับบันเทิง ฮาๆ เพื่อไม่ให้เครียด
เลยต้องสมมติตัวละครขึ้นมาประกอบ
เขียนไปได้ไม่กี่ตอนเป็นอันต้องพับวางมือ...
ด้วยอะไรหลายๆอย่าง  :laugh:


เอาเป็นว่า...มาต่อกันในเรื่องของหลุมดำกันต่อนะคะ

ที่มาจาก


สิ่งที่เรียกว่า "หลุมดำ" หรือ "Black hole"




    ท่ามกลางที่ราบอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เปลวแดดที่ร้อนระอุ
ไปทั่วผืนทะเลทราย แผ่นดินที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงสีแดง
สิ่งก่อสร้างที่สูงใหญ่ตั้งสง่าสะดุดสายตาเมื่อได้พบเห็น
สิ่งนั้นคือ ปิรามิด (Pyramid) เป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น
เพื่อท้าทายกระแสลม แสงแดดที่แผดเผามาเป็นเวลานานหลายพันปี
เพื่อแสดงถึงอารยธรรม -โบราณของมนุษย์ ต่อสายตาชาวโลกยุคใหม่
ที่ยังคงฉงนสนเท่ห์ไม่น้อยเมื่อมาพบเห็น

ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ
ในอียิปต์มีอยู่ 70 แห่งด้วยกัน แต่ปิรามิด 3 แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า
คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และไมซีรีนัส
เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดสันนิษฐานว่าปิรามิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว
นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
และยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปี

ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันแห่งเมืองกีซ่านี้ ที่ใหญ่ที่สุด
คือปิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ เรียกว่า มหาปิรามิด
 ฐานของปิรามิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 5770,000 ตาราง 768 ฟุต
บริเวณฐานปิรามิด 4 ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต
หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว

ตัวมหาปิรามิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง
2,300,000 ก้อน หนักกว่า 6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน
บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตร

สันนิษฐานว่าผู้สร้างปิรามิดนี้ อาศัยดวงดาวเป็นหลัก
นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของปิรามิดแล้ว
การก่อสร้างให้สำเร็จยังน่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่า
ถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยู่ไกล
แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์
จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อสร้าง
ต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยกวางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุต

ใจกลางปิรามิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต
กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต  X บพระศพของพระเจ้าคีออพส์
ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องปิรามิดของพระเจ้าคีออพส์
ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และปิรามิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง
ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง


ปิรามิดแห่งที่สองของกีซ่าเป็น ปิรามิดคีเฟรน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ของมหาปิรามิด เล็กกว่ามหาปิรามิดเล็กน้อย คือสูง 460 ฟุต
ช่วงบนของปิรามิดนี้มีลักษณะเด่นเพราะเป็นหินปูนขาว

ปิรามิดไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งสามแห่ง
สูงแค่ 230 ฟุต นอกเหนือจากปิรามิดทั้งสามแล้วยังมี ตัวสฟิงซ์
ซึ่งมีชื่อเสียงมากเช่นกัน โดยแกะสลักหินก้อนใหญ่เป็นรูปสิงโต
หมอบอยู่แต่หน้าเป็นมนุษย์ใบหน้านี้เป็นใบหน้าของพระเจ้าคีเฟรน
ซึ่งมีคนนับถือเป็นพระเจ้าแห่งพระอาทิตย์ รูปสฟิงซ์นี้สูงถึง 66 ฟุต ยาว 240 ฟุต
หมอบเฝ้าปากทางที่พามุ่งตรงไปยังปิรามิดแห่งคีเฟรน

สิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลทรายใกล้แม่น้ำไนล์ก็คือ หมู่ปิรามิดแห่งอียิปต์

ปิรามิดสร้างโดยชาวอียิปต์โบราณมาเกือบ 5000 ปีมาแล้ว
นอกจากนั้นยังเป็นสิ่งก่อสร้างที่ เก่าแก่ที่สุดในบรรดา 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
สมัยโบราณด้วย และที่สำคัญก็คือเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน

ปิรามิดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์อียิปต์โบราณ
ชาวอียิปต์ในสมัยนั้นเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย
ดังนั้นจึงต้องแน่ใจว่ากษัตริย์ของพวกเขาจะทรงมีทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่จำเป็นสำหรับโลกหน้า พวกเขาได้ฝังทรัพย์สินและสิ่งของส่วนพระองค์
ไปพร้อมกัน สิ่งที่นักโบราณคดีค้นพบเป็นจำนวนมากในห้องเก็บสมบัติ
ของปิรามิด ได้แก่ เพชรพลอย อาหาร เครื่องเรือน เครื่องดนตรี
และอุปกรณ์ล่าสัตว์

ปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดและประทับใจที่สุดคือ ปิรามิดของกษัตริย์คีอ็อปส์ ที่กีซา
สร้างเสร็จเมื่อประมาณ 2580 ปีกอนคริสตกาล โดยมีผู้ก่อสร้างหลายพันคน
และใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 30 ปี ปิรามิดแห่งกีซานี้สูงประมาณ 137 เมตร
(449 ฟุต) ฐานแต่ละด้านยาว 230 เมตร(755 ฟุต)
ใช้หินในการก่อสร้างทั้งหมด 2 ล้านก้อน แต่ละก้อนหนักประมาณ 2300 กิโลกรัม
ใกล้กับปิรามิดใหญ่นี้มีปิรามิดเล็กๆอีก 3 องค์ซึ่งเป็นที่ฝังพระศพ
ของพระราชินีองค์สำคัญๆของกษัตริย์คีอ็อปส์

ชาวอียิปต์โบราณไม่ได้ใช้เครื่องจักรในการสร้างปิรามิด
มีแต่เพียงแรงงานมนุษย์กับเครื่องมือธรรมดาๆในการก่อสร้างเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น
ผู้ที่สร้างปิรามิดไม่ใช่พวกทาส แต่เป็นช่างฝีมือและชาวนา
ที่อยู่ว่างในระหว่างที่น้ำจากแม่น้ำไนล์ท่วมพื้นที่ทำการเกษตรของตน
แม้ว่าประชาชนนับพันๆคนที่มาช่วยสร้างปิรามิดจะทำงาน
เพื่อแลกกับอาหารและเสื้อผ้า แต่ทุกคนก็ต้องการมีส่วนร่วม
ในการสร้างที่ฝังพระศพของกษัตริย์ที่พวกเขานับถือเป็นเทพเจ้า

การสร้างปิรามิดนั้นเริ่มจากการหาสถานที่ที่เหมาะสม
และใช้ดวงดาวช่วยในการวางรากฐาน

ดังนั้นจึงพบว่าฐานทั้งสี่ด้านของปิรามิดที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสจะหันไปทางทิศเหนือ
ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก เมื่อวางรากฐานเรียบร้อยแล้ว
ก็จะเริ่มก่อปิรามิดเป็นชั้นๆสูงขึ้นไป โดยเริ่มต้นจากจุดศูนย์กลางออกไปด้านนอก

วัสดุที่ใช้สร้างปิรามิดคือหินที่สกัดมาจากภูเขาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำไนล์
การขนย้ายก็ทำด้วยความยากลำบากเพราะไม่มีเครื่องทุ่นแรง
หรือพาหนะอย่างใดเลย แต่ใช้เชือกและแรงงานคนลากมา
จนถึงบริเวณก่อสร้างในสมัยโบราณเมื่อหลายพันปีก่อน

ปิรามิดสร้างด้วยความยากลำบากจากหยาดเหงื่อแรงงานและกำลังใจของประชาชน
จึงทำให้ปิรามิดได้รับการจัดลำดับให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

ความน่าทึ่งของปิรามิด ทำให้คนเป็นจำนวนมากไม่เชื่อว่าสิ่งก่อสร้าง
รูปทรงเรขาคณิตที่มีขนาดใหญ่อย่างน่ามหัศจรรย์แห่งนี้
ถูกสร้างด้วยน้ำมือมนุษย์ เพราะหินแต่ละก้อนมีน้ำหนักมาก
จนเทคโนโลยีบัจจุบันยังยกไม่ขึ้น แต่หินเหล่านั้นกลับถูกยกขึ้นไปวางทับซ้อนกัน
อย่างเหมาะเจาะลงตัว อย่าง พิสดาร เกินกว่าจินตนาการของมนุษย์ยุคนี้
จะสามารถหาคำตอบมาตอบได้อย่างกระจ่าง

คำตอบต่างๆ ที่นักวิทยาศาตร์พยายามเสนอวิธีการก่อสร้างต่างๆ นั้น
เป็นเพียงแค่ ทฤษฎี เท่านั้น ยังไม่มีมนุษย์คนใดในยุคนี้
ที่คิดสร้างปิรามิดให้ยิ่งใหญ่เทียบเท่า มหาปิรามิดที่สร้างด้วยฝีมือคนโบราณ .....
และมันยังคงเป็นโจทย์ที่ต้องหาข้อสรุปต่อไปว่า

ใครเป็นผู้สร้างปิรามิดกันแน่....


เรื่องของปิรามิด จากมุมมองหนึ่งที่ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าใครเขียน
แต่อ่านแล้วอยากไปดูให้เห็นกับตา อีกทั้งเคยคุยเรื่องนี้กับอาจารย์
ที่สอนสถาปัตฯ ท่านก็พูดให้ฟังว่า มันอัศจรรย์เกินจินตนาการของเรา
ในยุคนี้จะคาดถึง ก็ได้แต่ตั้งทฤษฎีกันไปค่ะ ว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
เท็จจริงอย่างไร วัลลอฮุอะลัม ;D

พี่น้องท่านใดมีข้อมูล นำมาให้อ่านกันบ้างนะคะ ;D

เดี๋ยวมาต่อค่ะ...


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาของโลก
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: ก.พ. 25, 2010, 08:01 PM »
0


หลังจากที่องค์การอวกาศยุโรปส่งยานอวกาศที่มีชื่อว่ามาร์สเอกซ์เพรส
พร้อมกับยานลูก บีเกิล 2 ขึ้นสู่อวกาศ องค์การนาซาของสหรัฐฯ
ก็ส่งยานอวกาศ 2 ลำ ในภารกิจมาร์สเอกซ์พลอเรชันโรเวอร์
เดินทางออกจากโลกในวันที่ 10 มิถุนายน และ 7 กรกฎาคม ตามลำดับ

ยานอวกาศทั้ง 2 ลำของนาซานี้ถูกออกแบบให้ทำหน้าที่เสมือนนักธรณีวิทยา
ที่จะสำรวจดินและหินบนดาวอังคาร เพื่อนำไปสู่การศึกษาสภาวะอากาศในอดีต
ของดาวอังคาร เพื่อตอบคำถามขั้นพื้นฐานว่าดาวอังคารเคยมีสภาพอากาศ
ที่อบอุ่นเพียงพอที่น้ำจะสามารถคงอยู่ได้บนพื้นผิวนานพอที่สิ่งมีชีวิตแบบง่ายๆ
จะถือกำเนิดขึ้นได้หรือไม่

ยานมาร์สเอกซ์พลอเรชันโรเวอร์เอ (MER-A) หรือ สปิริต (Spirit)
มีกำหนดลงแตะพื้นผิวดาวอังคารในวันที่ 4 มกราคม เวลา 11.35 น.
ตามเวลาในไทย ขณะที่ยานมาร์สเอกซ์พลอเรชันโรเวอร์บี (MER-B)
หรือ ออปพอร์ทูนิตี (Opportunity) มีกำหนดลงแตะพื้นผิวดาวอังคาร
ในวันที่ 25 มกราคม เวลา 12.25 น

บริเวณที่ยานสปิริตลงจอดเป็นหลุมอุกกาบาตขนาด 150 กิโลเมตรชื่อว่า
หลุมกูซอฟ (Gusev)ที่อาจเคยเป็นทะเลสาบมาก่อน
ก่อตัวขึ้นจากการพุ่งชนของอุกกาบาตเมื่อประมาณ 3,000-4,000 ล้านปีที่แล้ว
มีช่องเปิดด้านหนึ่งของหลุมที่เชื่อว่าเป็นช่องทางพากระแสน้ำ
และน้ำแข็งเข้าสู่หลุม ส่วนบริเวณที่ยานออปพอร์ทู นิตีลงจอดมีชื่อว่า
เมอริดิอานีพลานัม (Meridiani Planum)
ที่ราบที่คาดว่าอาจเป็นบริเวณทับถมของแร่ธาตุที่ก่อตัวขึ้นในสภาวะ
ที่เต็มไปด้วยน้ำในอดีต

นาซาส่งยานอวกาศไปสำรวจดาวอังคารมานับตั้งแต่โครงการมาริเนอร์
ในกลางทศวรรษ 1960 และโครงการไวกิงในกลางทศวรรษ 1970
จากนั้นยานมาร์สพาทไฟน์เดอร์ของสหรัฐฯ ก็ลงแต่พื้นผิวดาวอังคาร
ในปี พ.ศ. 2540 ตามด้วยยานมาร์สโกลบัลเซอร์เวเยอร์
และยาน 2001 มาร์สโอดิสซีย์ไปถึงดาวอังคารในปี พ.ศ. 2542 และ 2544


สำหรับมาร์สเอกซ์พลอเรชันโรเวอร์ นาซาใช้ระบบการลงจอดแบบเดียวกับ
ที่ใช้ในยานมาร์สพาทไฟน์เดอร์ คือใช้ร่มชูชีพและถุงลมเพื่อชะลอความเร็วของยาน
ขณะลงสู่พื้นผิวดาวอังคารเพื่อหลีกเลี่ยงการพุ่งชน รถหกล้อทั้งสองคัน
จะลงในตำแหน่งที่ห่างไกลจากกัน และใช้เวลาราว 3 เดือนเพื่อเก็บตัวอย่างดิน
โดยเดินทางไปบนดาวอังคารด้วยพลังขับเคลื่อนจากแสงอาทิตย์

นอกจากนี้ยังมีกล้องถ่ายภาพที่สามารถถ่ายภาพสี
และอุปกรณ์สำหรับขุดดินบนดาวอังคาร

ข้อมูลจากรถสำรวจทั้งสองจะถูกส่งขึ้นไปในรูปของสัญญาณวิทยุ
ไปยังยานมาร์สโกลบัลเซอร์เวเยอร์และยานมาร์สโอดิสซีย์
ที่ทำหน้าที่เป็นดาวเทียมโคจรอยู่รอบดาวอังคารในขณะนี้
และส่งต่อมายังโลกเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์กำหนดเส้นทางเดินของรถสำรวจทั้งสอง
ในวันต่อๆ ไป คาดว่ารถ 2 คันนี้จะสำรวจพื้นที่รอบๆ จุดลงจอด
และออกเดินทางเป็นระยะทางราว 500 เมตรบนพื้นผิวดาวอังคารตลอดภารกิจ

ก่อนหน้านี้ เราได้ข้อมูลดาวอังคารเป็นจำนวนมากจากยานอวกาศสองลำ
ที่โคจรอยู่รอบดาวอังคาร ซึ่งได้เผยให้เห็นสภาพภูมิประเทศ
และองค์ประกอบบนพื้นผิวด้วยความละเอียดสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน
รวมทั้งแสดงให้เห็นหุบเขา ที่ราบสูงชัน ร่องธาร และร่องรอยต่างๆ
ที่ดูคล้ายภูมิประเทศบนโลก ภาพถ่ายความละเอียดสูงจากยานอวกาศสองลำ
ที่โคจรรอบดาวอังคารในขณะนี้ยังแสดงให้นักวิทยาศาสตร์เห็นว่า
หินบนดาวอังคารแบ่งเป็นชั้นๆ ซึ่งดูเหมือนเป็นชั้นของตะกอนที่ถูกกัดเซาะโดยน้ำ

หลายคนเชื่อว่าในอดีตดาวอังคารมีบรรยากาศที่หนาแน่นพอที่จะกักความร้อนไว้
และทำให้เกิดน้ำบนพื้นดิน หุบเขาขนาดใหญ่หลายแห่ง
และบริเวณที่ดูเหมือนถูกกัดเซาะนี้น่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว
นักดาราศาสตร์หวังว่ายานที่ส่งไปยังดาวอังคารทั้งหมด
จะช่วยให้เรามีข้อมูลที่ชัดเจนและเข้าใจสภาพทางภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา
การมีอยู่ของน้ำ และวิวัฒนาการบนดาวอังคารได้ดียิ่งขึ้น



ที่มาค่ะ



ปล.ข้อมูลดังกล่าว(บทความข้างต้น)มิใช่ข้อมูลปัจจุบันนะคะ
เป็นข้อมูลเมื่อหลายปีก่อน
กะจะโพสของเก่าแล้วค่อยๆอัพไปเรื่อยๆจนแตะปัจจุบัน อินชาอัลลอฮฺ...

ดังนั้น หากใครเจอข้อมูลใหม่ ก็นำมาลงพร้อมๆกันได้เลยนะคะ ;D



"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาของโลก
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: ก.พ. 25, 2010, 08:24 PM »
0

ต่อกันเรื่อง หลุมดำและสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ;D


เรือเดินทะเลที่หายสาบสูญไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น
ส่วนมากจะเกิดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า ทะเลซากัสโซ
และ สาเหตุที่ท้องมหาสมุทรแห่งนี้มีนามว่าทะเลซากัสโซ
ก็เพราะอาณาเขตบริเวณแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สาหร่ายทะเลชนิดหนึ่ง
ซึ่งมีชื่อว่า สาหร่ายซากัสซั่ม โดยสาหร่ายชนิดนี้เป็นอุปสรรค
ต่อการเดินเรืออย่างยิ่ง และเหตุการณ์ประหลาดลึกลับทางทะเลต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาล มักจะมีต้นตอมาจาก ทะเลซากัสโซเสียเป็นส่วนมาก

ชาวฟีนีเชียนโบราณที่เคยใช้เรือเดินทางผ่านท้องทะเลมหาภัยแห่งนี้
มาตั้งแต่หลายพันปีก่อน ได้บันทึกปรากฏการณ์ประหลาดต่าง ๆ
ไว้เป็นจำนวนมาก

ท้องทะเลซากัสโซ่ มีอาณาเขตบริเวณกว้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ของมหาสมุทรแอ๊ตแลนติค บริเวณแห่งนี้จะเต็มไปด้วยสาหร่ายทะเล
ลอยฟ่องเต็มไปหมด

เมื่อตอนที่โคลัมบัสแล่นเรือผ่านท้องทะเลแห่งนี้เป็นครั้งแรก
กลาสีเรือต่างตื่นเต้นที่คิดว่าเรือคงแล่นเข้าใกล้ฝั่งแห่งใดแห่งหนึ่งเข้าไปแล้ว
แต่แม้จะแล่นเรือต่อไปอีกนาน อาณาเขตของ สาหร่ายแห่งนี้ก็หาหมดลงไปไม่
อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ประจำของทะเลซากัสโซ คือ ภูเขาทะเล
โดย ภูเขาทะเลก็คือภูเขาที่อยู่ใต้พื้นน้ำ แต่มีส่วนยอดแบนราบโผล่ขึ้นมา
เหนือพื้นน้ำเล็กน้อย มองดูคล้ายเกาะ แต่ไม่มีพืชพันธ์ใดๆ
นอกจากตระใคร่น้ำเกาะอยู่เท่านั้น

ทะเลซากัสโซไม่เพียงแต่เป็นท้องทะเลที่เต็มไปด้วยสาหร่ายยากแก่การเดินเรือเท่านั้น
แต่กิตติศัพท์ในความน่าสะพรึงกลัวของมันได้ถูกกล่าวขานกันอยู่เสมอ
บ้างก็ให้เชื่อว่าเป็นทะเลแห่งความหายนะ หรือสุสานของเรือเดินสมุทรบ้าง
ก็ว่าเป็นที่สิงสถิตของภูติผีปีศาจทะเล หรือสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์

เรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกชาวเรือชอบนำมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับท้องทะเล
จำนวนนับไม่ถ้วนก็คือ เรือจะถูกยึดนิ่งสงบรวมอยู่ในใจกลางของทะเลซากัสโซ่
ตั้งแต่สมัยการการเดินทางโดยทะเลของพวกฟินีเชียน ไวกิ้ง โรมัน
หรือแม้แต่เรือต่าง ๆ ในสมัยกลางของยุโรป

พวกเหล่านี้เชื่อว่าเรือเหล่านี้ลอยกองรวมกันพร้อมด้วยสมบัติมหาศาล
ที่บรรทุกอยู่ เหตุที่ไม่จมเพราะมีสาหร่ายจำนวนหนาแน่นรองรับอยู่ข้างใต้


มนุษย์ผู้พบท้องทะเลแห่งนี้เป็นพวกแรกเข้าใจว่าจะต้องเป็นพวกฟินีเชียน
และพวกคาร์ธายิเนียนโบราณ ก็เพราะเป็นเวลา หลายพันปีแล้ว
ที่พวกนี้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอ๊ตแลนติคสู่อเมริกา
หลักฐานที่ปรากฏคือ รอยแกะสลักบนแผ่นหินของพวกฟินีเชียน
ที่พบอยู่ในประเทศบราซิลขณะนี้ และศิลาจารึกในสุสานฝังศพ
ของพวกคาร์ธายิเนียน เมื่อราว 500 ปี ก่อนคริศศักราชระบุว่า

เหนือท้องทะเลแห่งนี้มีแต่ความอ้างว้างเงียบเหงา คล้ายกับสุสานใหญ่
ที่มองจรดขอบฟ้าไปทุกด้าน ไม่มีแรงลม พอที่จะพัดพาเรือให้แล่นไปได้
ใต้พื้นน้ำเต็มไปด้วยสาหร่ายทะเลอย่างหนาทึบ
ซึ่งยึดเรือทั้งหลายให้หยุดนิ่งอย่างกับกำลังมหาศาลของหนวดปลาหมึกยักษ์

ท้องทะเลบางแห่งก็ตื้นเขินซึ่งเป็นที่อาศัยของสัตว์ประหลาดมหึมาหลายสิบชนิด
และบางครั้งมันก็ว่ายน้ำ เข้ามาทำลายเรือทั้งลำให้กลายเป็นผุยผงไปในพริบตา



ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา


สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติค
ภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนเหนือของเบอร์มิวดา
ไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดา และจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออก
ทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก
จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีก
ซึ่งทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยม
และอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิดปรากฏการณ์อันลี้ลับ
มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเรา ในปัจจุบันเป็นสิ่งลึกลับ
และเหลือเชื่อหากจะบอกท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่อง
และเรือเดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ
และพื้นทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้โดยไม่มีร่องรอย
ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไป
พร้อมกับพาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว
หรือเศษชิ้นส่วนใดๆของเรือ หรือเครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็นการหายสาบสูญ
ของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งๆ ที่ชาติต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า
ก็หาสาเหตุแห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน
แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้น
ในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่

เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ ส่วนมากก่อนที่จะหาย
การติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์ หรือสถานีปลายทางเป็นไปอย่างปกติ
และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบ และแจ่มใสดี
ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใดๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้น
ก็จะหายไปอย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย
ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าวทางวิทยุให้หน่วยควบคุมการบินทราบได้

แต่ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ
นักบินมีเวลาพอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติมายังฐานปฏิบัติการได้
ซึ่งทุกรายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่างๆ
ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุนปั่น
ไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง
และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้งๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส
และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ กลับปั่นป่วนขึ้นมา
โดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้

อุบัติการณ์ ลึกลับที่ไม่อาจให้คำอธิบายได้ เกี่ยวกับการสาบสูญของเรือเดินสมุทร
และ เครื่องบินเป็นจำนวนมาก ในดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
ก็ยังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้ขาด จนกระทั่งในปัจจุบัน

ทุกครั้งที่ได้รับรายงานการสูญหาย หน่วยยามฝั่งที่เจ็ด ของกองทัพเรือสหรัฐ
จะทำการค้นหาร่องรอยอย่างละเอียดละออ แต่ก็ประสบความล้มเหลว
ที่จะพบพยานหลักฐานซึ่งจะนำไปสู่การไขปัญหาลึกลับนี้ได้ทุกครั้ง
และในที่สุดกองทัพเรือสหรัฐก็ได้เก็บเรื่องเหล่านี้ไว้เป็นความลับ
ไม่ยอมเปิดเผยหรือให้คำวิจารณ์ใดๆ แก่ประชาชน ที่อยากรู้อยากเห็นว่า
อุบัติการณ์ ลึกลับเหล่านั้น เกี่ยวข้องกับความอาถรรพ์ของดินแดน
แห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาหรือไม่

แต่ทั้งๆ ที่กองทัพเรือสหรัฐพยายามจะปกปิด เรื่องราวเหล่านี้ไว้
ประชาชนทั่วไปก็เริ่มรู้ระแคะระคาย ต่างๆ และเชื่อว่า จะต้องมีแรงอาถรรพ์
หรือพลังอำนาจอันลึกลับ อย่างหนึ่งอย่างใด ภายในบริเวณ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
อย่างแน่นอน และยิ่งปรากฏว่าเมื่อเร็วๆนี้ได้มีข่าวรายงานว่ามีนักบิน
และนักเดินเรือบางคนได้รอดชีวิตมาจากปรากฏการณ์สยองขวัญ
ในดินแดนของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จึงทำให้ เกิดการฮือฮากันใหญ่ในขณะนี้


แต่อย่างไรก็ดีจวบจนกระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใดที่สามารถให้คำอธิบายแจ่มชัด
เกี่ยวแก่ความลึกลับ และความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้
และการสาบสูญ ก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป
โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยหลักการ


ในบางกรณี หากวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการหาบสาบสูญของเรือเดินสมุทร
และเครื่องบินในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา
จะพบว่าหาเป็นเรื่องประหลาดลึกลับแต่อย่างใดไม่
เพราะเครื่องบินแต่ละลำ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่สุดคณานับ
ของพื้นมหาสมุทรโลกแล้ว ก็เปรียบเสมือนฝุ่นละอองที่ล่องลอยอยู่ในห้องโถงใหญ่
น้ำในมหาสมุทรก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มีการเคลื่อนไหว
กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม มีอัตราความเร็วกว่าสี่ไมล์ต่อชั่วโมง

ในท้องทะเลนอกฝั่งบาฮามัสมีสิ่งแปลกประหลาดอยู่สิ่งหนึ่งที่นักประดาน้ำ
มักจะพบเห็นอยู่บ่อย ๆซึ่งพวกเขาเรียกว่า ปล่องน้ำเงิน
จะปรากฏอยู่ตามหุบผาใต้น้ำและแหล่งหินประการัง
มีลักษณะเป็นอุโมงค์หรือปล่องใต้ทะเล

โดยทั่วไปเป็นที่อยู่ของปลาที่ไม่ค่อยได้พบกันที่ผิวน้ำ
ปล่องเหล่านี้เชื่อว่า เกิดจากถ้ำหินประการังถูกกัดกร่อนด้วยกระแสน้ำใต้ทะเล
มาเป็นเวลานับหมื่นปี เคยมีนักประดาน้ำดำลงไป สำรวจปล่องต่างๆ นี้
พบว่าปล่องจำนวนมากต่างมีทางแยกออกไปในหลายทิศทาง
ทำให้ปลาที่ว่ายวนอยู่ในนั้นเกิดสับสนถึงกับว่ายเอาครีบท้องขึ้นสู่เบื้องบน
ยิ่งกว่านั้นยังพบว่ากระแสน้ำไหลเชี่ยวแรงเข้าสู่ส่วนลึก
คล้ายถูกดูดด้วยกำลังอันมหาศาลซึ่งเป็นอันตราย ต่อนักประดาน้ำมาก

และลักษณะการณ์เช่นนี้ทำให้น้ำบริเวณปากปล่องไหลวนเข้าไปภายใน
อย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการหมุนเป็นกรวยเหนือพื้นน้ำในลักษณะของวังน้ำวน
ซึ่งสามารถจะดึงดูดเรือเล็กพร้อมด้วยคนบนเรือ ลงสู่ก้นอย่างรวดเร็ว


อีกทฤษฏีหนึ่ง เป็นทฤษฏีเกี่ยวกับลมพายุทอนาโดซึ่งเกิดเป็นครั้งคราว
จะกวาดเรือและเครื่องบิน ให้จมลงสู่ก้นมหาสมุทรได้ไม่ยาก

พายุทอร์นาโดเป็นพายุหมุนปั่นเอาน้ำทะเลหมุนเป็นเกลียวสูงนับร้อยๆ ฟุต
กลางอากาศและหากมันเกิดตอนกลางคืน

เครื่องบินที่บินอยู่ระดับต่ำอาจถูกกระแทกตกลงสู่ทะเลได้
ก็เพราะนักบินไม่สามารถจะมองเห็นได้ในระยะไกล

ส่วนเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่จมหายนั้น เชื่อว่าอาจจะเกิดจากกระแสคลื่นมหึมา
ที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลก็ได้
เพราะคลื่นที่เกิดจากปรากฏการณ์เช่นนี้จะมีความสูงร่วมร้อยฟุตเลยที่เดียว

ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อเครื่องบินได้ คือ
การผันแปรของอากาศอย่างทันทีทันใด ที่เรียกกันว่า แค๊ท
(Cat - clear air turbulenec)

โดยทั่วไปแล้ว แค๊ท จะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจจะคาดคะเน
หรือทำการพยากรณ์ได้เช่นเดียวกับลักษณะภูมิอากาศ
โดยทั่วไปมันจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสภาวะอากาศ

สาเหตุของปรากฏการณ์นี้ยังไม่ทราบกันแน่ชัด
แต่เชื่อกันว่าหากมันเกิดขึ้นขณะที่กระแสลมพัดแรงและรวดเร็ว
จะทำให้เกิดสูญญากาศบริเวณนั้นทันที ซึ่งหากเครื่องบินได้บินเข้าสู่บริเวณของมัน
ก็อาจจะตกดิ่งสู่ทะเลได้ง่าย

แต่อย่างไรก็ดี การผันแปรวิปริตของบรรยากาศทันทีทันใดในลักษณะเช่นนี้นั้น
จะต้องไม่ใช่สาเหตุการหายสาบสูญ ของเครื่องบินทุกลำ
ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นแน่
เพราะปรากฏการณ์ แค๊ท จะไม่เป็นผลต่อการทำงานของเครื่องวัดต่างๆ
และระบบการติดต่อทางวิทยุบนเครื่องบิน
แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุ จะปรากฏว่าการติดต่อทางวิทยุได้เงียบหายไป

การแปรผันของสนามแม่เหล็กโลก ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินตก
ได้เช่นเดียวกัน เพราะมันจะทำให้เกิดการผิดพลาดในการทำงาน
ของเครื่องวัดระดับ และเข็มทิศประจำเครื่อง
ในกรณีเช่นนี้นักบินไม่มีความสามารถพอก็อาจจะนำเครื่องบินดิ่งลงสู่มหาสมุทรได้
ยิ่งกว่านั้นปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติอีกมากมายที่เราไม่อาจจะอธิบาย
หรือทราบสาเหตุของมันได้



ที่มาค่ะ

มีต่อค่ะ ;D






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ก.พ. 25, 2010, 08:27 PM โดย nada-yoru »
"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาของโลก
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: ก.พ. 25, 2010, 08:43 PM »
0

เห็นมีกระทู้ที่เกี่ยวข้องกันด้วยค่ะ
v
v
v


ดัจญาลกับพิศวง ?เบอร์มิวด้า?



"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาของโลก
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: ก.พ. 25, 2010, 08:59 PM »
0


นับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันได้มีการนำเรื่องนี้ไปเปิดประเด็นถกเถียงกัน
อยู่ตลอดเวลา ตลอดจนมีนิยาย หนังสือ รวมไปถึงภาพยนตร์
ที่มี ไทม์ แมชชีนเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่มากมายเลยครับ
มันเป็นความฝันสำหรับนักวิทยาศาตร์ และ ความอยากรู้อยากเห็น
ของบรรดาผู้อยากที่จะรู้อดีต ทำนายอนาคต
เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ที่ยังคงรอการพิสูจน์
และทำให้มันเป็นจริงขึ้นมานับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน …
กับ เครื่องจักรพิศวง ไทม์ แมชชีน

บรรดานักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ของโลกที่กำลังทุ่มเทการวิจัยเรื่องนี้กันอย่างหนัก
ก็เริ่มมีเค้าของความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นมากสำหรับเรื่อง ไทม์ แมชชีน
หรือการท่องเวลาออกมากันบ้างแล้ว
โดยบรรดานักวิจัยจากแคลิฟอร์เนียและกรุงมอสโควเค้าประกาศออกมาแล้วว่า
การท่องเวลา (Time Travel) นั้น มีความเป็นไปได้อยู่ทีเดียว !!
ซึ่งพวกเค้าได้สร้างห้องแล็ปที่เรียกว่า TARDIS ขึ้นมา
และเริ่มทดลองโดยนำพื้นฐานมาจากสมการของนักฟิสิกส์เอกของโลก
อัลเบิร์ท ไอนสไตน์ (Albert Einstein)

นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้กล่าวว่ามันอาจยากมากในการวิจัย
และทดลองให้มันเป็นจริงหรือใกล้ความจริง แต่ก็มีความเป็นไปได้มากทีเดียว

บางทีอาจจะดูเหมือนเป็นการฝืนกฎของธรรมชาติ ที่บัญญัติเอาไว้ว่า
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องดำเนินครรลองไปข้างหน้าเท่านั้น
ไม่มีสิทธิ์ที่จะกระทำตัวเหนือธรรมชาติอย่างนี้

แน่นอนว่าธรรมชาตินั้นมีสิทธิ์ขาดในการดูแลจัดสรรปันส่วนทุกอย่างบนโลกนี้
ได้อย่างลงตัวและถูกต้องมากที่สุดแล้ว

กระนั้นมนุษย์เราก็ยังอาจหาญที่จะฝืนธรรมชาติในกฎเกณฑ์หลายๆอย่าง
เช่น การตัดต่อพันธุกรรมซึ่งกระทำตนประดุจเป็นพระเจ้า
เริ่มจะสร้างเครื่องข้ามเวลาและการคิดค้นยาอายุวัฒนะ
ซึ่งเป็นกฎเหล็กของธรรมชาติที่มนุษย์เราไม่ควรฝ่าฝืน

การท่องเวลานั้นบางทีฟังดูเหมือนว่ามันจะเป็น สิ่งที่ขัดแย้งกันเอง (Paradoxes)
อยู่ในหลายๆด้าน คุณลองจินตนาการดูว่าวันหนึ่งเรานั้นสามารถที่จะประดิษฐ์
เครื่องไทม์ แมชชีนได้สำเร็จและเดินทางย้อนไปยังอดีต

และเกิดนึกสนุกขึ้นมาทำให้คุณพ่อคุณแม่ของเราไม่ได้พบกัน
และทำให้เราไม่ได้เกิดขึ้นมา และพอเรากลับมายังอนาคต
ซึ่งเราก็ยังเป็นตัวเราอยู่ ?? ดูแล้วมันออกจะแปลกๆ
ในเมื่อเราในอดีตไม่ได้เกิดมา แล้วตัวเราในอนาคตหรือในขณะนี้นั้นเป็นใคร ??
เป็นไปได้หรือไม่ว่า อาจจะมีอนาคตของหลายๆ มิติอนาคต
ซึ่งจะแยกย่อยออกไปตามเหตุการณ์ที่เจอหรือเกิดขึ้นตามแต่ละมิติเวลาในช่วงนั้น


จากความคิดตรงนี้ละครับที่ทำให้มันดูเหมือนว่า การย้อนเวลาขัดแย้งกันเอง
ด้วยกฎของธรรมชาติ อย่างที่ว่าไป ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่งก็คือ
อดีต เป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้ เราไม่สามารถทำอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้แล้ว
อาจจะคิดได้ในแง่ว่าช่วงเวลาของอดีตหรือของอนาคตที่มีนั้นมีอยู่เพียงมิติเดียว
แต่ถ้ามีอยู่หลายมิติเวลาล่ะก็เป็นอีกเรื่องนึง!!!

ส่วนที่กล่าวไปก็คือ กลุ่มที่มีข้อโต้เถียงเรื่องที่ว่าการท่องเวลานั้นเป็นไปไม่ได้นั่นเอง


สมการทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity) ของไอน์สไตน์นั้น
Roger Penrose นักวิทยาศาสตร์วิจัยจาก Oxford University
เคยได้เสนอทฤษฎีของเขาเรื่องที่ว่า

เมื่อมวลวัตถุถูกดูดเข้าไปนั้นจะไปอยู่ยังใจกลางของหลุมดำด้วยแรงดึงดูด
ซึ่งตรงนั้นเรียกว่า Singularity และ เจ้ามวลวัตถุชิ้นนั้นก็จะถูกบดขยี้เป็นโจ๊กเละไป
เป็นทฤษฎีที่มีมา 30 ปีแล้ว แต่ในปี 1960 นักคณิตศาสตร์ชาวนิวซีแลนด์
Roy Kerr ได้พบว่าหลุมดำนั้นมีอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา
เขาพบว่าช่วงที่เราเรียกว่า Singularity นั้นมีการขยับหรือขยายตัวเป็นวงแหวน

ตรงนี้และครับที่ Roy คิดว่าถ้าสามารถที่จะผ่านรูตรง Singularity และออกมาได้
ก็อาจจะไปโผล่เอาที่หรือเวลาอื่นได้ เขาตั้งทฤษฎีนี้ว่า Roy Solution
แต่กว่าจะเป็นที่ยอมรับให้ความสนใจและศึกษากันต่อก็มาเอาในอีก 10 ปี ให้หลัง
ในปี 1970 นั่นเอง


หลังจากที่ค้นพบว่า มีหลุมดำอยู่ในแกแล็คซี่ทางช้างเผือกของเรา
และในใจกลางของแกแล็คซี่อื่นๆ อีก ทำให้เริ่มมีการสนใจ ศึกษาและค้นคว้า
กันอย่างจริงจังเพิ่มมากขึ้น


ต่อมาในปี 1980 Rip Thorne หัวหน้าของ CalTech ซึ่งเป็นกลุ่มที่เชี่ยวชาญ
เรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพของโลกได้ทำการพิสูจน์
และได้บทสรุปว่า ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์เรื่องท่องเวลาน่ะ
ไม่น่าจะเป็นจริงได้ แต่ถ้ามีเทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่พอจะสามารถจับ
หรือควบคุมหลุมดำเอาไว้แล้วศึกษาให้ดีก็ไม่เหมือนกัน
ซึ่งตรงจุดนี้ก็ไปตรงกับข้อสันนิษฐานของทฤษฎี Kerr Solution

และอีกข้อสันนิษฐานอีกข้อหนึ่งของ Kerr Solution ก็กล่าวว่า
บางทีหลุมดำอาจจะไม่ได้มีเพียงชนิดเดียว หรือก็คืออาจจะมีหลุมดำ
ที่เป็นประตูอยู่ หรือที่เรียกประตูนี้ว่า หลุมหนอน (Wormhole)

เจ้าหลุมดำชนิดนี้ที่ว่ามันเป็นประตูสู่กาลเวลา
เป็นตัวเชื่อมระหว่างหลุมดำในมิติหรือจักรวาลอื่น
หรือที่เรียกได้ว่าเป็น Multiverse โดยใช้หลักการที่เรียกว่าการ Warp
ซึ่งต่อมาภายหลังจากหนัง Sci-Fi เราจะเห็นลักษณะของการ Warp
เป็นไปในรูปของการเดินทางข้ามจักรวาลอย่างเร็วแบบเข้าสู่ Hyper Space
ซึ่งก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ผ่านกาลเวลา


อย่างที่ทราบกันละครับว่าเรื่องของเวลาและเกี่ยวกับการท่องเวลานั้น
เริ่มต้นมาจากความรู้ในด้านสาขาวิทยาศาสตร์
หรือถ้าจะเจาะจงลงลึกไปมากกว่านั้นก็คือสาขาฟิสิกส์นั่นเอง

โดยริเริ่มมาจาก อัลเบิร์ท ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์เอกของโลก
และต่อมาก็ได้มีผู้สืบสานงานต่อจากเขาอีกมากมาย
แตกแขนงออกมาเป็นอีกหลายทฤษฎี

มีทั้งผู้ที่เชื่อว่าด้วยกฎฟิสิกส์นั้นเป็นไปได้กับการสร้าง ไทม์ แมชชีนขึ้นมา
แต่ ณ เวลานี้ยังทำไม่ได้ และ พวกที่เชื่อว่าไม่น่าทำได้
สรุปก็คือมีเชื่อกับไม่เชื่อนั่นเอง


ดังที่กล่าวมาแล้วว่ามีสิ่งที่จะช่วยสนับสนุนทฤษฎีการท่องเวลาให้เป็นจริงได้
ก็คือ หลุมหนอน (Wormhole) หรือ คือจุดเชี่อมระหว่างมิตินั่นเอง
ว่ากันว่าโดยข้อสันนิษฐานของทฤษฎี Kerr Solution ได้กล่าวเอาไว้ว่า
เจ้าหลุมหนอนเนี่ยก็เป็นหลุมดำชนิดหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากหลุมดำอื่นๆ
ซึ่งจะดูดกลืนทุกสรรพสิ่งเข้าไปในตัว ด้วยแรงดึงดูดที่มหาศาล
จนแม้กระทั่งแสงก็ไม่อาจหนีจากมันได้ จากนั้นก็จะโดนบดขยี้แหลกเหลว
ด้วยแรงกดอันมหาศาล แต่ว่าเจ้าหลุมดำหรือหลุมหนอนของนาย Kerr เนี่ย
มันไม่ได้ดูดกลืนอย่างเดียว แต่มันจะพ่นสิ่งที่ดูดกลืน จากฟากหนึ่งของตัวมันมา
ออกยังอีกจุดหนึ่งด้วย หรือทำหน้าที่คล้ายๆปากนั่นเอง


ได้มีการสันนิษฐานกันว่า มันน่าจะเป็นประตูเชื่อมกันระหว่างจักรวาลกับจักรวาล
เวลากับเวลาและมิติกับมิติ ซึ่งตรงกลางภายในรอยต่อเชื่อมนี้
หรือโพรงนี้อาจจะมีการบิดเบี้ยวของบรรยากาศเกิดซึ่งเกิดจากบางสิ่ง
หรือก็คือ Singularity ที่ได้กล่าวไปนั่นเอง

ซึ่งตรงนี้เองอาจจะทำให้เกิดรอยต่อของมิติขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของทางออก
และอาจทำให้เกิดการ วาร์ป (Warp) ผ่านจักรวาล และเวลาได้

แต่หลุมดำไหนล่ะที่จะเป็นประตูมิติเวลา
และ หลุมดำไหนล่ะที่จะเป็นสุสานของจักรวาล ??


คำถามนี้ก็ต้องรอคำตอบกันไปก่อน ส่วนถ้าคิดต่อไปอีก
ก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่า แล้วเราจะควบคุมหลุมหรือช่วงเวลา
หรือการบิดเบี้ยวของช่องมิติได้ยังไง ??
หรือจะให้ไปโผล่ยังจุดที่ต้องการได้ยังไงล่ะ ??
คำตอบน่ะเหรอครับ ก็คงต้องรอกันไปก่อน




ที่มาค่ะ ^^''



"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาของโลก
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: ก.พ. 25, 2010, 09:09 PM »
0

หลังจากอ่่านเรื่องราววิทยาศาสตร์ที่กำลังเป็นปริศนาอยู่จากนักวิชาการทั่วไปแล้ว
เราลองมาอ่านเรื่องราววิทยาศาสตร์จากนักวิชาการมุสลิมเราดู
จากกระทู้นี้นะคะ ;D



อัลกุรอานกับวิทยาศาสตร์



 loveit:


วัสลามค่ะ


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ AUZULODEEN

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 625
  • เพศ: ชาย
  • ทุกๆชีวิตต้องได้ลิ้มรสแห่งความตาย
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: ปริศนาของโลก
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: มี.ค. 08, 2010, 11:19 AM »
0
 salam
 myGreat: สุดยอด เขียนได้งัย
แท้จริงเราเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และเราจะต้องกลับคืนไปสู่พระองค์

 

GoogleTagged