ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี  (อ่าน 12335 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« เมื่อ: ธ.ค. 15, 2009, 09:26 PM »
0

 salam

ผมไปค้นเจอหนังสือเล่มเก่าเล่มหนึ่ง ประมาณ ๑๐ ปีแล้ว หน้าปกเขียนว่า

أيام النبي مع ازواجه
เมื่อพระศาสดาเป็นสามี


ปกในให้ชื่อว่า "วันเวลาของพระศาสดา ศ้อลฯ กับ มารดาแห่งศรัทธาชน"

เป็นเรื่องราวของท่านนบียฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กับ บรรดาภรรยาของท่าน

หนังสือเริ่มต้นดังนี้

เมื่อท่านศาสดาเป็นสามี
โดย...การีม วันแอเลาะ

   
ท่านไม่เคยแสดงตนต่อภรรยา ในฐานะการเป็นศาสดาให้เป็นที่ต้องสะพรึงกลัวในศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิแต่ด้วยความมีเสน่ห์และเอื้ออาทรทำให้ภรรยาทุกคนลืมไปว่า
สามีของนางคือ ศาสดาแห่งพระผู้อภิบาล นางทุกคนจึงอยู่ร่วมกับสามีของพวกนางอย่างมีความสุข

ผมจึงขออนุญาตนำเสนอเรื่องราวในหนังสือดังกล่าว เป็นตอน ๆ แต่ละตอนคือเรื่องของภรรยาแต่ละคน อินชาอัลลอฮฺ จะพยายามนำเสนอสัปดาห์ละคน

โปรดคอยติดตาม วัสสลาม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 15, 2009, 09:27 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธ.ค. 15, 2009, 09:35 PM »
0
   salam

ตอนที่ 1

ท่านร่อซูลุลลอฮฺ
การสมรสกับนางค่อดีญะฮ์ บินติ คุวัยลิด

     อุมัร บิน อะซัด ผู้ซึ่งเป็นลุงของค่อดีญะฮ์ บินติคุวัยลิด แสดงความพอใจด้วยการกล่าวว่า“ไม่มีใครดีกว่าเขาอีกแล้ว” ด้วยเสียงอันหนักแน่น
 ดังกึกก้องไปทั่วสภาแห่งนั้น
    แล้วอัล-อับบาส บิน อับดุลมุตตอลิบ ได้ขอบคุณอุมัร ที่ได้แสดงความยินดี และได้กล่าวเสริมว่า “เขาเป็นคนดี อย่าได้ตอบปฏิเสธ”
    ที่สุด ณ ที่นั่น ได้เกิดข้อตกลงระหว่างบนี ฮาเซ็ม โดยมีอับบาสลุงของท่านศาสดา เป็นผู้แทน และตระกูลของค่อดีญะฮ์ มีอุมัร บิน อะซัด ลุง
ของนางเป็นผู้แทน
    ข่าวการตกลงดังกล่าวได้แพร่สะพัดออกไปทั่วมุมเมืองมักกะฮ์ ถึงกับชาวกุเรชบางกลุ่มที่ตกข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถูกป้อนคำถามว่า “พวกท่าน
ไม่ได้รับข่าวนี้กันดอกหรือ ?”
    พวกเขากล่าวว่า เป็นไปได้ยังไง ? มูฮัมมัดลูกอับดุลลอฮ์เด็กเลี้ยงแกะคนนั้นจะได้แต่งงานกับค่อดีญะฮ์
   ซึ่งได้รับการตอบกลับว่า มูฮัมมัดเป็นลูกของอับดุลมุตตอลิบ เขาเป็นคนดี มีชาวกุเรชคนไหนหรือที่คู่ควรกับค่อดีญะฮ์มากกว่าลูกของอับดุล
มุตตอลิบ มีชาวกุเรชคนไหนหรือที่เหมือนมูฮัมมัด
   เมื่อการสมรสอันยิ่งใหญ่นี้ผ่านไป มูฮัมมัดก็สนใจการแสวงหาความวิเวกอยู่ในถ้ำหิรอ บนยอดเขานูร ในขณะที่ค่อดีญะฮ์ก็ทำหน้าที่ดูแลความ
เรียบร้อยอยู่ทางบ้าน ทั้งสองอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
   ในวันหนึ่งเมื่อมูฮัมมัดกลับจากถ้ำหิรอ มูฮัมมัดเกิดตกใจและกลัวจนตัวสั่นและเสียงสั่นพลางบอกต่อค่อดีญะฮฺว่า
   เมื่อฉันออกไปที่ภูเขาแห่งนั้น ฉันได้ยินเสียงจากเบื้องบนสั่งการมาว่า โอ้มูฮัมมัด ท่านคือศาสนทูตของอัลลอฮฺ ข้าฯคือญิบรีล ฉันหยุดนิ่งจ้อง
ดู โดยไม่ก้าวไปข้างหน้ารือถอยหลัง หลังจากนั้น ญิบรีลได้จากฉันไป แล้วฉันก็รีบกลับมานี่แหละ โอ้แม่ของลูกอับดุลลอฮ์
   ค่อดีญะฮ์กล่าวตอบว่า โอ้บิดาของกอเซ็ม ฉันได้ให้ผู้แทนของฉันตามหาท่านทั่วมักกะห์ พลางแสดงใบหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความปิติและ
ภาคภูมิ และกล่าวว่า สบายใจเถิดและจงตั้งสติเถิด ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของค่อดีญะฮ์อยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ท่านคือนะบีแห่งประชากรนี้

   หลังจากนั้น ค่อดีญะฮ์ ได้ไปพบกับวะรอเกาะฮ์ บุตร เนาฟัล(ลูกของลุงค่อดีญะฮ์)ซึ่งเป็นผู้รู้ชาวนะซอรอ มีความรู้ ความเข้าใจในคัมภีร์ต่าง ๆ
 ในอดีต และได้เล่าเรื่องที่มูฮัมมัดสามีของนางพบให้วะรอเกาะฮ์ฟัง
   วะรอเกาะฮ์ได้เงยศีรษะขึ้น และกล่าวตอบด้วยเสียงอันหนักแน่นว่า กุดดูส กุดดูส ขอสาบานด้วยผู้ที่วะรอเกาะฮฺอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์
ว่า หากท่านเชื่อมั่น โอ้ค่อดีญะฮ์ มูฮัมมัดได้พบกับญิบรีล ผู้ซึ่งมูซาเคยพบ เขาจะต้องเป็นนะบีแห่งประชากรนี้ จงไปบอกมูฮัมมัดให้ตั้งสติไว้
   แล้ววะฮีก็ค่อย ๆ ทยอยมาให้มูฮัมมัด เพื่อปฏิวัติสังคมโลกในยุคนั้น มูฮัมมัดต้องผจญกับการปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยการถูกต่อต้าน

   ชายชราคนหนึ่งมีอาชีพขายผ้าและน้ำหอม มีผู้คนห้อมล้อมฟังเขาเล่าถึงค่อดีญะฮ์ คือคนแรกที่เข้ารับอิสลาม
   เขาคือ อะฟีฟ อัล-กินดีย์ เขาเล่าว่า ในสมัยญาฮิลียะฮ์ ฉันได้เดินทางไปมักกะฮ์เพื่อเสนอขายผ้าและน้ำหอมลี้ยงชีพ ฉันได้พักอยู่ที่บ้าน
ของอัล-อับบาส บิน อับดุลมุตตอลิบ ฉันทอดสายตามองไปยังกะบะฮ์ ทันใดนั้น ฉันเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งมองขึ้นบนฟากฟ้า แล้วก็ยืนหันหน้าไปทาง
กิบลัต หลังจากนั้นมีเด็กชายคนหนึ่งมายืนเคียงข้างด้านขวาของชายหนุ่มคนนั้น และอีกไม่นานต่อมาก็มีหญิงคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างหลัง
   ชายหนุ่มก้มรูกั๊วะ เด็กคนนั้นก็ก้มรูกั๊วะตามแล้วหญิงคนนั้นก็รูกั๊วะตามด้วยแล้วทั้งสามเงยศีรษะจากรูกั๊วะ แล้วก็ได้เห็นทั้งสามก้มลงกราบ
   ฉันได้หันไปมอง อัล-อับบาส บุตร อับดุลมุตตอลิบที่นั่งอยู่ข้าง ๆ และฉันได้พูดกับอัล-อับบาสว่า โอ้ อับบาส ฉันได้เห็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่
   อับบาสกล่าวถามว่า เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ พลางกล่าวต่อว่า ท่านรู้ไหม ชายหนุ่มผู้นั้นคือใคร?
   ฉันตอบว่า ไม่รู้
   อับบาสกล่าวว่า เขาคือมูฮัมมัด บุตร อับดุลลอฮ์ บุตรอับดุลมุตตอลิบ(ลูกของพี่ชายฉันเอง) แล้วท่านรู้ไหมว่า เด็กน้อยคนนั้นคือใคร?
   ฉันตอบว่า ไม่รู้
   อับบาสกล่าวว่า เขาคืออะลีย์ บุตร อะบีตอลิบ(ลูกของพี่ชายฉันเอง) และท่านรู้ไหมว่า ผู้หญิงคนนั้น คือใคร ?
   ฉันตอบว่า ไม่รู้
   อับบาสกล่าวว่า นางคือ ค่อดีญะฮ์ บินติ คุวัยลิด ภรรยาของหลานขายฉันนั่นแหละ หลานชายฉันคนนี้ ได้รับการแต่งตั้งจากพระเป็นเจ้าให้
ประกาศและเผยแพร่ศาสนาของหระองค์
   ฉันตอบว่า วัลลอฮฺ ฉันไม่รู้ ฉันไม่เคยรู้จกศาสนานี้จากใครมาก่อน นอกจากรู้เดี๋ยวนี้ ฉันอยากเป็นผู้ร่วมอยู่ในศาสนานี้เป็นคนที่สี่
   ท่านอับบาสเองก็ตั้งใจไว้เช่นนั้น และท่านก็ได้เข้ารับนับถืออิสลาม ท่านได้ให้ความคุ้มครอง ช่วยเหลือผู้เป็นหลานอยู่เคียงข้างทั้งในยามสุข
และยามทุกข์
   ค่อดีญะฮ์ได้รับเกียรติสูงส่งจากอัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ ถึงกับญิบรีลเคยนำสลามจากอัลลอฮ์มาให้แก่นาง
   มีรายงานว่า ญิบรีลมาพบท่านนะบี และได้บอกกับท่านนะบีว่า จงบอกค่อดีญะฮ์ด้วยว่า ผู้อภิบาลบอกให้ฉันนำสลามมาให้
   เคาะดีญะฮ์ตอบสลามด้วยคำว่า อัลลอฮุซซาลาม วะมินฮุซซาลาม วะอะลาญิบรีลิซซาลาม
   พระเป็นเจ้าได้แจ้งให้มูฮัมมัดรู้ว่า นางจะได้อยู่บ้านที่ทำจากมุกในสรวงสวรรค์ นางจะไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยและเป็นกังวลใด ๆ อีกต่อไปและมี
รายงานจากอะลีย์เล่าว่า ท่านร่อซูล ศ้อลฯ กล่าวว่า
   หญิงที่ดีที่สุด คือ มัรยัม และหญิงที่ดีที่สุด คือค่อดีญะฮ์
   (แล้วผู้รายงานได้ชี้ขึ้นไปบนฟากฟ้าและชี้ลงมาที่แผ่นดิน)
   รายงานโดยชัยคอน
   ค่อดีญะฮ์มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข และนางจากไปอย่างมีความสุข ถึงกับท่านศาสดาได้กล่าวหลังจากนางได้จากไปแล้วว่า
   ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า อัลลอฮ์จะไม่ทดแทนให้ดีกว่าค่อดีญะฮ์ เพราะนางเชื่อและมีอีหม่านต่อฉัน ในขณะที่มนุษย์ทั้งหมดเขาไม่เชื่อ เขา
ต่อต้านฉัน นางยอมรับฉันในขณะที่คนอื่นปฏิเสธ นางได้ช่วยเหลือฉันด้วยชีวิต ด้วยทรัพย์สิน ในขณะที่ผู้คนปล้นและจะปลิดชีวิตฉัน และนางได้มีลูก
กับฉันในขณะที่คนอื่นไม่มีลูกกับฉัน
   นางไม่ทันได้อยู่เห็นความสมบูรณ์แห่งอัล-อิสลาม
[/color]


เมื่อพระศาสดาเป็นสามี  โดย การีม วันแอเลาะ สำนักพิมพ์ ส.วงศ์เสงี่ยม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 01, 2010, 03:11 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ กอ-กล้วย

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 353
  • kuru cook
  • Respect: +3
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธ.ค. 15, 2009, 09:47 PM »
0
 salam

ญาซากัลลอฮฺคะ ขออัลลอฮฺทรงตอบแทน

อิงชาอัลลอฮฺคะจะติดตามอ่านจนจบคะ  loveit:

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ธ.ค. 15, 2009, 10:18 PM »
0

 salam

ญะซากัลลอฮุคอยรอนค่ะ
ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนแช

รอติดตามค่ะ...

 loveit: loveit: loveit:

วัสลามค่ะ


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธ.ค. 15, 2009, 10:37 PM »
0
ต่างยังไงกับ เมื่อสามีเป็นพระศาสดา
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ธ.ค. 19, 2009, 05:51 AM »
0
 salam

เอาตอนที่ 2 มาต่อให้ครับ

 
ท่านร่อซูลุลลอฮ์
การสมรสกับเซาดะฮ์ บินติ อะบีซำอะฮ์

เมื่อค่อดีญะฮ์กลับสู่พระเมตตาของอัลลอฮ์ ภารกิจแห่งการเป็นศาสดายังอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤต ท่านศาสดาต้องดูแลตัวเอง ดูแลงานอัน

เป็นภารกิจที่อัลลอฮ์มอบหมาย กอร์ปกับธิดาทุกคนของท่าน ต่างแต่งงานมีลูกมีเต้าแล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีคนช่วยแบ่งเบาภาระ

ในกิจการต่าง ๆ
 
   เซาดะฮ์ บินติ อะบีซำอะฮ์ ร่อดิยั้ลฯ ซึ่งเคยเป็นภรรยาของลูกของลุง(ลูกพี่ลูกน้อง)ของท่านนะบี ศ้อลฯ อัซซักรอน บินอัมร์ บิน อับดุซัมซ์

 นางเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของ อะมิซียะฮ์ กุเรซียะฮ์

   นางฮิจเราะฮ์ไปหะบะซะฮ์กับสามีของนางพร้อม ๆ กับบรรดาผู้ฮิจเราะฮ์อีกจำนวนหนึ่ง การฮิจเราะฮ์ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สอง เป็นการฮิจเราะฮ์

เพื่อหนีไปให้พ้นจากการทารุณกรรมของชาวกุเรซ

   สามีของนางเสียชีวิตที่หะบะซะฮ์ ซึ่งถือเป็นการทดลอง(บะลา)อันยิ่งใหญ่ที่ประสบกับนาง นางหมดที่พึ่ง ครั้นจะกลับไปอยู่กับครอบครัว (พ่อ

แม่ ญาติพี่น้อง) ที่มักกะฮ์หลังจากสามีเสียชีวิต แน่นอน นางต้องถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ซึ่งอาจถึงกับถูกฆ่าตายก็ได้ นางประสบกับฟิตนะฮ์อัน

ยิ่งใหญ่

   รู้ถึงท่านร่อซู้ล ศ็อลฯ โดยเฉพาะศรัทธาของนางที่มีต่อ อัล-อิสลาม ท่านได้ส่งคนไปสู่ขอ

   ท่านอิบนุ ซ๊ะดิน ได้เล่าเรื่องการแต่งงานของท่านร่อซู้ล ศ้อลฯ กับนางไว้ว่า

   ที่มักกะฮ์ เมื่อพ้นอิดดะฮ์ จากการเสียชีวิตของสามี เคาละฮ์ บินติหะกีม บินอักศอ อัซซิลมียะฮ์ ภรรยาอุษมาน บิน มัซอูน ได้ไปพบท่านร่อซู

ลุลลอฮ์ ศ้อลฯ นางได้กล่าวว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ้อลฯ ดูเหมือนฉันเห็นท่านขาดอะไรบางอย่างในเมื่ออุมมุลมุมินีน ค่อดีญะฮ์ ได้กลับคืนสู่ความ

เมตตาของอัลลอฮ์

   ท่านศาสดากล่าวตอบด้วยอาการเศร้า ๆ ว่า “ค่อดีญะฮ์” ใช่แล้ว นางเป็นแม่ของลูก นางเป็นผู้ดูแลครอบครัว

   เคาละฮ์ ได้กล่าวขึ้นว่า ฉันจะสู่ขอให้ท่าน ? ท่านกล่าวว่า พวกเธอ (พวกเธอหมายถึงผู้หญิงทุกคน) ย่อมรู้ดีถึงความเหมาะสม

   แล้วเคาละฮ์ก็ไปขอเซาดะฮ์ซึ่งได้รับคำตอบจากนางว่า ชีวิตของฉัน ฉันขอพลีแด่ท่านร่อซูลุลลอฮ์

   ท่านร่อซู้ล ศ้อลฯ ได้ใช้ให้นางมอบอำนาจให้ชายคนหนึ่งในตระกูลของนางเป็นผู้แต่ง ซึ่งนางได้มอบให้ฮาติบ บิน อัมร บิน อับดุซัมซ์ บิน

 อับดิวุดดิน เป็นผู้แต่ง

   ช่วงนั้นเป็นเดือนรอมดอน ปีที่สิบ นับจากปีที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นร่อซู้ล ศ้อลฯ

   นางอยู่ร่วมกับศาสดาที่มักกะฮ์ และได้ฮิจเราะฮ์ไปมะดีนะฮ์ นางพยายามที่จะทำทุกอย่างให้เหมือนค่อดีญะฮ์ ช่วยผ่อนเบา ช่วยปลอบ

ประโลม และ ฯลฯ

   พระนางอาอิซะฮ์เคยพูดถึงนางว่า เซาดะฮ์เป็นคนอ้วน และได้กล่าวว่า ในปีฮัจญะตุ้ลวะดะฮ์นั้น เซาดะฮ์ได้ขออนุญาตท่านศาสดาละหมาด

รวมที่มินา นางเป็นคนต้วมเตี้ยม

   ท่านนะบี ศ้อลฯ แต่งงานกับเซาดะฮ์ มิใช่สาเหตุเพราะอารมณ์และมิใช่เพราะสาเหตุใด ๆ จากดุนยา แต่ได้แต่งงานกับนางเพื่อให้เกียรติแก่ผู้

ที่มีขันติธรรม (อดทน)

   นางกลัวท่านรอซูล ศ้อลฯ จะทอดทิ้งนาง เนื่องจากนางก็อายุมากแล้วด้วย นางจึงได้พูดว่า

   ฉันมิได้แต่งงานกับท่านศาสดา ศ้อลฯ เพื่อเหตุผลอื่นใด นอกจากฉันอยากให้อัลลอฮ์ได้ให้ฉันฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮ์โดยที่ฉันเป็นภรรยา

ของท่านศาสดา ศ้อลฯ เท่านั้น

   นางได้บอกท่านศาสดา ศ้อลฯว่า โอ้รอซูลุลลอฮ์ วันของฉัน ฉันมอบให้อาอีซะฮ์

   ท่านศาสดาได้รับคำอนุญาตจากนาง และในการนี้ พระคัมภีร์อัล-กุรอานได้ประทานลงมาว่า

   “และหากมีหญิงคนใดกลัวว่า สามีของนางจะกดขี่หรือเมินเฉย”      อันนิซาอ์ 128

   เซาดะฮ์ ร่อดิยั้ลฯ ใช้ชีวิตตามแนวทางแห่งซุนนะฮ์ นางใช้ชีวิตในการเป็นมุสลีมะฮ์ที่สมบูรณ์ที่สุด หลังจากท่านรอซูล ศ้อลฯ ได้กลับคืนสู่

ความเมตตาของอัลลอฮ์ และเนื่องจากนางได้ประกอบพิธีฮัจย์ในปีอำลาพร้อมท่านร่อซูล ศ้อลฯ นางจึงไม่ได้กระทำฮัจย์หลังจากนั้นอีกเลย อีกทั้ง

นางก็ไม่ออกไปจากบ้าน นางเรียนรู้ความหมายของพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอาน

   “และพวกนางอยู่แต่ในบ้านของนาง”

   นางเล่าว่า นางเคยทำฮัจย์และอุมเราะฮ์แล้ว นางจึงขออยู่กับบ้านดังที่พระเป็นเจ้าได้เคยบัญชาไว้

   และเมื่อมีผู้ใดมาชวนนางไปทำฮัจย์ นางจะกล่าวตอบว่า ฉันจะไม่ทำฮัจย์หลังจากได้ทำฮัจย์อำลาแล้วโดยเด็ดขาด


เมื่อพระศาสดาเป็นสามี  โดย การีม วันแอเลาะ สำนักพิมพ์ ส.วงศ์เสงี่ยม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 01, 2010, 03:12 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ธ.ค. 25, 2009, 12:30 AM »
0
 salam

หะดีษที่เกี่ยวข้อง

عَنْ عَائِشَةَ رَضِيَ اللهُ عَنْهَا قَالَتْ : مَارَاَيْتُ امْرَاَةً اَحَبُّ اِلَيَّ اَنْ اَكُوْنَ فِيْ
 مِسْلاَ خِهَا مِنْ سَوْدَةَ لَمَّاكَبِرَتْ قَالَتْ يَارَسُوْلَ اللهِ قَدْجَعَاْتُ يَوْمِيْ مِنْكَ
لْعَائِشَةَ فَكَانَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقْسِمُ لِعَائِشَةَ يَوْمَيْنِ يَوْمَهَا
 وَيَوْمَ سَوْدَةَ

“จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นผู้หญิงคนใดที่ข้าพเจ้ารักที่สุดที่จะดำเนินตามแบบฉบับของหล่อนยิ่งกว่าเสาดะฮฺ

เมื่อเสาดะฮฺเข้าสู่วัยชรา เธอได้กล่าวว่า โอ้เราะสูลุลลอฮฺ ข้าพเจ้ายกวันเวรของข้าพเจ้าที่จะได้จากท่านให้แก่อาอิชะฮฺ และได้ปรากฏว่า

ท่านเราะสูลุลลอฮฺได้แบ่งวันเวรให้แก่อาอิชะฮฺ 2 วัน คือวันของตัวนางเองกับวันของเสาดะฮฺ"         บันทึกโดย บุคอรี,มุสลิม


ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ธ.ค. 25, 2009, 12:40 AM »
0
 salam

ต่อตอนที่ 3

ท่านร่อซูลุลลอฮ์
การสมรสกับนางอาอิซะฮ์ ร่อดิยั้ลฯ
[/size]

    อะบูบักรเป็นผู้ที่ท่านนะบี ศ้อลฯ รักใคร่มากที่สุด และเมื่ออะบูตอลิบผู้เป็นลุงของท่าน และค่อดีญะฮ์ผู้เป็นภรรยาของท่าน
ซึ่งทั้งสองเปรียบประดุจเสาหลักของท่านได้กลับคืนสู่ความเมตตาอันแนบสนิทของอัลลอฮ์ ซุบห์
ท่านนะบี ศ้อลฯได้ผูกสัมพันธ์ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับอะบูบักรด้วยการที่พระเป็นเจ้าให้แต่งงานกับอาอิซะฮ์ ธิดาสาวของอะบูบักร

    ท่านนะบี ศ้อลฯ ได้อพยพ(ฮิจเราะฮ์)ไปยังมะดีนะฮ์โดยมีอะบูบักรเป็นเพื่อนร่วมทาง

    บรรดานักประวัติศาสตร์กล่าวว่า อะบูบักรเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะสูงที่สุดในหมู่ชาวกุเรซ ท่านเป็นพ่อค้าที่มีคุณธรรมเป็นเลิศ

   ท่านผู้นี้คือ บิดาของอาอิซะฮ์ ส่วนมารดาของเธอ คือ อุมมุรุมาน บินตุอุมัยร์ บิน อามิร จากเผ่าอัล-ฮาริษ บิน ฆอนัม บิน กะอับ เป็นผู้เข้ารับ
นับถืออิสลามเป็นท่านแรก ก่อนที่นางจะแต่งงานกับอะบูบักร นางเคยเป็นภรรยาของอับดุลลอฮ์ บิน อับดุลอะซัด มีลูกด้วยกันหนึ่งคน เมื่อสามีของ
นางถึงแก่กรรม นางได้แต่งงานกับอะบูบักร มีลูกด้วยกันสองคน คือ อับดุลเราะห์มาน และอาอิซะฮ์

   นางฮิจเราะฮ์ไปมะดีนะฮ์ ภายหลังจากอิสลามได้ไปตั้งรัฐที่มะดีนะฮ์แล้ว และนางได้เสียชีวิตก่อนอะบูบักร

   ท่านร่อซูล ศ้อลฯ เคยพูดกับนางเสมอ ๆ ว่า จงดูแลอาอิซะฮ์ให้ดี

   และทุกครั้งที่เห็นอาอิซะฮ์โกรธท่านจะต้องพูดกับอุมมุรุมาน มารดาของอาอิซะฮ์ว่า โอ้ อุมมุรุมาน ฉันไม่เคยบอกกับท่านให้เลี้ยงดูอาอิซะฮ์
ดี ๆ ดอกหรือ ?

   ท่านนะบีศ้อลฯ ทรงคิดที่จะแต่งงานกับอาอิซะฮ์เมื่อเคาละฮ์ บินติ หะกีม อัล-อัสลามีย์ได้กล่าวกับท่านว่า ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับ
อาอิซะฮ์ ท่านร่อซูลแสดงความพอใจ เคาละฮ์จึงได้ไปสู่ขออาอิซะฮ์กับแม่ของเธอ อุมมุรุมาน

   เคาละฮ์กล่าวว่า อันใดหนอที่อัลลอฮ์ได้ประทานความดีและความเป็นสิริมงคลให้แก่ครอบครัวของท่าน

   อุมมุรุมานถามว่า ท่านหมายถึงอะไร

   เคาละฮ์ตอบว่า ร่อซูล ศ็อลฯส่งฉันมาสู่ขออาอิซะฮ์

   อุมมุรุมมานกล่าวว่า ฉันคิดว่า ต้องถามอะบูบักรดูก่อน

   เมื่ออะบูบักรมา เคาละฮ์ได้พูดกับอะบูบักรเหมือนกับที่พูดกับอุมมุรุมาน

   อะบูบักรถามกลับไปว่า อาอิซะฮ์มีความเหมาะสมกับท่านศาสดา หรือ ? อาอิซะฮ์เป็นลูกสาวของพี่ชายศาสดา

   เคาละฮ์จึงกลับไปหาท่านศาสดา แล้วได้บอกกับท่านศาสดาถึงคำกล่าวของอะบูบักรที่ว่า นางเป็นลูกสาวของพี่ชายท่านศาสดา ท่านศาสดา
ได้ใช้ให้เคาละฮ์กลับไปหาอะบูบักรอีกครั้ง โดยให้ไปบอกว่า ท่านเป็นพี่น้องของฉันในทางศาสนา และฉันก็เป็นพี่น้องของท่าน ลูกสาวของท่าน
คู่ควรกับฉันมาก

   อะบูบักรใช้ความคิดอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็ตอบตกลง ทั้งนี้หลังจากที่ได้ไปที่บ้านของ มัตอัม บิน อุตัย ผู้ซึ่งเคยขออาอิซะฮ์ให้กับลูก
ชายของเขาชื่อญะฟัร ตั้งแต่ก่อนอิสลาม โดยเมื่ออะบูบักรไปถึง พวกเขาต้อนรับอะบูบักรอย่างเมิน ๆ เนื่องจากการเป็นอิสลามของอะบูบักร แต่พวก
เขายังอยู่ในสภาพกุฟร

   พวกเขาพูดขึ้นว่า โอ้ บุตรของอะบีย์ กุฮาฟะฮ์ การที่เราจะแต่งงานอาอิซะฮ์ลูกสาวของท่านกับลูกของเราต้องเข้าไปอยู่ในศาสนาของท่าน
ด้วยหรือ ?

   อะบูบักรมิได้ตอบอะไร ได้รีบลากลับด้วยความดีใจที่ความผูกพันซึ่งเคยมีต่อกันได้รับการคลี่คลายแล้ว จึงได้ตอบตกลงกับท่านศาสดา

   อาอิซะฮ์ได้เล่าว่า การแต่งงานได้เกิดขึ้นที่บ้านของฉันโดยมีผู้ร่วมพิธีชาวอันศอรทั้งหญิงและชาย แม่ของฉันได้นำฉันจากชิงช้าที่ฉันเล่นอยู่
แม่ได้อุ้มฉันลงมาจากชิงช้าแล้วแม่ได้หวีผมให้ฉันแล้วเอาน้ำลูบหน้าฉัน แล้วได้จูงฉันไปที่ประตู พอถึงประตูใจคอฉันหาย

   แล้วก็ได้เปิดประตูให้ฉันเข้าไปปรากฏว่าพบท่านศาสดาท่านนั่งอยู่บนเตียงในบ้านของฉัน แม่ได้อุ้มฉันวางลงบนตักท่านศาสดา พลางกล่าว
ว่า “ขออัลลอฮ์ได้โปรดประทานบ่ารอกัตให้แก่ลูกและให้แก่ท่าน”

   ในการแต่งงานของฉันไม่ได้เชือดแพะหรือแกะ(ในขณะนั้น ฉันมีอายุเก้าขวบ) แล้วสะอีด บิน อุบาดะฮ์ได้ส่งกะละมังหนึ่งมาให้ท่านศาสดา
(คงเป็นผลไม้หรืออาหาร)

   ผู้คนได้พูดถึงอาอิซะฮ์ในวันนั้นว่า เธอเป็นคนร่างเล็ก ผอม ดวงตาโต ผมหยิก ใบหน้าสว่าง นวลแดง

   แล้วในที่สุด อาอิซะฮ์เป็นภรรยาที่หึงท่านศาสดามากที่สุด ดังเช่น วันที่ท่านศาสดาแต่งกับ อัสมาอ์ บินตินัวะมาน อัล-กิบตียะฮ์ อาอิซะฮ์เห็น
 เนื่องจากอัสมาอ์เป็นคนสวย อาอิซะฮ์จึงกลัวว่าจะครองใจศาสดา อาอิซะฮ์จึงได้เรียกฮัฟเซาะฮ์ บินติ อุมัรและภรรยาอีกบางคนของท่านศาสดามา
 แล้วอาอิซะฮ์ได้พูดขึ้นว่า

   “ท่านศาสดาแต่งงานกับคนแปลกหน้า กลัวเหลือเกินว่าท่านจะลืมพวกเรา”

   อาอิซะฮ์ผู้ซึ่งเคยมีแต่ใบหน้าที่ยิ้มแย้ม หัวเราะเก่ง ก็กลับกลายเป็นคนเงียบ เมื่อท่านร่อซูล ศ้อลฯ เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ท่านจึงได้ขอ
พรจากพระเจ้าว่า

   ความว่า “โอ้ผู้อภิบาล ได้โปรดอย่าให้พวกนางมีความหึงหวงฉันเลย เพราะหึงหวงของพวกนางนั้น ยิ่งใหญ่เหลือเกิน”

   อาอิซะฮ์ได้ขอเปลี่ยนที่นอนกับฮัฟเซาะฮ์ในการสงครามครั้งหนี่ง เพื่อจะดูว่าท่านร่อซูลทำอย่างไรกับฮัฟเซาะฮ์เมื่อพบกับฮัฟเซาะฮ์ และเมื่อ
ท่านร่อซูลเข้าไปยังที่นอนของฮัฟเซาะฮ์ท่านถึงกับหัวเราะ เมื่อรู้ถึงความหึงของอาอิซะฮ์

   อาอิซะฮ์อยู่กับท่านร่อซูล ศ้อลฯ จนท่านจากไปสู่อ้อมกอดของพระเจ้า ในสภาพที่ศีรษะของท่านหนุนอยู่บนตักของนาง

   นางกล่าวว่า ท่านร่อซูล ศ้อลฯ เสียชีวิตบนตักของฉัน แล้วฉันได้วางศีรษะของท่านบนหมอน ซึ่งผู้คนต่างมองหน้าฉันด้วยน้ำตาอาบแก้ม
 เนื่องจากความซาบซี้งในรักที่ศาสดามีต่อฉัน



ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เป็นภรรยาของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมคนเดียวที่เป็นสาวบริสุทธิ์ เป็นเศาะหาบียะฮฺที่รายงานหะดีษมากมาย เป็นผู้ที่ถูกกลุ่ม ชีอะฮฺ โจมตีมากที่สุดคนหนึ่ง

ใครมีข้อมูลเกี่ยวกับท่านหญิงอาอิชะฮฺขอเชิญร่วมนำเสนอ

วัสสลาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 01, 2010, 03:13 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ธ.ค. 26, 2009, 12:38 AM »
0


salam


   นางได้บอกท่านศาสดา ศ้อลฯว่า โอ้รอซูลุลลอฮ์
วันของฉัน ฉันมอบให้อาอีซะฮ์

   ท่านศาสดาได้รับคำอนุญาตจากนาง
และในการนี้ พระคัมภีร์อัล-กุรอานได้ประทานลงมาว่า

   “และหากมีหญิงคนใดกลัวว่า สามีของนางจะกดขี่หรือเมินเฉย”      อันนิซาอ์ 128

   


วะอะลัยกุมมุสลามค่ะ

ญะซากัลลอฮุคอยรอนผู้นำเสนอค่ะ

วอนแชมัดหรือผู้รู้ช่วยอธิบายอายะฮฺข้างต้นให้หน่อยได้มั้ยคะ...
คือว่าข้าน้อยนั้นไม่เข้าใจน่ะค่ะ...  natural:

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ


 loveit:


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ม.ค. 01, 2010, 04:05 PM »
0
 salam

ท่านศาสดามีภรรยาเพียงคนเดียวคือ ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ นับตั้งแต่ท่านแต่งงานเมื่ออายุ 25 ปี จนกระทั่งท่านหญิงเคาะดีญะฮฺเสียชีวิต เมื่อท่านศาสดาอายุ 53 ปี

เมื่อท่านหญิงเคาะดีญะฮฺเสียชีวิตไปในที่สุด ท่านก็แต่งงานกับท่านหญิงเซาดะฮฺ บุตรีของซัมอะฮฺ ภรรยาหม้ายของสักรอน อิบนุ อัมร์ อิบนุ อับดิชชัมส์ ไม่เคยมีใคร

บรรยายถึงท่านหญิงเซาดะฮฺว่าเป็นสตรีที่สวยงามเลยและไม่เคยมีใครว่านางมีความมั่งคั่งหรือมีสถานภาพทางสังคมซึ่งอาจเป็นเหตุผลทางวัตถุให้ชายใดมาแต่งงานกับนาง

แต่เซาดะฮฺเคยเป็นภรรยาของชายที่เปลี่ยนมารับนับถืออิสลามในระยะต้น ๆ ได้รับทุกข์ทรมานมามากเพราะความศรัทธาของเขาและได้อพยพไปอบิสสิเนีย

ตามคำสั่งของท่านศาสดาเพื่อความปลอดภัย เซาดะฮฺนั้นมารับอิสลามพร้อมกับสามีของนางและได้อพยพไปกับเขาด้วย นางได้รับความทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับสามีของนาง

และทนการกดขี่ของชาวมักกะฮฺอย่างอดทนเหมือนที่สามีของนางทำมา ถ้าหากว่าศาสดมุฮัมมัดแต่งงานกับนางหลังจากนั้นก็เป็นไปเพื่อจะเลี้ยงดูนางและยกสถานะของนาง

ขึ้นเป็น"มารดาแห่งผู้มีศรัทธา" ท่านก็ได้ทำสิ่งที่มีค่าที่สุดและน่านิยมที่สุดแล้ว1

ท่านหญิงเซาดะฮฺ เป็นหญิงสูงอายุที่ไม่ได้มีการตอบสนองทางเพศแล้ว การแต่งงานกับท่านศาสนทูต เพราะท่านศาสนทูตมีความประสงค์จะยกฐานะของนางให้เป็น

อุมมุลมุมินีน นางจึงปฏิบัติตามบัญญัติของอัลกุรฺอานสูเราะฮฺ อันนิสาอุ์ อายะฮฺที่ 128 ที่ว่า


"และหากหญิงใด เกรงว่าจะมีการปึ่งชา หรือมีการผินหลังให้ จากสามีของนางแล้วก็ไม่มีบาปใด ๆ แก่ทั้งสองที่จะตกลงประนีประนอมกันอย่างใดอย่างหนึ่ง

และการประนีประนอมนั้นเป็นสิ่งดีกว่า และจิตใจคนนั้นถูกให้มีความตระหนี่มาด้วย และหากพวกเจ้ากระทำดี และมีความยำเกรงแล้ว

แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงรู้อย่างถี่ถ้วนในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน"

ข้อบัญญัตินี้เป็นคำสั่งสำหรับภรรยาที่เป็นหมันหรือไร้สมรรถภาพหรือหมดสิ่งดึงดูดใจหรือไม่อยู่ในสภาพที่จะมีความสัมพันธ์อย่างสามีภรรยาแล้ว

ที่จะทำการตกลงกับสามียกสิทธิของตนให้ภรรยาอื่น เพื่อที่สามีจะไม่ถูกข้อหา ขาดความยุติธรรม เพราะถ้าไม่ยกสิทธิให้ภรรยาอื่น สามีมาอยู่ร่วม

ด้วยก็ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ฉันทน์สามี-ภรรยาได้ อาจเป็นสาเหตุให้สามีห่างเหินหรือหย่าขาดจากนางได้

นั่นคือ การยอมยกสิทธิบางอย่างของตัวเองให้กับภรรยาอื่นและได้อยู่ในฐานะภรรยา ย่อมดีกว่าที่จะถูกหย่าขาด2

ท่านหญิงเซาดะฮฺ เป็นผู้ที่มีความรู้สำนึกดี ท่านจึงได้ปฏิบัติตามข้อบัญญัติดังกล่าว


1. ดู "ศาสดามุฮัมมัด มหาบุรุษแห่งอิสลาม" ภาค 1หุซัยน. ฮัยกัล เขียน กิตติมา อมรทัต อุน หมั่นทวี จรัญ มะลูลีม แปลและเรียบเรียง
  ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 ธันวาคม 2527 หน้า 294

2. ดู "ตัฟฮีมุลกุรอาน" ความหมายคัมภีร์อัลกุรอาน เล่ม 1 อรรถาธิบายโดย เมาลานา ซัยยิด อบุล อลา เมาดูดี แปลโดย บรรจง บินกาซัน
  ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ธันวาคม 2539 หน้า 394

วัสสลาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 01, 2010, 07:01 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: ม.ค. 01, 2010, 07:37 PM »
0
 salam

ตอนที่ 4
 
ท่านร่อซูลุลลอฮ์
การสมรสกับอุมมุ้ลมุอ์มินีน ฮัฟเซาะฮ์ บินติ อุมัร

ท่านรอซูล ศ้อลฯ ได้กล่าวกับอุมัร บิน อัลค๊อตต๊อบว่า “ฮัฟเซาะฮ์จะได้แต่งงานกับคนที่ดีกว่าอุสมาน และอุษมานจะได้แต่งงาน

กับคนที่ดีกว่าฮัฟเซาะฮ์”

    ท่านรอซูล ศ้อลฯ ได้กล่าวประโยคข้างต้น เพื่อเป็นการปลอบใจอุมัร บิน อัลค๊อตต๊อบที่มาหาท่านในสภาพที่บูดบึ้งเสียอารมณ์

   อุมัร ได้มาพบท่านศาสดา ศ้อลฯ ในสภาพที่ใบหน้าหมองคล้ำ เมื่อท่านได้ถามอุมัรถึงอาการที่พบ ว่า เพราะอะไรจึงมีใบหน้าที่
หม่นหมอง เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ ความโศกเช่นนี้

   อุมัรได้ตอบท่านศาสดาว่า ฉันขอปรารภกับท่านถึงการที่อะบูบักร และอุษมานได้สร้างความเจ็บแค้นให้แก่ฉัน

   อะไรคือเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างซอฮาบะฮ์ทั้งสองของท่านณ่อซูลุลลอฮ์ ศ้อลฯ และซอฮาบะฮ์ทั้งสองของอุมัร ร่อดิยั้ลฯ

   เรื่องมีอยู่ว่า เมื่ออุมัรได้ไปเสนอฮัฟเซาะฮ์ผู้เป็นลูกสาวที่เป็นหม้ายจากสามีชื่อคุนัยส์ บิน หุซัยฟะฮ์ อัซซะฮ์มีย์ ซึ่งนางยังเด็ก
 
ให้แต่งงานกับอะบูบักร

   กลับไม่ได้รับคำตอบอะไรจากอะบูบักร กล่าวคือ อะบูบักรนิ่ง และไม่ยอมพูดอะไรเลย

   อุมัรจึงได้ไปหาอุษมาน เพื่อเสนอฮัฟเซาะฮ์ให้ เช่นเดียวกับที่ได้เสนอให้แก่อะบูบักร อุษมานตอบว่า ช่วงนี้ฉันยังไม่อยากแต่งงาน

 นี่แหละคือเหตุที่อุมัรได้ไปหาท่านศาสดา ศ้อลฯ ด้วยใบหน้าที่หมองคล้ำ

   ท่านศาสดา ศ้อลฯจึงได้ปลอบด้วยการกล่าวว่า “ฮัฟเซาะฮ์จะได้แต่งงานกับคนที่ดีกว่าอุษมาน และอุษมานก็จะได้แต่งงานกับคน

ที่ดีกว่าฮัฟเซาะฮ์”
   อุมัรปลื้มใจกับประโยคคำพูดดังกล่าวของท่านนะบี ศ้อลฯมาก ถึงกลับมีใบหน้าที่แจ่มใสขึ้นมาทันที

   อุมัรได้รีบไปหาอะบูบักรและอุษมานทันที เพื่อที่จะได้เล่าให้ฟังถึงคำพูดประโยคแห่งความปลื้มใจดังกล่าว

   อะบูบักรได้พูดกับอุมัรว่า จริง ๆ แล้วไม่มีสิ่งใดทำให้ฉันต้องปฏิเสธสิ่งที่ท่านเสนอ นอกจากฉันรู้ดีว่าท่านร่อซูล ศ้อลฯ เคยพูดถึง

 ฉันไม่กล้าหรอกที่จะนำความลับของท่านร่อซูล ศ้อลฯ มาบอกให้ท่านรู้ในวันนั้น ซึ่งขอยืนยันว่า หากร่อซูลุลลอฮ์ท่านปฏิเสธ ฉันยินดี

แต่งงานกับนางแน่นอน

   ส่วนอุษมาน เนื่องจากยังอยู่ในช่วงโศกเศร้ากับการจากไปของภรรยา คือ รู่กอยยะฮ์ ธิดาของท่านร่อซูล ศ้อลฯ

   แล้วในที่สุด อุษมานก็แต่งงานกับอุมมุกะลาโซม ธิดาของท่านร่อซูล ศ้อลฯ อีกคนหนึ่ง และท่านร่อซูลส็อลฯก็เข้าสู่พิธีสมรส

กับฮัฟเซาะฮ์เพื่อเป็นการผูกมัดให้กระชับยิ่งขึ้นซึ่งมิตรภาพกับอุมัร ซึ่งคือนักรบผู้เก่งกล้าแห่งอิสลาม ผู้เป็นฟารูก(ผู้จำแนกระหว่าง

คุณธรรมและอธรรม)

   ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ได้เล่าถึงการเป็นอิสลามแก่อุมัรว่า “ญิบรีลได้มาหาฉันในตอนที่อุมัรเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามและกล่าวว่ามวล

มะลาอิกะฮ์ต่างดีใจในการเป็นมุสลิมของอุมัรและอุมัร คือ ประทีปแห่งชาวสวรรค์

   ฮัฟเซาะฮ์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งในครอบครัวของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ฮัฟเซาะฮ์เป็นผู้ที่บวชและตื่นขึ้นละหมาดในยามค่ำคืนเป็นประจำ

   นางบวชทั้งปี ตื่นขึ้นทำอิบาดะฮ์ทุกคืน

   นางเสียชีวิตในสมัยการปกครองของมัรวาน บิน อัล-หิกัม ในเดือนซ๊ะบาน ปีที่ 45 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช

   ขอพระองค์ได้ทรงริดอให้แก่มารดาแห่งศรัทธาชน ฮัฟเซาะฮ์
[/color]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 06, 2010, 09:15 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: ม.ค. 01, 2010, 11:11 PM »
0

 salam

ญะซากัลลอฮุคอยรอนค่ะแช...

 loveit: loveit: loveit:

วัสลามุอะลัยกุมค่ะ

"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

little cat

  • บุคคลทั่วไป
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: ม.ค. 01, 2010, 11:52 PM »
0
วาอาลัยกุมมุสลาม

 loveit:

ออฟไลน์ คนเดินดิน

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 1620
  • ขอให้ได้รับความโปรดปรานจากพระผู้ทรงเมตตาด้วยเถิด
  • Respect: +17
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: ม.ค. 02, 2010, 10:48 PM »
0

 ฮัฟเซาะฮ์เป็นผู้ที่บวชและตื่นขึ้นละหมาดในยามค่ำคืนเป็นประจำ

   นางบวชทั้งปี ตื่นขึ้นทำอิบาดะฮ์ทุกคืน


มาชาอัลลอฮ์

เพราะรู้ดีว่าเป็นเพียงหนึ่งคนที่อ่อนแอ  จึงทำให้คำนึงถึงคุณค่าของหนึ่งชีวิต  โปรดชี้แนะแนวทางที่เที่ยงตรงด้วยเถิด  ยาร็อบบี  سَلَّمْنَا مُسْلِمِيْنَ وَمُسْلِمَاتٍ فِي الدُّنْيَا وَ الأخِرَةِ

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: ม.ค. 06, 2010, 09:20 PM »
0
 salam

ตอนที่ 5

ท่านร่อซูลุลลอฮ์
การสมรสกับอุมมุ้ลมะซากีน รอดิยั้ลฯ


     อุบัยดะฮ์ บินอัล-ฮาริษ บินอับดุลมุตตอลิบ เสียชีวิตในสงครามบัดร ซึ่งเป็นเหตุให้ซัยนับ บินติคุซัยมะฮ์ภรรยาของเขาต้องเป็นหม้าย นาง

ได้รับความเสียใจในการจากไปของสามีมาก

     อุบัยดะฮ์เป็นลูกของลุงท่านศาสดา ศ้อลฯ เขาได้รับซุฮาดาอ์ (เสียชีวิตในสงคราม) บัดร

     ท่านศาสดา ศ้อลฯ ทรงให้เกียรตินางด้วยการสมรสกับนาง ในฐานะที่สามีของนางพลีชีพเพื่ออิสลามในสมรภูมิดังกล่าว

     นางคือทูตแห่งความรัก สายทานแห่งเราะห์มัต เป็นผู้ที่มีความเอ็นดูต่อทุกคนมาก นางได้รับฉายานามว่า “มารดาแห่งผู้ยากจน” เนื่องจาก

นางเป็นผู้ที่มีความรักต่อคนยากคนจนมาก

     นางเข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัวของศาสดาหลังจากฮัฟเซาะฮ์ไม่นาน และนางก็อยู่ร่วมกับครอบครัวแห่งศาสดาเพียงไม่กี่เดือน

     บรรดาภรรยาของท่านศาสดาต่างไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า นางคือสมาชิกในครอบครัวของศาสดา นางเสียชีวิตในเดือนร่อบีอุ้ลเอาวัล ปีที่สี่แห่ง

ฮิจเราะฮ์ศักราช

     ศพของนางฝังอยู่ที่สุสานอัล-บะเกียะอฺ เคียงข้างภรรยาคนอื่น ๆ ของท่านศาสดา


วัสสลาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 06, 2010, 09:22 PM โดย Bangmud »

 

GoogleTagged