ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี  (อ่าน 12361 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

little cat

  • บุคคลทั่วไป
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: ม.ค. 07, 2010, 04:58 PM »
0
 salam

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: ม.ค. 10, 2010, 06:41 AM »
0
 salam

ตอนที่ 6 ตอนนี้เป็นเรื่องราวของท่านหญิงฮินดุน (อุมมุสะลามะฮฺ เราะฏิยัลลอฮุอันฮา) หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงประวัติของนางยาวกว่าท่านอื่น

จึงขอนำเสนอเป็น 3 ช่วง

ตอนที่ 6 ช่วงที่ 1


ท่านร่อซูลุลลอฮ์
การสมรสกับนางอุมมุสะลามะฮ์ ร่อดิยั้ลฯ


   ไม่มีใครต้องประหลาดใจ ที่นางอุมมุสะลามะฮ์มีวุฒิภาวะที่สมบูรณ์ที่สุด และก็ไม่มีใครต้องประหลาดใจ หากรู้ว่านางอุมมุสะลามะฮ์มิวิทยปัญญาอันเฉียบคม

   นางมีความคิดและสติปัญญาเหนือสตรีทั้งมวล ไม่มีใครต้องแปลกใจอะไรทั้งสิ้น เพราะนางเป็นธิดาสาวของบุรุษผู้ซึ่งเป็นคนใจบุญสุนทานที่สุดในหมู่ชาวอาหรับ

   บุรุษผู้นี้หากเดินทางไปไหนและกับผู้ร่วมเดินทางจะสักกี่คนก็ตาม เขาจะเตรียมเสบียงไว้พร้อมสำหรับผู้ร่วมเดินทางทุกคน เป็นที่รู้กันว่า หากมีเขาร่วมเดินทางด้วย

 ทุกคนไม่จำเป็นจะต้องตระเตรียมอะไรเลย แม้อาหารการกิน ตลอดการเดินทางทั้งไปและกลับ เขาก็เตรียมพร้อมไว้สำหรับทุกมื้อและทุกคน จนเรียกขานนามบุรุษผู้นี้กันว่า

 “ซาตุ๊รร๊อกบิ” คือ เสบียงของผู้เดินทาง
    ฮินดุน บินติ อุมัยยะฮ์ บิน อัล-มุฆีเราะฮ์ อัล-กุรอซียะฮ์ หรืออุมมุสะลามะฮ์ นางเป็นสตรีที่สวย เพียบพร้อมไปด้วยสติปัญญา และสมบูรณ์โดยวุฒิภาวะ

และหากจะถามถึงการอพยพ(ฮิจเราะฮ์) ทั้งสองครั้งก็จะพบว่านางอยู่ในเหตุการณ์ทั้งสองครั้งด้วย

   และหากท่านจะถามถึงสมรภูมิอุฮุดหรือแม้แต่สนธิสัญญาหุดัยบียะฮ์ บันทึกเหตุการณ์กล่าวถึงแต่คุณงามความดีของนาง

   ผู้รายงานกล่าวกันว่า นางเป็นผู้ที่มีขันติธรรม มีสติปัญญาเฉียบแหลม เป็นแบบฉบับที่ดีสำหรับผู้ใฝ่หาความรู้ และความสมบูรณ์ให้แก่ชีวิต

   นางและอะบูสะลามะฮ์ (อับดุลลอฮ์ บิน อัล-อะซัด อัล-มัคซูมีย์) เป็นผู้เข้ารับอิสลามในรุ่นแรก ซึ่งต้องได้รับความโหดร้ายมารุณกรรมต่าง ๆ นานา

เพราะอุดมการณ์ใหม่อันได้แก่การยึดมั่นในพระผู้เป็นเจ้า อัลลฮ์ ซุบหฯ แต่พวกเขาก็มิได้ยอมสยบแม้จะต้องทนทุกข์ทรมานสักปานใดก็ตาม พวกเขาต่างมีความอดทน

 และต่อสู้กันอย่างทรหด จนท่านศาสดาได้อนุญาตให้พวกเขาฮิจเราะฮ์ (อพยพ) ไปยังหะบะซะฮ์ พวกเขาก็อพยพกันไป เนื่องจากที่โน่น

มีกษัตริย์ที่เป็นองค์อัครศาสนูปถัมภ์ของทุกศาสนาไม่จำกัดเสรีภาพในการนับถือ

   ในการอพยพนี้ มีผู้อพยพเป็ยจำนวนมากรวมทั้งอับดุลลอฮ์ บิน อัล-อะซัด และฮินดุน ภรรยาคู่ชีวิต ซึ่งเป็นธิดาสาวของผู้มีฉายาว่า “เสบียงของผู้เดินทาง”

   ที่หะบะซะฮ์ ฮินดุนได้ให้กำเนิดทารกชาย โดยได้ตั้งชื่อว่าสะลามะฮ์ นางจึงถูกเรียกขานนับแต่วันนั้นมาว่า อุมมุสะลามะฮ์ (มารดาของสะลามะฮ์)

และสามีของนางก็ถูกเรียกขานนับแต่วันนั้นเช่นกันว่า อะบูสะลามะฮ์ (บิดาของสะลามะฮ์)

    ที่หะบะซะฮ์ ข่าวความเคลื่อนไหวของมุสลิม ของท่านศาสดามีไปอย่างต่อเนื่อง บางช่วง ข่าวที่มีไปยังความชื่นชมโสมนัสแก่ผู้อพยพเป็นอย่างยิ่ง

เนื่องจากได้รับทราบกันว่าผู้คนที่มักกะฮ์และมะดีนะฮ์เข้ารับนับถืออิสลามเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

   ด้วยข่าวนี้ บรรดาผู้ฮิจเราะฮ์ ต่างอยากที่จะเดินทางกลับมักกะฮ์ จึงได้มีบางส่วนเริ่มทยอยเดินทางกลับ ซึ่งในจำนวนนี้ อะบูสะลามะฮ์และอุมมุสะลามะฮ์รวมอยู่ด้วย

   เมื่อผู้เดินทางกลับชุดนี้ กำลังอยู่ระหว่างการเดินทางกลับก็ได้รับข่าวใหม่ ซึ่งผิดกับที่ได้รับในตอนที่อยู่ที่หะบะซะฮ์ จากหน้ามือเป็นหลังมือ

แหล่งข่าวระบุว่า มุสลิมที่อยู่มักกะฮ์ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่ออิสลาม จนไม่สามารถอดรนทนต่อไปได้

   ผู้ที่หมายมุ่งเดินทางกลับบางส่วน ก็บ้อนกลับไปหะบะซะฮ์ และอีกบางส่วนก็มุ่งหน้าเดินทางกลับมักกะฮ์พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น

   ในจำนวนผู้ที่เดินทางสู่มักกะฮ์นี้ มีอะบูสะลามะฮ์และอุมมุสะลามะฮ์รวมอยู่ด้วย

   ในการนี้อะบูสะลามะฮ์เห็นว่า ควรไปขอพึ่งใบบุญจากอะบูตอลิบผู้เป็นน้าของเขา ซึ่งคือผู้เป็นลุงของพระศาสดา เพื่อขอให้อะบูตอลิบคุ้มครองให้ปลอดภัยจากความโหดร้ายของชาวกุเรซ

   แต่ชนเผ่ามัคซูม ไม่ยอมให้อะบูตอลิบคุ้มครองอะบูสะลามะฮ์ พวกเขาพยายามที่จะจับอะบูสะลามะฮ์มาบังคับขู่เข็ญให้กลับสู่ศาสนาเดิมของพวกเขา

   พวกเขาจึงได้ไปพบอะบูตอลิบและบอกอะบูตอลิบว่า ท่านได้ห้ามมิให้พวกเรากระทำการใด ๆ กับมูฮัมมัด ลูกของน้องชายท่าน

แต่ทำไม และมันเรื่องอะไรท่านต้องมาห้าม มาคุ้มครองให้อะบูสะลามะฮ์ด้วยอีกคน ?

   ก็ในเมื่อฉันคุ้มครองมูฮัมมัดลูกของน้องชายฉันได้ ทำไมฉันจึงจะคุ้มครองอะบูสะลามะฮ์ ลูกของพี่สาวฉันไม่ได้ หลังจากนั้นไม่นาน อะบูตอลิบก็ถึงแก่กรรม

   อะบูสะลามะฮ์และภรรยาจึงต้องตกเป็นเป้าหมายสำคัญของการถูกจองเวรเหมือน ๆ กับมูฮัมมัด ที่ไม่มีผู้ใดคุ้มครองอีกแล้ว

   ฝ่ายมุสลิมจึงคิดจะฮิจเราะฮ์ (อพยพ) ไปยังมะดีนะฮ์อันเป็นการอพยพเพื่อศาสนา และเพื่อเป็นการหนีไปให้ปลอดภัยจากการถูกคุกคาม

   อุมมุสะลามะฮ์ได้เล่าถึงเหตุการณ์ตอนนี้ว่า เมื่ออะบูสะลามะฮ์เตรียมพาหนะเพื่อการอพยพไว้เรียบร้อยแล้ว อะบูสะลามะฮ์ได้นำพาหนะอันได้แก่อูฐ

ออกเดินทางไปก่อนแล้วท่านได้ย้อนมาแบกฉันและลูก(สะลามะฮ์)ไปที่อูฐ ท่านได้เดินจูงอูฐโดยให้ฉันและลูกขี่

   เมื่อชาวมุฆีเราะฮ์ซึ่งเป็นทายาทในตระกูลของอุมมุสะลามะฮ์มาพบ จึงได้พูดกับอะบูสะลามะฮ์ว่า ท่านจะไปไหนก็ไป แต่ทำไมต้องเอาอุมมุสะลามะฮ์ไปด้วย

ว่าแล้วก็แย่งเชือกผูกอูฐที่กำลังจูงอยู่ไปจากอะบูสะลามะฮ์ แล้วฉันก็ถูกนำตัวไป

   ชนเผ่าอับดุลอะซัด ซึ่งเป็นพรรคพวกของอะบูสะลามะฮ์เคืองแค้นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มาก พวกเขาจึงกล่าวว่า อย่างนี้ไม่เป็นธรรม

เราจะไม่ยอมให้ลูกของเราอยู่กับนาง พวกท่านจะเอาอุมมุสะลามะฮ์ไปก็เอาไป แต่สะลามะฮ์ พวกท่านจะเอาไปด้วยไม่ได้

   สะลามะฮ์ลูกของฉันก็ถูกพวกเขายื้อแย่งกันจนหลุดไปจากอกของฉัน ฉันเห็นพวกเขาดึงแขนลูกของฉันกันฝ่ายละข้าง จนในที่สุดเผ่าอับดุลอะซัดก็เป็นฝ่ายได้ลูกของฉันไป

   อะบูสะลามะฮ์สามีของฉันเดินทางไปมะดีนะฮ์ ฉันสามพ่อแม่ลูก ต้องจากกันตรงนี้ ทุกวันฉันต้องออกมานั่งที่เนินทรายและทุกวันนับเป็นปีที่ฉันต้องอยู่กับน้ำตา


นับเป็นโศกนาฏกรรมของบรรดาเศาะหาบะฮฺ/เศาะหาบียะฮฺ ที่เข้ารับอิสลามในระยะแรก สามี ต้องแยกกับภรรยา ลูกต้องแยกกับพ่อ/แม่ จากที่นาคาที่อยู่

ท่านเหล่านั้นได้อดทนในการทดสอบของอัลลอฮฺ จนทำให้อิสลามกลายเป็นมรดกตกทอดมาถึงพวกเราทุกวันนี้ ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนทุกท่านเหล่านั้นด้วยเถิด อามีน

วัสสลาม

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: ม.ค. 15, 2010, 05:53 AM »
0
 salam

ขอนำเสนอ ตอนที่ 6 ช่วงที่ 2 ต่อครับ

จนอยู่มาวันหนึ่ง ญาติของฉันผู้ซึ่งเป็นลูกของลุงฉันได้ผ่านมาพบฉันในสภาพที่ตรอมใจ บอบช้ำมานับปี เขาสงสารฉัน

เขาจึงได้เข้าไปถามชาวตระกูลมุฆีเราะฮ์ว่า พวกท่านจะไม่ปล่อยให้สตรีผู้น่าสงสารนี้ไปพบสามี ไปพบลูกของเขาบ้างหรือ ?

   อุมมุสะลามะฮ์กล่าวว่า พวกตระกูลมุฆีเราะฮ์ได้มาพูดกับฉันว่าจะไปพบสามีของเธอก็ไปเถิด และในตอนนั้นเองชาวตระกูลอับดุลอะซัด

ก็ได้นำลูกของฉันมาคืนให้กับฉัน ฉันได้อุ้มลูกของฉันมากอด แล้วฉันก็ได้นำพาลูกของฉันออกเดินทางไปมะดีนะฮ์ ฉันเดินทางไปกับลูกตาม

ลำพังจนฉันเดินทางไปถึง “อันนะอีม” (ห่างจากมักกะฮ์ราวสองฟัรซัค) ฉันได้พบกับอุษมาน บิน อะบีตอลฮะ (ตอนนั้นเขายังไม่ได้รับอิสลาม)

เขาถามฉันว่า จะไปไหนหรือ ธิดาของอะบีอุมัยยะฮ์ ?

   ฉันตอบว่า จะไปหาสามีของฉันที่มะดีนะฮ์ เขาถามฉันว่า ไปกับใคร ? ฉันตอบว่า ไปกับพระเจ้าและลูกของฉันคนนี้ เขาพูดว่า

ฉันจะปล่อยให้เธอไปคนเดียวไม่ได้ ว่าแล้วเขาก็จับเชือกที่ผูกอูฐ จูงอูฐเดินมุ่งหน้าไปมะดีนะฮ์ ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ฉันไม่เคยเห็นคนอาหรับน่านับถือมากกว่าเขาคนนี้

 เมื่อถึงที่พักผ่อนตามเส้นทาง เขาจะให้อูฐลงนอนเพื่อที่ฉันกับลูกจะได้ลงจากหลังอูฐได้สะดวก แล้วเขาก็จะรีบไปให้ห่างจากฉัน เขามักจะหาที่พักที่ร่มเย็นใต้ต้นไม้บ้าง

ตามซอกหินใหญ่ ๆ บ้าง เมื่อฉันและลูกลงจากหลังอูฐแล้ว เขาก็จะจูงอูฐไปอยู่ไกล ๆ และเมื่อได้เวลาเริ่มเดินทางต่อ เขาก็จะจูงอูฐมา

แล้วให้อูฐลงนอนเพื่อฉันและลูกจะได้ขึ้นขี่ได้สะดวก เขาทำทุกอย่างนี้ทุกที่ที่พักผ่อน ตลอดระยะทาง

   เมื่อเดินทางไปถึงหมู่บ้านของบะนีอัมริบนิเอาฟ์ คือที่ตำบลกุบา ซึ่งเป็นที่ที่สามีของฉันพำนักอยู่ เขากล่าวว่าสามีของเธออยู่ที่หมู่บ้านนี้

เธอจงเข้าไปในหมู่บ้านนี้ด้วยบ่ารอกัตของอัลลอฮ์ ว่าแล้วเขาก็เดินทางกลับมักกะฮ์

   จากการที่นางประสบกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ นางกล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ฉันไม่เคยรู้ว่า มีครอบครัวมุสลิมครอบครัวใด

ต้องประสบกับปัญหาอย่างนี้เหมือนกับครอบครัวของอูสะลามะฮ์ และฉันก็ไม่เคยเห็นใครเป็นมิตรที่ดีและน่านับถือมากไปกว่า อุษมาน บิน อะบีตอลฮะ

   ณ ที่นครมะดีนะฮ์ อุมมุสะลามะฮ์ได้ให้กำเนิดทารกอีกหลายชีวิต ได้แก่ อัมรฺ ซุรเราะฮ์ ซัยนับ

   วันหนึ่งในขณะที่ทั้งสองสามีภรรยาคู่นี้หยอกล้อกันอยู่ ฝ่ายภรรยาได้พูดกับสามีของเธอว่า สามีที่รัก ท่านต้องไม่แต่งงานกับใครอีกนะ

ฝ่ายสามีก็พูดกับภรรยาว่า ภรรยาที่รัก ฉันจะไม่แต่งงานกับใครอีก เธอเชื่อฉันไหม ? ฝ่ายภรรยากล่าวว่า ฉันมิได้ขอร้องท่าน นอกจากฉันจะเป็นผู้ที่อยู่ในโอวาทของท่าน

   อะบูสะลามะฮ์ได้พูดกับผู้ที่เป็นภรรยาต่อไปอีกว่า เมื่อฉันตายเธอจงแต่งงานใหม่เถิด แล้วได้กล่าวว่า โอ้อัลลอฮ์ ได้โปรดให้ริสกีแก่อุมมุสะลามะฮ์หลังจากฉันตายแล้ว

โดยขอให้เธอได้พบผู้ชายที่ดีกว่าฉัน ชายที่ไม่ทำให้เธอต้องลำบาก ไม่ทำให้เธอต้องเสียใจ


   อะบูสะลามะฮ์ได้ถึงแก่กรรม หลังจากที่ได้ร่วมสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ท่านศาสดา ศ้อลฯ ทั้งที่สงครามบัตรและสงครามอุฮุด

   และที่สงครามอุฮุด อะบูสะลามะฮ์ถูกฝ่ายข้าศึกฟาดฟันจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา ท่านร่อซูล ศ้อลฯ ได้ทรงละหมาดให้แก่ศพของอะบูสะลามะฮ์

ด้วยการตักบีรถึงเก้าครั้ง เนื่องจากความโศกเสร้าที่ต้องสูญเสียเขาไป

   บรรดาอัครสาวกได้ทูลถามว่า โอ่ ท่านร่อซูล ศ้อลฯ ท่านลืมหรือว่าท่านหลง? ท่านร่อซูล ศ้อลฯ ตอบว่า ฉันไม่ได้ลืม

และฉันก็ไม่ได้หลง ความจริงฉันน่าจะตักบีรให้แก่อะบูสะลามะฮ์สักพันตักบีรจึงจะเหมาะสม

   เมื่อนางหมดอิดดะฮ์จากสามีที่เสียชีวิตแล้ว ท่านซัยยิดินาอุมัร และอะบูบักร ได้เสนอตัวขอแต่งงานกับอุมมุสะละมะฮ์

ทั้งนี้เพื่อจะได้ช่วยเหลือนางในการดูแลเลี้ยงลูกกำพร้าและความเป็นหม้ายของนาง แต่ได้รับการปฏิเสธจากนาง

   หลังจากนั้นท่านนะบี ศ้อลฯ ได้ส่งผู้แทนไปทำการสู่ขอนาง ซึ่งในตอนแรกนางก็ไม่ตอบตกลง เนื่องจากภาระหน้าที่ของนางที่ต้องดูแลลูก ๆ

กอปรกับความเป็นหม้ายของนางซึ่งไม่ต้องการให้ตกเป็นภาระของท่านนะบี ศ้อลฯ นางตอบผู้แทนของท่านนะบี ศ้อลฯว่า ฉันยินดีในองค์ศาสดามาก

แต่ฉันเป็นผู้หญิงที่ขี้หึง และฉันก็ไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ปกครองของฉันอยู่เลย

   เมื่อผู้แทนได้กลับไปบอกถึงสิ่งที่นางตอบให้ท่านนะบี ศ้อลฯรับรู้ ท่านจึงได้ให้ผู้แทนของท่านกลับไปตอบนางว่า

สำหรับสิ่งที่นางกล่าวว่า ฉันมีลูกหลายคนนั้น “แท้จริงการมีลูก ลูกจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น” ส่วนที่บอกว่านางเป็นคนขี้หึงนั้น

“ฉันจะขอพรจากอัลลอฮ์ให้นางไม่หึง” ส่วนที่กล่าวว่านางไม่มีผู้ปกครองนั้น ไม่ว่าจะมีอยู่ตรงนี้ หรือไม่มีตรงนี้ ทุกคนเขาก็พอใจและยินดีในฉัน (หมายถึงนะบี ศ้อลฯ)

    อิบนุกอยยิม ร่อหิมะฮุลลอฮ์ ได้รายงานว่า ผู้ที่ทำการสมรสนางกับร่อซูลุลลอฮ์ ศ้อลฯ คือ อุมัร บุตร อัล-ค๊อตตํอบ ผู้เป็นลูกของลุงนาง


โปรดติดตามตอนต่อไป

วัสสลาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 15, 2010, 05:57 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ AUZULODEEN

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 625
  • เพศ: ชาย
  • ทุกๆชีวิตต้องได้ลิ้มรสแห่งความตาย
  • Respect: +1
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: ม.ค. 15, 2010, 10:49 AM »
0
 salam
ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ
แท้จริงเราเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และเราจะต้องกลับคืนไปสู่พระองค์

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: ม.ค. 18, 2010, 11:18 PM »
0
 salam

ได้อ่านจากหนังสือ หะดีษซอเฮียะฮ์ เล่มที่ 2 ที่ท่านอาจารย์อรุณ บุญชม แปลจาก “อัตตาจญ์”) พบหะดีษที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของอุมมุสะละมะฮฺ จึงนำมาเสนอ เพื่อให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์ขึ้น
หะดีษที่ 1



เล่าจากอุมมุสะละมะฮฺว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เข้าไปที่อะบูสะละมะฮฺ (หลังจากเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว)
ในสภาพที่ตาของเขาเบิกโพลง ท่านเราะสูลุลลอฮฺจึงได้ทำให้ตาของเขาปิดลง หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า แท้จริงวิญญาณนั้นเมื่อถูกถอดออก
สายตาจะมองตาม ต่อมาผู้คนได้ส่งเสียงสาปแช่งตัวเองเพราะความเศร้าใจที่คนในครอบครัวของเขาจากไป ท่านเราะสูลได้กล่าวว่า
ท่านทั้งหลายอย่าได้วิงวอนในสิ่งที่เป็นอันตรายกับพวกท่าน นอกจากแต่ในสิ่งที่ดี เพราะแท้จริงมะลาอิกะฮฺจะกล่าวคำว่าอามีนให้แก่สิ่งที่ท่านทั้งหลายกล่าว
หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์อัลลอฮฺขอพระองค์ได้โปรดให้อภัยแก่อะบูสะละมะฮฺ และได้โปรดเลื่อนขั้นของเขาให้อยู่ในจำพวกผู้ที่ได้รับทางนำอันถูกต้อง
และได้โปรดหาผู้ทดแทนให้มาแลดูครอบครัวของเขาหลังจากเขาได้จากไป และได้โปรดอภัยให้แก่พวกเราและให้แก่เขา โอ้องค์อภิบาลสากลโลก
และได้โปรดขยายหลุมฝังศพของเขาให้กว้างขวาง และได้โปรดให้แสงสว่างแก่เขาในหลุมฝังศพ
                                                                                       บันทึกโดยมุสลิม
   จากหะดีษนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ โดยเมื่อไปเยี่ยมมัยยิต ก็ให้ขอดุอาอุ์ให้แก่มัยยิต เช่นที่ท่านนะบียฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ขอ
โดยให้เปลี่ยนชื่อของอะบูสะละมะฮฺ ไปใช้สรรพนามบุรุษที่สามแทน (ไม่ต้องคำนึงเรื่องเพศของผู้ตาย) เช่นอ่านว่า
“อัลลอฮุมมัฆฟิรฺละฮู วัรฟะอฺดะเราะญะตะฮูฟิลมะฮฺดียีน วัฆลุฟฮุ ฟีอะกิกิบิฮี ฟิลฆอบิรีน วัฆฟิรฺละนาวะละฮู ยาร็อบบัลอาละมีน วัฟสะหฺละฮูฟีก็อบริฮี วะเนาวิรฺละฮูฟีฮฺ”

หะดีษที่ 2



จากอุมมุสะละมะฮฺได้เล่าว่า “เมื่ออะบูสะละมะฮฺได้เสียชีวิต ข้าพเจ้าได้มาพบท่านนะบียฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และกล่าวกับท่านว่า
โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ความจริงอะบูสะละมะฮฺได้เสียชีวิตไปแล้ว ท่านเราะสูลุลลอฮฺได้กล่าวว่า เธอจงกล่าวดังนี้
“อัลลอฮุมมัฆฟิรฺลี วะละฮู  วะอะอฺกิบนีมินฮุ อุกบาหะสะนะฮฺ”
(ความหมาย: ข้าแต่พระองค์อัลลอฮฺได้โปรดอภัยให้กับฉันและให้กับเขา และได้โปรดทดแทนให้แก่ข้าพเจ้าแทนตัวของเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า)
อุมมุสะละมะฮฺกล่าวว่า อัลลอฮฺได้ทรงทดแทนให้แก่ข้าพเจ้าด้วยบุคคลที่ดีสำหรับข้าพเจ้ายิ่งกว่าเขา(อะบูสะละมะฮฺ) นั่นคือ มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม”
                                                       บันทึกโดย 5 คน นอกจากบุคอรี(หมายถึงบันทึกโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรฺมิซียฺและนะสาอียฺ)

อินชาอัลลอฮฺ จะได้นำเรื่องของท่านหญิงฮินดุน - อุมมุสะละมะฮฺ ตอนสุดท้ายมานำเสนอต่อไป

วัสสลาม

ออฟไลน์ al-firdaus~*

  • ทีมงานหลังบอร์ด (-_-''')
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 5015
  • เพศ: หญิง
  • 可爱
  • Respect: +161
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: ม.ค. 18, 2010, 11:45 PM »
0
 mycool: mycool: mycool:

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: ม.ค. 19, 2010, 01:51 AM »
0
 อัสลามุอะลัยกุม วะเราะมาตุลลอฮฺ วะบารอกาตุ

ขอบคุณผู้นำเสนอค่ะ...รอติดตามค่ะ

ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนแช...

และมีคำถาม คือว่่า...

"มารดาแห่งผู้ยากจน" ภาษาอาหรับเรียกว่าอย่างไรคะ


วัสลามุอะลัยกุมค่ะ



"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: ม.ค. 19, 2010, 06:05 AM »
0

 
และมีคำถาม คือว่า...

"มารดาแห่งผู้ยากจน" ภาษาอาหรับเรียกว่าอย่างไรคะ


วัสลามุอะลัยกุมค่ะ


วะอะลัยกุมุสสลาม วะเราะหฺมะตุลลอฮิวะบะเราะกาตุฮฺ

มารดาแห่งผู้ยากจน = อุมมุลมะสากีน ( اُمُّ الْمَسَاكِيْنَ )

คือ ภรรยาที่ใช้ชีวิตร่วมกับท่านเราะสูลระยะเวลาสั้นที่สุด ท่านหญิง ซัยนับ บินติ คุซัยมะฮฺ

ตามเนื้อเรื่องตอนที่ 5

วัสสลาม


ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: ม.ค. 19, 2010, 06:15 AM »
0
 salam

ตอนที่ 6/3

เป็นตอนย่อยตอนสุดท้าย ของชีวิตของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กับท่านหญิง อุมมุสะละมะฮฺ

การสมรสนี้ ถูกจัดขึ้นในเดือนเชาวาล ปีที่สี่แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช โดยมีผ้าห่มที่มีไว้ใช้ในฤดูร้อน

หมอนอิง โม่ หม้อสองใบ ๆ หนึ่งมีน้ำ อีกใบหนึ่งมีแป้งทำขนมปัง แร่ง และไม้คนของเหลว (ทัพพี)

   สำหรับอาหารที่เลี้ยงในวันสมรสก็คือ อาหารที่ทำจากมะฮัรดังกล่าวข้างต้น

   อุมมุสะลามะฮ์ได้เล่าถึงสภาพภายในครอบครัวท่านนะบี ศ้อลฯ ในวันที่สมรส ว่า เมื่อฉันได้แต่งงานกับท่านศาสดา ศ้อลฯ แล้ว

ท่านศาสดา ศ้อลฯ ได้พาฉันไปอยู่ที่บ้านของซัยนับ บินติคุซัยมะฮ์ (อุมมุ้ลมะซากีน) เนื่องจากนางได้ไปสู่อ้อมกอดแห่งพระผู้เป็นเจ้าแล้ว

   ฉันเห็นมีหม้ออยู่ใบหนึ่ง เมื่อฉันเหลือบดูในหม้อ ฉันเห็นมีข้าวสาลีอยู่นิดหนึ่ง นอกนั้นก็มีเนื้อแห้ง  เนยแข็งอยู่อีกอย่างละหน่อย

ฉันจึงโม่ข้าวสาลีมาปิ้งทำขนมปัง และเอาเนื้อมาทำแกง เพียงเท่านี้แหละ คือ อาหารมื้อแรกของฉันกับท่านร่อซูล ศ้อลฯ ในคืนแรกแห่งการสมรส

   นี้คือชีวิตภายในครอบครัวของผู้ซึ่งเลิศและประเสริฐสุดในหมู่มัคลู๊กของพระองค์

   ในวันทำสนธิสัญญาหุดัยบียะฮ์ ซึ่งถือเป็นช่วงจังหวะชีวิตของท่านศาสดา ศ้อลฯ และพระนางอุมมุสะลามะฮ์ที่น่าศึกษามากที่สุด

   ในปี ฮ.ศ. 6 ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ้อลฯ ได้ออกเดินทางจากมะดีนะฮ์สู่มักกะฮ์เพื่อทำอุมเราะฮ์ เพื่อเยี่ยมเยียนบัยตุลลอฮ์

มิได้เพื่อการต่อสู้หรือการทำศึกทำสงคราม ในการนี้มีอูฐร่วมขบวนเดินทาง จำนวน 70 ตัว และมีบรรดาสาวกร่วมเดินทางด้วยจำนวน 700 คน

   เมื่อเดินทางไปถึงหุดัยบียะฮ์ ชาวกุเรซมักกะฮ์ได้ออกมาหักห้ามมิให้ท่านนบี ศ้อลฯ และคณะเข้าสู่มักกะฮ์ในที่สุดก็ได้ตกลง

ทำสัญญาขึ้นฉบับหนึ่ง ณ ที่นั่น ในสัญญาระบุถึงเวลาแห่งสัญญาไว้สิบปี โดยอนุญาตให้เข้าไปทำอุมเราะฮ์ ได้ในปีหน้า

เป็นเหตุให้บรรดาสาวกเกิดความไม่พอใจ ในจำนวนสาวกกลุ่มนี้มีท่านอุมัรรวมอยู่ด้วย

   เมื่อสัญญาเป็นไปเช่นนั้น ท่านศาสดาก็ต้องเปลื้องเอียะห์รอม ขลิบผมหรือโกนผมและเชือดสัตว์และจะต้องบัญชา

ให้ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ท่านได้มีบัญชาถึงสามครั้งให้ทุกคนเปลื้องเอียะห์รอม และกระทำทุกอย่างตามที่ได้กล่าวมาแล้ว

แต่ไม่ได้รับการตอบรับด้วยการกระทำจากบรรดาสาวก

   ท่านศาสดา ศ้อลฯ จึงเข้าไปหาอุมมุสะลามะฮ์และได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้นางฟัง นางแนะนำท่านศาสดาว่า

โอ้ผู้เป็นนะบีแห่งอัลลอฮ์ ท่านชอบที่จะทำตามนั้นหรือ? ท่านจงออกไปใหม่ ท่านไม่ต้องพูดอะไรกับใครเลย ท่านจงเชือดอูฐของท่าน

 และเรียกให้คนมาโกนศีรษะให้ท่าน เมื่อท่านนะบี ศ้อลฯ ได้ออกไปทำตามคำแนะนำของอุมมุสะลามะฮ์ เมื่อบรรดาสาวกเห็น

ทุกคนก็ทำตาม พวกเขาเปลี่ยนกันโกนศีรษะให้แก่กันและกัน จนดูราวกับว่า พวกเขาตะลุมบอนกันและกัน

   และนี่คือสถานการณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงความมีวุฒิภาวะและความปราดเปรื่องทางปัญญาในการยุติปัญหาของพระนางอุมมุสะลามะฮ์

   นางรายงานฮาดีสไว้มากมาย จนมีในมุสนัดของอีหม่ามอะห์มัด อิบนุฮัมบัล 378 ฮาดีส อื่นจากที่บุคอรีย์และมุสลิมเป็นผู้รายงาน

   จากปัญญาอันเฉียบแหลมของนาง ครั้งหนึ่งนางได้ถามท่านศาสนทูตว่า โอ้ท่านศาสดา พวกผู้ชายเขาร่วมทำศึก

พวกเรา(เหล่าสตรี)ไม่ได้เข้าร่วมและในส่วนแบ่งของมรดกพวกเราก็ได้เพียงกึ่งเดียว

   อัล-กุรอานได้ประทานลงมาว่า

   “พวกท่านอย่าได้ต้องการในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ให้บางส่วนของพวกท่านมากกว่าอีกบางส่วน”

   และนางได้เคยถามท่านร่อซูลุลลอฮ์อีกว่า โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ฉันจะได้รับผลานิสงค์ไหม? หากฉันจะเลี้ยงดูลูก ๆ ของฉัน

ที่อยู่กับตระกูลอะบูสะลามะฮ์ ก็ได้รับคำตอบว่า เธอต้องเลี้ยงดูพวกเขา เธอจะทอดทิ้งพวกเขาไม่ได้ และเธอก็จะได้รับผลานิสงค์นั้นด้วย

   อุมมุสะลามะฮ์ได้กลับคืนสู่ความเมตตาแห่งอัลลอฮ์อันสมบูรณ์ วิญญาณของเธอได้เดินทางสู่สรวงสวรรค์ของพระองค์

   นางเสียชีวิตที่มะดีนะฮ์ หลังสมรภูมิกัรบะลาอ์ในปี ฮ.ศ. 61 นางมีอายุกว่า 80 ปี และศพของนางฝังอยู่ที่บะเกียะอ์

   เรื่อนร่างที่บอบบางของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่แฝงไปด้วยความอดทน กอปรกับสมองที่เฉียบคม ลึก กว้าง แหลมไกล

ได้ทอดทิ้งบทเรียนที่สำคัญไว้ให้แก่มารดาทุกคน

   ขออัลลอฮ์ได้ทรงเมตตาแก่อุมมุสะลามะฮ์ และขอให้นำเธอไปพักผ่อนกับชีวิตอันยาวนานและเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย

ทั้งกายและใจของเธอในสรวงสวรรค์ อย่างนิรันดร์กาลเถิด

   บ้านของท่านนะบี ศ้อลฯ เป็นบ้านที่เป็นแบบฉบับแก่ทุกบ้าน เป็นบ้านที่เป็นโรงเรียน เป็นบ้านที่เป็นสถานที่สั่งสอนและแนะนำ

ท่านร่อซูล ศ้อลฯ กล่าวไว้ว่า

   “จงขอร้องและแนะนำภรรยาให้อยู่ในกรอบแห่งคุณธรรม”

   นี่คือคำสั่งเสียที่พระศาสดาได้สั่งไว้ในปัจฉิมเทศนาในปีฮัจย์อำลา เป็นคำสั่งเสียที่ชี้ให้เห็นถึงผู้ชายต้องคุ้มครอง


และอุปถัมภ์ภรรยา ตามแบบฉบับแห่งองค์พระศาสดา ศ้อลฯ

หมายเหตุ ต้นฉบับ บางครั้งก็เขียนว่า รอซูล บางครั้งก็เขียนว่า ร่อซูล คัดลอกโดยใช้คำว่า ร่อซูล ทั้งหมด
        บางครั้งเขียนว่า อะบี บางครั้งใช้ อะบู ขอ ใช้คำว่า อะบู ทั้งหมด
       บางครั้งเขียนว่า สะลามะฮ์ บางครั้งใช้ ซะลามะฮ์ ขอใช้คำว่า สะลามะฮ์ ทั้งหมด

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: ม.ค. 19, 2010, 06:32 AM »
0
ทับศัพท์น่ะแช ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เอาอะไรมาก
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: ม.ค. 19, 2010, 08:30 PM »
0
salam

การสมรสนี้ ถูกจัดขึ้นในเดือนเชาวาล ปีที่สี่แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช โดยมีผ้าห่มที่มีไว้ใช้ในฤดูร้อน

หมอนอิง โม่ หม้อสองใบ ๆ หนึ่งมีน้ำ อีกใบหนึ่งมีแป้งทำขนมปัง แร่ง และไม้คนของเหลว (ทัพพี)

   สำหรับอาหารที่เลี้ยงในวันสมรสก็คือ อาหารที่ทำจากมะฮัรดังกล่าวข้างต้น

 



จากเรื่องราวข้างต้นนี้แสดงให้เห็นว่า การนิกาห์นั้นไม่ใช่เรื่องยากในแง่ของค่าใช้จ่าย

มะฮัรฺของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นั้น มากน้อยตามบริบท บางครั้งมีผู้จ่ายมะฮัรฺ(เศาะดาก)ให้ ก็จ่ายเป็นจำนวนมาก

บางครั้งเมื่อมีน้อยก็จ่ายไปจำนวนน้อย โดยฝ่ายชายเป็นผู้กำหนด มิใช่ฝ่ายหญิงเรียกร้อง เศาะดาก นั้น อาจเป็นเพียงเสื้อเกราะ รองเท้า

ทรัพย์สินเงินทอง อัลกุรฺอานที่จำได้(ด้วยการสอนให้กับภรรยา) แต่มะฮัรฺที่น่าประทับใจ คือมะฮัรฺของ ฆุมัยศออฺ มารดา(หม้าย)ของอะนัส บินมาลิก

นางแต่งงานกับอะบูฏอลหะฮฺ ด้วยมะฮัรฺที่ไม่ใช่เงินทอง แต่เป็น “การเข้ารับอิสลามของอะบูฏอลหะฮฺ” ทั้ง ๆ ที่ อะบูฏอลหะฮฺเป็นผู้มีฐานะดี

คุณแม่ท่านหนึ่ง บอกกับผู้ที่ถามถึงมะฮัรฺสำหรับลูกสาวเธอว่า “เท่าไรก็ได้ ขอให้ฝ่ายชายนำละหมาดลูกสาวฉันได้ก็แล้วกัน”

แตกต่างกับปัจจุบัน ถ้าฝ่ายหญิงจบปริญญาตรี อย่างน้อยต้องหนึ่งแสน บางคนว่าต้องแสนสอง เพราะค่าเงินมันลด จบปริญญาโทก็ต้องเพิ่มขึ้นมาอีก

แต่ถ้าจบปริญญาเอก ต้องลดค่าตัวลงสักหน่อยแล้ว เพราะกว่าจะจบก็อายุมากกกกกกกกกกก ขึ้น เล่นตัวไม่ได้

ถ้านิกาหฺยิ่งยาก ซินาก็ยิ่งง่าย ในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง มุสลิมขี่มอเตอร์ไซคล์ จึงมักมีกาฟิเราะฮฺขาประจำซ้อนท้าย

งานวะลีมะตุนนิกาหฺสมัยนะบียฺ ก็ตามสภาพความเป็นจริงเช่นกัน  อาหาร เป็นขนมปังที่ทำจากข้าวสาลีที่เหลืออยู่ หรืออาจล้มแพะสักตัว

สมัยนี้ เฉพาะการ์ดเชิญ สีชมพู กลิ่นหอม พับได้ มีปก ผูกริบบิ้น ใบละ ๑๐ บาทจนถึงใบละ ๑๐๐ บาท
 
ล้มแพะไม่พอต้องล้มวัวด้วย เลี้ยงที่บ้านด้วย โรงแรมด้วย ค่าอาหารคิดเป็นรายหัว หัวละ ๘๕ บาท ไปจนหัวละเป็น ๑,๐๐๐ บาท

(ไปช่วยงานแต่งงานจึงต้องเตรียมซองไป ๓ ระดับ อาหารธรรมดา-ซองเล็ก อาหารดี-ซองกลาง อาหารดีเลิศ-ซองใหญ่)  hihi:

ถ้ามีความสามารถจะจัดงานใหญ่ก็จัดไปเถิด แต่อย่าเจาะจงเชิญเฉพาะบุคคลเพื่อหวังซอง คนที่มาร่วมเขาฉลองให้และขอดุอาอุ์ให้ก็เป็นการดี
 
ถ้าเขานำของขวัญมาให้ก็รับไว้ แต่ถ้าเขามาโดยไม่มีของขวัญหรือซอง ก็ไม่ใช่ความผิด ถ้าอยากจัดงานหาเงิน ก็น่าจะเขียนลงไปในการ์ดเชิญ

มาร่วมงานวะลีมะตุนนิกาห์เลยว่า “บัตรราคา ๑๐๐, ๒๐๐, ๕๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ บาททุกที่นั่ง  boulay:

ขอแทรกหะดีษไว้เป็นบทเรียนสักบทก็แล้วกัน



และปรากฏว่า อะบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ ได้กล่าวว่า อาหารที่เลว คืออาหารวะลีมะฮฺที่เชิญแต่คนร่ำรวย

ปล่อยปละละเลยคนยากจน และผู้ใดปล่อยปละละเลยการเชื้อเชิญ ความจริงเขาเป็นผู้ฝ่าฝืนอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์"


                                                           บันทึกโดยบุคอรี,มุสลิม,อะบูดาวูด

พาพี่น้องไปท่องปากอ่าวสักพัก เดี๋ยวจะมาว่ากันถึงเนื้อหาของกระทู้ต่อไป

วัสสลาม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 19, 2010, 08:32 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ nada-yoru

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4010
  • เพศ: หญิง
  • แสงและเงา
  • Respect: +134
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: ม.ค. 19, 2010, 09:17 PM »
0

ไปเที่ยวปากอ่าวมาก็สนุกดีค่ะ ชอบ... ;D

ไม่ได้คว้าน้ำเหลวเลยค่ะ เจอแต่เนื้อทั้งนั้น...  mycool:

ปล.ปกติที่บ้านนั้น จะจัดงานวะลีมาตุนนิกะฮฺแบบง่ายๆ เชิญญาติๆ
และคนในหมู่บ้านมาทานอาหารกันตามกำลังความสามารถค่ะ...
แต่พอดีญาติเยอะไปหน่อยค่ะแช งานที่กะจะให้เล็กๆ
มันเลยใหญ่ขึ้นตามจำนวนคนมางานค่ะ... hehe
แต่ก็เรียบง่ายค่ะ คนในหมู่บ้านจะมาช่วยกันทำช่วยกันเก็บล้าง
บางท่านเอาข้าวสารและสิ่งจำเป็นมาช่วยงานด้วยก็มีค่ะ...
แม่ครัวก็เราๆนี่เองค่ะ ไม่ใช่กุ๊กอะไรที่ไหนเลยค่ะ
แต่เป็ยผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านมาช่วยถ่่ายทอดฝีมือการทำอาหาร
ให้ได้ยลกันในงานนั้นแหล่ะค่ะ...
แค่ฝนไม่ตกลงมากลางงาน ก็อัลฮัมดุลิลลาฮฺแล้วค่ะ...

ปล.ไม่แน่ใจว่าพ่อหรือแม่เคยเปรยๆให้ได้ยินแล้วนะคะประมาณว่า
หากมีคนเจ้าชู้มาขอลูกสาว ตนจะใช้ให้ไปหาข้าวสารจาก
ต้นหญ้าเจ้าชู้มาให้ได้สักชามโตๆมาเป็นค่ามะฮัร
(บอกว่าข้าวสารหนึ่งกระสอบที่เรากินอยู่มันเยอะไป เอาค่ามะฮัรเป็น
ข้าวสารจากหญ้าเจ้าชู้สักชามพอ) 5555
หากใครเคยแกะหญ้าเจ้าชู้ดูข้างในก็จะรู้ว่า มันมีเม็ดขาวๆสีขุ่นๆ
คล้ายๆข้าวสารน่ะค่ะ ตรงข้างในนั่นแหล่ะค่ะที่เรียกว่าข้าวสารจากหญ้าเจ้าชู้
กว่าจะหามาได้สักชามโตๆ ไม่อยากจะคิดเลยค่ะ... ;D

ว่าแล้วก็ไหลตามน้ำได้อีก...อิอิ...ไปดีกว่า เดี๋ยวจะโดนมิใช่น้อย ;D

ขอบคุณสำหรับคำตอบและการนำเสนอค่ะ...

วัสลามค่ะ


"และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

(ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต อายะอฺที่ 56)

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: ม.ค. 19, 2010, 11:51 PM »
0

แต่ถ้าจบปริญญาเอก ต้องลดค่าตัวลงสักหน่อยแล้ว เพราะกว่าจะจบก็อายุมากกกกกกกกกกก ขึ้น เล่นตัวไม่ได้


กระทบกันเป็นแถว
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: ม.ค. 20, 2010, 06:11 AM »
0
 salam

มาฟังเรื่องเมื่อพระศาสดาเป็นสามีต่อครับ

ตอนที่ 7/1

ท่านร่อซูลุลลอฮ์
การสมรสกับซัยนับ บินติ ญะห์ซิน


ซัยนับ บินติ ญะห์ซิน มารดาชื่อ อุมัยยะฮ์ บินติ อับดุลมุตตอลิบ ผู้เป็นน้า(น่าจะเป็นลุงหรืออา-ผู้คัดลอก)ของท่านนะบี ศ้อลฯ

นางเป็นสตรีที่ใจบุญ มีความรักใคร่สงสารและเอื้ออาทรต่อคนยากจนเป็นพิเศษ

นางเคยเป็นภรรยาของ ซัยดฺ บิน ฮาริษะฮ์ ผู้ซึ่งเป็นคนใช้(ทาส)ของพระนางค่อดีญะฮ์ ร่อดิยั้ลฯ และเมื่อนางได้สมรสกับท่านนะบี ศ้อลฯ

นางก็ได้มอบซัยดฺ เป็นของขวัญเพื่อดูแลรับใช้ท่านนะบี ศ้อลฯ

เมื่อบิดาของซัยดฺ และผู้เป็นลุงได้มาขอซัยดฺกลับไปอยู่บ้าน ซัยดฺกลับเลือกที่จะรับใช้ท่านศาสดา ศ้อลฯ จนในที่สุดท่านศาสดา ศ้อลฯ

ก็ได้ให้อิสรภาพแก่ซัยดฺ และยังประกาศให้ผู้คนรับรู้ในฐานะบุตรบุญธรรมอีกด้วย

ผู้คนต่างเรียกซัยดฺในเวลาต่อมาว่า ซัยดฺ ลูกชายของมุฮัมมัด อัลกุรฺอานได้ประกาศลงมาว่า

“พวกท่านจงเรียกขานพวกเขาโดยพาดพิงไปยังผู้เป็นพ่อของพวกเขา นั่นเป็นความถูกต้องยิ่ง ณ เบื้องอัลลอฮ์” อัลอะห์ซาบ โองการที่ 5 “(1)”

พระบัญชาจากอัลลอฮ์ สั่งให้ท่านศาสดา ศ้อลฯ ทำการสมรสลูกสาวของน้า อันได้แก่ซัยนับ บินติญะห์ซิน กับ ซัยดฺ บิน ฮาริษะฮ์

แต่ซัยนับ ปฏิเสธ อัลกุรฺอานจึงประทานลงมายืนยันในพระบัญชาว่า

“ไม่เป็นการสมควรสำหรับศรัทธาชนชายหรือหญิง เมื่ออัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ทรงบัญชาสิ่งใดแล้วที่พวกเขาจะเลือกเป็นอื่น

ดังนั้น ใครก็ตามที่ทรยศต่ออัลลอฮ์และศาสดาของพระองค์เขาจะต้องหลงทางอย่างชัดเจน” อัลอะห์ซาบ 36”(2)”

   เมื่อเป็นเช่นนี้ ซัยนับจึงยินดีเข้าสู่พิธีสมรสกับซัยดฺ แต่นางก็ใช้ชีวิตสมรสของนางอย่างไม่เต็มใจ การแต่งงานไม่ได้ช่วย

ทำให้นางลืมเกียรติภูมิของนางที่อยู่ในตระกูลอันสูงส่ง ในขณะที่ซัยดฺเคยเป็นทาสมาก่อน

ชีวิตของซัยดฺในฐานะสามีของซัยนับเต็มไปด้วยความสับสน อึดอัด เนื่องจากความผยองของนาง

ซัยดฺจึงได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านศาสดารับรู้และท่านศาสดาก็ได้แนะนำให้ซัยดฺอดทนอยู่กับนางต่อไป

และอีกไม่นานต่อมาเมื่อซัยดฺหมดแล้วซึ่งความอดทน ซัยดฺก็ได้หย่า(แยกทาง)กับซัยนับ อัลกุรอานได้ประทานลงมาอีกว่า

“เมื่อครั้นที่เจ้า(มุฮัมมัด)กล่าวกับผู้ที่อัลลอฮฺทรงโปรดปรานและเจ้าก็โปรดปรานเขาว่า “เจ้าจงครองคู่กับภรรยาเจ้าอย่างมั่นคงเถิดและจงยำเกรงอัลลอฮ์”

ทั้ง ๆ ที่เจ้าซ่อนเร้นไว้ในหัวใจของเจ้า ซึ่งสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงเปิดเผยออกมา และเจ้ากลัวมนุษย์ทั้ง ๆ ที่ความจริงอัลลอฮ์ต่างหาก

ที่เจ้าควรกลัวพระองค์เป็นที่สุด ต่อมา เมื่อซัยดฺได้สมประสงค์แล้วต่อภรรยาของเขา(ด้วยการหย่าขาด)และเราได้สมรสเจ้ากับนาง(ผู้เป็นภรรยาของซัยดฺ)

เพื่อจะได้ไม่เกิดความคับแค้นสำหรับบรรดาศรัทธาชน(ในการสมรสกับ)บรรดาภรรยาของบุตรบุญธรรมของพวกเขาเองทั้งนี้เมื่อพวกเขา(บุตรบุญธรรม)

ได้สมประสงค์จากพวกนาง(ด้วยการหย่าขาด)แล้ว และงานแห่งอัลลอฮ์ย่อมได้รับการกระทำให้ลุล่วงเสมอ” “(3)”
                                                                            ซูเราะฮ์อัลอะห์ซาบ โองการที่ 37

แล้วร่อซุล ศ้อลฯ ได้สมรสกับซัยนับ หลังจากนางพ้นอิดดะฮ์แล้ว ทั้งนี้โดยบัญชาจากอัลลอฮ์ ซุบหฯ ซึ่งมิใช่เป็นความปรารถนาของท่านศาสดาแต่อย่างใด

และนี่คือเหตุที่นางลำพองกว่าภรรยาคนอื่นของท่านศาสดา นางกล่าวว่า

“พวกเธอแต่งงานกับท่านศาสดา โดยครอบครัวของพวกเธอ แต่ฉันแต่งงานกับท่านศาสดาโดยพระเป็นเจ้าได้มีบัญชามาจากฟากฟ้า”
                                                                       (รายงานข้อความนี้โดยบุคอรีย์)

จบตอน 7/1


ในต้นฉบับไม่ได้ตัวบทกุรอานเป็นภาษาอาหรับ แต่ผู้คัดลอก(Bangmud)เห็นว่าน่าจะได้นำตัวบทมานำเสนอด้วย ดังนี้
“(1)”

“(2)”

“(3)”


โปรดติดตามตอนต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ม.ค. 20, 2010, 06:14 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: เมื่อพระศาสดาเป็นสามี
« ตอบกลับ #29 เมื่อ: ม.ค. 23, 2010, 07:10 AM »
0
 salam

ตอนที่ 7/2

ท่านศาสดาได้ทำบุญวะลีมะฮ์ในการสมรสครั้งนี้อย่างยิ่งใหญ่ โดยมีขนมปังและเนื้อแกะเป็นอาหาร ท่านศาสดาได้ทรงเชือดแกะ

และได้มอบหมายให้อะนัสเป็นผู้ไปเชื้อเชิญแขก ทุกคนร่วมรับประทานกันอย่างอิ่มหนำสำราญ แต่ก็ยังมีอาหารเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้เนื่องจากพระองค์ได้เอามือวางบนอาหารแล้วขอพรจึงทำให้อาหารนั้นมีความเป็นสิริมงคล(บ่ารอกัต)

อะนัสได้เล่าถึงเหตุการณ์ณืนี้ว่า เมื่อร่อซูลศ้อลเป็นสามีของซัยนับ โดยที่การสมรสนี้เกิดขึ้นที่มะดีนะฮ์  ท่านได้เชื้อเชิญให้แขกมาร่วม

รับประทานอาหารและฉลองสมรสในตอนเช้า ท่านร่อซูล ศ้อลฯ ได้นั่งร่วมอยู่กับบรรดาแขกรับเชิญเหล่านั้นด้วย จนกระทั่งแขกร่วม

ทยอยกลับ ท่านร่อซูล ศ้อลฯ จึงได้ยืนขึ้นส่งแขก และเมื่อแขกกลับหมดแล้ว ท่านได้เดินไปยังห้องของพระนางอาอิซะฮ์ ท่านร่อซูลได้

ปิดกั้นระหว่างฉันกับพระองค์ และต่อมา โองการที่เกี่ยวกับเรื่องหิญาบก็ถูกประทานมาว่า

   “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงอย่าเข้าบ้านของศาสดา นอกจากเจ้าจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปสู่อาหาร(ที่เตรียมจัดเลี้ยงไว้ก็จงเข้าไปเถิด)

 โดยพวกเจ้าไม่ต้องรีรอที่จะเข้าไปสู่อาหารนั้น แต่ว่า เมื่อพวกเจ้ารับประทานอาหารเสร็จแล้ว พวกเจ้าจงแยกย้ายกันออกไป และพวกเจ้า

จะต้องไม่เป็นผู้ที่ชื่นชอบกับการพูดคุย(ภายในบ้านศาสดา) เพราะแท้จริงการกระทำเช่นนั้นจะทำความรำคาญศาสดา แต่เขาก็ละอายพวกเจ้า

(ที่จะบอกให้รู้)และอัลลอฮ์ไม่ละอายต่อ(การแถลงในสิ่งที่เป็น)ความจริง และเมื่อพวกเจ้าได้ขอสิ่งของใดจากพวกนาง(ผู้เป็นชายาของศาสดา)

พวกเจ้าก็จงขอจากเบื้องหลังของม่านกั้น นั้นเป็นความสะอาดยิ่งสำหรับหัวใจของพวกเจ้าและหัวใจของพวกนาง และไม่อนุมัติให้พวกเจ้า

ก่อความรำคาญแก่ศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ และไม่อนุมัติที่พวกเจ้าจะสมรสกับคู่ครองของเขา(ศาสนทูต)ภายหลังจากเขา(เสียชีวิตไปแล้ว)จน

ตลอดไป แท้จริง (การสมรสกับคู่ครองของศาสนทูต)นั้นเป็น(บาปอัน)ยิ่งใหญ่ ณ อัลลอฮ์”         ซูเราะห์อัล-อะห์ซาบ โองการที่ 53

   อัล-กุรอานเกี่ยวกับเรื่องหิญาบประทานลงมาสอดคล้องประสานกับความคิดของอุมัรฺ อิบนุ้ลค๊อตต๊อบ ที่เคยบอกท่านนะบี ศ้อลฯว่า

 “โอ้ ท่านศาสดา ผู้ที่มาพบท่านมีทั้งคนดีและคนเลว หากท่านได้บัญชาให้บรรดาภรรยาของท่าน ซึ่งเป็นมารดาแห่งศรัทธาชนปกปิด

(หิญาบ)ก็น่าจะเป็นการดีมิใช่หรือ?

   นับแต่วันนั้น ท่านศาสดาได้บัญชาให้ภรรยาทุกคนหิญาบ บรรดาภรรยาของท่านศาสดา ต่างรับรู้เหตุการณ์ทุกขั้นตอนโดยเฉพาะ

ขั้นตอนแห่งการสมรสของท่านศาสดากับท่านหญิงซัยนับ ทุกคนรู้ดีว่า เป็นพระบัญชาของพระเป็นเจ้า จึงรู้และเข้าใจลึกลงไปว่านางคือ

ประทีป นางคือตวามอบอุ่นของพระศาสดา ท่านศาสดาต้องรักนางมาก ความรู้สึกเช่นนี้มีอยู่ในใจภรรยาแห่งศาสดาทุกคน และมีมาก

ที่สุดสำหรับภรรยาผู้ที่ศาสดารักและเอ็นดูมากที่สุด คือ ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อดิยั้ลฯ ผู้ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุดสำหรับการแต่งงาน

ของท่านศาสดากับซัยนับ จนนางถึงกับพูดว่า “ไม่มีภรรยาคนใดของท่านนะบี ศ้อลฯ ที่ทำให้ฉันต้องมีความรู้สึกถึงคำว่าสูญเสีย เหมือนซัยนับเลย"



หมายเหตุ ขนาดท่านเราะสูลเป็นผู้สื่อสาส์นของอัลลอฮฺแก่มนุษยชาติ ยังหนีไม่พ้นเรื่องความหึงหวงระหว่างภรรยา

เพราะฉะนั้นพวกเราที่ที่มีภรรยาหลายคนก็อย่าไปวิตกกังวลว่าจะไม่โดนปัญหานี้ แต่ทางที่ดีก็มีแต่คนเดียว

วัสสลาม



 

GoogleTagged