بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْم
اَلْحَمْدُ للهِ رَبِّ الْعَالَمِيْنَ وَ الصَّلاَةُ وَالسَّلاَمُ عَلىَ سَيِّدِنَا مُحَمَّدٍ وَعَليَ اَلِهِ وَصَحْبِهِ أَجْمَعِيْنَ...وَبَعْدُ
ความจริง การที่พี่น้องมุสลิมบางส่วนในเมืองไทย ทำอาหารเลี้ยงเป็นศ่อดาเกาะฮ์บุญสุนทานหรือเรียกกันว่า "กวนอาชูรออฺหรือเรียกว่าซูฆอ" หรือกระทำอาหารเลี้ยงพี่น้องในรูปแบบอื่น ๆ ก็ตามแต่ พวกเขายึดฮะดีษส่งเสริมให้มีใจบุญสุนทานดังกล่าวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม บทนี้มาปฏิบัติในแง่ของคุณค่าอะมัล ส่วนเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของท่านนบีนั๊วะห์ อะลัยฮิสลาม นั้น ถือว่านำมาเล่าขานเป็นปัจจัยประกอบภายนอกเท่านั้นเอง
ต่อไปนี้ ผมจะทำการวิภาษข้อเขียนบางประการของ อ.มุรีด และทำการเสนอแนะบางประการแก่พี่น้องผู้อ่านดังที่ผมจะนำเสนอต่อไปครับ
1.1 อ. มุรีด กล่าวว่า ความเข้าใจของมุสลิมบางคนที่เข้าใจว่าเฉพาะวันอาชูอาอฺต้องเน้นการบริจาค หรือเศาะดะเกาะฮฺเป็นพิเศษมากว่าวันอื่นๆ หรือไม่ก็เจาะจงทำบุญเฉพาะวันอาชูรออฺเท่านั้น นั่นถือว่าเป็นการเข้าใจอิสลามอย่างคลาดเคลื่อน อีกทั้งหากมีความเข้าใจเช่นนั้นเท่ากับว่าเขาได้กระทำบิดอะฮฺในศาสนาแล้ว เนื่องจากไม่มีแบบฉบับจากท่านนบีมุหัมมัด
วิภาษ
ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า
كَانَتْ قُرَيْشٌ تَصُومُ عَاشُورَاءَ فِي الْجَاهِلِيَّةِ وَكَانَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَصُومُهُ فَلَمَّا هَاجَرَ إِلَى الْمَدِينَةِ صَامَهُ وَأَمَرَ بِصِيَامِهِ فَلَمَّا فُرِضَ شَهْرُ رَمَضَانَ قَالَ مَنْ شَاءَ صَامَهُ وَمَنْ شَاءَ تَرَكَهُ
"ชาวกุเรชเคยทำการถือศีลอดวันอาชูรอในสมัยญาฮีลียะฮ์ และท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ทำการถือศีลอดเช่นกัน ดังนั้นในขณะที่ท่านได้อพยพสู่นครมะดีนะฮ์ ท่านได้ใช้ให้ทำการถือศีลอด(วันอาชูรอ) และในขณะที่เดือนรอมะฎอนถูกฟัรดู(ให้ถือศีลอด) ท่านร่อซูลุลลอฮ์ จึงกล่าวว่า ผู้ใดต้องการจะถือศีลอด ก็จงทำเถิด และผู้ใดที่ต้องการละทิ้ง ก็ละทิ้งเถิด" รายงานโดยมุสลิม (1897)
ฮะดีษนี้ได้บ่งชี้ให้เห็นว่า การทำความดีเนื่องในวันอาชูรอนั้นกว้างขวาง มิใช่เป็นเรื่องที่เจาะจงต้องทำการถือศีลอดเท่านั้น ดังนั้นผู้ใดสมัครใจทำการถือศีลอด ก็สมควรกระทำ และผู้ใดที่ไม่ต้องการถือศีลอด ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม บอกว่าไม่ต้องกระทำก็ได้ เพราะฉะนั้นผู้ใดที่เห็นพี่น้องมุสลิมใจบุญสุนทานทำอาหารเป็นพิเศษแก่ครอบครัวและเลี้ยงอาหารเผื่อแผ่พี่น้องมุสลิม แล้วฮุกุ่มว่าเป็นการกระทำบิดอะฮ์ฮะรอมลุ่มหลง เพราะไม่ยอมถือศีลอดสุนัต ถือว่าเขากำลังอุปโลกน์ฮุกุ่มในศาสนาขึ้นมาแบบล้ำหน้าท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั่นเอง วัลอิยาซุบิลลาฮ์!
การทำเศาะดะเกาะฮ์หรือทำบุญเลี้ยงอาหารในวันอาชูรออฺหรือเนื่องในวันอาชูรออฺนั้น ไม่เป็นบิดอะฮ์ลุ่มหลงตกนรกแต่ประการใด เป็นที่ทราบกันดีว่า วันที่ 9 และวันที่ 10 มุฮัรร็อม นั้น สุนัตให้ทำการถือศีลอด แต่กระนั้นก็ตาม มิได้หมายความว่าห้ามทำการเศาะดะเกาะฮ์หรือทำบุญเลี้ยงอาหารแก่ครอบครัวและพี่น้องมุสลิม เนื่องจากการทำความดีในวันที่ 9 และวันที่ 10 มุฮัรร็อมนั้น มิได้จำกัดเพียงแค่การถือศีลอดเท่านั้น เนื่องจากการเศาะดะเกาะฮ์และการทำบุญเลี้ยงอาหารแก่ครอบครัวและพี่น้องมุสลิม เป็นสิ่งที่ดีงามในศาสนาอิสลาม จะกลายมาเป็นบิดอะฮ์อุตริกรรมที่ลุ่มหลงเฉพาะในวันที่ 9 และวันที่ 10 มุฮัรร็อม ไม่ได้อย่างแน่นอนและเด็ดขาด นอกจากต้องมีหลักฐานมาระบุเจาะจง ( اَلْخَاصُّ ) ว่า การใจบุญสุนทานและการทำบุญเลี้งอาหารแก่ครอบครัวและพี่น้องมุสลิม เป็นสิ่งที่ฮะรอมเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้ว ผู้ที่บอกว่าการใจบุญสุนทานเลี้ยงอาหารเป็นพิเศษแก่ครอบครัวและพี่น้องมุสลิมเป็นบิดอะฮ์ลุ่มหลง เขาย่อมอุปโลกน์ฮุกุ่มในศาสนาที่ใกล้เคียงกับการทำบิดอะฮ์ยิ่งกว่านั่นเอง
อนึ่ง การที่มุสลิมคนบางท่านที่ใจบุญสุนทานได้ทำอาหารเลี้ยงแก่ครอบครัวเป็นพิเศษ สร้างความปีติยินดีและความเบิกบานแก่พวกเขานั้น ย่อมเป็นซุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตามนัยยะของซุนนะฮ์ที่ส่งเสริมให้เลี้ยงอาหารเป็นทานโดยรวม พร้อมกันนั้นการรวมเชิญชวนพี่น้องมุสลิมให้มาร่วมรับประทานอาหารด้วยกันนั้น ย่อมไม่ออกไปจากกรอบของซุนนะฮ์นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้น ในวันอาชูรออฺยังมีฮะดีษที่ฮะซัน(ฮะดีษระดับดี)ได้ระบุส่งเสริมหลักการดังกล่าวเอาไว้อีกด้วย
1.2 อ.มุรีด กล่าวว่า ส่วนการอ้างหะดีษที่มีสำนวนว่า "บุคคลใดที่ใจบุญสุนทานต่อครอบครัวของเขาในวันอาชูรออฺ เช่นนั้นพระองค์อัลลอฮฺทรงประทานความกว้างขวาง (ริซกีย์) ให้แก่บุคคลผู้นั้นตลอดทั้งปี" (บันทึกโดยอิบนุอับดิลบัรฺ) ซึ่งหะดีษข้างต้นไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิงได้เลยแม้แต่น้อยเพราะเป็นหะดีษเฎาะอีฟ , ดูหนังสือฎออีฟอัลญาเมี๊ยะอฺ เล่ม 5 หน้า 5873)
วิภาษ
ฮะดีษส่งเสริมให้มีใจบุญสุนทานดังกล่าวนั้น เป็นฮะดีษฎออีฟในระดับที่อยู่บนพื้นฐานหรืออยู่ในกรอบศาสนาซึ่งสามารถนำมาปฏิบัติในเรื่องคุณความดีได้ ยิ่งกว่านั้นยังถูกยกฐานะให้เป็นฮะดีษฮะซันด้วยการรวมสายรายงานต่าง ๆ มาสนับสนุนค้ำจุนตามหลักวิชาพิจารณาฮะดีษ
ท่านอะบูสะอีด อัลคุฏรีย์ ได้รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
مَنْ وَسَّعَ عَلَى عِيَالِهِ يَوْمَ عَاشُورَاءَ وَسَّعَ اللَّهُ عَلَيْهِ سَائِرَ سَنَتِهِ
"บุคคลใดที่ใจบุญสุนทานต่อครอบครัวของเขาในวันอาชูรออฺ เช่นนั้นพระองค์อัลลอฮฺทรงประทานความกว้างขวาง (ริซกีย์) ให้แก่บุคคลผู้นั้นตลอดทั้งปี" รายงานท่านอัลเฏาะบะรอนีย์ในหนังสือ อัลมั๊วะญัม อัลเอาสัฏ , ท่านอัลบัยฮะกีย์ได้รายงานไว้หนังสือชุอะบุลอีหม่าน , ดูหนังสือ อัลญาเมี๊ยะอัศศ่อฆีร ฮะดีษที่ 9075 ของท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ และอิมามอันสะยูฏีย์กล่าวว่า เป็นฮะดีษใจบุญสุนทานในวันอาชูรอนั้น ซอฮิห์
ท่านอัลฮาฟิซฺ อัลมุวาวีย์ ได้กล่าวอธิบายฮะดีษที่ (9075) ไว้ในหนังสือ ฟัยดุลก่อดีร ชัยห์ อัลญาเมี๊ยะอฺ อัศศ่อฆีร ความว่า
وَذَلِكَ مُجَرَّبٌ لِلْبَرَكَةِ وَالتَّوْسِعَةِ، قَالَ جَابِرُ الصَّحَابِيُّ : جَرَّبْنَاهُ فَوَجَدْنَاهُ صَحِيْحاً وَقَالَ ابْنُ عُيَيْنَةَ : جَرَّبْنَاهُ خَمْسِيْنَ أَوْ سِتِّيْنَ سَنَةً
"(ฮะดีษดังกล่าว)ได้ถูกทดลองนำมาปฏบัติเพื่อความบะรอกัตและให้มีความกว้างขวางในการดำเนินชีวิต(ไม่คับแค้น) ท่านญาบิรผู้เป็นซอฮาบะฮ์ ได้กล่าวว่า เราได้ทำการทดลองนำฮะดีษนี้มาใช้ ปรากฏว่าถูกต้อง(เป็นไปตามที่ฮะดีษได้ระบุไว้) และท่านอิบนุอุยัยนะฮ์ กล่าวว่า เราได้ทำการทดลองกระทำตามฮะดีษนี้(ได้ผล)ถึงห้าสิบหรือหกสิบปี" และท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ได้กล่าวเช่นกันว่า "ท่านอะบูซุบัยร์และท่านชั๊วะอฺบะฮ์ได้กล่าวไว้เช่นเดียวกับท่านญาบิร" หนังสืออัลละอาลิอุลมัศนูอะฮ์ 4/134
ท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ กล่าวว่า
أَخْرَجَهُ الْبَيْهَقِيُّ فِي الشُّعَبِ مِنْ حَدِيْثِ أَبِيْ سَعِيْدٍ الْخُدْرِيِّ وَأَبِيْ هُرَيْرَةَ وَابْنِ مَسْعُوْدٍ وَجَابِرٍ، وَقَالَ: أَسَانِيْدُهُ كُلُّهَا ضَعِيْفَةٌ، وَلَكِنْ إِذَا ضُمَّّ بَعْضُهَا إِلَى بَعْضٍ أَفَادَهُ قُوَّةً
"ได้นำเสนอรายงานฮะดีษ(ส่งเสริมให้มีใจบุญสุนทานดังกล่าวนั้น)โดยท่านอัลบัยฮะกีย์ไว้ในหนังสือชุอะบุลอีหม่าน จากฮะดีษท่านอะบีสะอีด อัลคุฏรีย์ , ท่านอะบูฮุร็อยเราะฮ์ , ท่านอิบนุมัสอูด , และท่านญาบิร , และท่านอัลบัยฮะกีย์ ได้กล่าวว่า "บรรดาสายรายงานของฮะดีษนี้ทั้งหมดฎออีฟ แต่ทว่าเมื่อนำสายรายงานมารวมสนับสนุนซึ่งกันและกัน ยังผลทำให้ฮะดีษ(ส่งเสริมให้มีใจบุญสุนทานดังกล่าวนั้น)มีน้ำหนัก" หนังสืออันนุกัต อัลบะดีอาต หน้า 198-199
ท่านอัลฮาฟิซฺ อะบูลฟัฏล์ อัลอิรอกีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสืออัลอะมาลีของท่านว่า
حَدِيْثُ أَبِيْ هُرَيْرَةَ وَرَدَ مِنْ طُرُقٍ صَحَّحَ بَعْضُهَا الْحَافِظُ أَبُوْ الفَضْلِ بْنُ نَاصِرٍ، وَأَوْرَدَهُ ابْنُ الْجَوْزِيُّ فِي الْمَوْضُوْعَاتِ مِنْ طَرِيْقِ سُلَيْمَانَ ابْنِ أَبِيْ عَبْدِ اللهِ عَنْهُ. وَقَالَ سُلَيْمَانُ : مَجْهوْلٌ وَسَلَيْمَانُ ذَكَرَهَ اِبْنُ حِبَّانَ فِي الثِّقَاتِ. قَالَ : فَالْحَدِيْثُ حَسَنٌ عَلىَ رَأْيِهِ
"ฮะดีษของท่านอะบูฮุร็อยเราะฮ์(ที่รายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้)ได้รายงานมาหลายกระแสด้วยกัน ซึ่งท่านอัลฮาฟิซฺ อะบุลฟัฏล์ บิน นาซิร ได้ตัดสินสายรายงานบางส่วนว่าซอฮิห์ , และท่านอิบนุเญาซีย์ได้นำเสนอฮะดีษ(ดังกล่าว)ไว้ในหนังสือ อัลเมาฎูอาต ของท่านจากสายรายงานของสุไลมาน บิน อะบีอับดิลลาฮ์ จากอะบูฮูร็อยเราะฮ์ และท่านอิบนุเญาซียืกล่าวว่า "สุไลมาน" นี้มัจญฺฮูล(ไม่รู้สถานภาพ) โดยที่ท่านอิบนุฮิบบานได้นำสุไลมานไปกล่าวไว้ในหนังสือ อัษษิก็อตของท่าน(4/314) และท่านอัลฮาฟิซฺ อะบุลฟัฏล์ บิน นาซิร กล่าวว่า : ฮะดิษนั้น ถือว่าฮะซัน(ฮะดีษดี) ตามทัศนะของท่านอิบนุฮิบบาน" อ้างอิงแล้ว หน้า 199
ท่านอัลฮาฟิซฺ อะบูลฟัฏล์ อัลอิรอกีย์ ได้กล่าวเช่นกันว่า
وَحَدِيْثُ أَبِيْ سَعِيْدٍ أَخْرَجَهُ اِبْنُ رَاهَوَيْهِ فِيْ مُسْنَدِهِ وَالْبَيْهَقِيُّ مِنْ طَرِيْقِ عَبْدِ اللهِ بْنِ نَافِعٍ ، عَنْ أَيُّوْبَ بْنِ سُلَيْمَانَ بْنِ مِيْنَاءَ ، عَنْ رَجُلٍ ، عَنْ أَبٍيْ سَعِيْدٍ . قَالَ الْحَافِظُ إِبْنُ حَجَرٍ : لَوْلاَ الرَّجُلُ الْمُبْهَمُ لَكَانَ إِسْنَاداً جَيِّداً لَكِنَّهُ يُقَوَّي بِمَا أَخْرَجَهُ الطَبَرَانِيُّ مِنْ طَرِيْقِ مُحَمَّدٍ بْنِ إِسْمَاعِيْلَ الْجَعْفَرِيِّ ، عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ مَسْلَمَةَ الرَّبَعِيِّ ، عَنْ مُحَمَّدٍ بْنِ عَبْدِ اللهِ بْنِ عَلِيٍّ بْنِ عَبْدِ الرَّحْمَنِ اَبِيْ صَعْصَعَة ، عَنْ أَبِيْهِ عَنْ أَبِيْ سَعِيْدٍ. وَالْجَعْفَرِيُّ وَمَنْ فَوْقَهُ مَدَنِيُّوْنَ مَعْروفُوْنَ ، وَالْجَعْفَرِيُّ ضَعَّفَهُ أَبُوْ حَاتِمٍ ، وَشَيْخُهُ ضَعَّفَهُ أَبُوْ زُرْعَةَ
"ฮะดีษของท่านอะบูสะอีด(อัลคุฎรีย์)นั้น ท่านอิบนุรอฮะวัยฮ์ ได้นำเสนอรายงานไว้ในหนังสือมุสนัดของท่าน และท่านอัลบัยฮะกีย์ได้นำเสนอรายงานจากอับดุลลอฮ์ บิน นาฟิอฺ จากอะบูอัยยูบ บิน สุลัยมาน บิน มีนาอฺ , จากชายคนหนึ่ง จากอะบูสะอีด , ซึ่งท่านอัลฮาฟิซฺ อิบนุ ฮะญัร ได้กล่าวว่า หากไม่มีชายคนหนึ่งที่มีสถานะภาพคลุมเครือนี้ แน่นอนว่าฮะดีษย่อมเป็นสายรายงานที่ดี แต่ทว่าฮะดีษ(ส่งเสริมให้มีใจบุญสุนทานดังกล่าวนั้น)ได้ถูกสนับสนุนให้น้ำหนักด้วยฮะดีษที่นำเสนอรายงานโดยท่านอัฏเฏาะบะรอนีย์ จากสายรายงานของมุฮัมมัด บิน อิสมาอีล อัลญะฟะรีย์ จากอับดิลลาฮ์ บิน มัสละมะฮ์ อัรร่อบะอีย์ จากมุฮัมมัด บิน อับดิลลาฮ์ บิน อะลี บิน อับดิรเราะห์มาน อะบี เศาะศ่ออะฮ์ จากบิดาของเขา จากท่านอะบี สะอีด. ส่วนอัลญะฟะรีย์และผู้รายงานก่อนหน้าเขาขึ้นไปนั้นเป็นชาวมะดีนะฮ์ที่ถูกรู้จักกันดี และอัลญะฟะรีย์เองนั้น ท่านอะบูฮาติมถือว่าเขาฎออีฟ ส่วนอาจารย์ของอัลญะฟะรีย์ (คือ อับดิลลาฮ์ บิน มัสละมะฮ์ อัรร่อบะอีย์)นั้น ท่านอะบูซุรอะฮ์ได้กล่าวฎออีฟกับเขา" อ้างอิงแล้ว หน้า 199
บ่าวของอัลเลาะฮ์ผู้ต่ำต้อย ขอกล่าวว่า : ฮะดีษฎออีฟดังกล่าวนี้ หากมีฮะดิษสายรายงานอื่นที่ระดับสูงกว่ารายงานมา หรือมีฏออีฟระดับเท่ากัน หรือมีหลายสายรายงานที่ระดับต่ำกว่าได้รายงานมา ก็สามารถนำมาสนับสนุนฮะดีษฎออีฟได้ พร้อมทั้งยกระดับเป็นฮะดีษ "ฮะซัน(ฮะดีษระดับดี)" ตามหลักวิชาพิจารณาฮะดีษ วัลลอฮุอะลัม
ท่านอัลลามะฮ์ อัลมุฮัดดิษ อับดุลฮัยย์ อัลลักนะวีย์ ได้กล่าวว่า
وَقَالَ الْمُنْذِرِيُّ فِيْ كِتَابِ التَّرْغِيْبِ وَالتَّرْهِيْبِ رَوَاهُ الْبَيْهَقِيُّ مِنْ طُرُقٍ عَنْ جَمَاعَةٍ مِنَ الصَّحَابَةِ وَقَالَ الْبَيْهَقِيُّ : هَذِهِ الأَسَانِيْدُ وَإِنْ كَانَتْ ضَعِيْفَةً فَهِيَ إِذَا ضُمَّ بَعْضُهَا إِلَى بَعْضٍ أَخَذَتْ قُوَّةً
"ท่านอัลมุนซิรีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ อัตตัรฆีบ วัตตัรฮีบ ความว่า ได้รายงานฮะดีษนี้โดยท่านอัลบัยฮะกีย์ จากสายกระแสจากซอฮาบะฮ์กลุ่มหนึ่ง และท่านอัลบัยฮะกีย์กล่าวว่า "บรรดาสายรายงานเหล่านี้ และแม้ว่าฎออีฟ แต่ทว่าเมื่อนำสายรายงานมารวมสนับสนุนซึ่งกันและกัน ยังผลทำให้ฮะดีษ(ส่งเสริมให้มีใจบุญสุนทานดังกล่าวนั้น)มีน้ำหนัก" หนังสือ อัลอาษาร อัลมัรฟูอะฮ์ ฟิลอัคบาร อัลเมาฏูอะฮ์ หน้า 97
ท่านอัลฮาฟิซฺ อัลอิรอกีย์ ได้กล่าวว่า
وَرَوَاهُ الْبَيْهَقِيُّ مِنْ رِوَايَةِ ابْنِ الْمُنْكَدِرِ عِنًهُ وَقَالَ إِسْنَادُهُ ضَعِيْفٌ وَرَوَاهُ ابْنُ عَبْدِ البَّرِّ فِيْ الاِسْتِذْكَارِ مِنْ رِوَايَةِ أَبِي الزُّبَيْرِ عَنْهُ وَهِيَ عَلى شَرْطِ مُسْلِمٍ قَالَ الْبَيْهَقِيُّ : هَذِهِ الأَسَانِيْدُ وَإِنْ كَانَتْ ضَعِيْفَةً فَهِيَ إذَا ضُمَّ بَعْضُهَا إِلَى بَعْضٍ أَحْدَثَتْ قُوَّةً هَذَا مَعَ كَوْنِهِ لَمْ تَقَعْ لَهُ رِوَايَةُ أَبِيْ الزُّبَيْرِ عَنْ جَابِرِ الَّتِيْ هِيَ أَصَحُّ طَرُق الْحَدِيْثِ
"รายงานฮะดีษ(เกี่ยวกับความประเสริฐของวันอาชูรออฺดังกล่าว)โดยท่านอัลบัยฮะกีย์ จากสายรายงานของ อิบนุ มุนกะดิร จากท่านญาบิร และท่านอัลบัยฮะกีย์กล่าวว่า ฮะดีษฎออีฟ และได้รายงานงานฮะดีษ(ดังกล่าว)โดยอิบนุอับดิลบัรริ ไว้ในหนังสือ อัลอิสติซฺการ จากรายงานของอะบี อัซซุบัยร จากท่านญาบิร ซึ่งเป็นสายรายงานที่อยู่บนเงื่อนไขของท่านมุสลิม และท่านอัลบัยฮะกีย์กล่าวว่า ว่า "บรรดาสายรายงานเหล่านี้ แม้ว่าฎออีฟ แต่ทว่าเมื่อนำบรรดาสายรายงานมารวมสนับสนุนซึ่งกันและกัน ยังผลทำให้ฮะดีษ(ส่งเสริมให้มีใจบุญสุนทานดังกล่าวนั้น)มีน้ำหนัก พร้อมกันนี้ ยังมีฮะดีษสายรายงานของท่านอะบีอัซซุบัยร์ที่รายงานจากท่านญาบิร และท่านอัลบัยฮะกีย์ก็ได้รายงานเอาไว้ ซึ่งเป็นสายรายงานที่ดีที่สุดจากบรรดาสายรายงานต่าง ๆ ของฮะดีษ(เกี่ยวกับเรื่องนี้)อีกด้วย" หนังสืออันนุกัต อัลบะดีอาต หน้า 198-199
หมายถึง ฮะดีษที่ท่านอัลบัยฮะกีย์รายงานจาก อิบนุ มุนกะดิร จากท่านญาบิร นั้น ท่านอัลบัยฮะกีย์ตัดสินว่าเป็น "ฮะดีษฮะซัน" หลังจากทำการรวมฮะดีษแล้ว แต่ยิ่งกว่านั้น ยังมีสายรายงานของท่านอะบีอัซซุบัยร์ จากท่านญาบิร เสริมเข้ามาอีก ซึ่งทำให้การสนับสนุนฮะดีษมีน้ำหนักยิ่งขึ้นไปอีกนั่นเอง
ท่านอัลลามะฮ์ อัลมุฮัดดิษ อับดุลฮัยย์ อัลลักนะวีย์ ได้กล่าวว่า
وَفِيْ جَوَاهِرِ الْعُقْدَيْنِ فِيْ فَضْلِ الشَّرَفَيْنِ لِنُوْرِ الدِّيْنِ السَّمْهُوْدِيِّ : لاَ يلْزَمُ مِنْ قَوْلِ أَحْمَدَ فِيْ حَدِيْثِ التَّوْسِعَةِ أَنَّهُ لاَ يَصِحُّ أَنْ يَكُوْنَ بَاطِلاً فَقَدْ يَكُوْنُ غَيْرَ صَحِيْحٍ وَهُوَ صاَلِحٌ لِلاِحْتِجَاجِ بِهِ إِذِ الحَسَنُ رُتْبَتُهُ بَيْنِ الصَّحِيْحِ وَالضَّعِيْفِ
"ในหนังสือญะวาฮิร อัลอุกดัยน์ ฟี ฟัฏลิชชะรีฟัยน์ ของท่านนูรุดดีน อัซซัมฮูดีย์ กล่าวว่า คำกล่าวของท่านอะห์มัดที่ว่าฮะดีษใจบุญสุนทานในวันอาชูรออฺไม่ซอฮิห์นั้น ไม่จำเป็นที่ฮะดีษจะต้องโมฆะเสมอไป เพราะบางทีฮะดีษไม่ซอฮิห์ก็จริง แต่ทว่าเป็นฮะดีษ(ส่งเสริมให้มีใจบุญสุนทานดังกล่าว)นั้นเหมาะที่จะได้รับการสนับสนุนเพื่อนำมาเป็นหลักฐานได้ เนื่องจากฮะดีษฮะซันนั้น ระดับของมันอยู่ระหว่างฮะดีษซอฮิห์กับฮะดีษฏออีฟ" หนังสือ อัลอาษาร อัลมัรฟูอะฮ์ ฟิลอัคบาร อัลเมาฏูอะฮ์ หน้า 99
ท่านอัลลักนาวีย์ ได้กล่าวอีกว่า
وَفِيْ تَنْزِيِهِ الشَّرِيْعَةِ قَوْلُ الإِمَامِ أَحْمَدَ لاَ يَصِحُّ ؛ لاَ يَلْزَمُ مِنْهُ أَنْ يَكُوْنَ بَاطِلا كَمَا فَهِمَهُ ابْنُ الْقَيِّمِ فَقَدْ يَكُوْنُ الْحَدِيْثُ غَيْرَ صَحِيْحٍ وَهُوَ صَالِحٌ لِلاِحْتِجَاجِ بِهِ بِأَنْ يَكُوْنَ حَسَناً
"ในหนังสือตันซีฮฺ อัชชะรีอะฮ์ ได้กล่าวว่า คำพูดของท่านอิมามอะห์มัดที่ว่า "ฮะดีษไม่ซอฮิห์" นั้น ไม่จำเป็นที่ฮะดีษต้องโมฆะเสมอไปดังที่ท่านอิบนุก็อยยิมเข้าใจ เพราะบางครั้งฮะดีษที่ไม่ซอฮิห์นั้น มันเป็นฮะดีษที่เหมาะสำหรับการได้รับสนับสนุนเพื่อนำมาเป็นหลักฐานได้ ด้วยการทำให้เป็นฮะดีษฮะซัน" อ้างอิงแล้ว หน้า 99
ท่านอัลฮาฟิซฺ อัลอิรอกีย์ กล่าวว่า
وَأَمَّا قَوْلُ الشَّيْخِ تَقِيِّ الدِّيْنِ بْنِ تَيْمِيَّة إِنَّ حَدِيْثَ التَّوْسِعَةِ مَا رَوَاهُ أَحَدٌ مِنَ الأَئِمَّةِ وَإِنْ أَعْلىَ مَا بَلَغَهُ مِنْ قَوْلِ ابْنِ الْمُنْتَشِرِ فَهُوَ عَجَبٌ مِنْهُ كَمَا تَرَى وَقَدْ جَمَعْتُ طُرُقَهُ فِيْ جُزْءٍ
"สำหรับคำกล่าวของชัยค์ตะกียุดดีน อิบนุ ตัยมียะฮ์ ที่ว่า ฮะดีษใจบุญสุนทานในวันอาชุรออฺนั้น ไม่มีปราชญ์คนใดทำการรายงานนั้นเลย และมากสุดสิ่งที่รายงานก็คือมาจากคำพูดของอิบนุ อัลมุนตะชิร ดังนั้นคำพูดของชัยค์อิบนุ ตัยมียะฮ์ จึงเป็นความน่าแปลกใจ ดังที่ท่านได้เห็น แต่ทว่าฉันได้ทำการรวบรวมสายรายงานต่าง ๆ ของฮะดีษนี้ไว้ในเป็นส่วน(เอกเทศน์เพื่อยืนยันว่ามีสายรายงานถึงท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)" หนังสืออัลละอาลิอุลมัสนูอะฮ์ ฟี อะฮาดีษิลเมาฎูอะฮ์ 2/113 ของท่านอิมามอัสสะยูฏีย์
อนึ่ง ท่านอัชเชากานีย์ได้มีความเห็นพร้องกับท่านอิบนุ อัลเญาซีย์ และท่านอิบนุตัยมียะฮ์ ในการตัดสินว่าฮะดีษเรื่องดังกล่าวนั้น เป็นฮะดีษเมาฎั๊วะอฺ แต่ท่านอัลลามะฮ์อัลลักนาวีย์ ได้กล่าวว่า
وَجْهُ الْبُطْلاَنِ أَنَّهُ كَيْفَ يَكُوْنُ مَا قَالَ ابْنُ الْجَوْزِيِّ وَابْنُ تَيْمِيَّةُ حَقًّا مَعَ كَوْنِهِمَا مِنَ الْمُشَدِّدِيْنَ الْمُتَعَنِّتِيْنَ فِي الْحُكًمِ بِالوَضْعِ...وَقَدْ تَعَقَّبَهُمَا جَمْعٌ مِنَ الْعُلَمَاءِ الْمُحَقِّقِيْنَ وَأَثْبَتُوْا كَوْنَ الْحَدِيْثِ حَسَناً إِمَّا لِذَاتِهِ بِبِعْضِ أَسَانِيْدِهِ وَإِمَّا لِغَيْرِهِ بِجَمْعِ أَسَانِيْدِهِ بِالْبَرَاهِيْنِ لاَ بِمُجَرَّدِ الظَّنِّ وَالتَّخْمِيْنِ فَانْظُرْ إِلَى مَا قَالَ وَلاَ تَنْظُرْ إِلىَ مَنْ قَالَ وَكَذَا بَطَلَ الْحُكْمُ فِيْ قَوْلِ ابْنِ تَيْمِيَّةِ فِيْ مِنْهَاجِ السُّنَّةِ...كُلُّ ذَلِكَ كَذْبٌ عَلَى رَسُوْلِ اللهِ لَمْ يَصِحَّ فِيْ عَاشُوْرَاءِ إِلَّا فِيْ فَضْلِ صِيَامِهِ اِنْتَهَى...لَكِنْ كَذْبُ حَدِيْثِ التَّوْسِعَةِ عَلىَ العِيَالِ لَيْسَ بِصَحِيْحٍ بَلْ هُوَ حَسَنٌ مُحْتَجٌّ بِهِ...فَاحْفَظْ هَذَا كُلَّهُ يَنْفَعْكَ فِي الدُّنْيَا وَالآخِرَةِ
"หนทางหักล้าง ก็คือ คำกล่าวของท่านอิบนุอัลเญาซีย์และท่านอิบนุตัยมียะฮ์จะถูกต้องได้อย่างไร ในเมื่อทั้งสองนั้นเป็นผู้ที่เกินเลยในการตัดสินฮะดีษว่าเมาฏั๊วะ...และแท้จริงมีปราชญ์กลุ่มหนึ่งที่แน่นแฟ้นในวิชาความรู้ได้ทำการวิจารณ์ทั้งสอง และพวกเขายืนยันว่าฮะดีษ(ที่ส่งเสริมให้ใจบุญสุนทานในวันอาชูรออฺ)นั้น บางสายรายงานเป็นฮะดีษฮะซัน และบางรายงานเป็นฮะดีษฮะซันโดยได้รับการสนับสนุนจากสายรายงานอื่น ๆ พร้อมการรวมสายรายงานต่าง ๆ ด้วยการมีบรรดาหลักฐานมายืนยัน ไม่ใช่เพียงแค่คาดคะเนหรือคาดเดา ดังนั้นท่านจงพิจารณาสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่พิจารณาตัวผู้พูด และย่อมเป็นการฮุกุ่มที่ไร้ผลเช่นเดียวกันในคำพูดของท่านอิบนุตัยมียะฮ์จากหนังสือมินฮาจญุสซุนนะฮ์(ของท่านอิบนุตัยมียะฮ์)ที่ว่า...ทั้งหมดสิ่งดังกล่าว(คือคุณค่าอะมัลต่าง ๆ ในวันอาชูรออฺ)นั้น เป็นการโกหกต่อท่านร่อซูลุลลอฮ์ ซึ่งไม่มีสิ่งใดซอฮิห์เกี่ยวกับวันอาชูรออฺเลย นอกจากคุณค่าอะมัลของการถือศีลอดวันอาชูรออฺเท่านั้น...(ท่านชัยค์ อัลลักนะวีย์กล่าวโต้แย้งท่านอิบนุตัยมียะฮ์ว่า) แต่การกล่าวตัดสินว่าฮะดีษเรื่องใจบุญสุนทานในวันอาชูรออฺต่อครอบครัวเป็นการโกหกนั้น ถือว่าเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้อง เพราะฮะดีษ(ส่งเสริมให้มีใจบุญสุนทานดังกล่าวนั้น)เป็นฮะดีษฮะซันที่นำมาอ้างเป็นหลักฐานได้...ดังนั้นท่านจงจำทั้งหมดนี้เอาไว้ แล้วมันจะยังคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งดุนยาและอาคิเราะฮ์" อ้างอิงสรุปจากหนังสือ อัลอาษาร อัลมัรฟูอะฮ์ ฟิลอัคบาร อัลเมาฏูอะฮ์ หน้า 102
ดังนั้น การใจบุญสุนทานทำอาหารพิเศษแก่ครอบครัวและพี่น้องมุสลิมในวันอาชูรอหรือเนื่องในวันอาชูรอนั้น จะแบบหวานหรือแบบคาว หรือทำอาหารในรูปแบบใดก็ตาม ย่อมไม่เป็นบิดอะฮ์ แต่เป็นสิ่งที่มุบาห์ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นการสนองตามฮะดีษของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อีกด้วย