ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อนายยาซีน แกละมงคล (วะฮาบี) ได้วิจารณ์ซูฟีย์กับตับลีฆแบบอธรรมและไม่เข้าใจ  (อ่าน 7730 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
บังอัล

เขาย้ำถึงความเขลา

แปลเป็นอาหรับ  ก็คือ ยาฮิล

ผมเองและอีกหลายๆคนก็ยังมีความยะฮิลอีกมาก ในความรู้

โดยเฉพาะตะเซาวุฟ แล้วเราจะกล้าดีได้อย่างไร 

ไปพูดในสิ่งที่เราไม่มีความรู้พอ

แต่ที่รู้คือ บังยาซีนพูดในเรื่องนี้ไม่ถูกแน่นอนครับ
นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
แต่ก่อนจะถึงระดับการฟะนาอ์นี้ได้นั้นก็ต้องมี “ มะรีฟัต ”เสีย ก่อน คือ การบรรลุถึงความรู้ถึงพระเจ้าอย่างแท้จริง ที่เกิดจากญาณวิสัย ความรู้ที่ประจักษ์แจ้งโดยมิต้องอาศัยสื่อใดๆ โดยนักซูฟีย์จะเรียกว่า “ กัชฟ์ ”  และคนกลุ่มนี้ว่าจะถูกเรียกขานว่า “ อะห์ลิ้ล กัชฟ์ ” เป็น คุณลักษณะของซูฟีย์ในอีกระดับหนึ่ง เรียกง่ายๆว่าเป็นระดับชั้นแนวหน้าของนักซูฟีย์ (ซึ่งญามาอะห์ตับลีฆนั้นคุ้นเคยดีกับคำนี้ดีเพราะมีปรากฏอยู่ในหนังสือ “คุณค่าอาม้าล” หลายต่อหลายแห่ง) แต่ว่าก่อนจะมี “ มะรีฟัต ” โดย อาศัย “ กัซ ” นั้น ก็ต้องผ่านการฝึกฝน ตรากตรำ บำเพ็ญตน ละแล้วซึ่งกิเลสตันหาราคะ มุ่งปฏิบัติอิบาดะห์อย่างเคร่งครัด ต่อสู้กับนัฟซูใฝ่ต่ำของตน เรียกว่าการ “ มูญาฮาดะห์(ความเพียรพยายาม) ” ซึ่งญามาอะห์ตับลีฆนั้นผู้เขียนเข้าใจว่ายังอยู่แค่ในระดับนี้เท่านั้น คือระดับล่างๆเป็นระดับพื้นฐานนั่นเอง"   

بِسْمِ اللهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْمِ

คุณยาซีนให้ความหมายคำว่า “มะรีฟัต”  คือ  “การบรรลุถึงความรู้ถึงพระเจ้า...”  ถือว่าไม่ละเอียดและไม่รู้จริง  และคำพูดของคุณยาซีนที่ว่าการ “กัชฟ์” เกิดจาก “ญาณวิสัย”  ถือว่าเป็นความเขลาอย่างมิต้องสงสัย  ส่วนการพูดคำของคุณยาซีนที่ว่า “ละซึ่งกิเลสตันหาราคะ” นั้นเป็นคำพูดที่เกิดจากความเขลา  เพราะนั่นหมายถึงมะลาอิกะฮ์กันเลยน่ะครับ  มนุษย์ก็คือมนุษย์แต่กิเลสตันหานั้น  เขายับยั้งระงับมันได้เท่านั้นเอง  โดยไม่ไปหลงใหลกับอารมณ์ใฝ่ต่ำ  คุณลักษณะธรรมชาติของมนุษย์นั้น  ก็ยังคงอยู่ในตัวของมนุษย์  แต่ซูฟีย์เขาจะใช้มันในหนทางที่พอดี  มีอารมณ์ก็นำไปใช้กับภรรยาและให้กำเนิดลูกหลานไม่ใช่เกินเลยไปทำซินา   มีความเห็นแก่ตัวเวลาใครทำร้ายเขาก็มีความโกรธเพื่อป้องกันตัวเองและไม่ให้ผู้อื่นมาอธรรม  ทรัพย์สินที่เขามีก็ต้องเห็นแก่ตัวแบบพอดีคือเก็บไว้ใช้จ่ายแก่ครอบครัวไม่ใช่นำไปใช้แบบสุรุ่ยสุร่าย  และลักษณะธรรมชาติอื่น ๆ ของมนุษย์  ที่อยู่บนความพอดีโดยไม่ตัดทิ้งและไม่เกินเลย   

อนึ่ง  การไม่เรียนวิชาตัจญฺวีด  แต่อยากสอนอัลกุรอาน  ย่อมสอนผิด ๆ ถูก ๆ  , การสอนวิธีละหมาดโดยมิได้เรียนวิชาฟิกห์  ทำให้ผู้เรียนปฏิบัติผิด ๆ ถูก ๆ ,  การนำเสนอวิชาตะเซาวุฟที่เกี่ยวกับเรื่องความละเอียดละออของจิตใจ  หากเพียงแค่ไปค้นอ่านตามตำราที่โจมตีตะเซาวุฟโดยไม่ได้ร่ำเรียนมา  ย่อมเกิดความเขลาอย่างเปรียบหามิได้   ดังนั้นการศึกษาวิชาความรู้  ต้องมีครู  มีอาจารย์  มีผู้คอยสอนคอยแนะนำ   เช่นวิชาตัจญฺวีด  หากเรียนเองไม่มีครูคอยแนะนำคอยสอน  ก็ไม่มีวันจะอ่านอัลกุรอานได้อย่างถูกต้อง  ยิ่งวิชาตะเซาวุฟเป็นวิชาที่ว่าด้วยเรื่องของจิตใจที่อยู่ภายใน  ยิ่งต้องมีครูและอาจารย์คอยสอนและแนะนำ

ท่านหญิงอาอิชะฮ์  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮา  ได้รายงานว่า  ท่านนบี  ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวว่า

إِنَّ اللهَ لَمْ يَبْعَثْنِيْ مُعَنِّتًا وَلاَ مُتَعَنِّتًا وَلَكِنْ بَعَثَنِيْ مَعَلِّمًا مُيَسِّرًا

"แท้จริงอัลเลาะฮ์ไม่เคยแต่งตั้งฉันขึ้นมา  ในลักษณะของผู้ที่สร้างความยากลำบากและผู้ที่สร้างความเดือนร้านต่อผู้อื่น  แต่ทว่าพระองค์ทรงแต่งตั้งฉันขึ้นมา  เพื่อเป็นครูผู้ให้ความสะดวกง่ายดาย"  รายงานโดยมุสลิม  ชัรห์ซอฮิห์มุสลิม 5/20

ดังนั้นเมื่อท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นครูสอนซอฮาบะฮ์ผู้เป็นสานุศิษย์  นั่นย่อมเป็นแบบฉบับตามซุนนะฮ์ที่มีการเรียนการสอนด้วยสื่อของการมีครู    บรรดาซอฮาบะฮ์จึงเป็นครูของตาบิอีน  ตาบิอีนเป็นครูของตาบิอิตตาบิอีน  และการร่ำเรียนวิชาการอิสลามได้รับการสืบทอดระหว่างครูและศิษย์จวบจนถึงปัจจุบันเพื่อสนองตามซุนนะฮ์ของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม   ดังนั้นเมื่อพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชานั้น ๆ มีความแน่นแฟ้น  เขาก็สามารถศึกษาค้นคว้าตามที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาได้ทรงเปิดให้

อนึ่ง  ศาสตร์ “อัลอิห์ซาน” หรือปัจจุบันเขาเรียกว่า  “ตะเซาวุฟ” นั้น  ว่าด้วยเรื่อง  การลิ้มรสของจิตใจที่มีต่อความผูกพันอยู่กับอัลเลาะฮ์ตะอาลา  โดยที่มิได้มุ่งเน้นทางด้านสติปัญญา   ดังนั้นผู้ใดมิได้ลิ้มรส  เขาย่อมไม่รู้   เขารู้ว่าฟะนาอฺและบะกออฺได้อย่างแท้จริง  จนกระทั่งจิตใจของเขาได้ลิ้มรสอันหอมหวานนั้นเสียก่อน  แต่ทว่าหากไม่ได้ลิ้มรส อย่างน้อยก็สมควรแสวงหาความรู้จากตำราของตะเซาวุฟโดยตรง  เพื่อมิให้มีความผิดพลาดและเข้าใจแบบอธรรม

การ “มะรีฟะฮ์” ต่ออัลเลาะฮ์ตะอาลาในวิชาตะเซาวุฟ  คือ  “ความรู้สึกของจิตใจที่มีความผูกพันอยู่กับอัลเลาะฮ์ตะอาลา  ด้วย “อันนูร”  ที่พระองค์ทรงให้บังเกิดขึ้นในจิตใจของมุอฺมิน”   ดังนั้นมุอฺมินที่มะริฟะฮ์ต่ออัลเลาะฮ์ (อารีฟบิลลาฮ์)  ก็จะถึงขั้นสุดยอดของเตาฮีด  เขาจะไว้วางใจต่ออัลเลาะฮ์เพียงผู้เดียว  จะมอบหมายและยอมสิโรราบต่อพระองค์เท่านั้น  ความประสงค์ต่าง ๆ ที่เขามีนั้นมอบหมายให้อยู่ในความต้องการของอัลเลาะฮ์ให้เป็นไป  การกระทำต่าง ๆ ของเขาล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของพระองค์   โดยจิตใจของเขาลุกโชนไปด้วยความรักผูกพันอยู่กับพระองค์เสมอ  และภายนอกเขาอยู่กับมนุษย์  แต่จิตใจเขาอยู่กับอัลเลาะฮ์ 

คำว่า “อันนูร”  หากพิจารณาในรูปธรรม  ก็คือ “แสงรัศมี”  แต่ความหมาย “อันนูร” ในที่นี้หมายถึง  “สิ่งที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงมอบเป็นกำนัลให้แก่บ่าวของพระองค์ผู้มีความยำเกรง  จากวิทยาการต่าง ๆ และบรรดารัศมีที่มาทำให้จิตใจเบิกบานและเปิดกว้างน้อมรับในสัจธรรม  ทำให้เห็นสิ่งสัจธรรมเป็นสัจธรรมและทำให้เห็นสิ่งอธรรมเป็นอธรรม”   

ส่วนการได้มาซึ่ง “อันนูร” ของอัลเลาะฮ์ตะอาลานั้น  ก็ด้วยหลายหนทาง  พื้นฐานก็คือต้องทำสิ่งที่เป็นฟัรดูให้สมบูรณ์  หลังจากนั้นก็อะมัลอิบาดะอ์ที่เป็นสุนัต  เช่นการอ่านอัลกุรอาน  การซิกรุลลอฮ์  การถือศีลอด  การละหมาดสุนัต  การอ่านวิริดเช้าเย็น  และอื่น ๆ   เพื่อความความใกล้ชิดจนกระทั่งพระองค์ทรงรัก 

ได้มีระบุไว้ในหะดิษกุดซีย์  อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า

وَمَا يَزَالُ عَبْدِي يَتَقَرَّبُ إِلَيَّ بِالنَّوَافِلِ حَتَّى أُحِبَّهُ

"บ่าวของเราจะยังคงใกล้ชิดเรา ด้วยการปฏิบัติสิ่งที่เป็นสุนัตต่าง ๆ จนกระทั้งเรารักเขา" รายงานโดยบุคอรี(6021)     

ดังนั้นเมื่อเขาได้ทำอะมัลทั้งฟัรดูและสุนัตอย่างสม่ำเสมอด้วยกับอัลเลาะฮ์  หมายถึงการมอบหมายต่อพระองค์ , ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ให้บรรดาอะมัลที่เขาปฏิบัติมีความบริสุทธิ์ใจและถูกตอบรับ

เพราะท่านร่อซูลุลอฮ์ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้พยายามสอนให้บรรดาซอฮาบะฮ์เชื่อมั่นและกล่าวถ้อยคำที่ว่า

لَا حَوْلَ وَلَا قُوَّةَ إِلَّا بِاللَّهِ

“ไม่มีสภาวะใดและไม่มีพลังใดนอกจากด้วยอัลเลาะฮ์เท่านั้น”  รายงานโดยบุคอรี(6120)

กล่าวคือไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาวะใดไปสู่การทำอะมัลอิบาดะฮ์และไม่มีพลังในการทำอะมัลบิดอะฮ์นอกจากด้วยกับอัลเลาะฮ์เท่านั้นเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ  เป็นผู้ทรงชี้นำ   และทรงให้ความสะดวกง่ายดายแก่เราในการภักดีต่อพระองค์

การปฏิบัติอะมัลดังกล่าว  อัลเลาะฮ์จะประทาน “อันนูร” ให้บังเกิดขึ้นแก่จิตใจของบ่าวผู้มีความยำเกรง  พระองค์จะทรงชี้นำเขาให้อยู่บนแนวทางที่เป็นสัจธรรม  หัวใจของเขาจึงมีความเบิกบาน  จิตใจได้ลิ้มรสความรักและความผูกพันอยู่กับอัลเลาะฮ์  เห็นสัจธรรมเป็นสัจธรรมและเป็นความอธรรมเป็นอธรรม

อัลเลาะฮ์ทรงตรัสว่า

يَهْدِي اللهُ لِنُوْرِهِ مَنْ يَشَاءُ

“อัลเลาะฮ์จะทรงชี้นำด้วย “อันนูร” ของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์” อันนูร 35

พระองค์ทรงตรัสว่า

أَفَمَنْ شَرَحَ اللهُ صَدْرَهُ لِلإِسْلاَمِ فَهُوَ عَلَي نُوْرٍ مِنْ رَبِّهِ

“ผู้ใดที่อัลเลาะฮ์ทรงเปิดหัวอก(หัวใจ)ของเขาเพื่อน้อบยอมตน(ต่ออัลเลาะฮ์)  เขาได้อยู่บน “อันนู” จากพระเจ้าของเขา(จะเหมือนกับผู้ที่หัวใจบอดกระนั้นหรือ)” อัซซุมัร 22

ท่านอิมามอิบนุอะฏออิลและห์  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  ได้กล่าวในฮิกัมขอท่านว่า

اَلأَنْوَارُ مَطَايَا الْقُلُوْبِ

“บรรดานูร(จากอัลเลาะฮ์นั้น)  คือพาหนะของบรรดาหัวใจ...” อัชชัรห์ อัลฮิกัม 1/46

หมายถึง  บรรดา “อันนูร” ที่อัลเลาะฮ์ได้ทรงให้เกิดขึ้นแก่หัวใจของบ่าวผู้มีความยำเกรงนั้น  จะเป็นพาหนะนำทางพาบรรดาหัวใจของบ่าวไปสู่ห้วงแห่งการมะริฟะฮ์และความใกล้ชิดต่อพระองค์   สามารถแยกแยะสัจธรรมในอัลอิสลามได้และพระองค์จะทรงสอนวิทยาการต่าง ๆ นอกเหนือจากนั้นตามที่พระองค์ทรงประสงค์

อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า

إِتَّقُوْا اللهَ وَيُعَلِّمُكُمُ اللهُ

“พวกเจ้าจงยำเกรงต่ออัลเลาะฮ์เถิดและอัลเลาะฮ์ก็จะสอนพวกเจ้า” อัลบะกอเราะฮ์ 282

พระองค์ทรงตรัสเช่นกันว่า

يَا أَيُّهَا الَّذِيْنَ آمَنُوْا إِنْ تَتَّقُوا اللهَ يَجْعَلْ لَكُمْ فُرْقَاناً

“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย  หากพวกเจ้ายำเกรงอัลเลาะฮ์  พระองค์ก็จะทรงให้มีแก่พวกเขาซึ่งฟุรกอน(สิ่งที่จำแนกระหว่างความจริงและความเท็จ)”  อังอัมฟาล 29

ท่านอิมามอิบนุอะญีบะฮ์ อัลฮะซะนีย์  ได้กล่าวอธิบายว่า “อัลฟุรอกอน คือ อันนูร(รัศมี)ที่มาจำแนกระหว่างสัจธรรมกับอธรรมได้”  หนังสืออีกอซุลฮิมัม 153

ท่านอิบนุอะฏออิลและห์  ได้กล่าวว่า

اَلنُّوْرُ لَهُ الْكَشْفُ

“อันนูร(รัศมีจากอัลเลาะฮ์)นั้น  ให้แก่มันแล้ว  มีการกัชฟ์” ชัรห์อัลฮิกัม 46

ดังนั้น  การ “กัชฟ์” หมายถึง  การที่อัลเลาะฮ์ให้เขายั่งรู้นามธรรมต่าง ๆ เช่น รู้ประจักษ์ถึงความงดงามของการฏออัตและรประจักษ์รู้ถึงความน่ารังเกียจของการฝ่าฝืนหรือรู้สิ่งที่เร้นลับที่อัลเลาะฮ์ทรงเปิดให้ด้วย “อันนูร” ที่มาจากรพระองค์โดยตรง  มิใช่มาจาก “ญาณวิสัย”  ตามที่คุณยาซีน  แกละมงคล ได้พูดไว้!  ซึ่งชี้ถึงความเขลาต่อวิชาตะเซาวุฟ  ดังนั้น  การ “กัชฟ์”  ผู้ใดที่ให้ความหมายว่ามันคือ “การนั่งญาณ”  หรือยั่งรู้ด้วย “ญาณวิสัย” ถือว่าเขาเป็นคนเขลาและกล่าวมุสาต่อวิชาตะเซาวุฟนั่นเอง

ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า

اتَّقُوا فِرَاسَةَ الْمُؤْمِنِ فَإِنَّهُ يَنْظُرُ بِنُورِ اللَّهِ

“พวกท่านจงกลัวการมองมันเฉียบคมของมุอฺมิน(อย่างแท้จริง)  เพราะเขาจะมองด้วย “นูร” ที่มาจากอัลเลาะฮ์”  รายงานโดยอัตติรมีซีย์ (3052)

ดังนั้นการมองของบุคคลกลั่นมาจากหัวใจที่มี “อันนูร” จากอัลเลาะฮ์  มีความยาเกนและผูกพันอยู่กับพระองค์นั้น  เขาจะมองด้วยความเฉียบคมแน่นอนตามที่พระองค์จะทรงเปิดให้แก่เขา

ท่านหญิงอาอิชะฮ์  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮา  กล่าวว่า  “ท่านอะบูบักร์ ได้กล่าวในขณะใกล้เสียชีวิตว่า....บุตรสาวของคอริญะฮ์(ภรรยาของฉัน)ได้ตั้งครรภ์  โดย(การเปิด)ถูกโยนลงมาในหัวใจของฉันว่า  ลูกน้อยเป็นผู้หญิง  ดังนั้นเธอ(คือท่านหญิงอาอิชะฮ์) จงกำชับนาง(น้องสาวคนเล็ก)ด้วยสิ่งที่ดีงามเถิด  จากนั้นอุมมุกุลซูม(บุตรสาวของท่านอะบูบักร)ก็คลอดออกมา(หลังจากที่ท่านอะบูบักรได้เสียชีวิตแล้ว)”  หนังสือ อัตต่อบะก็อต 3/195 ของท่านอิบนุสะอัต

นั่นคือการ “กัชฟ์” ของท่านอะบูบักร อัศศิดดีก  ที่อัลเลาะฮ์ทรงเปิดให้ท่านทราบว่าบุตรที่จะเกิดมาหลังจากเสียชีวิตไปแล้วนั้น  เป็นบุตรสาว! 

ท่านอิมามอัศศุบกีย์กล่าวว่า  “มีชายคนหนึ่งได้เข้าไปหาท่านอุษมาน ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  ซึ่งชายคนนั้นได้พบผู้หญิงกลางทาง  แล้วเขาได้มองนาง  ดังนั้นท่านอุษมานได้กล่าวแก่เขาว่า  “มีคนหนึ่งจากพวกท่านได้เข้ามาโดยสองตาของเขามีร่องรอยของซินาไหม?”  ชายคนนั้นกล่าวว่า  “ได้มีวะฮีลงมาหลังจากท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กระนั้นหรือ?”  ท่านอุษมานกล่าวว่า “ไม่หรอก  แต่มันคือการ(ฟิรอซะฮ์)มองอันเฉียบคมของมุอฺมิน” หนังสือฮุจญฺตุลลอฮ์ อะลัลอาละมีน หน้า 862 ของท่านอิมามอับนับฮานีย์

ท่านอิมามอัลกุรตุบีย์กล่าวว่า  “ท่านอิมามชาฟิอีย์กับท่านมุฮัมมัด บิน อัลฮะซัน  กำลังอยู่ที่ลานกะบะฮ์   โดยมีชายคนหนึ่งอยู่ที่ประตูมัสยิด  ดังนั้นคนหนึ่งจากทั้งสองได้กล่าวว่า  ฉันเห็นว่าเขา(ที่อยู่ ณ ประตูมัสยิด) เป็นช่างไม้  และอีกคนกล่าวว่า  แต่ฉันเห็นว่าเขาเป็นช่างเหล็ก  ผู้ที่อยู่กับท่านทั้งสองจึงไปที่ชายคนนั้นเพื่อสอบถาม  เขาตอบว่า  ฉันเคยเป็นช่างไม้  แต่ปัจจุบันฉันเป็นช่างตีเหล็ก”  ตัฟซีรอัลกุรตุบีย์ 10/44

ดังนั้นการ “กัชฟ์” ของซูฟีย์  ไม่ใช่รู้ด้วย “ญาณวิสัย”  แต่รู้ด้วย “อันนูร” ที่มาจากอัลเลาะฮ์โดยตรง  แต่อย่าไปคิดว่าซูฟีย์มีความรู้หลักการอิสลามมาจากกัชฟ์  เพราะความเข้าใจเช่นนี้ถือเป็นความเขลา  เนื่องจากซูฟีย์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์  เขารู้หลักการอิสลามมาจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์  ส่วนการ “กัชฟ์” นั้น  เป็นนูรรัศมีที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานให้จิตใจของเขาเข้าใจและรู้ถึงสัจธรรมอย่างแท้จริงของอัลกุรอานและซุนนะฮ์นั้น  ส่วนวิทยาการอื่น ๆ หรือสิ่งเร้นลับอื่น ๆ ที่อัลเลาะฮ์จะทรงเปิดและสอนให้แก่เขานั้นเป็นคำสอนจากอัลกุรอาน  พระองค์จะชี้นำและสอนแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์  ส่วนเราไม่ได้รับ  ก็อย่าไปคิดว่าคนอื่นต้องเป็นเหมือนเรา  ในเมื่อเราเองยังบกพร่องในอะมัลอิบาดะฮ์  การลิ้มรสในส่วนพิเศษตรงนี้จึงไม่มี   เราอย่าไปคิดว่า ฉันประกาศเสมอว่ายึดอัลกุรอานและซุนนะฮ์ทำไมถึงไม่ได้รับ “กัชฟ์” แล้วคนอื่นจะได้รับ “กัชฟ์” จากอัลเลาะฮ์ได้อย่างไร   ซึ่งการคิดเช่นนี้ถือเป็นความเขลา  เราต้องหลีกห่างเนื่องจากอัลเลาะฮ์ทรงชี้นำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์

وَاللهُ سُبْحَانَهُ وَتَعَالَي أَعْلَي وَأَعَلَمُ 


พอดีบังเขาลงไว้

พอผมโพสแล้วมันขึ้นหน้าใหม่ กลัวพี่น้องไม่ได้อ่านนะ
นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

ออฟไลน์ al-azhary

  • ผู้มีอิทธิพล (~_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 6202
  • เพศ: ชาย
  • อัลเลาะฮ์เท่านั้นที่มีอยู่จริง
  • Respect: +272
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.sunnahstudents.com
เพิ่มเติมจากที่บังอัลฯ กล่าวข้าวต้นนี้ก็คือ เนื่องจากวิชาตศ็อววุฟนั้น เป็นวิชาที่ลึกซึ้งมาก ถือเป็นที่วิชาหนึ่ง หรือวิชาต้นๆ ก็ว่าได้ ที่มีความยากที่สุดในบรรดาวิชาทั้งหลายของอิสลาม และผู้ที่เรียนวิชานี้ อย่างน้อยที่สุดนั้น เขาจะต้องมีพื้นฐานในเรื่องอกีดะฮ์และชรีอะฮ์ที่เข้มแข็งในระดับหนึ่งมาพอสมควรแล้ว เพราะถ้าหากเขายังไม่มีความเข้าใจในสองวิชาข้างต้น สำหรับบางเขาอาจจะยังไม่มีสิทธิเรียนวิชาตศ็อววุฟ หรือหากอนุญาต ก็จะต้องเป็นตศ็อวฺวุฟขั้นต้นเท่านั้น หรือที่เราเรียกว่า วิชาอัคลาก นั่นเอง

ความจริงแล้ว  เราต้องมีพื้นฐานอันแน่นแฟ้นจากวิชาทั้งสามนี้  แต่ก็จริงตามที่น้องอัลฟาตอนีย์ได้บอกไว้  ที่ว่าต้องมีพื้นฐานชะรีอะฮ์และอะกีดะฮ์ให้แน่นแฟ้นเสียก่อน  เพราะเท่าที่สัมผัสด้วยกับตนเองในปัจจุบันตอนนี้  คือเมื่อทำการเรียนและสอนตะเซาวุฟนั้น  จิตใจจะไม่ค่อยสนใจวิชาฟิกห์และอะกีดะฮ์สักเท่าไหร่  เพราะรู้สึกว่าเรียนตะเซาวุฟแล้วมันอร่อย  สร้างความผูกพันอยู่กับอัลเลาะฮ์ตะอาลา  เว็บไซต์แห่งนี้  มีการนำเสนอเชิงฟิกห์และอะกีดะฮ์อย่างเข้มข้นมาแล้วในช่วงแรก ๆ แต่ก็ต้องพยายามเอาตะเซาวุฟ(หลักอิห์ซาน) เข้ามาละลายความเร่าร้อนดุดันเกี่ยวกับการขัดแย้งในเรื่องฟิกห์และอะกีดะฮ์  รู้สึกว่าเว็บไซต์มีความสมดุลย์และลงตัว 

ดังนั้นผู้ที่จะเรียนตะเซาวุฟ  ต้องร่ำเรียนฟิกห์และอะกีดะฮ์ควบคู่กันไปด้วย  เพื่อสายเชือกของศาสนา 3 เส้นที่เรายึดอยู่  จะได้เข้มแข็ง
     
أُحِبُّ الصَّالِحِيْنَ وَلَسْتُ مِنْهُمْ     لَعَلَّ اللهَ يَرْزُقُنِيْ صَلاَحاً

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
ผมเคยได้ยินคำกล่าวหนึ่ง ไม่ทราบได้มาจากไหนนะ แต่ที่แน่ๆ คือ มันหลายที่ และรู้สึกว่าฟังประโยคนี้จากเพื่อนคนหนึ่งบ่อยมาก จนผมก็มักจะเอาคำนี้มาพูดกับคนอื่นอยู่บ่อยครั้งเมื่อกันเมื่อกล่าวถึงตศ็อวฺวุฟ คำพูดที่ว่าก็คือ มีชรีอะฮ์ แต่ไม่มีตศ็อวฺวุฟ ระวังจะเป็นฟาสิก และหากมีแต่ตศ็อวฺวุฟ ไม่มีชรีอะฮ์ อาจถึงขั้นมุรตัด แรกๆ ตอนที่ได้ยิน ก็รู้สึกแปลกกับคำพูดนี้ จนผมคิดว่าเพื่อนผมที่พูดประโยคนี้ พูดเกินไปหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้ว่าเขาอะไร แต่ก็ เมื่อมานั่งนึกดูดีๆ ทบทวนคำนั้นใหม่ หลายๆ ครั้ง ในที่สุด มันก็เข้าใจ และเรารู้สึกถึงความลึกซึ้งและสัจธรรมของคำพูดนี้ขึ้นมาทันที - วัลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลามุอลัยกุม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

ออฟไลน์ as-satuly

  • พลังแห่งการศรัทธา
  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 997
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +10
    • ดูรายละเอียด

               ในอดีต(หลายๆปี)ที่ผ่านมา จากการที่ผมได้ร่ำเรียนและศึกษาหาวิชาความรู้มา(จนถึงตอนนี้)นั้น อาจารย์(โต๊ะครู หรืออุสต๊าซ)ท่านหนึ่งที่ผมได้ให้ความเคารพท่านหนึ่งนั้น ได้กล่าวย้ำเป็นประจำและเน้นหนักเป็นประจำว่า การศึกษาเล่าเรียนของมนุษย์แต่ละคนจะต้องมีพื้นฐานในการเรียนรู้ ที่เป็นระบบระเบียบและตามขั้นตอนของแต่ละวัย ซึ่งต้องมีการมุ่งเน้นที่หลักอีหม่าน หลักอิสลาม และหลักอิห์สานตามลำดับเป็นสำคัญ  ที่ต้องเรียบเรียงลำดับความรู้และความเข้าใจเป็นอย่างมากในหลักการดังกล่าวนั้น และยังเสริมการอธิบายต่ออีกว่า
          หลักอีหม่าน ที่ว่าด้วยหลักการศรัทธา เพื่อทำความรู้จักและศรัทธาเชื่อมั่นต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา และอีกทั้งเช่นกัน ด้วยการศรัทธาต่อบรรดามลาอีกะฮ์ บรรดากิตาบ บรรดาร่อสูล วันอาคิเราะฮ์ และการกำหนดความดีและความชั่ว และบรรดามัคโลกอื่นๆอีกมากมายที่พระองค์อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงสร้างให้บังเกิดขึ้นมา
          หลักอิสลาม ที่ว่าด้วยหลักการปฏิบัติ เพื่อปฏิบัติบรรดาอะม้าล(ความดี)ต่างๆที่ถูกอนุมัติ และละทิ้ง(ไม่ปฏิบัติ)บรรดาอะม้าล(ความชั่ว)ต่างๆที่ถูกสั่งห้ามจากอัลลอฮฺ ตะอาลา ที่จะเก็บเกี่ยวเป็นเสบี่ยงสู่โลกหน้า(อาคิเราะฮ์)และมุ่งสู้เป้าหมายต่ออัลลอฮฺ ตะอาลา เท่านั้น
          หลักอิห์สาน ที่ว่าด้วยหลักการความบริสุทธิ์ใจที่ต้องสื่อออกมาจากจิตวิญญาณ ต่อการเรียนรู้และเข้าใจในสิ่งต่างๆอย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
          ดังนั้น หลักการทั้ง สาม หลักการนั้น เป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องให้ความตระหนักและทำความเข้าใจอย่างเต็มเปี่ยมด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ตามลำดับขั้นตอน เพื่อไม่ให้เกิดความพลาดพลั้งและสะดุดเอากลางอากาศต่อการสับสนหรือไม่เข้าใจในวิชาความรู้ศาสนาได้...
          หลักจากนั้นเป็นต้นมา ผมเองก็ตระหนักและพยายามเรียนรู้และทำความเข้าใจต่อหลักการทั้งสามมาโดยตลอด และคำนึงตามลำดับขั้นตอนของการศึกษาเล่าเรียนในแต่ละระดับของอายุและตามความสามารถ(เท่าที่มีความพยายามและความสามารถรับรู้วิชาความรู้ต่างๆ)นั้นได้  เพื่อที่ทำให้เกิดพลังแห่งการศรัทธา(อีหม่าน)และทำให้เกิดการปฏิบัติอะม้าลต่างๆที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น พร้อมทั้งทำให้เกิดความสงบนิ่งและความตั้งใจและความรู้สึก ที่มีความอิ่มเอิบในการศรัทธาเชื่อมั่นต่อพระผู้เป็นเจ้าและคุณงามความดีจากการปฏิบัติในกิจการศาสนาและกิจการสังคมด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์ เพื่อความสงบสุขในโลกนี้ และชัยชนะพร้อมทั้งความมหาบรมสุขในโลกหน้าสืบไป....อามีน ยาร็อบบัลอาละมีน...วัลลอฮุอะอฺลัม - วัสสลามุอะลัยกุม วะรอห์มะตุลลอฮิ ตะอาลา วะบะรอกาตุฮฺ

ออฟไลน์ rayes

  • เพื่อนแท้ (-.^)
  • ****
  • กระทู้: 628
  • Respect: +18
    • ดูรายละเอียด
    • บล็อกผมเอง หุหุ
ตอนนี้ ยาซีน แกละ เปิดเผยตัวแล้วที่เว็ปมุสลิมไทย นามแฝง อบูลาบีบ  เมื่อก่อนพอผมโพสข้อความเกี่ยวกับตับลีฆ ยาซีนก็มาโพสถามเรื่องซูฟีทันที

http://www.muslimthai.com/mnet/content.php?bNo=31&qNo=4008&kword=
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 29, 2009, 09:00 PM โดย راجيس »

ออฟไลน์ บาชีร

  • ปีสามสักที
  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2164
  • เพศ: ชาย
  • Respect: +59
    • ดูรายละเอียด
นักเรียนปีสาม กฎหมายอิสลาม อัซฮัร ไคโร

little cat

  • บุคคลทั่วไป
oh: วันนี้บังบาซีรมาสั้นๆได้ใจความแฮะ 5555 hehe

ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด
Malang sekali! mereka yang menuduh orang lain dengan tanpa mengerti apa pun yang dia sendiri bercakap itu - wal'ayazdubillah - Wassalam.

             ช่างอนาจแท้ คนที่ใส่ร้ายผู้อื่นด้วยกับสิ่งที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกมา - ขออัลลอฮฺได้โปรดทรงให้ข้าพระองค์ห่างจากสิ่งนั้นด้วยเถิด - วัสสลาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธ.ค. 31, 2009, 11:42 PM โดย Al Fatoni »
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

little cat

  • บุคคลทั่วไป


ออฟไลน์ wahaba

  • เพื่อนสนิท (._.")
  • ***
  • กระทู้: 219
  • สร้างรูปร่างให้พระเจ้าคือความเชื่อของวะฮาบีและยิว
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
วะฮาบีใส่ร้ายคนอื่นได้  นิสัย fouet:

ออฟไลน์ ILHAM

  • เพื่อนตาย T_T
  • *****
  • กระทู้: 11348
  • เพศ: ชาย
  • Sherlock Holmes
  • Respect: +273
    • ดูรายละเอียด
    • ILHAM
2
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: ม.ค. 01, 2010, 08:17 PM »
0
ยาร่วงหัวครก
إن شاءالله ติด ENT'?everybody

Sherlock Holmes said "How often have I said to you that when you have eliminated the impossible, whatever remains, however improbable, must be the truth?"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ออฟไลน์ Al Fatoni

  • ซังกุงคนสนิท ( +_-)
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 4905
  • เพศ: ชาย
  • จงอยู่กับความจริงแล้วจะไม่หลง
  • Respect: +76
    • ดูรายละเอียด


               เขาด่าใครหรือ แล้วคนอินโดเกี่ยวอะไรด้วยหรือ งง  natural: - วัสสลามุอลัยกุม
ท่านขนขวายอะไร ท่านก็จะได้สิ่งนั้น - วัลลอฮุอะอฺลัม

 

GoogleTagged