salam
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาที่เคารพ
ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เกิดในมักกะฮฺ ในเผ่าบนูอาดี บิดาของท่านชื่อ คอตต๊อบ อิบนุ นุเฟล และมารดาของท่านชื่อ ฮัจมะฮฺ บินติ ฮาชาม
ท่านอุมัรเป็นคนร่างสูง และเป็นนักต่อสู้ (มวยปล้ำ)ที่มีชื่อเสียง ท่านเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ทางด้านวาทศิลป์ และด้วยไหวพริบปฏิภาณ
อีกทั้งมีบุคลิกภาพที่น่ายกย่อง ทำให้ท่านก้าวขึ้นมาเป็นผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างเผ่าต่าง ๆ ตามรอยบิดาของท่าน
ในปี ค.ศ. 610 เมื่อท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เผยแผ่อิสลาม ท่านอุมัรเป็นผู้หนึ่งที่ต่อต้านอิสลามด้วย
ท่านเป็นปฏิปักษ์ที่โหดเหี้ยมต่อมุสลิม และต่อต้านรอซู้ลอย่างแข็งกร้าว ท่านเป็นคนแรกที่ประกาศว่าต้องฆ่ามุฮัมมัด เพื่อกำจัดอิสลาม
ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ภาวนาขอพรต่ออัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา เพื่อให้อุมัร หรืออะบูญะฮั้ล เข้ารับอิสลาม
และจากนั้น ดุอาอฺของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็เป็นจริง เมื่อท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เข้ารับอิสลาม ในปี ค.ศ. 616
1 ปีหลังจากที่มุสลิมกลุ่มหนึ่งได้อพยพไปยังอาบิซซีเนีย
ในระหว่างทางที่ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุจะไปสังหารท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่านได้พบผู้หนึ่งที่บูชาเทวรูปที่บอกท่านว่า
ให้ไปจัดระเบียบคนในบ้านก่อน ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ พบน้องสาวและน้องเขย สะอีด บิน เซด กำลังอ่านกุรอาน ท่านได้ทุบตีน้องเขย
และน้องสาวของท่านจนกระทั่งเธอเลือดตกยางออก ครั้นเมื่อเห็นน้องสาวเป็นเช่นนั้น ท่านก็เริ่มสงบลง และขอให้น้องสาวของท่านนำสิ่งที่เธออ่านมาให้ท่าน
น้องสาวของท่านนำแผ่นที่เขียนอายะฮฺ จากอัลกุรอานมาให้ ซึ่งเป็นข้อความจาก...
“แท้จริงข้าคืออัลลอฮฺ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่เที่ยงแท้นอกจากข้า ดังนั้นเจ้าจงเคารพภักดีต่อข้า และจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาดเพื่อระลึกถึงข้า”
ซูเราะฮฺ ฏอฮา 20:14
ซูเราะฮฺนี้ได้บรรยายถึงลักษณะของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และให้กำลังใจเพื่อให้ท่านอดทนต่อการบีบคั้นจากผู้ไร้ศรัทธา
และยังได้เปิดเผยปรากฏการณ์แห่งวันกิยามะฮฺ และวันฟื้นคืนชีพได้อย่างสั่นสะท้าน หัวใจท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้สะดุดกับความไพเราะ
และความหมายอันลึกซึ้งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน และความจริงได้เข้าไปสู่หัวใจของท่าน ท่านจึงรับอิสลาม แล้วท่านจึงเดินไปหาท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
พร้อมกับดาบเล่มเดียวกับที่ท่านตั้งใจจะสังหารท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และประกาศเข้ารับอิสลามต่อหน้าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
และเหล่าบรรดาซอฮาบะฮฺ ท่านอายุได้ 27 ปีเมื่อเข้ารับอิสลาม ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุได้สละทรัพย์สมบัติอย่างมากมายให้กับอิสลาม ในปี ค.ศ. 662
ท่านก็ได้อพยพสู่เมืองมาดีนะห์ ตามคำบัญชาของท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม มุสลิมส่วนมากจะอพยพในตอนกลางคืน เพราะเกรงว่าจะ
ได้รับการต่อต้านจากชาวกุเรช แต่ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ อพยพในเวลากลางวันแสก ๆ และประกาศกร้าวว่า “ผู้ใดก็ตามที่อยากทให้ภรรยาของเขาเป็นหม้าย
และลูกของเขาเป็นกำพร้าก็ให้มาพบฉันด้านหลังหน้าผานั้น” ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้อพยพไปมาดีนะห์พร้อมกับน้องเขยของท่าน คือ สะอี๊ด บิน เซด
ครั้นเมื่อตอนที่ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กลับไปหาอัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่รัก
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม มาก จนไม่สามารถที่จะยอมรับความจริงได้ว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม วะฟ้าต ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ
ประกาศกร้าวว่า ใครก็ตามที่พูดว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตาย ท่านจะตัดคอคนคนนั้น และท่านอะบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ
ก็ได้กล่าวในที่ชุมนุมของมุสลิม โดยมีใจความว่า “ใครก็ตามที่บูชาท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ให้เขารู้ไว้ว่า ท่านนบี มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
ได้สิ้นชีพแล้ว และใครก็ตามที่บูชาอัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ให้เขารู้ว่า อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ทรงเป็นและไม่ตายตลอดกาล”
และท่านอะบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ก็ได้อ่านอายะฮฺจากอัลกุรอานว่า
ซูเราะฮฺ อาละอิมรอน 3:144
“และมุฮัมมัดนั้นหาใช่อื่นใดไม่ นอกจากเป็นรอซูลผู้หนึ่งเท่านั้น ซึ่งบรรดารอซูลก่อนจากเขาก็ได้ล่วงลับไปแล้ว แล้วหากเขาตายไป
หรือเขาถูกฆ่าก็ตาม พวกเจ้าก็จะหันส้นเท้าของพวกเจ้ากลับกระนั้นหรือ และผู้ใดที่หันส้นเท้าทั้งสองของเขากลับแล้วไซร้ มันก็จะไม่ก่อให้เกิด
อันตรายแก่อัลลอฮฺแต่อย่างใดเลย และอัลลอฮฺนั้นจะทรงตอบแทนแก่ผู้กตัญญูทั้งหลาย”
ได้ยินเช่นนี้จากท่านอะบูบักร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ จึงยอมรับในสัจธรรม จะเห็นได้ว่า อัลกุรอานนั้นสามารถ
สะกดจิตใจของท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้อย่างดี นับตั้งแต่วันที่ท่านเข้ารับอิสลาม
ในหนังสือ Encyclopedia of Islam โดยท่านมุฟตี เอ็ม มุกัรรอม อะเหม็ด บรรยายว่า ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เดินทางไปเยรูซาเล็ม
เพื่อไปปกครองเมืองจากอาณษจักรไบเซ็นไทน์ ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้แต่งตั้งให้ท่านอาลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เป็นผู้สำเร็จราชการแทน
ในขณะที่ท่านเดินทางไปเยรูซาเล็มกับคนเลี้ยงอูฐ พวกเขามีอูฐไปตัวเดียว ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ และคนเลี้ยงอูฐได้สลับกันจูงและนั่ง
ครั้นเมื่อถึงเมืองเยรูซาเล็มก็เป็นคราวของคนเลี้ยงอูฐต้องนั่งบนหลังอูฐ แม้ว่าคนเลี้ยงอูฐจะเสนอให้ท่านเคาะลีฟะฮฺนั่งก็ตาม แต่ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ
กลับปฏิเสธและกล่าวว่า “ศักดิ์ศรีของความเป็นมุสลิมเพียงพอสำหรับเราทุกคน” และท่านได้จูงอูฐเข้าสู่เมืองเยรูซาเล็ม โดยคนเลี้ยงอูฐได้นั่งอยู่บนหลังอูฐ
ในวันนั้น ผู้คนชาวเมืองเยรูซาเล็ม โห่ร้องต้อนรับคนเลี้ยงอูฐ
ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ใช้ชีวิตธรรมดา ท่านสวมเสื้อผ้าธรรมดาและมีรอยปะชุน ท่านใส่ใจกับการขจัดความหิวโหยของประชาชน
ท่านไม่เคยยึดติดกับยศถา หรือตำแหน่ง ท่านอยู่ที่ไหนก็ได้ แม้แต่จูงอูฐเข้าเมืองก็ได้ ท่านเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอโดยเฉพาะกับผู้อยากไร้
และท่านดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมอย่างหนักแน่น คำปาฐกถาของท่านที่เป็นที่รู้จักกันดีก็คือ “ด้วยอัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกท่าน
คือ ผู้ที่แข็งแรงที่สุดในสายตาของฉัน ตราบจนเมื่อฉันได้ยืนยันในสิทธิ์ที่เขาจะต้องได้รับ แต่ผู้ที่แข็งแรงที่สุด ฉันปฏิบัติกับเขาเยี่ยงคนที่อ่อนแอที่สุด
จนกว่าเขาจะยอมปฏิบัติตามกฎหมาย”
แม้แต่มหาตมะคานธี ยังชื่นชมในความเป็นผู้นำของท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า “หากอินเดียจะเจริญได้ก็ต่อเมื่ออินเดียมีผู้นำที่กล้าหาญ
และยืนหยัดอยู่บนความซื่อสัตย์ยุติธรรมเช่นเดียวกับท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ” และนี่คืออีกแบบอย่างหนึ่งของผู้นำที่เป็นคอลีฟะฮฺ หนึ่งในสี่ของอิสลามคัดลอกจากเอกสารเผยแพร่ของมัสญิดฮารูณ โดย Bangmud เมื่อ 11 มกราคม 53
