ผู้เขียน หัวข้อ: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)  (อ่าน 25907 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #60 เมื่อ: ก.พ. 28, 2010, 01:16 PM »
0
 salam

จะพยายามนำเสนออย่างต่อเนื่องทุกวันจนจบญุซที่ 1 (อินชาอัลลอฮฺ)

สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 121-123


คำอ่าน
121. อัลละซีนะอาตัยนาฮุมุลกิตาบะ ยัตลูนะฮู หักเกาะติลาวะติฮฺ, อุลา...อิกะยุอ์มินูนะบิฮฺ, วะมัย..ยักฟุรฺบิฮี ฟะอุลา...อิกะฮุมุลคอสิรูน

คำแปล R1.
121. Those (who embraced Islam from Bani Israel) to whom We gave the Book [the Taurat (Torah)] [or those (Muhammad's Sal-allaahu 'alayhe wa sallam companions) to whom we have given the Book (the Qur'an)] recite it (i.e. obey its orders and follow its teachings) as it should be recited (i.e. followed), they are the ones that believe therein. And whoso disbelieves in it (the Qur'an), those are they who are the losers. (Tafsir Al-QurtubiVol. 2, Page 95).

คำแปล R2.
121. บรรดาผู้ที่เราได้ประทานคัมภีร์ซึ่งพวกเขาอ่านคัมภีร์นั้นอย่างแท้จริง(ตรงตามความหมายเดิมไม่บิดเบือน)พวกเหล่านั้นศรัทธามั่นต่อคัมภีร์ดังกล่าวโดยแน่นอน และผู้ที่ปฏิเสธมัน พวกเหล่านั้นย่อมเป็นพวกที่ประสบความขาดทุนอย่างแท้จริง

คำแปล R3.
121. ในบรรดาผู้ที่เราได้ประทานคัมภีร์ให้แก่พวกเขานั้น มีผู้ที่อ่านคัมภีร์ ดังที่มันควรจะถูกอ่าน และเชื่อในคัมภีร์นั้นด้วยความจริงใจ และสำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธมัน พวกเขาเหล่านั้นคือผู้ที่ขาดทุน

คำแปล R4.
121. บรรดาผู้ที่เราได้ให้ คัมภีร์แก่พวกเขาโดยที่พวกเขาอ่านคัมภีร์นั้นอย่างจริง ๆ ชนเหล่านี้แหหละคือ ผู้ที่ศรัทธาต่อคัมภีร์นั้นและผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่อคัมภีร์นั้นไซร้ แน่นอนชนเหล่านี้คือผู้ที่ขาดทุน

คำแปล R5.
๑๒๑. บรรดาผู้ที่เราได้ให้คัมภีร์เตารอตและอินยีลโดยที่พวกนั้นก็อ่านคัมภีร์ตรงตามความหมายในคัมภีร์นั้นอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อความแต่อย่างใด พวกนั้นแหละเชื่อตามคัมภีร์นั้น และผู้ใดไม่เชื่อตามคัมภีร์ที่เราให้มา โดยเขาได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขลักษณะมูฮำมัด ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์นั้น พวกนั้นก็เป็นพวกที่ขาดทุน เพราะผลสุดท้ายพวกนั้นจะกลับไปสู่นรกชั่วกาลนาน



คำอ่าน
122. ยาบะนี..อิสรอ...อีลัซกุรูนิอฺมะติยัลละตีอันอัมตุอะลัยกุม วะอัน..นี ฟัฎฎ็อลตุกุม อะลัลอาละมีน

คำแปล R1.
122. O Children of Israel! Remember My Favour which I bestowed upon you and that I preferred you to the 'Alamin (mankind and jinns) (of your time-period, in the past).

คำแปล R2.
122. โอ้ บุตรหลานแห่งอิสรออีล! พวกเจ้าจงระลึกถึงความโปรดปรานของข้าที่ข้าได้โปรดแก่พวกเจ้าเถิด และข้าได้ยกเกียรติแก่พวกเจ้าเหนือชาวโลกทั้งมวล(ในสมัยของพวกเจ้าในอดีต)

คำแปล R3.
122. วงศ์วานของอิสรออีลเอ๋ย จงรำลึกถึงความโปรดปรานของฉันที่ได้ประทานแก่สูเจ้า และที่ฉันได้ยกย่องสูเจ้าให้เหนือประชาชาติทั้งหลาย

คำแปล R4.
122. วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย ! จงรำลึกถึงความกรุณาของข้า ที่ข้าได้กรุณาต่อพวกเจ้า และแท้จริงข้าได้เทิดพวกเจ้าเหนือประชาชนทั้งหลาย

คำแปล R5.
๑๒๒. โอ้ลูกหลานของยะก๊บสมัยมูฮำมัด พวกเจ้าจงรำลึกถึงมหากรุณาธิคุณ(เนียะมัต)ของข้า สิบประการและความดีล้นที่ข้าได้อำนวยแก่บรรพบุรุษของพวกเจ้าในสมัยมูซา เพื่อพวกเจ้าจะได้ขอบพระคุณ โดยกระทำตามห้ามตามใช้ของข้าในอัล-กุรอานและเตารอต และพวกเจ้าจงระลึกถึงที่ข้าได้ให้บรรพบุรุษของพวกเจ้ามีเกียรติเหนือประชาชาติอื่น ๆ ในยุคนั้น


คำอ่าน
123. วัตตะกูเยามัลลาตัจญรี นัฟสุน อัน..นัฟสิน..ชัยเอา..วะลายุกบะลุมินฮาอัดลู..วะลาตัน..ฟะอุฮาชะฟาอะตู..วะลาฮุมยุน..เศาะรูน

คำแปล R1.
123. And fear the Day (of Judgement) when no person shall avail another, nor shall compensation be accepted from him, nor shall intercession be of use to him, nor shall they be helped.

คำแปล R2.
123. และพวกเจ้าจงหวั่นกลัววันหนึ่ง(คือโลกหน้าอันจะอุบัติขึ้นแน่นอน) ซึ่งชีวิตหนึ่งไม่อาจทดแทนชีวิตอื่นได้สักกรณีเดียวก็ตาม และจะไม่รับการไถ่ตัวจากชีวิตนั้น ๆ และบารมีใด ๆ ก็ไม่อำนวยประโยชน์แก่เขาได้เลย และพวกเหล่านั้นจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ(จากผู้ใดทั้งสิ้น)

คำแปล R3.
123. และจงเกรงกลัววันหนึ่งซึ่งในวันนั้นไม่มีใครสามารถที่จะช่วยใครได้แต่อย่างใด และการไถ่โทษแทนจากใครก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ การขอไถ่แทนก็จะไม่เป็นประโยชน์แก่ใคร และผู้ที่ผิดทั้งหลายจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ


คำแปล R4.
123. และพวกเจ้าจงหวั่นเกรงวันหนึ่งซึ่งไม่มีชีวิตใดจะชดเชยสิ่งใดแทนอีกชีวิต หนึ่งได้ และค่าไถ่ถอนใด ๆ ก็หาได้รับประโยชน์แก่ชีวิตนั้นไม่ ตลอดจนเขาเหล่านั้นก็จะไม่ได้รับความช่วยเหลือ

คำแปล R5.
๑๒๓. และพวกเจ้าจงหวั่นเกรงการลงโทษทรมานในวันหนึ่ง(วันกิยามะห์)ซึ่งในวันนั้นพวกมุอฺมินไม่มีอันใดพอที่จะทำให้พวกกาฟิร ได้รอดพ้นจากการลงโทษ และพวกกาฟิรฺก็จะถูกห้ามนำอันใดมาเป็นตัวแทนรับการลงโทษแทนตน ทั้ง (พวกกาฟิร) ยังไม่มีหน้าที่ช่วยเหลือนักโทษคนใดให้รอดพ้นจากการลงโทษได้อีก โดยที่พวกกาฟิรนั้นหาได้รับความช่วยเหลือให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺไม่



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #61 เมื่อ: มี.ค. 01, 2010, 11:01 PM »
0

สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 124 -125


คำอ่าน
124. วะอิซิบตะลา..อิบรอฮีมะ ร็อบบุฮู บิกะลิมาติน..ฟะอะตัม..มะฮุนนฺ, กอละอิน..นีญาอิลุกะ ลิน..นาสิ อิมามา, กอละ วะมิน..ซุรฺรียะตี, กอละลายะนาลุ อะฮฺดิซซอลิมีน

คำแปล R1.
124. And (remember) when the Lord of Ibrahim (Abraham) [i.e., Allah] tried him with (certain) Commands, which he fulfilled. He (Allah) said (to him), "Verily, I am going to make you an Imam (a leader) for mankind." [Ibrahim (Abraham)] said, "And of my offspring (to make leaders)." (Allah) said, "My Covenant (Prophethood, etc.) includes not Zalimun (polytheists and wrong-doers)."

คำแปล R2.
124. และเมื่อครั้งองค์อภิบาลได้ทดสอบแก่(นบี)อิบรอฮีม ด้วยคำสั่งต่าง ๆ แล้ว เขาก็ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นอย่างครบถ้วน พระองค์ทรงตรัสว่า  แท้จริงข้าได้แต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้นำสำหรับมวลมนุษย์ชาติ   เขาก็วอน(ขอต่อพระองค์เพิ่มเติม) ว่า  และเผ่าพันธุ์ของข้าพเจ้าบางคนด้วย  พระองค์ทรงดำรัส(ตอบเขา) ว่า  สัญญาของข้าจะไม่หมายรวมไปถึงพวกฉ้อฉลทั้งหลายด้วย (หากจำกัดเฉพาะผู้ทรงคุณธรรมเท่านั้น)

คำแปล R3.
124. และจงนึกถึงเมื่อตอนที่พระผู้อภิบาลของเขาได้ทรงทดสอบอิบรอฮีมในบางสิ่ง แล้วเขาได้ปฏิบัติโดยครบถ้วน พระองค์ทรงตรัสว่า “ฉันจะทำให้เจ้าเป็นผู้นำของมนุษยชาติ” เขาได้ถามว่า “สัญญานี้รวมถึงลูกหลานของฉันด้วยหรือ?” พระองค์ตรัสว่า “สัญญาของฉันไม่แผ่ถึงพวกอธรรม”

คำแปล R4.
124. และจงรำลึกถึง ขณะที่พระเจ้าของอิบรอฮีมได้ทดสอบเขา ด้วยพระบัญชาบางประการ  แล้วเขาก็ได้สนองตามพระบัญชานั้นโดยครบถ้วน  พระองค์ตรัสว่า แท้จริงข้าจะให้เจ้าเป็นผู้นำมนุษย์ชาติ เขากล่าวว่า และจากลูกหลานของข้าพระองค์ด้วย  พระองค์ตรัสว่า สัญญาของข้านั้นจะไม่ได้แก่บรรดาผู้อธรรม

คำแปล R5.
๑๒๔. และโอ้มูฮำมัด จงกล่าวแก่ยะฮูดีชาวมักกะห์ที่เป็นประชากรของมูซา และพวกนะซอรอผู้เป็นประชากรของอีซา ถึงวาจาและพฤติการณ์ของอิบรอฮีม เพื่อที่พวกนั้นจะได้พิเคราะห์ดูถึงวาจา และพฤติการณ์นั้น ๆ แหละก็หวังว่า พวกนั้นคงจะเจริญรอยตามอิบรอฮีม พร้อมด้วยเล็งเห็นความศักดิ์สิทธิ์ อันว่าคำกล่าวของเจ้าในเรื่องนี้นั้นกล่าวในฐานะที่เจ้าเป็นเพียงผู้นำวาจา และพฤติการณ์ของอิบรอฮีมให้พวกนั้นได้พิจารณาดูเท่านั้น เนื่องด้วยพวกเหล่านั้นเคยอ้างว่า ศาสนาซึ่งพวกตนนับถืออยู่นั้นสืบมาแต่ศาสนาของอิบรอฮีม ทั้ง ๆ ที่มิได้มีหลักฐานใด ๆ จากองค์อัลเลาะห์มายืนยันเลยว่า ในเวลาที่พระผู้อภิบาลแห่งอิบรอฮีมได้ทรงบัญญัติแก่อิบรอฮีมด้วยข้อใช้และข้อห้าม อิบรอฮีมได้ปฏิบัติตามบัญญัตินั้น ๆ อย่างครบถ้วน (ที่ว่าข้อบัญญัติใช้และข้อห้ามนั้น บรรดานักปราชญ์ได้วินิจฉัยไว้เป็นหลายนัย ทุก ๆ นัยมีประมวลอยู่ในหนังสือตัฟซีร อัล-ญะลาไลน์ และตัฟซีร อัล-ฟุตูฮาต อัล-อิลาฮียะฮฺ ท่านผู้อ่านจะค้นคว้าดูรายละเอียดได้ที่นั่น) พระองค์ได้ตรัสแก่อิบรอฮีมว่า แท้จริงข้าแต่งตั้งเจ้าเป็นผู้นำศาสนามาเผยแพร่แก่มนุษย์ทั่วไป อิบรอฮีมได้วิงวอนขอต่ออัลเลาะห์ว่า “แหละก็ขอพระองค์โปรดได้แต่งตั้งลูกหลานของข้าพระองค์ ให้เป็นผู้นำทางศาสนาด้วย” พระองค์ได้ตรัสตอบว่า “สัญญาของข้าว่าจะแต่งตั้งนั้นมิได้หมายถึงลูกหลานของเจ้าที่ไม่เชื่อนี่” คำดำรัสตอบของพระองค์นั้นแสดงว่า คนจะเป็นผู้นำได้ต้องไม่ใช่พวกกาฟิร


คำอ่าน
125. วะอิซญะอัลนัลบัยตะ มะษาบะตัลลิน..นาสิวะอัมนา, วัตตะคิซูมิม..มะกอมิอิบรอฮีมะ มุศ็อลลา, วะอะฮิดนา..อิลา..อิบรอฮีมะ วะอิสมาอีละ อัน..เฏาะฮฺฮิรอบัยติยะ ลิฏฏอ...อิฟีนะ วัลอากิฟีนะ วัรฺรุกกะอิสสุญูด

คำแปล R1.
125. And (remember) when we made the House (the Ka'bah at Makkah) a place of resort for mankind and a place of safety. and take you (people) the Maqam (place) of Ibrahim (Abraham) [or the stone on which Ibrahim (Abraham) stood while he was building the Ka'bah] as a place of prayer (for some of your prayers, e.g. two Rak'at after the Tawaf of the Ka'bah at Makkah), and we commanded Ibrahim (Abraham) and Isma'il (Ishmael) that they should purify My House (the Ka'bah at Makkah) for those who are circumambulating it, or staying (I'tikaf), or bowing or prostrating themselves (there, in prayer).

คำแปล R2.
125. และเมื่อครั้งที่เราได้ดลบันดาลบ้านหลังนั้น(คือกะบะฮ) ให้เป็นที่แสวงบุญและเป็นที่อันปลอดภัยสำหรับมนุษย์ทั้งหลาย  และเจ้าทั้งหลายจงเอาบางส่วนของที่ยืน(นบี)อิบรอฮีม  เป็นสถานที่ละหมาดเถิด  และเราได้ทำสัญญาแก่อิบรอฮีมกับอิสมาอีลว่า  เจ้าทั้งสองจงชำระบ้านของข้าให้สะอาดสำหรับบรรดาผู้มาเวียน  บรรดาผู้นั่งสงบจิต และบรรดาผู้ก้ม อีกทั้งกราบ(ทำละหมาด)

คำแปล R3.
125. และจงนึกถึงเมื่อตอนที่เราได้ทำบ้านหลังนี้(กะอฺบะฮฺ)ให้เป็นศูนย์กลางและเป็นที่ปลอดภัยสำหรับมนุษยชาติ และได้สั่งผู้คนให้ยึดเอาที่ยืนของอิบรอฮีมเป็นที่นมาซ และเราได้สั่งอิบรอฮีมและอิสมาอีลให้รักษาบ้านของฉันไว้ให้สะอาดสำหรับบรรดาผู้ที่มาเวียนรอบ ผู้ที่มาทำสมาธิ ผู้ที่มาโค้งและกราบ

คำแปล R4.
125. และจงรำลึกถึงขณะที่เราได้ให้บ้านหลังนั้นเป็นที่กลับมาสำหรับมนุษย์และเป็นที่ปลอดภัย และพวกเจ้าจงยึดเอาที่ยืนของอิบรอฮีมเป็นที่ละหมาดเถิด และเราได้สั่งเสียแก่อิบรอฮีม และอิสมาอีลว่า เจ้าทั้งสองจงทำความสะอาดบ้านของข้าเพื่อบรรดาผู้ทำการเฎาะวาฟ  และบรรดาผู้ทำการเอียะติกาฟ  และบรรดาผู้ที่ทำรุกัวะและสุยูด

คำแปล R5.
๑๒๕.  และโอ้มูฮำมัด จงกล่าวแก่ยะฮูดีชาวมักกะห์ที่เป็นประชากรของมูซา และพวกนะซอรอผู้เป็นประชากรของอีซา ถึงวาจาและพฤติการณ์ของอิบรอฮีม เพื่อที่พวกนั้นจะได้พิเคราะห์ดูถึงวาจา และพฤติการณ์นั้น ๆ แหละก็หวังว่า พวกนั้นคงจะเจริญรอยตามอิบรอฮีม พร้อมด้วยเล็งเห็นความศักดิ์สิทธิ์ อันว่าคำกล่าวของเจ้าในเรื่องนี้นั้นกล่าวในฐานะที่เจ้าเป็นเพียงผู้นำวาจา และพฤติการณ์ของอิบรอฮีมให้พวกนั้นได้พิจารณาดูเท่านั้น เนื่องด้วยพวกเหล่านั้นเคยอ้างว่า ศาสนาซึ่งพวกตนนับถืออยู่นั้นสืบมาแต่ศาสนาของอิบรอฮีม ทั้ง ๆ ที่มิได้มีหลักฐานใด ๆ จากองค์อัลเลาะห์มายืนยันเลยว่า ในเวลาที่เราให้กะอ์บะฮ์ และแผ่นดินที่สงวนไว้รอบ ๆ นั้น เป็นสถานที่ที่มนุษย์จากทุก ๆ ทิศมุ่งไปสู่ที่นั่น เป็นสถานที่สงบ ปลอดภัยจากการฉ้อโกง และการโจมตีของข้าศึก สำหรับมนุษย์ ต่างกับที่อื่น ๆ มีการโกงกันและโจมตีกัน ความปลอดภัยหรือความสงบอันเกิดจากสถานที่นี้ จะเห็นได้จากเรื่องที่ว่า มีชายคนหนึ่งได้เข้าไปพบฆาตกรที่ฆ่าพ่อของเขา ณ สถานที่สงบนั้น เขาก็ไม่ได้แสดงอาการใดให้เป็นที่หวาดกลัวแก่ฆาตกรนั้นเลย ทั้งนี้เพราะด้วยความเคารพสถานที่นั้น
และโอ้มนุษย์ทั้งหลาย พวกเจ้าจงเอาหินที่อิบรอฮีมใช้เป็นที่ยืนก่อสร้างกะอ์บะฮ์เป็นที่ละหมาดสองเราะกะอัตหลังจากเวียนรอบกะอ์บะฮ์ครบ ๗ รอบ และเราได้ใช้อิบรอฮีมและอิสมาอีลว่า “เจ้าทั้งสองจงทำให้วิหารกะอ์บะฮ์ของข้าสะอาด ปราศจากเทวรูปต่าง ๆ เพื่อยังความสะดวกแก่พวกที่เวียนกะอ์บะฮ์ และพวกที่พักผ่อนอยู่ ณ ที่นั้น พร้อมทั้งพวกที่ทำการละหมาด




ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #62 เมื่อ: มี.ค. 02, 2010, 08:33 PM »
0
 salam

สูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 126 -127

 

คำอ่าน
126. วะอิซกอละอิบรอฮีมุ ร็อบบิจญอัล ฮาซาบะละดัน อามิเนา..วัรฺซุกอะฮฺละฮู มินัษษะมะรอต, มันอามะนะมินฮุม..บิลลาฮฺ วัลเยามิลอาคิรฺ, กอละวะมัน..กะฟะเราะ ฟะอุมัตติอุฮู เกาะลีลัน..ษุม..มะอัฎฏ็อรฺรุฮู..อิลาอะซาบิน..นารฺ, วะบิอ์สัลมะศีรฺ

คำแปล R1.
126. And (remember) when Ibrahim (Abraham) said, "My Lord, make This city (Makkah) a place of security and provide its people with fruits, such of them as believe In Allah and the Last Day." He (Allah) answered: "As for him who disbelieves, I shall leave him in contentment for a while, then I shall compel him to the torment of the Fire, and worst indeed is that destination!"

คำแปล R2.
126. เมื่อครั้งที่(นบี)อิบรอฮีมได้วอนขอ(ต่ออัลเลาะฮฺ)ว่า โอ้องค์อภิบาล! โปรดดลบันดาลเมืองนี้ให้เป็นเมืองที่ปลอดภัย และโปรดประทานโชคผลแก่ชาวเมืองนั้นจากผลไม้ต่าง ๆ เฉพาะพวกเขาบางคนที่มีศรัทธาในอัลเลาะฮฺและวันสุดท้ายเท่านั้น พระองค์ทรงตรัสว่า! และบุคคลใดเนรคุณ ข้าก็จะให้เขาได้เสพสุขแต่เพียงเล็กน้อย(ในโลกนี้)แล้วหลังจากนั้นข้าก็จะผลักใสเขาไปสู่การลงโทษของนรก และมันเป็นจุดหมายอันเลวร้ายยิ่ง

คำแปล R3.
126. และจงนึกถึงเมื่ออิบรอฮีมกล่าววิงวอนว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของฉัน ขอได้ทรงโปรดทำเมืองนี้ให้เป็นที่ปลอดภัยและได้ทรงโปรดประทานผลไม้นานาชนิดให้แก่ชาวเมืองผู้ศรัทธาในอัลลอฮฺและวันสุดท้าย” พระองค์ได้ทรงตอบว่า “สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น ฉันก็จะให้สิ่งจำเป็นแห่งชีวิตในโลกนี้แก่พวกเขา ถึงแม้ว่าในโลกหน้าฉันจะส่งเขาไปสู่การลงโทษของไฟนรก และนั่นเป็นปลายทางอันชั่วร้ายที่สุด”

คำแปล R4.
126. และจงรำลึกถึงขณะที่ อิบรอฮีมได้วิงวอนว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์โปรดทรงให้ที่นี่เป็นเมืองที่ปลอดภัย และโปรดประทานบรรดาผลไม้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่ชาวเมืองนั้นด้วย คือผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลกจากพวกเขา  พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดที่ปฏิเสธการศรัทธา ข้าจะให้เขาได้รับความสำราญชั่วเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ภายหลังข้าจะบีบบังคับให้เขาไปสู่การทรมานแห่งขุมนรก และเป็นจุดหมายปลายทางอันชั่วช้ายิ่ง

คำแปล R5.
๑๒๖. และโอ้มูฮำมัด จงกล่าวแก่ยะฮูดีชาวมักกะห์ที่เป็นประชากรของมูซา และพวกนะซอรอผู้เป็นประชากรของอีซา ถึงวาจาและพฤติการณ์ของอิบรอฮีม เพื่อที่พวกนั้นจะได้พิเคราะห์ดูถึงวาจา และพฤติการณ์นั้น ๆ แหละก็หวังว่า พวกนั้นคงจะเจริญรอยตามอิบรอฮีม พร้อมด้วยเล็งเห็นความศักดิ์สิทธิ์ อันว่าคำกล่าวของเจ้าในเรื่องนี้นั้นกล่าวในฐานะที่เจ้าเป็นเพียงผู้นำวาจา และพฤติการณ์ของอิบรอฮีมให้พวกนั้นได้พิจารณาดูเท่านั้น เนื่องด้วยพวกเหล่านั้นเคยอ้างว่า ศาสนาซึ่งพวกตนนับถืออยู่นั้นสืบมาแต่ศาสนาของอิบรอฮีม ทั้ง ๆ ที่มิได้มีหลักฐานใด ๆ จากองค์อัลเลาะห์มายืนยันเลยว่า ในเวลาที่อิบรอฮีมได้ขอวิงวอนว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดให้นครนี้เป็นนครที่สงบสุข” พระองค์ก็ทรงรับตามคำขอของอิบรอฮีม จึงโปรดให้นครนั้นเป็นแดนสงบและที่เคารพ โดยห้ามนองเลือด ห้ามฉ้อโกง ห้ามล่าสัตว์ ห้ามเด็ดและถอนต้นไม้สด และขอพระองค์ได้โปรดประทานผลไม้ส่วนหนึ่งแก่ชาวนครผู้ที่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์และวันปรภพ(อาคีเราะห์)เถิด จากนั้นอัลเลาะห์ก็ทรงบันดาลให้สวนแห่งหนึ่งที่ซีเรีย อันเป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยผลไม้มาตั้งอยู่ที่ตำบลฏออีฟ ซึ่งเดิมเป็นแผ่นดินที่แห้งแล้ง ไม่มีน้ำและปราศจากพืชพันธุ์ อัลเลาะห์ได้ตรัสว่า และข้าก็จะให้แก่พวกที่เป็นกาฟิรได้สำราญด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคในภพนี้เพียงชั่วอายุขัยของเขาอีกด้วย หลังจากนั้นข้าก็ให้เขาจำต้องพบการทรมานในนรก ในภพหน้าอย่างเลี่ยงไม่พ้น ก็สถานที่ที่กลับไปนั้นเลวนัก นั่นคือนรก

 

คำอ่าน
127. วะอิซยัรฺฟะอุ อิบรอฮีมุลเกาะวาอิดะ มินัลบัยติ วะอิสมาอีลุ ร็อบบะนา ตะก็อบบัลมิน..นา..อิน..นะกะอัน..ตัสสะมีอุลอะลีม

คำแปล R1.
127. And (remember) when Ibrahim (Abraham) and (his son) Isma'il (Ishmael) were raising the foundations of the House (the Ka'bah at Makkah), (saying), "Our Lord! Accept (this service) from us. Verily! You are the All-Hearer, the All-Knower."

คำแปล R2.
127. และเมื่อครั้งที่อิบรอฮีมและอิสมาอีลทำการยกบรรดารากฐานของบัยติลลาฮฺขึ้น(เพื่อสร้างใหม่) เขาทั้งสองได้วอนขอต่ออัลเลาะฮฺ ว่าโอ้องค์อภิบาลของเรา! ขอพระองค์ได้ทรงโปรดรับ(การสร้างครั้งนี้)จากเราด้วยเถิด แท้จริงพระองค์ทรงได้ยินอีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง

คำแปล R3.
127. และจงนึกถึงเมื่ออิบรอฮีมและอิสมาอีลได้ก่อกำแพงของบ้านหลังนี้เขาทั้งสองได้วิงวอนว่า “พระผู้อภิบาลของเรา ขอได้ทรงโปรดรับงานนี้จากเรา แน่แท้ พระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้”

คำแปล R4.
127. และจงรำลึกถึงขณะที่ อิบรอฮีมและอิสมาอีล ได้ก่อฐานของบ้านหลังนั้นให้สูงขึ้น (ทั้งสองได้กล่าววิงวอนว่า) ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของพวกข้าพระองค์โปรดรับ(งาน) จากพวกข้าพระองค์ด้วยเถิด แท้จริงพระองค์นั้นทรงได้ยินและทรงรอบรู้

คำแปล R5.
๑๒๗. และโอ้มูฮำมัด จงกล่าวแก่ยะฮูดีชาวมักกะห์ที่เป็นประชากรของมูซา และพวกนะซอรอผู้เป็นประชากรของอีซา ถึงวาจาและพฤติการณ์ของอิบรอฮีม เพื่อที่พวกนั้นจะได้พิเคราะห์ดูถึงวาจา และพฤติการณ์นั้น ๆ แหละก็หวังว่า พวกนั้นคงจะเจริญรอยตามอิบรอฮีม พร้อมด้วยเล็งเห็นความศักดิ์สิทธิ์ อันว่าคำกล่าวของเจ้าในเรื่องนี้นั้นกล่าวในฐานะที่เจ้าเป็นเพียงผู้นำวาจา และพฤติการณ์ของอิบรอฮีมให้พวกนั้นได้พิจารณาดูเท่านั้น เนื่องด้วยพวกเหล่านั้นเคยอ้างว่า ศาสนาซึ่งพวกตนนับถืออยู่นั้นสืบมาแต่ศาสนาของอิบรอฮีม ทั้ง ๆ ที่มิได้มีหลักฐานใด ๆ จากองค์อัลเลาะห์มายืนยันเลยว่า ในเวลาที่อิบรอฮีมและอิสมาอีลได้วางรากฐานหรือก่อฝาผนังของไบตุลเลาะห์แล้ว ทั้งสองได้วิงวอนต่ออัลเลาะห์ว่า โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงรับรองการก่อสร้างของข้าพระองค์ เพราะแท้จริงพระองค์ทรงได้ยินคำพูด และทรงรู้การกระทำทั้งหมด



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #63 เมื่อ: มี.ค. 03, 2010, 09:03 PM »
0
 
สูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 128 – 130


คำอ่าน
128. ร็อบบะนา วัจญอัลมุสลิมัยนิ ละกะ วะมิน..ซุรรียะตินา..อุม..มะตัม..มุสลิมะตัลลัก, วะอะรินา มะนาสิกะนา วะตุบอะลัยนา..อิน..นะกะ อัน..ตัตเตาวาบุรฺเราะหีม

คำแปล R1.
128. "Our Lord! And make us submissive unto you and of our offspring a nation submissive unto you, and show us our Manasik (all the ceremonies of pilgrimage - Hajj and 'Umrah, etc.), and Accept our repentance. Truly, you are the One who accepts repentance, the Most Merciful.

คำแปล R2.
128. โอ้องค์อภิบาลของเรา! และขอพระองค์ได้ทรงโปรดดลบันดาลเราทั้งสอง ในฐานะผู้สวามิภักดิ์ต่อพระองค์ และบางคนจากเผ่าพันธุ์ของเราให้เป็นประชาชาติที่สวามิภักดิ์ต่อพระองค์เถิด และโปรดแจ้งให้เราได้รู้จักพิธีนมัสการของเรา และโปรดรับคำสารภาพผิดของเรา แท้จริงพระองค์ทรงรับการสารภาพ อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง

คำแปล R3.
128. พระผู้อภิบาลของเรา ได้ทรงโปรดทำให้เราทั้งสองเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์และได้ทรงโปรดให้ลูกหลานของเราเป็นชนชาติที่นอบน้อมต่อพระองค์ ขอได้ทรงแสดงให้เราเห็นถึงการปฏิบัติศาสนกิจของเราและได้ทรงโปรดนิรโทษแก่เราโดยปราณี แน่แท้ พระองค์คือผู้ทรงนิรโทษโดยปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

คำแปล R4.
128.ข้าพระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ โปรดให้พระองค์ทั้งสองเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์ และโปรดให้มีขึ้นจากลูกหลานของพวกพระองค์ ซึ่งประชาชนที่นอบน้อมต่อพระองค์ และโปรดแสดงแก่ข้าพระองค์ ซึ่งพิธีการทำฮัจญ์ของพวกข้าพระองค์ และโปรดอภัยโทษแก่พวกข้าพระองค์ด้วย แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้อภัยโทษ ทรงเอ็นดูเมตตา

คำแปล R5.
๑๒๘. โอ้องค์พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดให้ข้าพระองค์ทั้งสองเป็นผู้ที่เคารพนบนอบต่อพระองค์ และได้โปรดให้ลูกหลานของข้าพระองค์ เป็นพวกที่เคารพนบนอบต่อข้าพระองค์ด้วย และขอพระองค์ได้โปรดสอนให้ข้าพระองค์รู้วิธีทำนมัสการหรือวิธีทำฮัจย์ และขอพระองค์ได้โปรดรับคำสารภาพผิด(เตาบะห์)จากข้าพระองค์ด้วยเถิด เพราะแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงรับคำสารภาพผิดและทรงโปรดเสมอ



คำอ่าน
129. ร็อบบะนา วับอัษฟีฮิมเราะสูลัม..มินฮุม ยัตลูอะลัยฮิม อายาติกะ วะยุอัลลิมุฮุมุลกิตาบะ วัลหิกมะตะ วะยุซักกีฮิม, อิน..นะกะอัน..ตัลอะซีซุลหะกีม

คำแปล R1.
129. "Our Lord! Send amongst them a Messenger of their own (and indeed Allah answered their invocation by sending Muhammad Sal-allaahu 'alayhe wa sallam ), who shall recite unto them Your Verses and instruct them in the Book (this Qur'an) and Al-Hikmah (full knowledge of the Islamic laws and jurisprudence or wisdom or Prophet’s sunnah – legal ways), and purify them. Verily! You are the All-Mighty, the All-Wise."

คำแปล R2.
129. โอ้องค์อภิบาลของเรา เราขอพระองค์ได้ทรงโปรดแต่งตั้งศาสนทูตคนหนึ่งจากพวกเขา(ให้นำหลักธรรมของพระองค์มาประกาศ)ในพวกเขาด้วยเถิด เขาแถลงบรรดาโองการของพระองค์แก่พวกเขา และชำระ(จิตใจ)พวกเขาจนสะอาด แท้จริงพระองค์ทรงอำนาจยิ่ง อีกทั้งทรงปรีชายิ่ง

คำแปล R3.
129. พระผู้อภิบาลของเรา ได้ทรงโปรดให้ในหมู่พวกเขามีรอซูลขึ้นมาคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่จะมาสาธยายอายะฮฺทั้งหลายของพระองค์แก่พวกเขา และสอนคัมภีร์และวิทยปัญญาให้แก่พวกเขา และขัดเกลาชีวิตของพวกเขาให้สะอาด แน่แท้พระองค์คือผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ

คำแปล R4.
129. ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของพวกข้าพระองค์โปรดส่งร่อซูลคนหนึ่งคนใดจากพวกเขาเอง ไปในหมู่พวกเขา ซึ่งเขาจะได้อ่านบรรดาโองการของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และจะได้สอนคัมภีร์ และความมุ่งหมายแห่งบัญญัติให้พวกเขาทราบ และซักฟอกพวกเขาให้สะอาด แท้จริงพระองค์ทรงไว้ซึ่งเดชานุภาพและปรีชาญาณ

คำแปล R5.
๑๒๙. โอ้พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดแต่งตั้ง มูฮำมัด เป็นศาสนทูต(ผู้รับองค์การจากพระองค์มาเผยแพร่) ขึ้นในหมู่ลูกหลานของข้าพระองค์ซึ่ง(เขา)จะอ่านอัล-กุรอานให้พวก(ลูกหลาน)นั้นฟัง สอนอัล-กุรอานตลอดจนศาสนบัญญัติให้พวก(ลูกหลาน)นั้น และชำระจิตใจของพวก(ลูกหลาน)นั้นให้สะอาด พ้นจากการนับถือเทวรูปเป็นพระเจ้า เพราะแท้จริงพระองค์ทรงเดชานุภาพ และทรงประณีต ในงานของพระองค์


คำอ่าน
130. วะมัย..ยัรฺเฆาะบุ อัม..มิลละติอิบรอฮีมะ อิลลามัน..สะฟิฮะนัฟสะฮฺ, วะละเกาะดิศเฏอะฟัยนาฮุ ฟิดดุนยา, วะอินนะฮู ฟิลอาคิเราะติ ละมินัศศอลิหีน

คำแปล R1.
130. And who turns away from the Religion of Ibrahim (Abraham) (i.e. Islamic Monotheism) except him who be-fools himself? Truly, we chose him in this world and verily, in the hereafter he will be among the righteous.

คำแปล R2.
130. และไม่มีใครทั้งสิ้นที่รังเกียจลัทธิศาสนาของอิบรอฮีม นอกจากผู้ที่โง่เขลาต่อตัวเขาเองเท่านั้น ขอยืนยัน แท้จริงเราได้คัดเลือกตัวเขา(ให้เป็นศาสนทูต)ในโลกนี้ และในโลกหน้าเขาก็จะเป็นผู้หนึ่ง จากมวลผู้ประพฤติดีอย่างแน่นอน

คำแปล R3.
130. แล้วใครเล่าที่จะหันเหออกไปจากแนวทางของอิบรอฮีมนอกจากผู้ที่โฉดเขลาต่อตัวเขาเอง ? แน่นอน อิบรอฮีมคือผู้ที่เราได้เลือกมาเพื่อรับใช้เราในโลกนี้ และแท้จริง ในปรโลก เขาจะอยู่ในหมู่กัลยาณชน

คำแปล R4.
130. และใครเล่าที่จะไม่ พึงปรารถนาในแนวทางของอิบรอฮีม นอกจากผู้ที่ทำให้ตัวเองโฉดเขลาเท่านั้น และแท้จริงนั้น เราได้คัดเลือกเขา(ให้เป็นนะบี และร่อซูล) ในโลกนี้ และแท้จริงในปรโลกนั้น เขาจะอยู่ในหมู่คนดีๆ อย่างแน่นอน

คำแปล R5.
๑๓๐. และไม่มีผู้ใดจะรังเกียจศาสนาของอิบรอฮีม เพราะพวกนั้นเห็นศาสนาสมัยอิบรอฮีมอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว เว้นไว้แต่ผู้ที่ไม่รู้ตัวว่าตนถูกอัลเลาะห์สร้าง ผู้ที่รู้ตัวเองว่าอัลเลาะห์สร้างแล้ว ก็จำเป็นเหนือผู้นั้นจะต้องนมัสการต่อพระองค์ และเราขอยืนยันว่าแท้จริงเราได้คัดเลือกอิบรอฮีมจากมวลมนุษย์ในโลกนี้ให้เป็นผู้สำเร็จการแทนและเป็นคนสนิทของเรา เพราะแท้จริงอิบรอฮีมนั้น ในโลกหน้าเขาเป็นคนหนึ่งจากพวกที่ดีมีเกียรติสูง



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #64 เมื่อ: มี.ค. 04, 2010, 08:42 PM »
0

สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 131 – 134



คำอ่าน
131. อิซกอละละฮู ร็อบบุฮู..อัสลิม เกาะละอัสลัมตุ ลิร็อบบิลอาละมีน

คำแปล R1.
131. When his Lord said to him, "Submit (i.e. be a Muslim)!" He said, "I have submitted myself (as a Muslim) to the Lord of the 'Alamin (mankind, jinns and all that exists)."

คำแปล R2.
131. เมื่อครั้งที่องค์อภิบาลของเขา(อิบรอฮีม)ได้ดำรัสแก่เขาว่า “เจ้าจงสวามิภักดิ์เถิด เขาก็ทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าได้สวามิภักดิ์ต่อองค์อภิบาลแห่งสากลจักรวาลแล้ว”


คำแปล R3.
131. เมื่อพระผู้อภิบาลของเขากล่าวแก่เขาว่า “จงนอบน้อม” เขาก็ได้ตอบรับทันทีว่า “ฉันได้นอบน้อมต่อพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลกแล้ว”

คำแปล R4.
131. จงรำลึกถึงขณะที่พระเจ้าของเขาได้กล่าวแก่เขาว่า เจ้าจงสวามิภักดิ์เถิดเขากล่าวว่า ข้าพระองค์ได้สวามิภักดิ์แด่พระเจ้าแห่งสากลโลกแล้ว

คำแปล R5.
๑๓๑. โอ้มูฮำมัด จงกล่าวแก่ยะฮูดีชาวมักกะห์ที่เป็นประชากรของมูซา และพวกนะซอรอผู้เป็นประชากรของอีซา ถึงวาจาและพฤติการณ์ของอิบรอฮีม เพื่อที่พวกนั้นจะได้พิเคราะห์ดูถึงวาจา และพฤติการณ์นั้น ๆ แหละก็หวังว่า พวกนั้นคงจะเจริญรอยตามอิบรอฮีม พร้อมด้วยเล็งเห็นความศักดิ์สิทธิ์ อันว่าคำกล่าวของเจ้าในเรื่องนี้นั้นกล่าวในฐานะที่เจ้าเป็นเพียงผู้นำวาจา และพฤติการณ์ของอิบรอฮีมให้พวกนั้นได้พิจารณาดูเท่านั้น เนื่องด้วยพวกเหล่านั้นเคยอ้างว่า ศาสนาซึ่งพวกตนนับถืออยู่นั้นสืบมาแต่ศาสนาของอิบรอฮีม ทั้ง ๆ ที่มิได้มีหลักฐานใด ๆ จากองค์อัลเลาะห์มายืนยันเลยว่า ในเวลาที่องค์พระผู้อภิบาลได้ตรัสแก่อิบรอฮีมว่า เจ้าจงตามอัลเลาะห์และดำเนินศาสนาของเจ้าให้บริสุทธิ์สะอาดเพื่ออัลเลาะห์เถิด อิบรอฮีมก็ตอบว่า ข้าได้ปฏิบัติตามและดำเนินศาสนาอย่างบริสุทธิ์สะอาดเพื่อองค์พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลกแล้ว



คำอ่าน
132. วะวัศศอบิฮา..อิบรอฮีมุ บะนีฮิ วะยะอฺกูบ, ยะบะนียะ อิน..นัลลอฮัศเฏาะฟา ละกุมุดดีนะ ฟะลาตะมูตุน..นะ อิลลาวะอัน..ตุม..มุสลิมูน

คำแปล R1.
132. And this (submission to Allah, Islam) was enjoined by Ibrahim (Abraham) upon his sons and by Ya'qub (Jacob), (saying), "O my sons! Allah has chosen for you the (true) religion, then die not except in the faith of Islam (as Muslims - Islamic Monotheism)."

คำแปล R2.
132. และอิบรอฮีมได้ออกคำสั่งแก่บรรดาลูก ๆ ของเขา และยะอฺกู๊บ เกี่ยวกับลัทธิศาสนาว่า โอ้ลูก ๆ ของฉันแท้จริงอัลเลาะฮฺได้ทรงคัดเลือกศาสนานี้สำหรับเจ้าทั้งมวล ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหลายจงอย่าได้ตาย นอกจากว่าพวกเจ้าอยู่ในฐานะผู้ยอมสวามิภักดิ์(ต่ออัลเลาะฮฺ)

คำแปล R3.
132. ในทำนองเดียวกัน อิบรอฮีมได้สั่งลูก ๆ ของเขาให้ปฏิบัติตามแนวทางเดียวกัน ยะกู๊บก็ได้สั่งบรรดาลูก ๆ ของเขาเช่นกันว่า “ลูก ๆ ของฉันเอ๋ย อัลลอฮฺได้ทรงเลือกแนวทางแห่งชีวิตนี้สำหรับพวกเจ้าแล้ว ดังนั้นจงดำรงความเป็นมุสลิมไว้จนกว่าพวกเจ้าจะตาย”

คำแปล R4.
132. และอิบรอฮีมได้สั่ง เสียแก่ลูก ของเขาให้ปฏิบัติตามแนวทางนั้น และยะกูบก็สั่งเสียด้วยว่า โอ้ลูก ๆ ของฉัน แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงเลือกศาสนาให้แก่พวกเจ้าแล้ว ดังนั้น พวกเจ้าจงอย่ายอมตายเป็นอันขาด นอกจากในขณะที่พวกเจ้าเป็นผู้สวามิภักดิ์(ต่ออัลลฮ์) เท่านั้น

คำแปล R5.
๑๓๒. ทั้งอิบรอฮีมและยะก๊บได้สั่งเสียลูกหลานของเขาทั้งสองว่า “ให้ยึดมั่นในศาสนา” โดยทั้งสองกล่าวว่า “โอ้ลูกหลานของข้า แท้จริงอัลเลาะห์ทรงเลือกศาสนาอิสลามให้แก่พวกเจ้า” ฉะนั้นพวกเจ้าจงยึดถือศาสนาอิสลามไปจนวันตายเถอะ
 

คำอ่าน
133. อันกุน..ตุมชุฮะดา...อะ อิซหะเฎาะเราะยะอฺกูบัลเมาตุ อิซกอละลิบะนีฮิ มาตะอฺบุดูนะมิม..บะอฺดี, กอลูนะอฺบุดุอิลาฮะกะ วะอิลาฮะอาบา...อิกะ อิบรอฮีมะ วะอิสมาอีละ วะอิสหาเกาะ อิลาเฮา..วาหิดา, วะนะหฺนุละฮูมุสลิมูน

คำแปล R1.
133. Or were you witnesses when death approached Ya'qub (Jacob)? When he said unto his sons, "What will you worship after me?" They said, "We shall worship your Ilah (God - Allah), the Ilah (God) of your fathers, Ibrahim (Abraham), Ismail (Ishmael), Ishaque (Isaac), one Ilah (God), and to Him we submit (in Islam)."

คำแปล R2.
133. หรือพวกเจ้าปรากฏตัวอยู่(ในเหตุการณ์ครั้งบรรพกาลด้วย) เมื่อครั้งที่ความตายได้ปรากฏแก่ยะอฺกู๊บ เมื่อเขาได้กล่าวแก่บรรดาลูก ๆ ของเขาว่า “พวกเจ้าจะนมัสการสิ่งใดภายหลังจากข้า(ได้จากพวกเจ้าไป)” พวกเขาเหล่านั้นก็กล่าวตอบว่า เราจะกราบนมัสการต่อพระผู้เป็นเจ้าของท่าน พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน คือของอิบรอฮีม ของอิสมาอีล และอิสฮาก เป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น และพวกเรายอมสวามิภักดิ์ต่อพระองค์


คำแปล R3.
133. (สูเจ้ากล้าปฏิเสธสิ่งนี้หรือ?) สูเจ้าอยู่ที่นั่นด้วยหรือไม่ เมื่อตอนที่ยะกู๊บใกล้ตาย? เขาได้ถามลูก ๆ ของเขาว่า “หลังจากฉันแล้ว พวกเจ้าจะเคารพภักดีผู้ใด?” พวกเขากล่าวว่า “เราจะเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้าที่ท่าน บรรพบุรุษของท่าน อิบรอฮีม อิสมาอีล และอิสฮาก ยอมรับว่าเป็นพระเจ้าของพวกเขา และเราเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์”

คำแปล R4.
133. หรือว่าพวกเจ้าอยู่ ด้วย เมื่อความตายได้เยี่ยมกรายยะอ์กูบ ขณะที่เขากล่าวแก่ลูก ๆ ของเขาว่า พวกเจ้าจะเคารพสักการะอะไร หลังจากฉัน? พวกเขากล่าวว่า พวกเราจะเคารพสักการะพระเจ้าของท่าน และพระเจ้าแห่งบรรดาบิดาของท่าน คือ อิบรอฮีม อิสมาอีล และอิสฮาก แต่เพียงองค์เดียวและพวกเราจะเป็นผู้สวามิภักดิ์ต่อพระองค์เท่านั้น

คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ คือ พวกยะฮูดีได้ถามมูฮำมัดว่า โอ้มูฮำมัด เจ้าไม่รู้หรือว่า ? แท้จริงยะก๊บขณะที่จะตายนั้น เขาได้สั่งเสียลูกหลานให้เจริญตามศาสนายะฮูดี คือศาสนาแห่งมูซา อัลเลาะห์จึงลงโองการว่าพวกนั้นโกหก โดยการแจ้งคำพูดของยะก๊บขณะจะตายว่า
๑๓๓. โอ้พวกยะฮูดี พวกเจ้ามิได้ปรากฏอยู่ในตอนที่ความตายจะมาถึงยะก๊บ คือในตอนที่(ยะก๊บ)เขาได้ถามลูกหลานของเขาว่า หลังจากที่ข้าตายลงแล้ว เจ้าจะกราบไหว้อะไรกัน? พวกนั้นได้ตอบว่า พวกเราจะกราบไหว้พระเจ้าของท่าน และพระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน บรรพบุรุษเหล่านั้นคือ อิบรอฮีม อิสมาอีล และอิสฮาก เป็นพระเจ้าองค์เดียว โดยที่เราเป็นพวกปฏิบัติตามอัลเลาะห์ และดำเนินตามศาสนาขงเราอย่างบริสุทธิ์สะอาดเพื่อพระองค์ ก็ในเมื่อพวกเจ้ามิได้ปรากฏเฉพาะหน้าตอนที่ยะก๊บจะตายแล้ว พวกเจ้าไม่ควรจะมาอ้างว่า ยะก๊บสั่งลูกหลานให้นับถือศาสนายะฮูดีเลย
[/color]


คำอ่าน
134. ติลกะอุม.มะตุน..ก็อดเคาะลัต, ละฮามากะสะบัต วะละกุม..มากะสับตุม, วะลาตุสอะลูนะ อัม..มากานูยะอฺมะลูน

คำแปล R1.
134. That was a nation who has passed away. They shall receive the reward of what they earned and you of what you earn. And you will not be asked of what they used to do.

คำแปล R2.
134. นั้นเป็นประชาชาติที่ได้ล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาได้พากเพียรไว้ย่อมเป็นสิทธิของพวกเขา และสิ่งที่พวกเจ้าทั้งหลายพากเพียร ก็ย่อมเป็นสิทธิของพวกเจ้าเอง และพวกเจ้าจะไม่ถูกสอบสวนเกี่ยวกับกรณีที่พวกเขาเคยประพฤติมาก่อน

คำแปล R3.
134.  พวกเขาคือหมู่ชนที่ล่วงลับไปแล้ว พวกเขาจะได้รับการตอบแทนสำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้ และสูเจ้าก็จะได้รับการตอบแทน สำหรับสิ่งที่สูเจ้าได้ขวนขวายไว้ และสูเจ้าจะไม่ถูกสอบถามเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติ

คำแปล R4.
134. นั่นคือ หมู่ชนที่ล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาขวนขวายไว้ ก็ย่อมได้แก่พวกเขา และสิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายไว้ก็ย่อมได้แก่พวกเจ้า และพวกเจ้าจะไม่ถูกไต่สวนถึงสิ่งที่พวกเขากระทำ

คำแปล R5.
๑๓๔. พวกนั้น คือ อิบรอฮีม, ยะก๊บ และลูกหลานของท่านทั้งสอง เป็นพวกที่ล่วงลับไปแล้ว การตอบแทนการงานที่พวกเขาเหล่านั้นทำก็ต้องได้แก่พวกนั้นโดยเฉพาะ
โอ้พวกยะฮูดี การตอบแทนการงานที่พวกเจ้าได้ทำไว้ก็จะต้องได้แก่พวกเจ้าโดยเฉพาะ และโอ้พวกยะฮูดี พวกเจ้าจะไม่ถูกซักถามในวันปรภพ(อาคีเราะห์)จากการงานที่พวกนั้น คือ อิบรอฮีม, ยะก๊บ และลูกหลานของท่านทั้งสองได้ทำไว้ ในทำนองเดียวกัน การงานที่พวกเจ้าทำไว้ พวกนั้นก็จะไม่ถูกซักถาม คงได้ความว่า การกระทำของผู้หนึ่งผู้ใดย่อมไม่ตกแก่คนอื่นนอกจากตัวเองเท่านั้น ใครทำดีย่อมได้รับการตอบแทนดี แต่ถ้าใครทำชั่วก็ต้องได้รับการตอบแทนชั่ว



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #65 เมื่อ: มี.ค. 07, 2010, 10:38 PM »
0
สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 135 – 138


คำอ่าน
135. วะกอลูกูนูฮูดันเอานะศอรอ ตะฮฺตะดู, กุลบัลมิลละตะอิบรอฮีมะหะนีฟา, วะมากานะมินัลมุชริกีน

คำแปล R1.
135. And they say, "Be Jews or Christians, Then you will be guided." Say (to them, O Muhammad Sal-allaahu 'alayhe wa sallam ), "Nay, (we follow) only the Religion of Ibrahim (Abraham), Hanif [Islamic Monotheism, i.e. to worship none but Allah (Alone)], and he was not of Al-Mushrikun (those who worshipped others along with Allah - see V.2:105)."

คำแปล R2.
135. และพวกเขากล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นยะฮูดีหรือนัศรอนีเถิด พวกท่านก็จะได้รับการชี้นำอย่างแน่นอน เจ้าจงประกาศเถิดว่า ทว่าพวกเราขอเจริญรอยตามลัทธิศาสนาอันเที่ยงแท้ของอิบรอฮีม และปรากฏว่า เขาไม่ใช่ผู้หนึ่งจากมวลผู้ตั้งภาคีทั้งหลาย

คำแปล R3.
135. พวกเขากล่าวว่า “จงเป็นยิวหรือเป็นคริสเตียนเถิด แล้วสูเจ้าจะได้อยู่ในทางนำ” จงกล่าวแก่พวกเขาเถิด “ไม่ เราได้หันห่างออกจากทางอื่นทุกทาง และยอมรับแนวทางของอิบรอฮีม และเรามิได้อยู่ในหมู่ผู้ตั้งภาคี”


คำแปล R4.

135. และพวกเขากล่าวว่า พวกท่านจงเป็นยิวเถิด หรือเป็นคริสต์เถิดพวกท่านก็จะได้รับคำแนะนำอันถูกต้อง จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) หาใช่เช่นนั้นไม่ แนวทางของอิบรอฮีมผู้ใฝ่หาความจริงต่างหาก


คำแปล R5.
๑๓๕. และพวกยะฮูดีแห่งเมืองมดีนะห์กล่าวว่า โอ้พวกมุอ์มิน พวกท่านจงนับถือศาสนาของยะฮูดีเถิด เพื่อพวกเจ้าได้เข้าถึงความดีและได้ซึ่งความดีนั้น ส่วนพวกนะซอรอก็ว่า โอ้พวกมุอ์มิน พวกท่านจงนับถือศาสนาของพวกนะซอรอเถิด เพื่อพวกเจ้าจะได้เข้าถึงความดีและได้ซึ่งความดีนั้น
โอ้มูฮำมัด เจ้าจงตอบพวกทั้งสองนั้นเถอะว่า แต่พวกเราจะต้องเจริญตามศาสนาของอิบรอฮีม โดยที่อิบรอฮีมเลี่ยงจากศาสนาอื่นใดและโอนไปสู่ศาสนาที่เที่ยงตรง คือศาสนาอิสลาม และอิบรอฮีมไม่ใช่พวกหนึ่งจากพวกกาฟิร เหมือนกับพวกยะฮูดี พวกนัซรอนีและพวกกาฟิรชาวมักกะห์



คำอ่าน
136. กูลูอามัน..นาบิลลาฮิ วะมาอุน..ซิละอิลัยนา วะมาอุนซิละอิลาอิบรอฮีมะ วะอิสมาอีละ วะอิสหาเกาะ วะยะอฺกูบะ วัลอัสบาฏ, วะมา..อูติยะมูสา วะอีสา วะมา..อูติยัน..นะบียูนะ มิรฺร็อบบิฮิม, ลายุฟัรฺริกุ บัยนะอะหะดิม..มินฮุม วะนะหฺนุละฮูมุสลิมูน

คำแปล R1.
136. Say (O Muslims), "We believe In Allah and that which has been sent down to us and that which has been sent down to Ibrahim (Abraham), Isma'il (Ishmael), Ishaque (Isaac), Ya'qub (Jacob), and to Al-Asbat [the twelve sons of Ya'qub (Jacob)], and that which has been given to Musa (Moses) and 'Iesa (Jesus), and that which has been given to the Prophets from their Lord. We make no distinction between any of them, and to Him we have submitted (in Islam)."

คำแปล R2.
136. เจ้าจงหลายจงกล่าวเถิดว่า เราศรัทธามั่นในอัลเลาะฮฺ ในสิ่งที่ถูกประทานมายังเรา สิ่งที่ถูกประทานมายังอิบรอฮีม มายังอิสมาอีล มายังอิสฮาก มายังยะอฺกู๊บ และบรรดาเผ่าพันธุ์(ของยะอฺกู๊บ)ได้รับมา และสิ่งที่บรรดาศาสดาต่าง ๆ ได้รับมาจากองค์อภิบาลของพวกเขา เราไม่ขอจำแนกระหว่างคนใดคนหนึ่งจากพวกเขา และเราขอสวามิภักดิ์ต่อพระองค์

คำแปล R3.
136. (โอ้มุสลิม) จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า “เราศรัทธาในอัลลอฮฺและทางนำที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เรา ที่ได้ถูกประทานลงมาแก่อิบรอฮีม อิสมาอีล อิสฮาก ยะกู๊บ และลูกหลานของเขา และที่ได้ถูกประทานมาแก่มูซา อีซาและที่ได้ถูกประทานมาแก่นบีทั้งหลาย เรามิได้จำแนกคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขา และเราเป็นผู้นอบน้อมต่อพระองค์


คำแปล R4.
136. พวกท่านจงกล่าวเถิด เราได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เรา และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่อิบรอฮีม และอิสมาอีล และอิสฮาก และยะอ์กูบ และบรรดาวงศ์วานเหล่านั้นและสิ่งที่มูซา และอีซาได้รับ และสิ่งที่บรรดานะบีได้รับจากพระเจ้าของพวกเขา พวกเรามิได้แบ่งแยกระหว่างท่านหนึ่งท่านใดจากเขาเหล่านั้น และพวกเราจะเป็นผู้สวามิภักดิ์ต่อพระองค์เท่านั้น

คำแปล R5.
๑๓๖. โอ้พวกมุอ์มิน พวกเจ้าจงกล่าวว่า พวกเราศรัทธาต่ออัลเลาะห์และอัล-กุรอานที่ถูกลงมายังพวกเรา และศรัทธาต่อแผ่นต้นฉบับทั้งสิบ (บัญญัติที่ลงมาให้แก่นบีต่าง ๆ ๑๐ ฉบับ) ที่ถูกลงมายังอิบรอฮีม, อิสมาอีล, อิสฮาก, ยะก๊บและลูกหลานของยะก๊บ และศรัทธาต่อคัมภีร์เตารอตที่ลงมายังมูซา ต่ออินยีลที่ลงมายีงอีซา และต่อบรรดาคัมภีร์ตลอดจนบรรดาโองการที่ถูกนำมาให้แก่นบีต่าง ๆ ซึ่งพวกเราไม่จำแนก ระหว่างนบีองค์ใดองค์หนึ่ง เช่น พวกยะฮูดีเชื่อเฉพาะมูซา แต่ปฏิเสธนบีทั้งหลาย ส่วนพวกนะซอรอเชื่อเฉพาะอีซา แต่ปฏิเสธนบีทั้งหลาย
โดยที่เราเป็นพวกที่ปฏิบัติตามอัลเลาะห์และเจริญศาสนาของเราอย่างบริสุทธิ์สะอาดเพื่อพระองค์



คำอ่าน
137. ฟะอินอามะนู บิมิษลิมา..มาอามัน..ตุม..บิฮี ฟะเกาะดิฮฺตะเดา, วะอิน..ตะวัลเลา ฟะอิน..นะมาฮุม ฟีชิกอก, ฟะสะยักฟีกะฮุมุลลอฮฺ, วะฮุวัสสะมีอุลอะลีม

คำแปล R1.
137. So if they believe in the like of that which you believe, then they are rightly guided, but if they turn away, then they are only in opposition. So Allah will suffice you against them. And He is the All-Hearer, the All-Knower.

คำแปล R2.
137. ดังนั้นหากพวกเขามีศรัทธามั่น ประดุจเดียวกับพวกเจ้ามี แน่นอนที่สุดพวกเขาก็ได้รับการชี้นำ(ในแนวทางที่ถูกต้อง)ถ้าพวกเขาหันเห แน่นอนพวกเขาก็จะตกอยู่ในความขัดแย้ง ดังนั้นอัลเลาะฮฺจะทรงยังความเพียงพอแก่พวกเจ้า(ด้วยการตอบแทนแก่พวกเจ้าอย่างสาสมกับความขัดแย้งนั้น) และพระองค์ทรงได้ยิน อีกทั้งทรงรอบรู้ยิ่ง

คำแปล R3.
137. เพราะฉะนั้น ถ้าพวกเขาศรัทธาอย่างที่สูเจ้าได้ศรัทธา พวกเขาก็อยู่ในทางนำ แต่ถ้าพวกเขาหันกลับ ก็แสดงว่าพวกเขาเป็นผู้ดื้อรั้น ดังนั้น จงมั่นใจได้เลยว่า อัลลอฮฺนั้นเพียงพอแล้วที่จะป้องกันสูเจ้าจากพวกเขา พระองค์ทรงได้ยินทุกสิ่งและทรงรอบรู้ทุกสิ่ง

คำแปล R4.
137. แล้วหากพวกเขาศรัทธา อย่างที่พวกเจ้าศรัทธาแล้ว แน่นอนพวกเขาก็ย่อมได้รับข้อแนะนำที่ถูกต้อง และหากพวกเขาผินหลังให้ แน่นอนพวกเขาย่อมอยู่ในความแตกแยกกัน แล้วอัลลอฮ์ก็จะทรงให้เจ้าพอเพียงแก่พวกเขา และพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งการได้ยิน ทรงไว้ซึ่งความรอบรู้
 
คำแปล R5.
๑๓๗. ถ้าพวกยะฮูดีและนะซอรอเชื่อสิ่งที่พวกเจ้าเชื่อ คือ เชื่อตามคำที่พวกเจ้ากล่าวในโองการที่ ๑๓๖ ทั้งหมดแล้ว พวกนั้นก็ได้รับความสว่าง คือ เข้าถึงความดีและได้รับซึ่งความดีนั้น นั่นคือ พวกนั้นถือตรงกับพวกเจ้า แต่ถ้าพวกนั้นหันเหออกจากโองการที่ ๑๓๖ แล้วพวกนั้นก็อยู่ในการขัดแย้งกับพวกเจ้า โอ้มูฮำมัด ต่อไปอัลเลาะห์จะให้เจ้ากระทำอย่างสาสมกับความขัดแย้งของพวกนั้น คือ มูฮำมัดจะได้เนรเทศพวกนะดีรไปยังเมืองซีเรีย ทั้งยังเรียกเก็บค่ารัชชูปการจากพวกยะฮูดีทั้งหมดที่ตกอยู่ในอาณัติของมูฮำมัด
ด้วยอัลเลาะห์ทรงได้ยินคำพูดของพวกนั้น ทรงรู้อาการของพวกนั้น



คำอ่าน
138. ศิบเฆาะตัลลอฮฺ วะมันอะหฺสะนุมินัลลอฮฺศิบเฆาะฮฺ วะนะหฺนุละฮู อาบิดูน

คำแปล R1.
138. [Our Sibghah (religion) is] the Sibghah (religion) of Allah (Islam) and which Sibghah (religion) can be better than Allah's? And we are his worshippers. [Tafsir Ibn Kathir.]

คำแปล R2.
138. เป็นการย้อม(หลักธรรมแห่งศาสนา)ของอัลเลาะฮฺ(แก่ชีวิตของพวกเรา)และใครอีกเล่าที่จะทำการย้อมอันสวยงามยิ่งไปกว่าอัลเลาะฮฺ และพวกเราเป็นผู้นมัสการต่อพระองค์โดยเฉพาะ

คำแปล R3.
138. จงกล่าวเถิด “จงใช้สีของอัลลอฮฺ และใครเล่าที่จะให้สีที่ดีไปกว่าอัลลอฮฺ? และเราเป็นผู้เคารพภักดีต่อพระองค์”

คำแปล R4.
138. การย้อมของอัลลอฮฺ และใครเล่าจะย้อมดียิ่งไปกว่าอัลลอฮฺ และพวกเราจะเป็นผู้เคารพอิบาดะฮฺต่อพระองค์

คำแปล R5.
๑๓๘. พวกเราเชื่อศาสนาของอัลเลาะห์ และการเชื่อถือพระเจ้าอื่น ๆ นั้น ไม่ดีงามไปกว่าการเชื่ออัลเลาะห์
โอ้พวกมุอ์มินจงกล่าวเถิดว่า “เฉพาะพระองค์(อัลเลาะห์)เท่านั้นพวกเรากราบไหว้



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #66 เมื่อ: มี.ค. 08, 2010, 06:24 PM »
0

สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 139 – 141


คำอ่าน
139. กุลอะตุหา..จญูนะนา ฟิลลาฮิ วะฮุวะร็อบบุนาวะร็อบบุกุม, วะละนาอะอฺมาลุนา วะละกุมอะอฺมาลุกุม วะนะหฺนุละฮูมุคลิศูน

คำแปล R1.
139. Say (O Muhammad Sal-allaahu 'alayhe wa sallam to the Jews and Christians), "Dispute you with us about Allah while He is Our Lord and Your Lord? And we are to be rewarded for our deeds and you for your deeds. And we are sincere to Him [in Worship and obedience (i.e. we worship Him alone and none else, and we obey his Orders)]."

คำแปล R2.
139. เจ้าจงประกาศเถิด หรือท่านทั้งหลายจะโต้เถียงกับเราในเรื่องที่เกี่ยวกับอัลเลาะฮฺ ทั้ง ๆ ที่พระองค์เป็นพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลายด้วย และสำหรับพวกเราก็คือการงานของเรา และสำหรับพวกท่านก็คือการงานของพวกท่าน(ต่างคนต่างก็รับผิดชอบการงานของตนเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกันด้วยประการใด ๆ ) และพวกเราเป็นผู้(ประพฤติธรรม)โดยบริสุทธิ์ต่อพระองค์

คำแปล R3.
139. (โอ้นบี) จงกล่าวแก่พวกเขาเถิดว่า “พวกท่านโต้ถียงเราเกี่ยวกับอัลลอฮฺกระนั้นหรือทั้ง ๆ ที่พระองค์คือพระผู้อภิบาลของเราและพระผู้อภิบาลของพวกท่าน? และเราจะรับผิดชอบต่อพระองค์สำหรับการงานของเราและท่านจะรับผิดชอบต่อพระองค์สำหรับการงานของท่าน และเราเป็นผู้อุทิศการภักดีอันบริสุทธิ์ใจของเราต่อพระองค์

คำแปล R4.
139. จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด ) ว่าพวกท่านจะโต้แย้งกับเราในเรื่องของอัลลอฮ์กระนั้นหรือ? ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเราและพระเจ้าพวกท่าน และบรรดาการงานของเราก็ย่อมเป็นของเรา และบรรดาการงานของพวกท่านก็เป็นของพวกท่าน และพวกเรานั้น จะเป็นผู้มอบการอิบาดะฮ์ทั้งหลายให้แก่พระองค์เท่านั้น

คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ คือ พวกยะฮูดีได้ว่ากับพวกมุอ์มินว่า พวกเขาเป็นชาวเตารอต ซึ่งมีมาก่อนอินยีลและอัล-กุรอาน สถานที่ผินไปสู่ในเวลานมัสการของพวกเขาก็ก่อนกว่าสถานที่ที่มุอ์มินผินไปสู่ในเวลาละหมาด ถึงพวกนบีก็ไม่เคยมีจากชาวอาหรับ ถ้าแม้นว่ามูฮำมัดเป็นนบีจริง มูฮำมัดก็ต้องเป็นพวกยะฮูดี อัลเลาะห์จึงทรงลงโองการนี้มา
๑๓๙.โอ้มุฮำมัด จงกล่าวแก่พวกนั้นเถอะว่า โอ้พวกยะฮูดี ไม่เป็นการสมควรที่พวกเจ้าจะมาโต้เถียงกับเราในเรื่องอัลเลาะห์ ที่พระองค์ได้ทรงคัดเลือดนบี(มุฮำมัด)จากชาวอาหรับ ทั้ง ๆ ที่พระองค์ก็เป็นพระผู้อภิบาลของพวกเรา และเป็นพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า พระองค์มีสิทธ์ที่จะคัดเลือกข้าของพระองค์คนหนึ่งคนใด ตามที่พระองค์ทรงมุ่งหมายให้เป็นนบีก็ได้ ก็การงานของพวกเรา พวกเราย่อมได้รับการตอบแทน ส่วนการงานของพวกเจ้า พวกเจ้าก็จะได้รับการตอบแทน และแน่แท้สำหรับการงานของพวกเราย่อมได้รับการยกย่อง ทั้งพวกเราก็มีใจบริสุทธิ์สะอาดต่อศาสนาและการงานเพื่อพระองค์ ส่วนพวกเจ้าหามีความบริสุทธิ์อย่างเราไม่ ฉะนั้น พวกเราจึงสมควรกว่าพวกเจ้าที่จะได้รับการคัดเลือกเป็นนบี
[/color]


คำอ่าน
140. อัมตะกูลูนะ อิน..นะอิบรอฮีมะ วะอิสมาอีละ วะอิสหาเกาะ วะยะอฺกูบะ วัลอัสบาเฏาะ กานูฮูดัน เอานะศอรอ, กุลอะอันตุมอะอฺละมุ อะมิลลาฮฺ, วะมันอัซละมุมิม..มัน..กะตะมะชะฮาดะตัน อินดะอูมินัลลอฮฺ วะมัลลอฮุบิฆอฟิลิน อัม..มาตะอฺมะลูน

คำแปล R1.
140. Or say you that Ibrahim (Abraham), Isma'il (Ishmael), Ishaque (Isaac), Ya'qub (Jacob) and Al-Asbat [the twelve sons of Ya'qub (Jacob)] were Jews or Christians? Say, "Do you know better or does Allah (knows better...; that they all were Muslims)? And who is more unjust than he who conceals the testimony [i.e. to believe in Prophet Muhammad Sal-allaahu 'alayhe wa sallam when he comes, written in their Books. (See Verse 7:157)] He has from Allah? And Allah is not unaware of what you do."

คำแปล R2.
140. หรือเจ้าทั้งหลายจะกล่าวว่า อัน อิบรอฮีม อิสมาอีล อิสฮาก ยะอฺกู๊บ และบรรดาเผ่าพันธุ์(ของเขา) ล้วนแล้วแต่เป็นยะฮูดีย์ หรือนัศรอนีย์ ทั้งสิ้น เจ้าจงประกาศเถิดว่า พวกท่านหรืออัลเลาะฮฺกันแน่ที่รู้ดีกว่ากัน และจะมีใครอีกเล่าที่ฉ้อฉลยิ่งไปกว่าบุคคลที่ปิดบังสักขีพยานของเขาที่ได้มาจากอัลเลาะฮฺ (เมื่อพระองค์ทรงตรัสไว้ในคัมภีร์เตารอฮฺว่าอิบรอฮีมนับถืออิสลามและมุฮำมัดจะอุบัติขึ้น) และอัลเลาะฮฺย่อมไม่ทรงละเลยต่อสิ่งที่พวกท่านประพฤติอย่างแน่นอน

คำแปล R3.
140. หรือพวกท่านกล่าวว่าอิบรอฮีม อิสมาอีล อิสฮาก ยะกู๊บ และลูกหลานของเขาเป็นยิวหรือคริสเตียน ?” จงถามพวกเขา “พวกท่านรู้ดีกว่าอัลลอฮฺกระนั้นหรือ?” และผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่ปิดบังหลักฐานที่อัลลอฮฺได้มอบหมายให้แก่เขา? และอัลลอฮฺมิทรงเฉยเมยในสิ่งที่พวกท่านกระทำ

คำแปล R4.
140. หรือว่าพวกท่านจะ กล่าวว่า แท้จริงอิบรอฮีม และอิสมาอีล และอิสฮาก และยะกูบและบรรดาวงศ์วานเหล่านั้น เป็นพวกยิวหรือเป็นคริสต์จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าพวกท่านรู้ดียิ่งกว่าอัลลอฮ์กระนั้นหรือ หรืออัลลอฮ์? แล้วผู้ใดจะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่ปิดบังหลักฐานจากอัลลอฮ์ ซึ่งมีอยู่ที่เขา และอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกันอยู่

คำแปล R5.
๑๔๐. ไม่เป็นการสมควรแก่พวกเจ้าที่จะกล่าวว่า แท้จริงอิบรอฮีม, อิสมาอีล, อิสฮาก ยะก๊บและบรรดาลูกหลานของยะก๊บเป็นพวกยะฮูดีหรือพวกนะซอรอ
โอ้มูฮำมัด เจ้าจงกล่าวแก่พวกนั้นเถอะว่า พวกเจ่ารู้ดีกว่าอัลเลาะห์ หรือว่าอัลเลาะห์รู้ดีกว่าพวกเจ้า ทั้ง ๆ ที่อิบรอฮีมได้ปฏิเสธว่าตัวของเขาเองไม่ใช่ยะฮูดีและนะซอรอเลย และบรรดานบีต่าง ๆ ที่ถูกกล่าวนามถัด ๆ มาก็ถือศาสนาตามอิบรอฮีมทั้งนั้น และไม่มีคนใดที่ไร้ความเป็นธรรมยิ่งกว่าพวกยะฮูดี ที่ปกปิดคำของอัลเลาะห์ที่บ่งไว้ในเตารอตว่า “อิบรอฮีมนั้นเอนเอียงจากศาสนาอื่นไปสู่ศาสนาอันเที่ยงตรง คือศาสนาอิสลาม” และคำในเตารอตที่ว่า “มูฮำมัดนั้นเป็นนบีจากชาวอาหรับ” และอัลเลาะห์จะไม่ทรงละเลยซึ่งกรรมชั่วที่พวกเจ้ากระทำกันไว้ พระองค์จะตอบสนองกรรมนั้นในวันกิยามะห์



คำอ่าน
141. ติลกะอุม..มะตุน..ก็อดเคาะลัต, ละฮามากะสะบัต วะละกุม..มากะสับตุม, วะลาตุสอะลูนะ อัม..มากานูยะอฺมะลูน

คำแปล R1.
141. That was a nation who has passed away. They shall receive the reward of what they earned, and you of what you earn. And you will not be asked of what they used to do.

คำแปล R2.
141. นั้นเป็นประชาชาติที่ล่วงลับไปแล้วสำหรับพวกเขาก็มีสิ่งที่พวกเขาพากเพียรไว้(เพื่อการรับผิดชอบ) และสำหรับพวกเจ้าก็มีสิ่งที่พวกเจ้าพากเพียรไว้ (เช่นเดียวกัน) และเจ้าทั้งหลายจะไม่ถูกสอบสวนถึงสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นประพฤติ (อย่างแน่นอนเพราะต่างคนต่างก็รับผิดชอบตัวเอง โดยไม่เกี่ยวข้องกันแต่ประการใด ๆ)

คำแปล R3.
141. พวกเขาคือหมู่ชนที่ได้ล่วงลับไปแล้วและพวกเขาจะถูกตอบแทนสำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้ และพวกท่านจะไม่ถูกสอบถามในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไป

คำแปล R4.
141. นั่นคือ กลุ่มชนที่ล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้ ก็ย่อมเป็นของพวกเขา และสิ่งที่พวกเจ้าขวนขวายไว้ก็ย่อมเป็นของพวกเจ้าและพวกเจ้าจะไม่ถูกไต่สวน ถึงสิ่งที่เขาเหล่านั้นปฏิบัติกัน

คำแปล R5.
๑๔๑. พวกนั้น คือ อิบรอฮีม ยะก๊บ และบรรดาลูกหลานของท่านทั้งสอง เป็นพวกที่ล่วงลับไปแล้ว การตอบแทนการงานที่พวกเขาเหล่านั้นทำก็ต้องได้แก่พวกนั้นโดยเฉพาะ และโอ้พวกยะฮูดี การตอบแทนการงานที่พวกเจ้าได้ทำไว้ก็จะต้องได้แก่พวกเจ้าโดยเฉพาะ และโอ้พวกยะฮูดี พวกเจ้าจะไม่ถูกซักถามในวันปรภพ(อาคเราะห์)จากการงานที่พวกนั้นได้ทำไว้ และการงานที่พวกเจ้าทำไว้ พวกนั้นก็ไม่ถูกซักถามเหมือนกัน คือ การงานของพวกนั้นก็ไม่เป็นประโยชน์แก่พวกเขา ผู้ทำความดีก็ต้องได้แก่เขาโดยเฉพาะ ส่วนผู้ทำความชั่วก็ต้องได้แก่เขาโดยเฉพาะ


(จบญุซอ์ ที่ 1)

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #67 เมื่อ: มี.ค. 09, 2010, 09:50 PM »
0
 salam

ท้ายญุซฺอ์ที่ 1 R5. ได้มีคำอธิบายเพิ่มเติมดังนี้

ข้อตักเตือน ๔ ประการ

(๑) บรรพบุรุษของพวกยะฮูดีได้รับพระมหากรุณาธิคุณ (เนียะมัต) สิบประการ คือ
๑.   ได้พ้นภัยจากฟิรอูน
๒.   ได้ให้ทะเลแยกเพื่อเดินทัพผ่านไปได้
๓.   ได้รับการคืนชีวิต หลังจากที่ได้ตายไปชั่วระยะหนึ่ง
๔.   ได้ให้เกิดมีเมฆมาบดบังแสงอาทิตย์ ทะเลทรายอัล-ไตห์
๕.   ได้ประทานน้ำตาลฟ้า
๖.   ได้ประทานนกคุ่ม
๗.   ได้ให้อภัยซึ่งความผิดพลาด
๘.   ได้ให้นิรโทษกรรม
๙.   ได้ประทานคัมภีร์เตารอตแก่มูซา
๑๐.   ได้ให้เกิดมีธารน้ำ ๑๒ สาย


(๒) พฤติการณ์ชั่วของบรรพบุรุษบนีอิสรออีล ๑๐ ประการ
(๑)   คำพูดของพวกนั้นที่ว่า “พวกเราเชื่อฟังแล้วแต่ทรยศ”
(๒)    ทำการบูชารูปโคทอง
(๓)   คำพูดของพวกนั้นว่า “ให้พวกเราเห็นอัลเลาะห์อย่างประจักษ์ซิ”
(๔)   พวกนั้นเปลี่ยนคำพูดเป็นอื่นจากที่อัลเลาะห์ทรงอนุญาต
(๕)   อาการที่พวกนั้นอดบริโภคอาหารชนิดเดียวไม่ได้
(๖)   พวกนั้นได้แก้ไขพระคัมภีร์เตารอต
(๗)   พวกนั้นได้บิดเบือน ไม่ยอมทำตาม หลังจากได้รับคำมั่นสัญญาไว้แล้ว
(๘)   หัวใจของพวกนั้นแข็งกระด้าง
(๙)   ไม่เชื่อบรรดาโองการของอัลเลาะห์
(๑๐)   พวกนั้นได้ประหารบรรดานบีอย่างไร้ความเป็นธรรม


(๓) การลงโทษทรมานบนีอิสรออีล ๑๐ ประการ
(๑)   ให้ได้รับความตกต่ำ
(๒)   ให้ได้รับความยากจน
(๓)    พวกนั้นได้แบกความกริ้วโกรธจากอัลเลาะห์
(๔)   จะต้องเสียค่ารัชชูปการ
(๕)   ให้มีการฆ่าตัวเองแทนการสารภาพผิด (เตาบะห์)
(๖)   พวกนั้นถูกสาปเป็นลิง
(๗)   ให้เกิดมีโรคระบาดจากฟากฟ้ามาคุกคาม
(๘)   ถูกอสุนีบาตฟาดลงมา
(๙)   ถูกบันดาลให้มีหัวใจแข็งกระด้าง
(๑๐)   ให้อาหารที่ฮะลาล (พึงอนุญาต) กลับกลายเป็นอาหารหะรอม (ต้องห้าม)


(๔) พวกยะฮูดีสมัยมูฮำมัดถูกตำหนิ ๑๐ ประการ
(๑)   ฐานที่ปกปิดลักษณะของมูฮำมัดอันระบุอยู่ในเตารอต
(๒)   ฐานที่แก้ไขพระคัมภีร์เตารอต
(๓)   ฐานที่แก้ไขพระคัมภีร์เตารอต แล้วอ้างลวงว่า “นี่คือคัมภีร์เตารอต”
(๔)   ฐานที่ฆ่าพรรคพวกของตัวเอง
(๕)   ฐานที่เนรเทศพวกเดียวกันออกจากประเทศ
(๖)   ฐานที่โลภอยากมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์
(๗)   ฐานที่เป็นศัตรูต่อยิบรออีล
(๘)   ฐานที่ถือและปฏิบัติตามวิทยากล
(๙)   ฐานที่พูดว่า “พวกเราเป็นบุตรชายของอัลเลาะห์ نحن ابناء الله  ”
(๑๐)   ฐานที่พูดว่า “มือของอัลเลาะห์ถูกมัด يدالله مغلولة  ”



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #68 เมื่อ: มี.ค. 09, 2010, 10:10 PM »
0
สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 142 – 143


คำอ่าน
142. สะยะกูลุชชุฟะฮา...อุ มินัน..นาสิ มาวัลลาฮุม อัน..กิบละติฮิมุลละตี กานูอะลัยฮา, กุลลิลาฮิลมัชริกุ วัลมัฆริบ, ยะฮฺดีมัย..ยะชา...อุอิลาศิรอฏิม..มุสตะกีม

คำแปล R1.
142. The fools among the people (pagans, hypocrites, and Jews) will say, "What has turned them (Muslims) from their Qiblah [prayer direction (towards Jerusalem)] which they used to face in prayer." say, (O Muhammad) "To Allah belong the east and the west. He guides whom He wills to a Straight Way."

คำแปล R2.
142. บรรดาผู้โฉดเขลาจากมวลมนุษย์(ได้แก่พวกยิว) จะพูดว่า “อะไรเป็นเหตุให้พวกเขา (ฝ่ายมุสลิม) หันเหออกจากกิบลัต (ชุมทิศ) ของพวกเขา ซึ่งพวกเขาเคยหันไปทางนั้น (ขณะทำละหมาด) เจ้าจงกล่าวตอบพวกนั้นเถิดว่า (ทั่วทั้ง) ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกล้วนเป็นสิทธิของอัลเลาะฮฺ (ทั้งสิ้น) พระองค์ทรงชี้นำบุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์สู่แนวทางอันเที่ยงตรง

คำแปล R3.
142. แน่นอน พวกคนโง่เขลาจะกล่าวว่า “อะไรที่หันพวกเขาออกจากกิบละฮฺที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยหันหน้าไปในเวลานมาซ? รอซูลเอ๋ย จงบอกพวกเขาว่า “ทั้งตะวันออกและตะวันตกเป็นของอัลลอฮฺ พระองค์จะทรงนำทางผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ให้อยู่ในทางที่เที่ยงตรง

คำแปล R4.
142. บรรดาผู้โฉดเขลาในหมู่มนุษย์นั้นจะกล่าวว่า อะไรเล่าที่ทำให้พวกเขาหันออกไปจากกิบลัตของพวกเขา ที่พวกเขาเคยผินไป จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าทิศตะวันออกและทิศตะวันตกนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น พระองค์จะทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ไปสู่ทางอันเที่ยงตรง

คำแปล R5.
๑๔๒. อัลเลาะห์ทรงแจ้งไว้แก่มูฮำมัดก่อนแล้วว่า ปวงชนที่โง่งม ทั้งฝ่ายพวกยะฮูดี พวกมุชริกและพวกมุนาฟิก จะต้องพูดอยู่เสมอว่า ไม่มีเหตุผลใดที่ทำให้มูฮำมัดกับพวกมุอ์มินต้องเลิกหันจากทิศ ไบตุลมุก็อดดิส(ชื่อตำบลหนึ่ง) ซึ่งเป็นกิบลัต ที่พวกนั้นเคยหันไปสู่ เป็นประจำในเวลาละหมาด จะมีเหตุผลอยู่ก็แต่กระทำตามกิเลสและความเห็นส่วนตัวเท่านั้น ความมุ่งหมายของพวกยะฮูดีที่กล่าวอย่างนี้ก็เนื่องมาจากไม่ชอบที่จะให้มีการยกเลิกทิศนั้น และหันไปทางทิศกะอ์บะฮ์(วิหารสำหรับเวียน ๗ รอบในการประกอบพิธีฮัจย์และเพื่อการกุศล รายละเอียดมีอยู่ในหนังสือสารานุกรม) ส่วนความมุ่งหมายของพวกมุชริกละมุนาฟิก ก็เพื่อต้องการโจมตีศาสนาอิสลามให้เสื่อมความนับถือ โอ้ มูฮำมัด จงบอกพวกนั้นเถิดว่า ทั้งทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ตลอดจนสารทิศใด ย่อมอยู่ภายใต้การปกครองของอัลเลาะห์ทั้งนั้น พระองค์จะทรงใช้ให้ผินไปสู่ทิศไหน ๆ ที่ทรงมุ่งหมายก็ได้ พวกที่ออกชื่อเหล่านั้น จึงไม่น่าคัดค้านและโจมตีกันเลย พระองค์จะทรงชี้ทางแก่บรรดามุอ์มิน ที่พระองค์ทรงประสงค์ไปสู่หนทางอันเที่ยงตรง คืออิสลาม
 


คำอ่าน
143. วะกะซาลิกะ ญะอัลนากุม อุม..มะเตา..วะสะฏ็อลลิตะกูนูชุฮะดา...อะ อะลัน..นาสิ วะยะกูนัรฺเราะสูลุ อะลัยกุม ชะฮีดา, วะมาญะอัลนัลกิบละตัลละตี กุน..ตะอะลัยฮา..อิลลาลินะอฺละมะ มัย..ยัตตะบิอุรฺเราะสูละ มิม..มัน..ยัน..เกาะลิบ อะลาอะกิบัยฮฺ, วะอิน..กานัต ละกะบีเราะตัน อิลลาอะลัลละซีนะ ฮะดัลลอฮฺ, วะมากานัลลอฮุ ลิยุฎีอะ อีมานะกุม อิน..นัลลอฮะ บิน..นาสิ ละเราะอูฟุรฺเราะหีม

คำแปล R1.

143. Thus we have made you [true Muslims - real believers of Islamic Monotheism, true followers of Prophet Muhammad and his Sunnah (legal ways)], a just (and the best) nation, that you be witnesses over mankind and the Messenger (Muhammad) be a witness over you. And we made the Qiblah (prayer direction towards Jerusalem) which you used to face, only to test those who followed the Messenger (Muhammad) from those who would turn on their heels (i.e. disobey the Messenger). Indeed it was great (heavy) except for those whom Allah guided. And Allah would never make your faith (prayers) to be lost (i.e. your prayers offered towards Jerusalem). Truly, Allah is full of kindness, the Most Merciful towards mankind.

คำแปล R2.
143. และในทำนองเดียวกันนั้น เราได้ดลบันดาลพวกเจ้าทั้งหลายให้เป็นประชาชาติสายกลาง เพื่อว่าเจ้าทั้งหลายจะได้เป็นสักขีพยาน (ตัวอย่าง) แก่มนุษยชาติ และศาสนทูต (มุฮำมัด) ก็เป็นสักขีพยานสำหรับพวกเจ้าทั้งมวล และเราไม่ได้กำหนดกิบลัตเดิม(กะอฺบะฮฺ) ที่พวกเจ้าเคยหันไปสู่ (เพื่ออื่นใด) นอกจากเพื่อเราจะได้ (จำแนกให้) รู้ว่า ใครกันที่ปฏิบัติตามศาสนทูต (มุฮำมัด) จากมวลผู้พลิกกลับบนตาตุ่มทั้งสองข้างของเขา (คือพวกที่ออกนอกศาสนา)และเรื่อง(การเปลี่ยนกิบลัต) นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โต (ที่บีบคั้นความรู้สึกแก่ผู้ใดเลย) นอกจากแก่บรรดาผู้ซึ่งอัลเลาะฮฺ ได้ทรงชี้นำเขาเท่านั้น (ซึ่งจะรู้สึกเช่นที่กล่าว) และอัลเลาะฮฺหาใช่จะทำลาย (ผลกุศลแห่ง)ศรัทธาของพวกเขาก็หาไม่ (ขณะที่พวกเขาทำละหมาดโดยหันไปทางบัยติลมักดิส)ความจริงแล้วอัลเลาะฮฺ ทรงเมตตาปราณียิ่งแก่มวลมนุษย์
(เดิมกำหนดให้กะอฺบะฮฺ เป็นิบลัต ต่อมาขณะที่ท่านนบี ซ.ล. อพยพไปมะดีนะฮฺระยะแรก ๆ อัลเลาะฮฺได้กำหนดให้เอาบัยตุลมักดิส ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเยรูซาเลม เป็นกิบลัตติดต่อกันประมาณ 16 – 17 เดือน จึงเปลี่ยนให้ใช้กะอฺบะฮฺ เป็นกิบลัตตามเดิม)


คำแปล R3.
143. ดังนั้นเราจึงได้ทำให้สูเจ้าเป็นประชาชาติสายกลาง เพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้เป็นพยานต่อมนุษยชาติ และรอซูลจะได้เป็นพยานต่อสูเจ้า เรามิได้กำหนดกิบละฮฺที่สูเจ้าเคยหันหน้าไปก่อนหน้านี้เพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อจะพิสูจน์ว่าใครคือผู้ที่ปฏิบัติตามรอซูล และใครที่หันหลังให้ แท้จริงแล้วมันเป็นข้อทดสอบที่หนัก แต่มิใช่สำหรับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺได้ทรงสร้างทาง อัลลอฮฺจะไม่ปล่อยให้การศรัทธาของสูเจ้าเสียหาย จงแน่ใจได้เลยว่า อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเอ็นดูและผู้ทรงเมตตาต่อปวงมนุษย์เสมอ

คำแปล R4.
143. และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และร่อซูล ก็จะเป็นสักขีพยานแด่พวกเจ้า และเรามิได้ให้มีขึ้นซึ่งกิบลัตที่เจ้าเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่าใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซูล จากผู้ที่กำลังหันส้นเท้าทั้งสองของเขากลับ และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้น เป็นเรื่องใหญ่ นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น และใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญไปก็หาไม่ แท้จริงอัลลอฮ์ เป็นผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาแก่มนุษย์เสมอ

คำแปล R5.
๑๔๓. และ โอ้บรรดามุอ์มิน (ผู้ศรัทธา) ทำนองเดียวกับที่เราได้ชี้ทางแก่พวกเจ้าไปสู่ศาสนาอิสลามนี้แหละ เราจึงได้ให้พวกเจ้าเป็นประชากรหนึ่งที่ดีและทรงความยุติธรรม เป็นกลาง เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นพยาน ให้การตามความเป็นจริงแก่มวลมนุษย์ ฝ่ายกาฟิร (ผู้ไม่เชื่อ) ในวันกิยามะห์ (วันสิ้นโลก) ว่า “ศาสนทูตของพวกกาฟิรได้มาสั่งสอนพวกกาฟิรแล้ว” แต่ทว่าพวกนั้นปฏิเสธว่า “ศาสนทูตของพวกเขามิได้มาทำการสั่งสอนให้เลย” และเพื่อ ที่ มูฮำมัดผู้เป็น ศาสนทูตจะได้เป็นพยานแก่พวกเจ้าด้วย ว่า ท่านเองก็ได้มาทำการสั่งสอนพวกเจ้า กล่าวคือ เมื่อถึงวันกิยามะห์ (วันสิ้นโลก) อัลเลาะห์จะทรงให้บรรดาข้าของพระองค์ทั้งในยุคก่อนและยุคต่อ ๆ มาเกิดขึ้นจากสุสานไปชุมนุมอยู่ที่แดนเดียวกัน ตอนนั้นพระองค์จะตรัสถามพวกกาฟิรว่า ศาสนทูตของพวกเจ้ามิได้นำศาสนามาสั่งสอนพวกเจ้าหรือ พวกนั้นทูลตอบว่า “มิได้” แล้วพระองค์ก็ตรัสถามศาสนทูต ถึงเรื่องที่พวกกาฟิรปฏิเสธนั้น ศาสนทูตจึงตอบว่า พวกนั้นพูดเท็จ ที่จริงแล้วพวกเราได้นำศาสนาไปประกาศสั่งสอนยังพวกนั้นแล้ว อัลเลาะห์ตรัสถามบรรดาศาสนทูตอีกว่า พวกเจ้ามีใครเป็นพยานยืนยันไหม บรรดาศาสนทูตทูลว่า ประชากรของมูฮำมัดจะเป็นพยานให้พวกเรา ครั้นแล้วประชากรเหล่านั้นจึงถูกนำตัวมาเป็นพยานว่า บรรดาศาสนทูตของกาฟิรได้นำศาสนาไปสั่งสอนให้จริง ประชากรยุคก่อนกล่าวสวนขึ้นทันทีว่า ประชากรของมูฮำมัดรู้มาแต่ไหน ทั้ง ๆ ที่คนพวกนั้นก็มีกำเนิดมาทีหลังพวกเรา แล้วพระองค์ก็ตรัสถามประชากรของมูฮำมัด ประชากรของมูฮำมัดต่างทูลตอบดังนี้ “ก็พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งมูฮำมัดให้มาทำการสั่งสอนพวกเรา ทั้งยังได้ลงพระคัมภีร์ อัล-กุรอานให้แก่พวกเรา ซึ่งในนั้นมีคำดำรัสของพระองค์บ่งไว้ว่า ศาสนทูตของพระองค์ทุก ๆ ท่านจะต้องนำศาสนาไปสั่งสอนประชากรของตน มูฮำมัดจึงทูลตอบโดยให้การรับรองว่าประชากรของตนนั้น เป็นพวกที่ดีและยุติธรรม ทั้งยังให้การเป็นพยานว่าคำพูดของประชากรเหล่านั้นจริงทุกประการ และเมื่อมูฮำมัดได้อพยพไปยังนครมดีนะห์ อัลลอฮฺก็รับสั่งว่า ให้ใช้ไบตุลมุก็อดดิสเป็นทิศสำหรับผินไปสู่ในเวลาละหมาดชั่วระยะหนึ่ง เพื่อให้มูฮำมัดเกิดความสนิทสนมกับพวกยะฮูดี มูฮำมัดก็ได้ทำละหมาดโดยผินไปทางนั้นอยู่ ๑๖ หรือ ๑๗ เดือน ต่อจากนั้นพระองค์อัลเลาะห์ทรงมีบัญชาใช้มูฮำมัดให้ถือไบตุลเลาะห์เป็นทิศที่จะผินไปสู่ในเวลาละหมาดตามเดิม แล้วพระองค์ทรงแจ้งให้มูฮำมัดทราบเรื่องว่า และโอ้มูฮำมัด ที่เราได้ให้ไบตุลเลาะห์ ที่ซึ่งเคยเป็นกิบลัต (ชุมทิศ) ของเจ้ามาก่อนจากอพยพไปมดีนะห์ กลับเป็นกิบลัตของเจ้าอีกในขณะนี้ หลังจากที่ได้ยกเลิกการผินไปบังไบตุลมุก็อดดิสนั้น ก็เพื่อเราจะได้รู้อย่างเปิดเผยว่า จากบุคคลที่ผินหลังให้ คือ ไม่เชื่อตามเจ้านั้น จะมีใครบ้างที่เจริญรอยตามศาสนทูต นั่นคือ ผู้ใดผินหน้าไปสู่ไบตุลเลาะห์ตามเจ้า ก็แปลว่าพวกนั้นเชื่อเจ้า แต่ถ้าใครยังคงผินหน้าไปสู่ไบตุลมุก็อดดิส เขาก็คืนกลับไปยังศาสนาที่มีแต่อัล-กุฟร์ เพราะว่ายังมีความสงสัยในศาสนาอยู่ ทั้งยังปักใจว่า มูฮำมัดเองก็ลังเลในการงานของศาสนา และมีพวกหนึ่งตกเป็นมุรตัด เพราะความสงสัยและหลงเข้าใจผิดดังกล่าวแล้ว และการจะผินหน้าไปยังทิศไบตุลเลาะห์ในเวลาละหมาดนั้น ย่อมเป็นการยากยิ่งนักสำหรับพวกที่อัลเลาะห์ไม่ทรงชี้ทางเที่ยงตรงให้ หากแต่บรรดาผู้ที่อัลเลาะห์ได้ทรงชี้แนวทางอันเที่ยงตรงให้เท่านั้น จึงจะเป็นการง่าย

มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ คือ มีคำถามว่า ผู้ทำการละหมาดโดยผินหน้าไปสู่ทิศไบตุลมุก็อดดิสนั้น เมื่อได้ตายไปก่อนมีคำสั่งให้ผินหน้าไปยังไบตุลเลาะห์ อัลเลาะห์จะทรงตอบแทนยุญกุศลแก่เขาหรือไม่
และโอ้พวกเจ้า ใช่ว่าอัลเลาะห์จะทรงให้การละหมาดของพวกเจ้าที่ผินหน้าไปทางไบตุลมุก็อดดิสต้องสูญเสียบุญกุศลก็หาไม่ แต่กลับจะทรงบำเหน็จบุญกุศลตอบแทนแก่พวกเจ้าที่กระทำการดังนั้นเสียอีก ผู้ใดที่ได้ตายไปก่อนจากที่ทรงมีคำสั่งให้ผินกลับไปยังไบตุลเลาะห์ พระองค์ก็จะทรงตอบแทนบุญกุศลให้เช่นกัน เพราะแท้จริงอัลเลาะห์ทรงเอ็นดูและโปรดปรานยิ่ง แก่มวลมนุษย์ ฝ่ายมุอ์มิน โดยพระองค์ไม่ทรงให้การปฏิบัติของพวกนั้นต้องสูญเสียบุญกุศล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 10, 2010, 06:11 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #69 เมื่อ: มี.ค. 12, 2010, 09:09 PM »
0

สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 144 – 147

   

คำอ่าน
144. ก็อดนะรอ ตะก็อลลุบะ วัจญฮิกะ ฟิสสะมา...อิ ฟะวะนุวัลลิยัน..นะกะ กิบละตัน..ตัรฺฎอฮา, ฟะวัลลิวัจญฮะกะ ชัฏร็อลมัสญิดิลหะรอม, วะหัยษุมากุน..ตุม วะวัลลูวุญูฮะกุม ชัฏเราะฮฺ, วะอิน..นัลละซีนะอูตุลกิตาบะ ละยะอฺละมูนะ อัน..นะฮุลหักกุ มิรฺร็อบบิฮิม, วะมัลลอฮุบิฆอฟิลิน อัม..มายะอฺมะลูน

คำแปล R1.
144. Verily! We have seen the turning of your (Muhammad's) face towards the heaven. Surely, we shall turn you to a Qiblah (prayer direction) that shall please you, so turn your face in the direction of Al-Masjid- al-Haram (at Makkah). And where ever you people are, turn your faces (in prayer) in that direction. Certainly, the people who were given the Scriptures (i.e. Jews and the Christians) know well that, that (you’re turning towards the direction of the Ka'bah at Makkah in prayers) is the truth from their Lord. And Allah is not unaware of what they do.

คำแปล R2.
144. แน่แท้ เราย่อมมองเห็นเจ้าแหงนหน้าขึ้นไปในทางฟากฟ้า(เพื่อรอรับวาฮีให้เปลี่ยนกิบลัตกลับมาอย่างเดิม) ขอยืนยันว่า เราจักผินเจ้ากลับมาสู่กิบลัตเดิมที่เจ้าพึงใจอย่างแน่นอน ดังนั้นเจ้าจงผินหน้าของเจ้าไปทางอัลมัสยิดิลหะรอม (คือกะอฺบะฮฺ)เถิด และไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่หนใด พวกเจ้าก็จงหันหน้าไปทางทิศนั้น และแท้จริงบรรดา (ชาวยิว) ที่ถูกประทานคัมภีร์นั้น พวกเขาทราบดีว่า แท้จริงเรื่อง (การหันไปสู่กะอฺบะฮฺ)นั้น เป็นสัจธรรมจากองค์อภิบาลของพวกเขา และอัลเลาะฮฺไม่ทรงละเลยต่อสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติอย่างแน่นอน

คำแปล R3.
144. เราได้เห็นเจ้า (โอ้ มุฮัมมัด) แหงนหน้าขึ้นสู่ฟากฟ้าอยู่เนือง ๆ ดังนั้นเราจะหันหน้าเจ้าไปยังกิบละฮฺที่เจ้าพอใจที่สุด ดังนั้น จงหันหน้าของเจ้าไปยังมัสญิด อัล-หะรอม และไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด ก็จงหันหน้าเจ้าไปยังสถานที่แห่งนั้นในเวลานมาซ บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์รู้ดีว่าคำบัญชา (เกี่ยวกับการเปลี่ยนกิบละฮฺ) นั้นเป็นความจริงจากพระผู้อภิบาลของพวกเขา และอัลลอฮฺมิเป็นผู้ทรงเฉยเมย ต่อการกระทำของพวกเขา

คำแปล R4.
144. แท้จริงเราเห็นใบหน้าของเจ้าแหงนไปในฟากฟ้าบ่อยครั้ง แน่นอนเราให้เจ้าผินไปยังทิศที่เจ้าพึงใจ ดังนั้นเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้าไปทางมัสยิดิลฮะรอมเถิด และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ก็จงผินใบหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศนั้น และแท้จริงบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ นั้นย่อมรู้ดีว่ามัน คือความจริงที่มาจากพระเจ้าของพวกเขา และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน

คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการนี้คือ พระนบีมูฮำมัด ซ.ล. มีอุปนิสัยชอบที่ผินหน้าไปสู่ทิศไบตุลเลาะห์ขณะละหมาด ซึ่งทิศนี้เคยเป็นกิบลัตของพระนบีอิบรอฮีมผู้เป็นที่รักและชอบของพวกยะฮูดี พวกนัซรอนี และชนชาวมักกะห์ ทั้งยังเป็นสถานที่จูงใจชาวอาหรับให้เข้าเลื่อมใสศาสนาอิสลาม อัลเลาะห์จึงประทานโองการลงมาว่า
๑๔๔. โอ้ มูฮำมัด แท้จริงเราได้แลเห็นเจ้าแหงนหน้าสู่เบื้องฟ้าอยู่ เฝ้ามองดูและใฝ่ฝันถึงการลงโองการ(อัล-วะหฺยุ่)เรื่องให้ผินหน้ากลับไปสู่ทิศไบตุลเลาะห์ว่าจะมีผลลงมาเมื่อไร  เราขอยืนยันว่า จะให้เจ้าผินหน้าไปยังกิบลัตที่เจ้าพอใจอย่างแน่นอน โอ้มูฮำมัด ฉะนั้นจงผินหน้าของเจ้าไปยังไบตุลเลาะห์ในเวลาละหมาดเถิด และโอ้ประชากรของมูฮำมัด ไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่บนบกหรือทะเล หรืออากาศในทิศหนึ่งทิศใด เช่นตะวันออกหรือตะวันตก ก็จงผินหน้าของเจ้าไปสู่ไบตุลเลาะห์ในเวลาละหมาดกันเถิด และแท้จริงบรรดาผู้ได้รับพระคัมภีร์ทั้งฝ่ายยะฮูดีและฝ่ายนัซรอนี ย่อมรู้แน่ว่า การผินหน้าไปสู่ไบตุลเลาะห์นั้นแหละเป็นเรื่องจริงจากองค์อภิบาลของพวกเขา เพราะในคัมภีร์เตารอตของพวกยะฮูดี และในคัมภีร์อินยีลของพวกนัซรอนีมีระบุไว้ว่า มูฮำมัดนั้นเมื่อจะอุบัติขึ้นในกาลภายหน้าแล้ว เขาต้องละหมาดผินหน้าไปสู่ไบตุลเลาะห์หลังจากที่ได้ยกเลิกการผินไปสู่ไบตุลมุก็อดดิส อัลเลาะห์จะไม่ทรงละเลยต่อพฤติกรรมที่พวกนั้นกระทำกันไว้ กล่าวคือไม่ทรงเฉยเมยต่อพฤติการณ์ของพวกยะฮูดี ซึ่งได้ปฏิเสธเรื่องการผินไปสู่ทิศไบตุลเลาะห์หลังจากที่ทรงยกเลิกการผินไปสู่ไบตุลมุก็อดดิส หรือไม่ทรงเฉยเมยต่อพฤติการณ์ของพวกมุอ์มินที่ประพฤติตามบัญชาใช้ของพระองค์ พระองค์จะทรงตอบสนองซึ่งพฤติกรรมของชนทั้งสองจำพวกนั้นในวันปรภพ


คำอ่าน
145. วะละอินอะตัยตัลละซีนะ อูตุลกิตาบะ บิกุลลิอายะติม..มาตะบิอู กิบละตัก, วะมา..อัน..ตะบิตาบิอิน..กิบละตะฮุม, วะมาบะอฺฎุฮุม..บิตาบิอิน..กิบละตะบะอฺฎ์, วะละอินิตตะบะอฺตะ อะฮฺวา...อะฮุม..มิม..บะอฺดิ มาญา...อะกะมินัลอิลมิ อิน..นะกะอิซัลละมินัซซอลิมีน

คำแปล R1.
145. And even if you were to bring to the people of the Scripture (Jews and Christians) All the Ayat (proofs, evidences, verses, lessons, signs, revelations, etc.), they would not follow your Qiblah (prayer direction), nor are you going to follow their Qiblah (prayer direction). And they will not follow each other's Qiblah (prayer direction). Verily, if you follow their desires after that which you have received of knowledge (from Allah), Then indeed you will be one of the Zalimun (polytheists, wrong-doers, etc.).

คำแปล R2.

145. ขอยืนยัน หากแม้นเจ้าได้นำสัญลักษณ์ทุกประการมา (แสดงให้ปรากฏ) ต่อบรรดาพวกที่ถูกประทานคัมภีร์ให้ (เพื่อให้ชักชวนพวกเขาให้เปลี่ยนมาใช้กิบลัตเดิมของเจ้า) แน่นอนพวกเขาก็หาตามกิบลัตของเจ้าไม่ และเจ้าก็ไม่ต้องตามกิบลัตของพวกเขา และต่างฝ่ายต่างก็ไม่ต้องตามกิบลัตของกันและกันหรอก ขอยืนยัน มาดแม้นว่าเจ้าได้คล้อยตามอารมณ์ของพวกเขาภายหลังจากความรู้แท้ได้มา (ประจักษ์) แก่เจ้าแล้ว แน่นอนที่สุดเจ้าก็จะต้องเป็นผู้หนึ่งจากมวลผู้ฉ้อฉลโดยพลัน

คำแปล R3.
145. ถึงแม้เจ้าจะนำสัญญาณทุกอย่างมาแสดงแก่ชาวคัมภีร์ พวกเขาก็จะไม่ตามกิบละฮฺของเจ้า และเจ้าก็จะไม่ตามกิบละฮฺของพวกเขา และพวกเขาส่วนหนึ่งก็จะไม่ตามกิบละฮฺของผู้อื่น ดังนั้น ถ้าหากเจ้ายังปฏิบัติตามความปรารถนาของพวกเขา หลังจากที่เจ้าได้รับความรู้แล้ว เจ้าจะถูกถือว่าอยู่ในหมู่ผู้อยุติธรรม

คำแปล R4.
145.และแน่นอน ถ้าหากเจ้าได้นำหลักฐานทุกอย่างมาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์พวกเขาก็ไม่ ตามกิบลัตของเจ้า และเจ้าก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเองก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม และถ้าหากเจ้าไปปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังเจ้าแล้ว แน่นอนทันใดนั้น เจ้าก็อยู่ในหมู่ผู้อธรรม

คำแปล R5.
๑๔๕. โอ้มูฮำมัด ถึงเจ้าจะเอาหลักฐานหลาย ๆ อย่าง ที่ยืนยันว่า การที่เจ้าผินหน้ากลับไปยังไบตุลเลาะห์ตามพระบัญชาของอัลเลาะห์นั้น ถูกต้อง มาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับพระคัมภีร์ ทั้งฝ่ายยะฮูดีและฝ่ายนัซรอนี ทั้งสองพวกนั้นก็คงไม่ตามเจ้าแน่นอน เพราะสองพวกนั้นดื้อดึงต่อความจริง หมดหนทางจะชี้แจงให้กลับมาเชื่อ โอ้มูฮำมัด อย่าหวังเลยว่าพวกทั้งสองนั้นจะกลับมาสู่ศาสนาอิสลาม ส่วนเจ้าก็ไม่ต้องตามกิบลัตของทั้งสองพวกนั้น คือ ทิศตะวันออกที่เป็นกิบลัตของพวกนัซรอนี และทิศไบตุลมุก็อดดิสซึ่งเป็นกิบลัตของพวกยะฮูดี ส่วนพวกทั้งสองนั้นก็อย่าหวังเลยว่า มูฮำมัดจะผินไปสู่กิบลัตของพวกของตนในเวลาละหมาด และแต่ละฝ่ายทั้งยะฮูดีและนัซรอนีต่างก็ไม่ตามกิบลัตของกันและกัน และโอ้มูฮำมัด เราขอยืนยันว่า สมมติว่าเจ้าเจริญตามอารมณ์ชอบของพวกทั้งสองนั้น เช่นชอบที่จะให้เจ้าผินหน้าไปสู่ทิศไบตุลมุก็อดดิส หรือว่าทิศตะวันออก ภายหลังจากมีโองการห้ามมิให้เจ้าผินไปยังกิบลัตของพวกทั้งสองนั้นมาถึงเจ้าแล้ว แน่นอนเมื่อนั้นแหละเจ้าก็ต้องเป็นคนหนึ่งจากพวกไม่ซื่อสัตย์ดั่งพวกยะฮูดี พวกนัซรอนีและพวกมุชริก พวกมุอ์มินเห็นว่าที่มูฮำมัดจะเจริญตามดังนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะพวกเขาเชื่อว่ามูฮำมัดอยู่ภายใต้ความคุ้มครองและอารักขาของอัลเลาะห์มิให้มูฮำมัดกระทำผิดทางศาสนา


คำอ่าน
146. อัลละซีนะอาตัยนาฮุมุลกิตาบะ ยะอฺริฟูนะฮู กะมายะอฺริฟูนะอับนา...อะฮุม วะอิน..นะฟะรีกอม..มินฮุม ละยักตุมูนัลหักเกาะ วะฮุมยะอฺละมูน

คำแปล R1.
146. Those to whom we gave the Scripture (Jews and Christians) recognize him (Muhammad or the Ka'bah at Makkah) as they recognize their sons. But verily, a party of them conceals the truth while they know it - [i.e. the qualities of Muhammad which are written In the Taurat (Torah) and the Injeel (Gospel)].

คำแปล R2.
146. บรรดาปวงชนที่เราได้ประทานคัมภีร์ให้ (คือพวกยิวและคริสต์) พวกเขารู้จักมุฮำมัด (เป็นอย่างดี) ประดุจเดียวกับพวกเขารู้จักลูก ๆ ของพวกเขาเองกระนั้น แต่ก็มีคนกลุ่มหนึ่งจากพวกเขาปิดบังความจริง (ที่เกี่ยวกับนบีมุฮำมัด) ทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้ดี (จากคัมภีร์ของพวกเขา ซึ่งระบุถึงเรื่องราวของนบีมุฮำมัดไว้โดยชัดเจน)

คำแปล R3.
146. สำหรับบรรดาผู้ที่เราได้ประทานคัมภีร์ให้นั้น พวกเขารู้ถึงสถานที่ (ที่ในตอนนี้ได้ถูกทำให้เป็นกิบละฮฺ) เป็นอย่างดีดังที่พวกเขารู้จักลูก ๆของพวกเขาเอง แต่ถึงกระนั้นพวกเขาบางคนก็ปิดบังความจริงทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้ดีอยู่

คำแปล R4.
146. บรรดาผู้ที่เราได้ให้ คัมภีร์แก่พวกเขานั้น พวกเขาย่อมรู้จักเขา ดีเหมือนกับที่พวกเขารู้จักลูก ๆ ของเขาเอง และแท้จริงกลุ่มหนึ่งจากพวกเขานั้นปิดบังความจริง ไว้ทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้กันอยู่

คำแปล R5.
๑๔๖. บรรดาผู้เป็นยะฮูดี ก็ดี ผู้เป็นนัซรอนีก็ดี ที่เราได้มอบคัมภีร์เตารอตและอินยีลให้แก่พวกทั้งสองนั้นตามลำดับย่อมรู้จักพระนบีมูฮำมัดเหมือนกับรู้จักลูก ๆ ของพวกตนเพราะว่าคุณลักษณะต่าง ๆ ของมูฮำมัดซึ่งถูกบรรยายไว้ในพระคัมภีร์ทั้งสองมีชัดแจ้งแล้ว มีนักปราชญ์ผู้หนึ่งเป็นยะฮูดีมุสลิม ชื่อ อิบน์สลาม ให้วาจาเป็นสัตย์ว่า อันที่จริงฉันรู้จักมูฮำมัดดีเหมือนกับรู้จักลูกชายของฉันเอง แต่รู้จักมูฮำมัดได้แน่ชัดกว่าลูกชายของตนเองที่ว่า ลูกชายนั้นอาจเป็นลูกชายของชายอื่นก็ได้ และแท้จริงพวกยะฮูดีและนัซรอนี ยังมีพวกหนึ่งได้ปกปิดคุณลักษณะของมูฮำมัดไว้เพราะเกิดความริษยา ทั้ง ๆ ที่พวกนั้นก็รู้อยู่ว่า การปกปิดความจริงเป็นบาปที่ร้ายแรง และทั้ง ๆ ที่คุณลักษณะของมูฮำมัดก็ถูกจารึกชัดอยู่ในคัมภีร์เตารอตและอินยีลแล้ว จึงไม่สมควรที่พวกนั้นจะปิดบัง
 
 


คำอ่าน

147. อัลหักกุ มิรฺร็อบบิกะ ฟะลาตะกูนัน..นะมินัลมุมตะรีน

คำแปล R1.
147. (This is) the truth from your Lord. So be you not one of those who doubt.

คำแปล R2.
147. อันสัจธรรมย่อมมาจากองค์อภิบาลของเจ้า ดังนั้นเจ้าอย่าเป็นผู้หนึ่งจากมวลผู้สงสัย

คำแปล R3.
147. ความจริงนั้นมาจากพระผู้อภิบาลของสูเจ้า ดังนั้น สูเจ้าจงอย่าอยู่ในหมู่ผู้สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้

คำแปล R4.
147. ความจริงนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้าของเจ้า ดังนั้นเจ้าอย่าได้อยู่ในหมู่ผู้สงสัยเป็นอันขาด

คำแปล R5.
๑๔๗. โอ้มูฮำมัด คุณลักษณะของเจ้านี้เป็นความจริงแท้ อันมีมาจากองค์อภิบาลแห่งเจ้า ฉะนั้นเจ้าจงอย่าเป็นผู้หนึ่งจากบรรดาผู้สงสัยเรื่องอย่างนี้เลย



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #70 เมื่อ: มี.ค. 13, 2010, 01:13 PM »
0
 salam

ในอายะฮฺที่ 146 คำว่า "ยะอฺริฟูนะฮู" หนังสืออ้างอิงทั้ง 5 เล่มให้ความหมายเป็น 3 รูปแบบ คือ

ใน R1แปลว่า recognize him แต่ในวงเล็บใช้คำว่า Muhammad or the Ka'bah at Makkah

คือหมายความได้ทั้งตัวบุคคล คือ มุฮัมมัด หรือสถานที่ คือ กะอฺบะฮฺ

ในขณะที่ R2., R4.&R5. ให้ความหมายว่าหมายถึงตัวบุคคล คือ มุฮัมมัด เพียงอย่างเดียว

ส่วน R3. ให้ความหมายว่าหมายถึง สถานที่ คือ กะอฺบะฮฺ เพียงอย่างเดียว

เพื่อความชัดเจน ผมได้หาคำอธิบายจากอีกแหล่งหนึ่ง คือ "คำอธิบายอัล-กุรฺอานุลกะรีม (ญุซ ที่ 2) โดยสมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ" ตีพิมพ์ พ.ศ. 2526

ความที่ว่า "บรรดาผู้ที่เราได้ประทานคัมภีร์แก่พวกเขานั้นย่อมรู้จักเขา(มุฮัมมัด)ดี เหมือนกับที่พวกเขารู้จักลูก ๆ ของพวกเขาเอง" นั้นคือ บรรดานักปราชญ์ทั้งที่เป็นชาวยิว และชาวคริสต์นั้น ย่อมรู้จักท่านนะบีมุฮัมมัดดี เหมือนกับที่พวกเขารู้จักลูก ๆ ของพวกเขาเอง ทั้งนี้ก็เพราะว่า ในคัมภีร์ของพวกเขา ทั้งในเตารอตและในอินญีลนั้นได้ระบุลักษณะของท่านนะบีไว้อย่างถี่ถ้วน จนกระทั่ง "อับดุลลอฮฺ บินสะลาม" นักปราชญ์ของยิวคนหนึ่ง ซึ่งรับนับถืออิสลาม ได้กล่าวว่า "ฉันรู้จักเขาดียิ่งกว่าที่ฉันรู้จักลูก ๆ ของฉัน" ท่านซัยยิดินาอุมัรฺ กล่าวแก่เขาว่า "เพราะเหตุใด" เขากล่าวว่า "เพราะฉันไม่สงสับในตัวมุฮัมมัดที่เขาเป็นนะบี ส่วนลูกของฉันนั้นเป็นไปได้ว่า มารดาของเขาอาจทุจริต" แล้วท่านซัยยิดินาอุมัรฺได้จูบศีรษะของเขา ดังกล่าวนี้เป็นการสารภาพจากนักปราชญ์ยิวคนหนึ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงให้แสงสว่างแก่เขา ในทำนองเดียวกันกับท่าน "ตะมีม อัด-ดารีย์" นักปราชญ์คริสต์คนหนึ่งที่ได้กล่าวสารภาพไว้ (จบถ้อยคำอ้างอิงจาก คำอธิบาย อัล-กุรอานุลกะรีม)




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 13, 2010, 04:45 PM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #71 เมื่อ: มี.ค. 13, 2010, 07:51 PM »
0
สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 148 – 152


คำอ่าน
148. วะลิกุลลิว..วิจญฮะตุน ฮุวะมุวัลลีฮา ฟัสตะบิกุลค็อยรอต, อัยนะมาตะกูนูยะอ์ติบิกุมุลลอฮุญะมีอา, อิน..นัลลอฮะอะลากุลลิชัยอิน..เกาะดีรฺ

คำแปล R1.
148. For every nation there is a direction to which they face (in their prayers). So hasten towards all that is good. Wheresoever’s you may be, Allah will bring you together (on the Day of Resurrection). Truly, Allah is Able to do all things.

คำแปล R2.
148. และสำหรับคนทุกคน ย่อมมีทิศทางซึ่งเขาจะหันไปสู่มัน ดังนั้นเจ้าทั้งหลายจงแข่งขันใน (การทำ) ความดีเถิด ณ แห่งหนใดก็ตามที่พวกเจ้าอยู่  อัลเลาะฮฺก็จะนำพวกเจ้ามา (รวมกัน) ทั้งหมด แท้จริงอัลเลาะฮฺทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง

คำแปล R3.
148. และทุกคนต่างมีทิศทางที่จะหันไปสู่ในการนมาซ ดังนั้น จงแข่งขันซึ่งกันและกันในความดี ไม่ว่าสูเจ้าจะอยู่ที่ไหน อัลลอฮฺจะทรงนำทางสูเจ้ามารวมกัน แท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่ง

คำแปล R4.
148. และสำหรับแต่ละประชาชาตินั้น ต่างก็มีทิศทางหนึ่ง ซึ่งประชาชาตินั้นผินไปสู่ ดังนั้นพวกเจ้าจงแข่งขันในความดีทั้งหลายเถิด ที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่อัลลอฮ์ก็จะทรงนำพวกเจ้ามาทั้งหมด แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง

คำแปล R5.

๑๔๘. แหละพวกมุสลิมก็ดี ยะฮูดีก็ดี และนัซรอนีก็ดี แต่ละฝ่ายย่อมมีทิศอันเขาจะผินไปสู่ในเวลาละหมาด เป็นต้นว่า ไบตุลเลาะห์เป็นกิบลัตของพวกมุสลิม ไบตุลมุก็อดดิสเป็นกิบลัตของพวกยะฮูดี ทิศตะวันออกเป็นกิบลัตของพวกนัซรอนี ฉะนั้นพวกเจ้าพึงด่วนกระทำความดีและตามข้อห้ามข้อใช้ในความดีนั้นเถิด ไม่ว่าพวกเจ้าจะตายกันอยู่ ณ ที่ใด อัลเลาะห์ก็จะทรงให้พวกเจ้าเกิดขึ้นใหม่ไปร่วมกันได้ ณ สถานที่แห่งเดียวกัน คือทุ่งมะห์ซัร (สถานที่สอบสวน) ในวันกิยามะห์ (วันสิ้นโลก) แล้วพระองค์จะตอบสนองพวกเจ้าตามความประพฤติของพวกเจ้า เพราะแน่แท้อัลเลาะห์ทรงมีอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นต้นว่า พระองค์ทรงให้พวกเจ้าเกิดใหม่ และให้ไปรวมกันที่ทุ่งมะห์ซัร


คำอ่าน
149. วะมินหัยษุเคาะร็อจญตะ ฟะวัลลิวัจญฮะกะ ชัฏร็อลมัสญิดิลหะรอม, วะอิน..นะฮูลัลหักกุมิรฺร็อบ บิก, วะมัลลอฮุบิฆอฟิริน อัม..มาตะอฺมะลูน

คำแปล R1.
149. And from wheresoever’s you start forth (for prayers), turn your face In the direction of Al-Masjid-al-Haram (at Makkah), that is indeed the truth from your Lord. And Allah is not unaware of what you do.

คำแปล R2.
149. และเมื่อเจ้าออก (เดินทาง)จากหนแห่งใดก็ตาม เจ้าจงหันหน้าของเจ้าไปทางทิศมัสยิดิลหะรอมเถิด (ขณะพวกเจ้าทำละหมาด) แท้จริงสิ่งนั้นย่อมเป็นสัจธรรมจากองค์อภิบาลของเจ้า และอัลเลาะฮฺไม่ละเลยต่อสิ่งที่พวกเจ้าทั้งหลายปฏิบัติอย่างแน่นอน

คำแปล R3.
149. ไม่ว่าเจ้าอยู่ที่ใด จงหันหน้าของเจ้าไปยังมัสญิด อัล-หะรอม เพราะนี่เป็นคำสั่งจากพระผู้อภิบาลของเจ้า และอัลลอฮฺไม่เป็นผู้ที่เฉยเมยในสิ่งที่สูเจ้ากระทำ

คำแปล R4.
149. และจากที่ใดก็ตามที่ เจ้าได้ออกไป ก็จงผินหน้าของเจ้าไปทางอัล-มัสยิดิลฮะรอม และแท้จริงนั้น มัน คือความจริงที่มาจากพระเจ้าของเจ้า และอัลลอฮ์นั้นไม่เป็นผู้ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกั้นอยู่

คำแปล R5.
๑๔๙. และโอ้มูฮำมัด ไม่ว่าเจ้าจะออกเดินทางจากหนแห่งใด ก็จงผินหน้าเจ้าไปสูไบตุลเลาะห์ขณะทำละหมาดเถิด เพราะแท้จริงการผินหน้าไปสู่ไบตุลเลาะห์ในขณะละหมาดนั้นแหละเป็นความจริงแท้จากองค์พระผู้อภิบาลแห่งเจ้า และอัลเลาะห์นั้นจะไม่ทรงละเลยต่อพฤติกรรมที่พวกเจ้ากระทำกันไว้



คำอ่าน
150. วะมินหัยษุเคาะร็อจญตะฟะวัลลิวัจญฮะกะชัฏร็อลมัสญิดิลหะรอม วะหัยษุมากุนตุม ฟะวัลลูวุญูฮะกุม ชัฏเราะฮู ลิอัลลายะกูนะ ลิน..นาสิอะลัยกุมหุจญะฮฺ, อิลลัลละซีนะเซาะละมูมินฮุม ฟะลาตัคเชาฮุมวัคเชานี วะลิอุติม..มะนิอฺมะตีอะลัยกุม วะละอัลละกุมตะฮฺตะดูน

คำแปล R1.
150. And from wheresoever’s you start forth (for prayers), turn your face In the direction of Al-Masjid-al-Harโm (at Makkah), and wheresoever you are, turn your faces towards, it (when you pray) so that men may have no argument against you except those of them that are wrong-doers, so fear them not, but fear Me! - And so that I may complete My Blessings on you and that you may be guided.

คำแปล R2.
150. และเมื่อเจ้าออก(เดินทาง)จากหนแห่งใดก็ตาม เจ้าจงหันหน้าของเจ้าไปทางทิศมัสยิดิลหะรอมเถิด และไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่หนแห่งใด พวกเจ้าก็จงหันหน้าไปในทางทิศนั้น ทั้งนี้เพื่อที่มนุษย์ทั้งหลายจะได้ไม่มีข้อโต้แย้งแก่พวกเจ้า (อีกต่อไป) ยกเว้นบรรดาผู้อธรรมจากพวกเขาเท่านั้น (ที่ยังคิดโต้แย้งพวกเจ้าในเรื่องกิบลัต) แต่เจ้าอย่าได้กลัวพวกเขา และจงกลัวข้าเท่านั้น และเพื่อข้าจักได้ยังความสมบูรณ์ในความโปรดปรานของข้าที่ประทานแก่พวกเจ้า และเพื่อพวกเจ้าจะได้รับการชี้นำ(ตลอดไป)

คำแปล R3.
150. ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด จงหันหน้าของเจ้าไปยังมัสญิด อัล-หะรอม และไม่ว่าสูเจ้าจะอยู่ที่ไหน จงหันหน้าของสูเจ้าไปทางเดียวกันนั้น ในเวลานมาซ เพื่อที่ว่าผู้คนจะได้ไม่มีข้อโต้แย้งอันใดต่อสูเจ้า นอกจากบรรดาผู้ที่อธรรม ดังนั้น จงอย่ากลัวพวกเขา แต่จงกลัวฉัน (จงทำในสิ่งนี้) เพื่อที่ฉันจะได้ให้ความโปรดปรานของฉันแก่สูเจ้าครบถ้วนสมบูรณ์ และเพื่อที่สูเจ้าจะได้พบทางไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริง

คำแปล R4.
150. และจากที่ใดก็ตามที่ เจ้าออกไป ก็จงผินหน้าของเจ้าไปทางอัล-มัสยิดิลฮะรอม และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ก็จงผินหน้าของพวกเจ้าไปทางนั้น เพื่อว่าจะได้ไม่เป็นข้ออ้างใด ๆแก่หมู่ชนที่แย้งพวกเจ้าได้ นอกจากบรรดาผู้อธรรมในหมู่ของพวกเขาเท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากลัวพวกเขา แต่จงกลัวข้าเถิด และเพื่อที่ข้าจะได้ให้ความกรุณาของข้าครบถ้วน แก่พวกเจ้า และเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง

คำแปล R5.

๑๕๐. และโอ้มูฮำมัด ไม่ว่าเจ้าจะออกเดินทางจากหนแห่งใด ก็จงผินหน้าของเจ้าไปสู่ไบตุลเลาะห์ขณะทำละหมาดเถิด และโอ้ประชากรของมูฮำมัด ไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่บกหรือทะเลหรือในอากาศ ในทิศหนึ่งทิศใด เช่นตะวันออกหรือตะวันตก ก็จงผินหน้าของพวกเจ้าไปสู่ไบตุลเลาะห์ในเวลาละหมาดกันเถิด เพื่อมิให้มวลมนุษย์ฝ่ายยะฮูดีโด้เถียงพวกเจ้าได้ว่า มูฮำมัดปฏิเสธศาสนาของพวกเรา แต่กลับใช้กิบลัตของเรา และเพื่อมิให้พวกมุชริกได้เถียงว่า มูฮำมัดเจริญตามศาสนาของอิบรอฮีม แต่ไม่ใช้กิบลัตของอิบรอฮีม เว้นไว้แต่บางส่วนจากบรรดายะฮูดีและมุชริกที่ไม่ถือความสัจเท่านั้นที่มันยังมีข้อโต้เถียงต่อไปอีก กล่าวคือ พวกยะฮูดีรู้ว่าที่มูฮำมัดผินหน้าไปสู่ไบตุลเลาะห์นั้นก็จริงอยู่ แต่การผินไปเพราะมีใจเอนเอียงไปยังศาสนาแห่งปู่ย่าตายายของตัว ส่วนพวกมุชริกก็มีข้อโต้เถียงได้เช่นเดียวกัน กล่าวคือพวกนั้นพูดว่ามูฮำมัดมีความลังเลใจ ไม่มีกิบลัตใดที่แน่นอน โอ้ประชากรของมูฮำมัด ฉะนั้นพวกเจ้าอย่ากลัวคำโต้เถียงของพวกยะฮูดีและมุชริกตามเรื่องดังกล่าวนั้นเลย แต่จงเกรงกลัวข้าโดยปฏิบัติตามที่ใช้และที่ห้ามของข้ากันเถิด และเท่าที่ข้าได้ใช้ให้พวกเจ้าผินหน้าไปสู่ทิศไบตุลเลาะห์ก็เพื่อให้หมดข้อโต้เถียงของทั้งสองพวกนั้น และเพื่อข้าจะให้มหากรุณาธิคุณของข้ามีครบบริบูรณ์แก่พวกเจ้าด้วยการชี้ให้พวกเจ้าไปสู่สัญญลักขณ์แห่งศาสนา นั่นคือไบตุลเลาะห์และเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับการแนะนำไปสู่สัญญลักขณ์ดังกล่าวนั้น


คำอ่าน
151. กะมา..อัรฺสัลนาฟีกุม เราะสูลัม..มิน..กุม ยัตลูอะลัยกุม อายาตินา วะยุซักกีกุม วะยุอัลลิมุกุมุลกิตาบะ วัลหิกมะฮฺ, วะยุอัลลิมุกุม..มาลัมตะกูนูตะอฺละมูน

คำแปล R1.
151. Similarly (to complete My Blessings on you) We have sent among you a Messenger (Muhammad) of your own, reciting to you Our Verses (the Qur'an) and sanctifying you, and teaching you the Book (the Qur'an) and the Hikmah (i.e. Sunnah, Islamic laws and Fiqh - jurisprudence), and teaching you that which you used not to know.

คำแปล R2.
151. ประดุจเดียวกับที่เราได้ส่งศ่าสนทูตหนึ่งจากพวกเจ้ามาในหมู่พวกเจ้าเอง ซึ่งเขาแถลงให้พวกเจ้า (ได้รับรู้) บรรดาโองการของเรา เขาชำระมลทิน (ความบาปโสมมต่าง ๆ )แก่พวกเขา เขาสอนพวกเจ้าให้รู้จักคัมภีร์และวิทยญาณ และเขาสอนพวกเจ้าให้รู้ในสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน
 
คำแปล R3.
151. ดังที่เราได้ส่งรอซูลคนหนึ่งมายังสูเจ้า จากในหมู่สูเจ้า เป็นผู้สาธยายอายะฮฺต่าง ๆ ของเราแก่สูเจ้า ขัดเกลาชีวิตของสูเจ้าให้สะอาด สอนคัมภีร์และวิทยปัญญาแก่สูเจ้า และสอนสูเจ้าในสิ่งที่สูเจ้าไม่รู้

คำแปล R4.
151. ดังที่เราได้ส่งร่อซูลผู้หนึ่ง จากพวกเจ้าเองมาในหมู่พวกเจ้า ซึ่งเขาจะอ่านบรรดาโองการของเราให้พวกเจ้าฟัง และจะทำให้พวกเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ และจะสอนคัมภีร์ และความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติให้แก่พวกเจ้า และจะสอนพวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน

คำแปล R5.
๑๕๑. โอ้ชาวอาหรับ ทำนองเดียวกับที่เราได้ให้ความบริสุทธิ์ดังกล่าวนั้นแหละ เราก็ได้ให้ความครบถ้วนอีก ด้วยการแต่งตั้งมูฮำมัดผู้เป็นชนชาติอาหรับให้เป็นศาสนทูตมาในหมู่พวกเจ้าเพื่อให้เกิดความสนิทสนมระหว่างพวกเจ้ากับมูฮำมัด ซึ่งมูฮำมัดจะได้อ่านโองการต่าง ๆ ของเราจากอัล-กุรอานให้พวกเจ้าฟัง มาชำระจิตใจของพวกเจ้าให้เลิกบูชากราบไหว้เหล่าเทวรูป และสั่งสอนพวกเจ้าให้รู้จักข้อบัญญัติแห่งอัล-กุรอาน และรู้จักศีลธรรมอันมีอยู่ในนั้น ตลอดจนสั่งสอนพวกเจ้าให้รู้สิ่งต่าง ๆ ที่พวกเจ้าไม่เคยรู้มาก่อน เช่น เรื่องประชากรของพวกศาสนทูตยุคก่อน ๆ และเรื่องของบรรดาศาสนทูตก่อนจากมูฮำมัด ตลอดจนข่าวต่าง ๆ ที่จะอุบัติขึ้นในอนาคต


คำอ่าน

152. ฟัซกุรูนี..อัซกุรฺกุม วัชกุรูลี วะลาตักฟุรูน

คำแปล R1.
152. Therefore remember Me (by praying, glorifying, etc.). I will remember you, and be grateful to Me (for My countless Favours on you) and never be ungrateful to Me.

คำแปล R2.
152. ดังนั้นเจ้าทั้งหลายจงรำลึกถึงข้าเถิด แล้วข้าก็จะรำลึกถึงพวกเจ้า เจ้าทั้งหลายจงขอบคุณข้าเถิด และจงอย่าได้เนรคุณต่อข้า

คำแปล R3.
152. ดังนั้น จงรำลึกถึงฉัน และฉันก็จะรำลึกถึงสูเจ้า จงขอบคุณฉัน และจงอย่าเนรคุณต่อฉัน

คำแปล R4.
152. ดังนั้นพวกเจ้าจงรำลึกถึงข้าเถิด ข้าก็จะรำลึกถึงพวกเจ้า และจงขอบคุณข้าเถิด และจงอย่าเนรคุณต่อข้าเลย

คำแปล R5.
๑๕๒. ดังนั้นพวกเจ้าจงรำลึกถึงข้าทั้งกาย วาจาและใจ ด้วยการดำรงละหมาด การอ่านตะห์ลีล อ่านตัสบีห์ อ่านตักบีร์ อ่านตะห์มีด อ่านอิสติฆฟาร อ่านซ่อละวาตเป็นการสดุดีมูฮำมัด อ่านอัล-กุรอานและอ่านดุอาอ์ คือ คำวอนขอ แล้วข้าจะสนองความรำลึกแก่พวกเจ้าที่ได้กระทำและอ่านต่าง ๆ ดั่งว่านั้นโดยให้พวกเจ้าได้เข้าสู่สวรรค์ และพวกเจ้าจงขอบคุณในมหากรุณาธิคุณของข้าด้วยการบำเพ็ญตนตามห้ามและตามใช้ของข้า แต่อย่าได้เนรคุณข้าด้วยการประพฤติกรรมชั่วเลย


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 14, 2010, 12:48 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #72 เมื่อ: มี.ค. 15, 2010, 09:30 PM »
0

สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 153 – 157

 


คำอ่าน
153. ยา..อัยยุฮัลละซีนะอามะนุสตะอีนู บิศศ็อบริ วัศเศาะลาติ อิน..นัลลอฮะมะอัศศอบิรีน

คำแปล R1.
153. O You who believe! Seek help in patience and As-Salat (the prayer). Truly! Allah is with As-Sabirin (the patient ones, etc.).

คำแปล R2.
153. โอ้มวลผู้มีศรัทธาทั้งหลาย จงใช้ความอดทนและการทำละหมาด (โดยเคร่งครัด) มาขอความช่วยเหลือ (ต่ออัลเลาะฮฺ ในกิจการงานต่าง ๆ ) เถิด เพราะแท้ที่จริงอัลเลาะฮฺ ทรงอยู่กับบรรดาผู้อดทนทั้งหลาย

คำแปล R3.
153. บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงขอความช่วยเหลือด้วยความอดทนและจงนมาซ เพราะอัลลอฮฺจะทรงอยู่กับบรรดาผู้อดทน

คำแปล R4.
153. บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงอาศัยความอดทน และการละหมาดเถิด แท้จริงอัลลออ์นั้นทรงอยู่ร่วมกับผู้อดทนทั้งหลาย

คำแปล R5.
๑๕๓. โอ้บรรดาผู้เป็นมุอ์มิน พวกเจ้าจงขอความช่วยเหลือให้ได้ซึ่งความมีชัยในวันอาคีเราะห์ด้วยความอดทนต่อสิ่งที่ข้าได้ใช้และห้าม ต่อภัยอันตรายต่าง ๆ ในโลกนี้ และด้วยการดำรงละหมาด เพราะแท้จริงอัลเลาะห์ทรงเป็นฝ่ายช่วยเหลือพวกที่มีใจอดทน พวกประพฤติชอบ และพวกมุตตะกีนเท่านั้น


หมายเหตุของผู้นำเสนอ ใน R4. ไม่ได้ให้ความหมายของคำว่า استعينوا ในอายะฮฺนี้ (ซึ่งมีความหมายว่า ขอความสงเคราะห์ ขอความช่วยเหลือ) เข้าใจว่าเกิดจากความผิดพลาดในการพิมพ์


คำอ่าน
154. วะลาตะกูลู ลิมัย..ยุกตะลุฟีสะบีลิลลาฮิอัมวาตุม..บัลอะหฺยา...อู...วะลากิลลาตัชอุรูน

คำแปล R1.
154. And say not of those who are killed In the Way of Allah, "They are dead." Nay, they are living, but you perceive (it) not.

คำแปล R2.
154. และเจ้าทั้งหลายจงอย่าได้กล่าวแก่บุคคลที่ถูกฆ่าตายในทางของอัลเลาะฮฺ ว่าเป็นผู้ตาย ความจริงพวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่ทว่าพวกเจ้าหาสำนึกไม่

คำแปล R3.
154. และจงอย่ากล่าวว่า บรรดาผู้ที่ถูกฆ่าในหนทางของอัลลอฮฺว่า “พวกเขาตาย” ความจริงแล้วพวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่สูเจ้าหาได้ตระหนักถึงชีวิตนั้นไม่

คำแปล R4.
154. และพวกเจ้าอย่ากล่าวแก่ผู้ที่ถูกฆ่าในทางของอัลลอฮ์ว่า พวกเขาตาย มิได้พวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่ทว่าพวกเจ้าไม่รู้สึก

คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ คือ แท้จริงพวกมุสลิมถูกฆ่าในสงครามบัตร์จำนวน ๑๔ คน ๖ คนในจำนวนนั้นเป็นชาวมักกะห์ที่อพยพตามพระนบีมูฮำมัดไปยังนคร    มดีนะห์ อีก ๘ คนเป็นชาวมดีนะห์ เรื่องนี้มีประชาชนพูดเสียดว่าทั้ง ๑๔ คนที่ตายในสมรภูมิบัดร์นั้น ความสุขต่าง ๆ ทั้งกายและใจก็สูญสิ้นตามไปด้วย
๑๕๔. และพวกเจ้าอย่าพูดจาดูถูกผู้ที่ถูกฆ่าในสงครามบัดร์ว่า เป็นพวกตายเหมือนพวกที่ตายทั้งหลายเลย แต่ทว่าพวกนั้นยังเป็นอยู่ อย่างใกล้ชิดกับอัลเลาะห์โดยเกียรติยศและตำแหน่ง มิใช่ใกล้โดยสถานที่และทิศ และยังอยู่ในโลกซึ่งสายตาไม่อาจมองเห็นได้ และพวกเจ้าไม่รู้สึกหรอกว่า ความเป็นอยู่ ของพวกที่ตายนั้นเป็นอย่างไร เพราะอาการเป็นอยู่ของพวกนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เห็นด้วยนัยน์ตา เว้นแต่อัลเลาะห์จะดลโองการให้แก่บรรดานบี หรือทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้เป็นวลียุลเลาะห์ให้ได้เห็นเท่านั้น


คำอ่าน
155. วะละนับลุวัน..นะกุม..บิชัยอิม..มินัลค็อวฺฟิ วัลญูอิ วะนักศิม..มินัลอัมวาลิ วัลอัน..ฟุสิ วัษษะมะรอต, วะบัชชิริศศอบิรีน

คำแปล R1.
155. And certainly, we shall test you with something of fear, hunger, loss of wealth, lives and fruits, but give glad tidings to As-Sabirin (the patient ones, etc.).

คำแปล R2.
155. ขอยืนยัน เราจะทดสอบพวกเจ้าอย่างแน่นอนด้วยบางสิ่ง (เพียงเล็กน้อย) จากความหวาดกลัว ความหิวโหย ความขาดแคลนทรัพย์สิน ความขาดแคลนชีวิต (ของผู้คนและสัตว์ต่าง ๆ ) และความขาดแคลนผลไม้ และเจ้าจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้อดทนเถิด

คำแปล R3.
155. และแน่นอนเราจะทดสอบสูเจ้าโดยการให้สูเจ้าอยู่ในความกลัวและความหิว และโดยการให้สูญเสียทรัพย์สิน ชีวิตและพืชผล และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ที่อดทน

คำแปล R4.
155. และแน่นอน เราจะทดลองพวกเจ้าด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากความกลัว และความหิวและด้วยความสูญเสีย(อย่างใดอย่างหนึ่ง)จากทรัพย์สมบัติ ชีวิต และพืชผล และเจ้าจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้อดทนเถิด

คำแปล R5.
๑๕๕. และขอยืนยันว่าเราจะกระทำการหนึ่งแก่พวกเจ้าเหมือนกับจะทดลองดูว่า พวกเจ้านั้นจะมีใครอดทนกันหรือไม่ โดยให้พวกเจ้าเผชิญภัยต่าง ๆ แต่เพียงเล็กน้อย เป็นต้นว่า ความหวาดกลัวศัตรู ความขาดแคลนฝนและให้เผชิญกับการลดปริมาณทรัพย์ เพราะความเสียหาย ปริมาณคน เพราะการถูกฆ่าเสียบ้าง ถูกจับเป็นเชลยบ้าง และเจ็บป่วยบ้าง และปริมาณผลไม้ก็ให้ลดลงเพราะความเสียหาย โอ้มูฮำมัด จงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้อดทนต่อภัยอันตรายเถิดว่า พวกเขานั่นแหละจะได้เข้าสู่สวรรค์


คำอ่าน
156. อัลละซีนะ อิซา..อะศอบัตฮุม..มุศีบะตุน..กอลู..อิน..นาลิลลาฮิ วะอิน..นา..อิลัยฮิรอญิอูน

คำแปล R1.
156. Who, when afflicted with calamity, say: "Truly! To Allah we belong and truly, to Him we shall return."

คำแปล R2.
156. บรรดาผู้ซึ่งเมื่อเหตุร้ายได้มาประสบแก่พวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า “แท้จริงเราเป็นสิทธิของอัลเลาะฮฺ และเราต้องคืนกลับไปสู่พระองค์”

คำแปล R3.
156. ผู้ที่เมื่อมีทุกภัยมาประสบแก่พวกเขา พวกเขาจะกล่าวว่า “แท้จริงเราเป็นของอัลลอฮฺ และยังพระองค์ที่เราจะกลับไปหาอย่างแน่นอน

คำแปล R4.
156. คือบรรดาผู้ที่เมื่อมีเคราะห์ร้ายมาประสบแก่พวกเขา พวกเขาก็กล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และแท้จริงพวกเราจะกลับไปยังพระองค์
คำแปล R5.
๑๕๖. บรรดาผู้ซึ่งมีใจอดทนเหล่านั้น เมื่อภัยอันตรายมาเผชิญกับพวกเขาเข้าแล้ว ต่างก็คิดและกล่าวกันว่า แท้จริงพวกเราย่อมเป็นของอัลเลาะห์ทั้งสิ้น ในฐานะอยู่ใต้ปกครองและกรรมสิทธิ์ของพระองค์ พระองค์จะทรงจัดการอย่างไรแก่เราได้ตามที่พระองค์มุ่งหมายในโลกนี้ และในอาคีเราะห์ (ปรภพ) โน้น เราจะถูกกลับไปยังการสอบสวนของพระองค์แน่นอน แล้วพระองค์จะทรงตอบแทนแก่พวกเราด้วย
 

คำอ่าน
157. อุลา...อิกะอะลัยฮิม เศาะละวาตุม..มิรฺร็อบบิฮิม วะเราะหฺมะตู..วะอุลา...อิกะฮุมุลมุฮฺตะดูน

คำแปล R1.
157. They are those on who are the Salawat (i.e. blessings, etc.) (I.e. who are blessed and will be forgiven) from their Lord, and (They are those who) receive His Mercy, and it is they who are the guided-ones.

คำแปล R2.
157. พวกเหล่านั้นย่อมได้รับพรและเมตตาธรรมจากองค์อภิบาลของพวกเขา และพวกนั้นเป็นพวกที่ได้รับการชี้นำโดยแท้จริง

คำแปล R3.
157. คนเหล่านี้แหละที่พระผู้อภิบาลพวกเขาจะประทานความจำเริญและความเมตตาให้แก่เขา และพวกเขาเหล่านี้แหละที่เป็นผู้ถูกนำทาง

คำแปล R4.
157. ชนเหล่านี้แหละพวกเขาจะได้รับคำชมเชย และการเอ็นดูเมตตาจากพระเจ้าของพวกเขาและชนเหล่านี้แหละคือผู้ที่ได้รับข้อแนะนำอันถูกต้อง

คำแปล R5.
๑๕๗. พวกผู้อดทนนั้นแหละย่อมได้รับการอภัยโทษ ได้รับเมตตาธิคุณจากองค์พระผู้อภิบาลแห่งพวกเขา และพวกนั้นก็ได้รับความแนะนำไปสู่การกระทำอันถูกต้อง



ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #73 เมื่อ: มี.ค. 16, 2010, 09:12 PM »
0
สูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 158


คำอ่าน
158. อิน..นัศเศาะฟา วัลมัรฺวะตะ มิน..ชะอา...อิริลลาฮฺ, ฟะมันหัจญัลบัยตะ อะวิอฺตะมะเราะ ฟะลาญุนาหะอะลัยฮิ อัย..ยัฏก็อวฺ วะฟะบิฮิมา วะมันตะฏ็อววะอะค็อยร็อน..ฟะอิน..นัลลอฮะ ชากุรุนอะลีม

คำแปล R1.
158. Verily! As-Safa and Al-Marwah (two mountains in Makkah) are of the Symbols of Allah. So it is not a sin on him who perform Hajj or 'Umrah (pilgrimage) of the House (the Ka'bah at Makkah) to perform the going (Tawaf) between them (As-Safa and Al-Marwah). And whoever does well voluntarily, Then Verily, Allah is All-Recognizer, All-Knower.

คำแปล R2.
158. แท้จริง (ภูเขา) ซอฟาและมัรวะฮ์นั้น เป็นหนึ่งจากบรรดาเอกลักษณ์(แห่งศาสนา)ของอัลเลาะฮฺ ดังนั้น ผู้ใดประกอบพิธีฮัจย์ ก็ไม่เป็นบาปสำหรับเขาที่จะเดินวนกับมันทั้งสอง (เดินระหว่างซอฟากับมัรวะฮฺ) และผู้ใดอาสากระทำความดี แน่นอนอัลเลาะฮฺเป็นผู้ขอบคุณ (โดยตอบแทนรางวัลแก่เขา)อีกทั้งทรงรอบรู้

คำแปล R3.
158. แท้จริง เศาะฟาและมัรฺวะฮฺนั้นเป็นเครื่องหมายอย่างหนึ่งในบรรดาเครื่องหมายของอัลลอฮฺ ดังนั้น มันจึงไม่เป็นการบาปสำหรับผู้ประกอบพิธีฮัจญ์หรืออุมเราะฮฺ ที่จะวิ่งไปมาระหว่างเนินเขาทั้งสอง และอัลลอฮฺนั้นทรงรู้ดีถึงผู้ที่กระทำความดีด้วยความสมัครใจ

คำแปล R4.
158. แท้จริงภูเขาเศาะฟา และภูเขามัรวะฮ์นั้น เป็นส่วนหนึ่งจากบรรดาเครื่องหมายของอัลลอฮ์ดังนั้นผู้ใดประกอบพิธีอัจญ์หรือ อุมเราะฮ์ ณ บัยตุลลอฮ์ก็ไม่มีบาปใด ๆ แก่เขาที่จะเดินวนเวียนไปมา ณ ภูเขาทั้งสองนั้น และผู้ใดประกอบความดีโดยสมัครใจแล้ว แน่นอนอัลลอฮ์นั้นคือผู้ทรงขอบใจ และผู้ทรงรอบรู้

คำแปล R5.
๑๕๘. แท้จริงภูเขาซ่อฟาและภูเขามัรวะห์ เป็นสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งแสดงสัญลักษณ์การดำรงศาสนาไว้ ผู้ใดที่มุ่งสู่ไบตุลเลาะห์เพราะจะทำพิธีฮัจย์หรือทำอุมเราะห์ ก็ไม่เกิดบาปแก่ผู้นั้นแต่อย่างไร ในอันที่จะเดินสะอา ๗ เที่ยวระหว่างภูเขาทั้งสองนั้น ผู้ใจสมัครใจกระทำดีอันไม่ใช่วายิบ(จำเป็น) เช่นเวียนรอบไบตุลเลาะห์ ๗ รอบ และกระทำอื่น ๆ จากนั้น แน่นอนอัลเลาะห์จะทรงชื่นชมยินดี ต่อการกระทำของผู้นั้นด้วยการตอบแทนบุญกุศลแก่เขาที่ปฏิบัติเช่นนั้น ทั้งยังทรงรู้ซึ้งในการกระทำของผู้นั้น


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มี.ค. 23, 2010, 12:33 AM โดย Bangmud »

ออฟไลน์ Bangmud

  • ทีมงานบอร์ด
  • เพื่อนรัก (6_6)
  • *****
  • กระทู้: 2821
  • Respect: +127
    • ดูรายละเอียด
Re: อัลกุรฺอาน คำแปลและคำอธิบาย (ตอนที่ 2)
« ตอบกลับ #74 เมื่อ: มี.ค. 18, 2010, 06:41 AM »
0

สูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 159 – 162

   

คำอ่าน
159. อิน..นัลละซีนะ ยักตุมูนะ มา..อันซัลนา มินัลบัยยินาติ วัลฮุดา มิม..บะอฺดิ มาบัยยัน..นาฮุ ลิน..นาสิ ฟิลกิตาบิ อุลา...อิกะ ยัลอะนุฮุมุลลอฮุ วะยัลอะนุฮุมุลลาอินูน

คำแปล R1.
159. Verily, those who conceal the clear proofs, evidences and the guidance, which we have sent down, after we have made it clear for the people in the Book, they are the ones cursed by Allah and cursed by the cursers.

คำแปล R2.
159. แท้จริงบรรดาผู้ปกปิด (หลักฐานต่าง ๆ ) ที่ชัดแจ้งและสิ่งนำทาง ภายหลังจากเราได้แจ้งมันไว้แก่มวลมนุษย์ในคัมภีร์ พวกขาเหล่านั้น อัลเลาะฮฺทรงสาปแช่ง และบรรดาผู้สาปแช่ง (อื่น ๆ เช่นมนุษย์และมลาอิกะฮฺ) ก็สาปแช่งพวกเขาด้วย

คำแปล R3.
159. แท้จริงอัลลอฮฺทรงสาปแช่ง และผู้ที่สาปแช่งก็สาปแช่งผู้ที่ปิดบังคำสอนและทางนำอันชัดแจ้งที่เราได้ประทานลงมาหลังจากที่เราได้ทำให้มันเป็นที่กระจ่างแจ้งไว้ในคัมภีร์เพื่อเป็นทางนำสำหรับมนุษยชาติแล้ว

คำแปล R4.
159. แท้จริงบรรดาผู้ที่ ปิดบังหลักฐานอันชัดเจน และข้อแนะนำอันถูกต้องที่เราได้ให้ลงมาหลังจากที่เราได้ชี้แจงมันไว้แล้วใน คัมภีร์สำหรับมนุษย์นั้น ชนเหล่านี้แหละอัลลอฮ์จะทรงขับไล่พวกเขาให้พ้นจากความเมตตาของพระองค์ และผู้สาปแช่งทั้งหลายก็จะสาปแช่งพวกเขาด้วย

คำแปล R5.
มูลเหตุแห่งการลงโองการต่อไปนี้ เพื่อตำหนิพวกนักปราชญ์ยะฮูดี
๑๕๙. แท้จริงบรรดาผู้มีชื่อต่อไปนี้ คือ กะอั๊บบุตรอัชร๊อฟ มาลิก บุตรซ๊อยฟ์ และอับดุลเลาะห์ บุตรซูริยา พวกนั้นต่างก็ได้ปกปิดหลักฐานอันประจักษ์แจ้ง ซึ่งชี้ไปยังเรื่องราวต่าง ๆ ของมูฮำมัด และข้อแนะนำจากโองการซึ่งชี้ว่าเรื่องราวของท่านผู้นี้เป็นความจริงแท้ ทั้งชี้ว่าจะต้องเจริญรอยตามพระนบีมูฮำมัดและต้องศรัทธาในส่วนตัวของท่านผู้นี้ด้วย ซึ่งเหล่านี้เราได้มอบลงมา อธิบายไว้ในคัมภีร์เตารอต แต่แล้วพวกนั้นก็เขียนข้อความที่ขัดแย้งแทนไว้ในข้อความจริงต่าง ๆ ที่ถูกลบ แม้แต่โองการที่ว่าด้วยการลงโทษให้ขว้างชายหญิงที่ทำซินากัน ก็ถูกพวกนั้นลบและเขียนข้อความขึ้นใหม่ว่า “ให้เฆี่ยนหนึ่งร้อยครั้ง แล้วเนรเทศชายหญิงนั้นมีกำหนดหนึ่งปี” แทนการลงโทษด้วยขว้าง ส่วนโองการที่ว่าด้วยคุณลักษณะของมูฮำมัดในเตารอตก็ยังถูกพวกนั้นลบ แล้วเขียนข้อความตรงข้ามแทนไว้ การลบก็ดี การเขียนขึ้นใหม่ก็ดี ทั้งสองอย่างนี้ได้ถูกกระทำขึ้นภายหลังที่เราได้แจ้งไว้ในคัมภีร์เตารอตให้ปวงชนยะฮูดีรู้กันโดยทั่วถึงแล้ว พวกนั้นแหละ อัลเลาะห์จะทรงลงโทษให้ออกห่างไกลจากความเมตตาของพระองค์ ทั้งเหล่ามลาอิกะห์และพวกมุอ์มินก็จะขอต่อพระองค์ให้ทรงลงโทษพวกนั้นเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงลงโทษอีกด้วย



คำอ่าน
160. อิลลัลละซีนะตาบู วะอัศละหู วะบัยยะนู ฟะอุลา...อิกะอะตูบุอะลัยฮิม วะอะนัตเตาวาบุรฺเราะหีม

คำแปล R1.
160. Except those who repent and do righteous deeds, and openly declare (the truth which they concealed). These, I will accept their repentance. And I am the one who accepts repentance, the Most Merciful.

คำแปล R2.
160. ยกเว้นบรรดาผู้สารภาพผิด และประพฤติความดี และเปิดเผยอย่างชัดแจ้ง (ในสิ่งที่ตนรู้มาจากคัมภีร์ ไม่มีการปิดบัง) แน่นอน พวกเหล่านั้น ข้าย่อมสนองตอบการสารภาพผิดของเขา และข้าเป็นผู้รับการสารภาพยิ่ง อีกทั้งมีเมตตายิ่ง

คำแปล R3.
160. ยกเว้นบรรดาผู้ที่สำนึกผิดแล้วกลับตัวและเปิดเผยสิ่งที่พวกเขาปิดบังอยู่ บรรดาคนเหล่านี้แหละที่ฉันจะอภัยโทษให้แก่พวกเขา เพราะฉันเป็นผู้ทรงนิรโทษโดยปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมอ

คำแปล R4.
160. นอกจากผู้ที่สำนึก ผิดกลับเนื้อกลับตัว และปรับปรุงแก้ไข และชี้แจงสิ่งที่ปกปิดไว้ ชนเหล่านี้ข้าจะอภัยโทษให้แก่พวกเขา และข้าคือผู้อภัยโทษ และเมตตาเสมอ

คำแปล R5.
๑๖๐. เว้นไว้แต่บรรดายะฮูดีผู้กลับใจจากการกระทำชั่ว เช่น เรื่องการปกปิดคุณลักษณะของมูฮำมัด ปรับปรุงสิ่งที่พวกตนทำเสียไว้ โดยให้ลบคำแก้ซึ่งถูกเขียนลงในเตารอตออกเสีย แล้วให้เขียนถ้อยคำเดิมลงแทนคำแก้ที่ให้ลบออกนั้น และชี้แจงให้มวลมนุษย์รู้ความหมายของโองการในเตารอตเท่านั้น พวกเหล่านั้นแหละ ข้าจะรับการเตาบะห์ของพวกเขา ด้วยว่าข้านั้นคือผู้รับซึ่งการเตาบะห์เป็นผู้ยิ่งด้วยเมตตาต่อพวกมุอ์มินเสมอ


คำอ่าน
161. อิน..นัลละซีนะกะฟะรู วะมาตู วะฮุมกุฟฟารุน อุลา...อิกะอะลัยฮิม ละอฺนะตุลลอฮิ วัลมะลา...อิกะติ วัน..นาสิอัจญมะอีน

คำแปล R1.
161. Verily, those who disbelieve, and die while they are disbelievers, it is they on whom is the curse of Allah and of the angels and of mankind, combined.

คำแปล R2.
161. แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธทั้งหลาย และได้ตายไปในฐานะผู้ปฏิเสธนั้น พวกเหล่านี้ย่อมได้รับการสาปแช่งของอัลเลาะฮฺ ของมลาอิกะฮฺ และมนุษย์โดยทั้งสิ้น

คำแปล R3.
161. บรรดาผู้ตามแนวทางแห่งการปฏิเสธ และตายในขณะที่เป็นผู้ปฏิเสธนั้น พวกเขาได้รับการสาปแช่งจากอัลลอฮฺ จากมลาอิกะฮฺและจากมนุษย์ทั้งหลาย

คำแปล R4.
161. แท้จริงบรรดาผู้ ปฏิเสธศรัทธาและได้สิ้นชีพลง ขณะที่พวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาอยู่นั้น ชนเหล่านี้จะได้รับการขับไล่ให้พ้นจากความเมตตาของอัลลอฮฺ และจะได้รับการสาปแช่งจากมะลาอิกะฮ์ และมนุษย์ทั้งมวล

คำแปล R5.
๑๖๑. แท้จริงบรรดาผู้เป็นกาฟิร เช่น นักปราชญ์ยะฮุดีและผู้เป็นกาฟิรอื่น ๆ ได้ตายลงพลางยังเป็นกาฟิรอยู่ คือก่อนจากได้ทำการเตาบะห์ พวกเหล่านั้นต้องได้รับการละอ์นัต (ออกจากความโปรด) จากอัลเลาะห์และคำสาปแช่งจากมวลมลาอิกะห์และมวลมนุษย์ทั้งสิ้น ทั้งในภพนี้และภพหน้า
 
   

คำอ่าน
162. คอลิดีนะฟีฮา ลายุค็อฟฟะฟุอันฮุมุลอะซาบุ วะลาฮุมยุน..เซาะรูน

คำแปล R1.
162. They will abide therein (under the curse in Hell), their punishment will neither be lightened, nor will they be reprieved.

คำแปล R2.
162. พวกเขาพำนักถาวรในนั้น (นรก) โดยไม่ได้รับการผ่อนผันโทษทัณฑ์แก่พวกเขา (แต่ประการใด) และพวกเขาจะไม่ถูกประวิงเวลา(ในการรับโทษ)

คำแปล R3.
162. พวกเขาจะคงอยู่ในการสาปแช่งนั้นตลอดไป โทษของพวกเขาจะไม่ถูกลดหย่อน และพวกเขาจะไม่ถูกรั้งรอ

คำแปล R4.
162. พวกเขาจะอยู่ในการขับไล่ให้พ้นจากความเมตตาของอัลลอฮฺ และการสาปแช่งจากมะลาอิกะฮ์ และมนุษย์ตลอดกาล โดยที่การลงโทษนั้นจะไม่ถูกผ่อนปรนแก่พวกเขา และทั้งพวกเขาก็จะไม่ถูกรั้งรอในการลงโทษ

คำแปล R5.
๑๖๒. โดยที่พวกนั้นดำรงอยู่ในนรกนั้นชั่วนิรันดร อย่างไม่ได้รับการปลดปล่อยและไม่ตาย ซึ่งโทษนั้นจะไม่ถูกบรรเทาให้พวกเขาแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ถูกประวิงเวลาไว้ให้ทำการเตาบะห์ หรืออ้างอุปสรรคด้วยเลย



 

GoogleTagged